xs
xsm
sm
md
lg

“วัดอนันทเมตยาราม” วัดในประเทศสิงคโปร์ ลืมดีไซน์แบบไทยไปเลย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


วัดในประเทศสิงคโปร์ ชื่อว่า “วัดอนันทเมตยาราม” โดยผู้โพสต์ย้ำว่าลืมดีไซน์แบบไทยๆ รวมถึง ช่อฟ้า หางหงส์ ใบระกา หลังคาจั่วไปก่อนเลย ซึ่งเวลาคนไทยวิพากษ์วิจารณ์วัดนี้ทำไม่ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา ศาลาการเปรียญ ไม่มีหอระฆัง ไม่มีเมรุ อยากบอกเหลือเกินว่าวัดแบบไทยไม่ใช่ทั้งหมดของศาสนาพุทธ แต่ที่เห็นๆ กัน มันคือศิลปะในอนาคตอาจเห็นการสร้างวัดบนดาวอังคารก็ได้ใครจะไปรู้

เมื่อวันที่ (24 ก.ค.) เพจเฟซบุ๊กชื่อ A.Diary ได้โพสต์ภาพในวัดแห่งหนึ่ง โดยเป็นอาคารอเนกประสงค์ของวัดในประเทศสิงคโปร์ ชื่อว่า “วัดอนันทเมตยาราม” ผู้โพสต์ย้ำว่า ลืมดีไซน์แบบไทยๆ รวมถึง ช่อฟ้า หางหงส์ ใบระกา หลังคาจั่วไปก่อน แล้วมาอ่านกันได้เลย มารู้จักวัดกันสักเล็กน้อย ก่อนเนอะ โดย วัดอนันทเมตยาราม แห่งนี้ เป็นโบราณสถานทางพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ที่เก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์ อายุกว่า 90 ปี ก่อตั้งราวๆ ปี พ.ศ. 2463 และมีพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ให้การอุปถัมป์ รวมถึงเสด็จหลายครั้งด้วย อาคารส่วนมากในวัด เป็นศิลปะแบบไทย ภาคกลางแท้ๆ เลย แต่อาคารใหม่หลังนี้เรียกว่า ดีไซน์แบบล้ำยุค ทิ้งคราบศิลปะแบบไทยๆ ไปหมดเลย โดยอาคารนี้ใช้เป็นอาคารอเนกประสงค์ พิภิธภัณฑ์ห้องพักพระภิกษุ รวมถึงห้องปฏิบัติธรรมมูลค่าการก่อสร้าง คือ 6 ล้าน ดอลล่าสิงคโปร์ หรือราวๆ 137 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม วัดนี่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปของชาวพุทธสิงค์โปร์ และชาวพุทธไทยในประเทศสิงคโปร์ โดยจะนิยมมาขอพร ขอโชคลาภ รวมถึงกิจกรรมทางพระพุทธศาสนากัน โดยส่วนมากก็รู้จักกันดีในนามว่า วัดไทยสิงคโปร์ ปัจจุบันพระเทพสิทธิวิเทศ เป็นเจ้าอาวาส และเป็นประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในประเทศสิงคโปร์ด้วย หลังจากที่เราทราบประวัติ คร่าวๆ ไปแล้ว ทีนี้ เราจะเห็นได้ว่า ความจริงแล้ว วัดหลายๆ วัด ที่ก่อสร้างอาคาร หรือ อะไรก็แล้วแต่ แปลกไปจากรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิมๆ ที่คุ้นตาของชาวไทย ยังไง ก็ได้ชื่อว่าวัดอยู่ดี ดังนั้น เราไม่ควรไปวิพากษ์วิจารณ์ดีไซน์ การออกแบบต่างๆ จะดีกว่า เวลาเราเห็นคนไทย วิพากษ์วิจารณ์ ว่าวัดนี้ทำไม่ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา ศาลาการเปรียญ ไม่มีหอระฆัง ไม่มีเมรุ แล้วเราอยากบอกเหลือเกินว่า วัดแบบไทยไม่ใช่ทั้งหมดของศาสนาพุทธ แต่ที่เราเห็นๆ กัน มันคือศิลปะก็เพียงเท่านั้นในอนาคต เราอาจจะเห็นการสร้างวัดบนดาวอังคารก็ได้ใครจะไปรู้

ที่มา http://watananda.org.sg/










กำลังโหลดความคิดเห็น