คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.รวบมือบึ้ม รพ.พระมงกุฏฯ แล้ว เป็นอดีตวิศวกร กฟผ. สารภาพวางระเบิด 6 จุด อ้างทำคนเดียว พบนาฬิการูป “ทักษิณ” ในบ้านพัก!
ความคืบหน้าคดีลอบวางระเบิดภายในห้องวงษ์สุวรรณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายราย ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักในหมู่บ้านรามอินทรา ซอย 3 และควบคุมตัวนายวัฒนา ภุมเรศ อายุ 62 ปี อดีตวิศวกรไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หลังตรวจค้น พบวงจรประกอบระเบิด ตะปูเกลียว เชื้อปะทุหรือดินระเบิด บัตรพนักงาน กฟผ.พร้อมสายคล้องคอที่มีรูปนายทักษิณ ขินวัตร ด้วย นอกจากนี้ยังพบนาฬิกาแบบแขวนที่มีรูปนายทักษิณ ชินวัตร เช่นกัน เจ้าหน้าที่ได้เก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อตรวจสอบต่อไป
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำนายวัฒนาไปสอบสวนที่กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 โดยตอนแรกนายวัฒนาปฏิเสธ แต่ภายหลังสารภาพ เพราะมีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดของ รพ.พระมงกุฎเกล้าในวันเกิดเหตุ ซึ่งพบบุคคลต้องสงสัยเดินผ่านเข้ามาทางประตูทางเข้าของโรงพยาบาล มุ่งหน้ามาที่ห้องวงษ์สุวรรณ มีลักษณะผอม สูงประมาณ 160-165 ซม. ใส่เสื้อสีน้ำตาลอ่อน กางเกงสีเทา ใส่หน้ากากอนามัย รองเท้าหนัง โดยมือซ้ายถือถุงหิ้วคล้ายถุงผ้าสีขาว มีสิ่งของโผล่ออกมาลักษณะคล้ายดอกไม้ใส่แจกัน เดินตรงเข้ามาแล้วเลี้ยวเข้าไปในห้องวงษ์สุวรรณ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก่อนเดินออกมา แต่กลับไม่ถือสิ่งของออกมา
มีรายงานว่า นายวัฒนา สารภาพด้วยว่า ไม่ใช่แค่วางระเบิด รพ.พระมงกุฏเกล้าเท่านั้น แต่วางระเบิดรวม 6 จุด คือ ที่หน้ากองสลากเดิม เมื่อวันที่ 5 เม.ย.2560, ที่หน้าโรงละครแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2560, ที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก, ที่ซอยราชวิถี 24 และที่เมเจอร์ รัชโยธิน เมื่อปี 2550 อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อว่านายวัฒนาจะทำคนเดียว คาดว่าน่าจะมีผู้ร่วมขบวนการด้วย
มีรายงานด้วยว่า ในการสอบปากคำคนสนิทนายวัฒนา ทราบว่านายวัฒนามีความคิดฝักใฝ่เรื่องสีเสื้อ และไม่ชอบทหาร
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวยอมรับว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเหตุลอบวางระเบิดที่ รพ.พระมงกุฎเกล้าได้แล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการสอบสวน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ แต่ยังไม่เชื่อมโยงทหารแตงโม อยู่ระหว่างการขยายผลการจับกุมว่าจะมีใครร่วมวางแผนและก่อเหตุหรือไม่
ต่อมา ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับนายวัฒนา 5 ข้อหา ประกอบด้วย พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส, มีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง, มียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับตามที่ขอ
ด้านพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผย(16 มิ.ย.) ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับมอบตัวผู้ต้องหาจากฝ่ายความมั่นคง เนื่องจากอยู่ระหว่างการสอบปากคำโดยทหาร ซึ่งคาดว่าอาจจะอยู่ในการควบคุมของทหารอีก 7 วัน ขณะนี้มีการออกหมายจับเพียงคนเดียว ซึ่งหากตรวจสอบพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องก็จะออกหมายจับเพิ่มเติม ซึ่งจากข้อมูลการสืบสวน เชื่อได้ว่า นายวัฒนาสามารถประกอบระเบิดได้ เนื่องจากเรียนจบด้านวิศวกรรมศาสตร์ และเคยทำงานการไฟฟ้าอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ส่วนปมการก่อเหตุจะเชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองใดหรือไม่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากยังต้องรอการสอบสวนอย่างชัดเจนก่อน ไม่เช่นนั้น เดี๋ยวก็จะเกิดความแตกแยกขึ้นมาอีก
วันเดียวกัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากพยานหลักฐานและการสอบสวน ชัดเจนว่า นายวัฒนา ภุมเรศ คือผู้ก่อเหตุระเบิดที่ รพ.พระมงกุฎฯ และจุดอื่นๆ ซึ่งตนทราบตั้งแต่แรกว่าบุคคลเป้าหมายคนนี้เป็นใคร ทำการสืบสวนมาตลอด จนพบว่ามีความเชื่อมโยงกับทั้ง 3 เหตุการณ์
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวอีกว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ ได้รายงานเบื้องต้นว่า ศาลอาญาอนุมัติหมายจับนายวัฒนา 5 หมาย ก่อนหน้านี้ ก็พบความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดในปี 50 มาตลอด จากพยานหลักฐาน ลักษณะการประกอบระเบิดที่คล้ายกัน เรามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว และนำไปเปรียบเทียบกันจนพบความเชื่อมโยง
2.“บิ๊กตู่” งัด ม.44 แก้ปัญหารถไฟไทย-จีน เร่งเดินหน้าสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-โคราช!
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจตาม ม.44 ออกคำสั่งเพื่อเร่งขับเคลื่อนโครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทาง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา เพื่อให้เดินหน้าได้เร็วขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาล่าช้ามานานว่า ตนสัญญาว่าจะทำให้ทุกอย่างสำเร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการใหญ่ๆ เช่น โครงการรถไฟไทย-จีน ซึ่งติดปัญหาข้อกฎหมายที่มี ก็ขอให้เห็นใจด้วย ตนยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด ให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุด ถ้ากฎหมายมีปัญหา ตนต้องแก้กฎหมายให้ทำได้ แต่รับรองว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใครทั้งสิ้น หลายอย่างต้องใช้กฎหมายมาปรับปรุงเพื่อเดินหน้าต่อไปให้ได้ บางอย่างก็ต้องใช้มาตรา 44 ซึ่งความจริงไม่ได้อยากใช้ แต่ก็ต้องใช้ เพราะไม่เช่นนั้นไปไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการออกมาตรา 44 ในเรื่องรถไฟฟ้าไทย-จีนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สัปดาห์หน้าถึงจะออกคำสั่งมาตรา 44 ในเรื่องดังกล่าว ซึ่งได้มีการหารือในที่ประชุม ครม. กันหมดแล้ว
ต่อมา เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกระทรวงคมนาคมเสนอให้หัวหน้า คสช. ใช้คำสั่งมาตรา 44 เร่งเดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนว่า กำลังเร่งดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ และว่า เรื่องนี้ได้เจรจากันมาประมาณ 20 ครั้งแล้ว โดยใช้เวลา 3 ปี ติดอยู่ 4 - 5 ข้อ ต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหาข้อติดขัด 4-5 ข้อนั้น แต่เมื่อแก้ไม่ได้ ก็มาจนมุมว่าต้องใช้มาตรา 44 ในการแก้ แต่จะให้ถาวรยั่งยืนต่อไป ต้องไปแก้กฎหมายในอนาคตอีกทีหนึ่ง แต่วันนี้แก้ปมตรงนี้ให้เดินออกไปก่อนได้ อย่างน้อยการก่อสร้างตอนที่ 1 ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร (สถานีกลางดง-ปางอโศก) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ต้องทำให้ได้ก่อน
มีรายงานว่า ปมปัญหา 5 ข้อที่ทำให้โครงการรถไฟไทย-จีนเดินหน้าไม่ได้ ประกอบด้วย 1.การก่อสร้างที่ต้องใช้สถาปนิกหรือวิศวกรของจีนไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะติดกฎหมายต้องสอบใบอนุญาตประเภทบุคคลจากไทยก่อน ยกเว้นจะเป็นนิติบุคคลเท่านั้น 2.พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง ที่ต้องผ่านกระบวนการของซุปเปอร์บอร์ด กรณีวงเงินลงทุนเกินกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป 3.การกำหนดราคากลาง ที่ไทยใช้ระบบจัดซื้อจัดจ้าง แตกต่างจากจีนที่ไม่มีราคากลาง 4.การจัดซื้อจัดจ้างแบบรัฐต่อรัฐ ระหว่างรัฐบาลไทย-จีน โดยระบบทางการจีนใช้ระบบให้สภาพัฒน์ของจีนเลือกบริษัทเอกชนเป็นคู่สัญญา จึงสั่งการให้กระทรวงคมนาคมเร่งประสานทางการสภาพัฒน์จีนให้ออกหนังสือรับรองว่าจะใช้บริษัทใดเป็นคู่สัญญาเพื่อดำเนินการก่อสร้าง และ 5.เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา มีบางพื้นที่ต้องผ่านเขตป่าสงวนหรือพื้นที่ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กำหนดให้ใช้เฉพาะทำการเกษตรเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันถึงสัปดาห์หน้าตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกไว้ว่าจะใช้ ม.44 แก้ปัญหารถไฟไทย-จีน ปรากฏว่า ช่วงดึกวันที่ 15 มิ.ย. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะ คสช.ตาม ม.44 เพื่อแก้ปัญหารถไฟไทย-จีน แล้ว โดยใช้ชื่อเรื่องว่า มาตรการเร่งรัดและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา โดยระบุว่า หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับ มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ทำสัญญาจ้างรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีประสบการณ์ตรงด้านการพัฒนารถไฟความเร็วสูง ให้ดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา เพื่อประโยชน์ ในการควบคุมคุณภาพและประสิทธิภาพ ให้กระทรวงคมนาคมประสานให้สภาวิศวกรและสภาสถาปนิกจัดให้มีหลักสูตรฝึกอบรมและทดสอบแก่บุคลากรดังกล่าวตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ ให้ ร.ฟ.ท.ใช้ผลการเจรจาต่อรองของคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เกี่ยวข้อง และผลประชุมของคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน มาเป็นกรอบในการพิจารณา โดยจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน และเมื่อ รฟท.จัดทำร่างสัญญาจ้างเสร็จแล้ว ให้ส่งข้อตกลงการจ้างและร่างสัญญาจ้างให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เจ้าสังกัดพิจารณาเห็นชอบ ก่อนส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา โดยให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาร่างสัญญาจ้างให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และให้กระทรวงเจ้าสังกัดนำเสนอ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
3.“วิทยา” แฉซื้อขายเก้าอี้ตำรวจ ชี้ “นครบาล” แพงกว่าที่อื่น 2 เท่า ด้าน “ผบ.ตร.” เด้ง ผบช.ภ.8 แต่ไม่เด้ง ผบช.น. ปัดเอาคืน “สุเทพ” ขู่ฟ้อง “วิทยา” ทำตำรวจเสื่อมเสีย!
สัปดาห์ที่ผ่านมา นายวิทยา แก้วภราดัย อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และอดีตแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ได้ออกมาแฉถึงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจตั้งแต่ระดับรองผู้บังคับการ ผู้กำกับการ รองผู้กำกับการ และสารวัตร ว่า พบตัวเลขการข้ามห้วยที่ออกมาอาจดูไม่น่าเกลียดมากนัก แต่ที่น่าเป็นห่วงมาก และต้องแสดงความเสียใจต่อบรรดานักวิ่งเต้นแล้วพลาด เงินจ่ายแล้วแต่ก็ไม่ได้ตำแหน่ง เรื่องนี้ต้องบอกนายกรัฐมนตรี พฤติกรรมอย่างนี้เกิดขึ้นจริง แต่จะถามเอาใครมาเป็นพยานคงลำบาก เพราะทั้งคนให้ คนรับผิดกฎหมายทั้งคู่ แต่ถ้ารัฐบาลพร้อมกันให้เป็นพยานแล้ว บอกน้องๆ ตำรวจเลยว่าใครที่จ่ายเงินให้แก่เมียนายแล้วไม่ได้ขึ้นตำแหน่ง ถ้าอยากทวงเงินคืนนั้น และถ้านายกรัฐมนตรี เปิดทาง พร้อมที่จะพานายตำรวจเหล่านี้ไปพบนายกรัฐมนตรี โดยกันไว้เป็นพยาน และทวงเงินจากคนเรียกร้องเงินไปด้วย “ตอนนี้ราคาสูงมากระดับผู้กำกับการ ไปถึงระดับ 5 ล้าน 7 ล้านไปแล้ว ระดับสารวัตรราคา 1.5 ล้าน 2 ล้าน เป็นราคาตั๋วเด็ก ต้องหาทางแก้ไขให้ได้ ไม่เช่นนั้นคนที่ทำงานจริงจังหมดกำลังใจ ตำรวจที่ใช้เงินไปต้องไปหาเงินกลับมาชดใช้หนี้ที่ได้ก่อไว้ การปฏิรูปตำรวจตามรัฐธรรมนูญจึงควรต้องเร่งไปทางใดทางหนึ่งที่ต้องหยุดวิธีการกินเลือดกินเนื้อกันเองในวงการตำรวจ ตำรวจคนใดที่พร้อม ให้นำหลักฐานมา หากนายกรัฐมนตรีเปิดทาง พร้อมที่จะเป็นคนกลางพาไปพบกับนายกรัฐมนตรี และถ้านายกรัฐมนตรีตกลงว่ากันไว้เป็นพยานแน่ พวกจ่ายเงินหลายคนพร้อมที่จะให้ข้อมูล”
นอกจากนี้นายวิทยา กล่าวด้วยว่า มีกระแสข่าวเพิ่มเติมว่า มีกลุ่มนายตำรวจนับสิบนายที่จ่ายเงินให้แก่ภรรยาลับๆ ของนายตำรวจระดับบังคับบัญชาชั้นสูง เพื่อเป็นค่าผ่านทางในการเลื่อนตำแหน่ง กลุ่มนายตำรวจเหล่านี้เตรียมตบเท้าเข้าพบเพื่อขอเงินคืน ซึ่งวงเงินที่จ่ายไปนั้นรวมกว่า 50 ล้านบาท
ทั้งนี้ การออกมาปูดเรื่องซื้อขายเก้าอี้ตำรวจของนายวิทยา ส่งผลให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มีคำสั่งให้ พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 มาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ ผบ.ตร.มอบหมาย จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง โดยอ้างเหตุผลที่เด้ง พล.ต.ท.เทศา ว่า เพื่อให้การปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมีคำสั่งให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายวิทยาอ้างว่ามีการซื้อขายตำแหน่งระดับ สว.ถึงรอง ผบก. โดยให้รายงานผลไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวถึงกรณีที่นายวิทยา แก้วภราดัย อดีต สปท. และแกนนำ กปปส.ออกมาเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายเก้าอี้ตำรวจว่า ตนก็รับเรื่องร้องเรียนมาบ่อยครั้ง ครั้งนี้จะได้จับให้มั่นคั้นให้ตายกันเสียทีว่ามันใช่หรือไม่ใช่ ขอบคุณนักการเมืองที่ให้ข้อมูลการซื้อขายตำแหน่ง ก็ให้ตรวจสอบทั้งหมด ตอนนี้ก็มีการย้าย ผบช.ภ.8 เข้ามาประจำศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว เพื่อสอบสวนในทุกๆ ประเด็น แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคน
ขณะที่นายวิทยาแก้ว ภราดัย อดีต สปท.และอดีตแกนนำ กปปส. กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.จักรทิพย์ มีคำสั่งโยกย้าย พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 พร้อมสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการซื้อขายตำแหน่งในเขตสถานีตำรวจภูธรภาค 8 ว่า ถ้าถามว่าแก้ปัญหาถูกจุดหรือไม่ ก็ยังไม่ถูกทั้งหมด เพราะต้องแก้ปัญหาทั้งโครงสร้างการบริหาร และว่า เรื่องการซื้อขายตำแหน่งไม่ใช่แค่ที่นี่ที่เดียว ตนขอให้ ผบ.ตร. ไปดูข้อมูลที่อื่นด้วย โดยเฉพาะในส่วนของนครบาล บวกไปอีก 2 เท่าของราคาหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวว่าการย้าย ผบช.ภ.8 เป็นเพราะ ผบ.ตร.ต้องการเอาคืนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่ม กปปส. กรณีสมาชิกกลุ่ม กปปส. ออกมาแฉมีการซื้อขายเก้าอี้ตำรวจ นายวิทยา กล่าวว่า ก็สามารถคิดอย่างนั้นได้ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า ผบ.ตร. มีข้อมูลจริง จึงมีคำสั่งดังกล่าว และขอยืนยันว่า ไม่ได้มีการซื้อขายตำแหน่งเฉพาะในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 8 เท่านั้น แต่ปัญหาคือ รัฐบาลจะเอาจริงในเรื่องการปฏิรูปตำรวจหรือไม่ “มีตัวใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ที่คนวงการตำรวจรู้จักชื่อกันหมด เอาเป็นว่าประเทศนี้ พล.ต.ต. ใหญ่กว่า พล.ต.อ.”
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.เเละคณะ ได้แถลงชี้แจงกรณีออกคำสั่งให้ พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผบช.ภ.8 พ้นจากตำแหน่ง ให้ออกจากพื้นที่ มาช่วยงานที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า เพื่อเปิดโอกาสให้การตรวจสอบทำได้ง่าย โปร่งใส ไม่ใช่เป็นการเอาคืนนายสุเทพ พร้อมมอบหมายให้ พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น จเรตำรวจแห่งชาติเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้เวลา 15 วัน และรายงานมาที่ตน และหากจะให้หน่วยงานภายนอกเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ก็ยินดี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังกล่าวด้วยว่า หากกรณีนี้เป็นการกล่าวหาให้เสียหายก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
ส่วนกรณีที่นายวิทยา ระบุว่า มีการซื้อขายเก้าอี้ตำรวจในพื้นที่นครบาลด้วยนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยืนยันว่า คงไม่ต้องสั่งให้ ผบช.น.หรือ ผบช.หน่วยอื่นๆ มาช่วยราชการตามที่นายวิทยากล่าวหา เเละว่า ได้สอบถาม พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น.แล้ว ก็ยืนยันว่า ไม่มีการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในนครบาลแน่ๆ ตนเชื่อในผู้ใต้บังคับบัญชา และก่อนหน้านี้ก็ไม่พบการร้องเรียน ซึ่งต่างจาก บช.ภ.8 ที่มีข่าวมาตลอดหลายยุค ไม่รู้ว่านายวิทยา ออกมาพูดมีเหตุผลอะไร หรือพูดเอามัน คะนองปาก คงต้องให้ บช.น. และฝ่ายกฎหมายไปพิจารณาว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือไม่ หากหมิ่นองค์กร หรือบุคคลใด ทำให้เสียหาย ก็ต้องดำเนินคดีอย่าง กรณี บช.น.ไปว่าแบบนั้น ตนมองว่าเสียหายนะ ต้องบอกให้ บช.น.ไปดำเนินการด้วย ยืนยันว่าการแต่งตั้งทำคนเดียว ตามขั้นตอนกฎหมาย ตามคำสั่ง คสช. มีบางส่วนที่ยกเว้นหลักเกณฑ์ แต่ไม่ใช่ปัญหาเลย
ส่วนกรณีที่นายวิทยาระบุว่า มีนายตำรวจยศ "พล.ต.ต." ใหญ่กว่า "พล.ต.อ." นั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยืนยันว่า ไม่มีในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนใหญ่ที่สุด มันชัดเจนอยู่แล้ว มีเพียงนายกรัฐมนตรีและ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเท่านั้นที่ใหญ่กว่าตน และที่มีการกล่าวหาว่าคนนั้นคนนี้อยู่เบื้องหลังการแต่งตั้ง ไม่มีอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่พูดถึง "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" คือ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบก.สปพ.(191) ลูกน้องของผมเอง ไม่มีอะไร ยอมรับว่า บางครั้งผมก็ใช้งานให้ไปตรวจสอบข้อมูลบุคคลบ้าง ให้ไปเช็กทางลับ จึงอาจถูกเข้าใจผิด ไม่ได้เกี่ยวข้องในการทำบัญชี ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นหน้าที่ผม หน้าที่ของ ผบก.191 คือไปช่วยงานสนับสนุนโรงพัก ไปช่วยจับเด็กแว้น ปราบโจรออนไลน์ จับละเมิดสิทธิบัตร ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับการแต่งตั้ง
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ปฏิเสธการซื้อขายตำแหน่งตำรวจในนครบาล และเตรียมฟ้องนายวิทยา ฐานหมิ่นประมาท ฐานทำให้ภาพลักษณ์ตำรวจเสียหายว่า รู้สึกงง เพราะเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพิ่งจะออกมาขอบคุณนายวิทยา
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวด้วยว่า อยากเห็นการทำงานอย่างสร้างสรรค์ ถ้าข้องใจว่านายวิทยานำข้อมูลมาจากไหน ก็สอบถามและดูว่ามีหลักฐานหรือไม่ และมีน้ำหนักเพียงใด จากนั้นจึงแก้ไข ซึ่งเป็นทางที่ดีที่สุด อีกทั้งที่นายวิทยาให้สัมภาษณ์นั้น ไม่เคยบอกว่ามีปัญหาในพื้นที่ไหน แต่ทาง ผบ.ตร.ตัดสินใจย้าย พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ส่วนที่มองว่าการโยกย้ายเป็นการเอาคืน นายสุเทพ เทือกสุบบรรณ หรือไม่นั้น ส่วนตัวไม่อยากเห็น ไม่ควรจะเป็นเรื่องบุคคลหรือเรื่องความขัดแย้ง
4.ปปง.มีมติอายัด “อาคารบุญรักษา” ของธรรมกาย พร้อมที่ดิน “บรรณพจน์” เหตุโยงคดียักยอกเงินสหกรณ์ฯ คลองจั่น!
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ได้เผยผลประชุมคณะกรรมการธุรกรรมว่า มีประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ เรื่องที่ ปปง.ได้รับการประสานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ให้ตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร กับพวก เกี่ยวกับพฤติกรรมการกระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอกเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ในการนำไปลงทุนซื้อที่ดินและหุ้นของบริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด โดยผิดระเบียบ ข้อบังคับ และวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ฯ คลองจั่น นั้น จากการรวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินดังกล่าว พบว่า เมื่อปี 2552 นายศุภชัยยักยอกเงินของสหกรณ์ฯ คลองจั่น นำไปลงทุนซื้อสิทธิในการซื้อขายที่ดินใน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และหุ้นของบริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 โดยผิดระเบียบข้อบังคับ ด้วยวิธีสั่งจ่ายเช็ค 11 ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 321,400,000 บาท
ต่อมา ปี 2554 บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 ได้แบ่งขายโฉนดที่ดินให้กับนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ซึ่งนายบรรณพจน์ได้ทำสัญญาให้นิติบุคคลภายนอกเช่าที่ดินเมื่อปี 2559 ดังนั้นที่ดินดังกล่าวรวมทั้งสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าที่ดิน จึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ถูกเปลี่ยนสภาพมาหลายครั้ง ทรัพย์สินดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามมาตรา 3 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีมติอายัดทรัพย์ที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด 2 รายการ ได้แก่ 1.ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 165233 เนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 93.1 ตารางวา อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พร้อมสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าว 2.ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 161424 เนื้อที่ 3 งาน 32.5 ตารางวา อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
ต่อมา บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 ได้ขายที่ดินให้กับนายอนันต์ อัศวโภคิน จากนั้น นายอนันต์ได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้บุคคลภายนอก ในราคากว่า 492 ล้านบาท และได้นำเงินไปชำระหนี้ให้บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 และหนี้อื่นบางส่วน โดยได้นำเงินส่วนใหญ่ 303 ล้านบาท ไปบริจาคให้มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เพื่อไปก่อสร้างอาคารบุญรักษา ดังนั้นอาคารดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จึงมีมติอายัดทรัพย์สิน 2 รายการ ได้แก่ 1.สิ่งปลูกสร้างอาคารบุญรักษา อาคาร ค.ส.ล.6 ชั้น 2.สิ่งปลูกสร้าง อาคาร ค.ส.ล.1 ชั้น
5.“โปรเม” ขึ้นมือ 1 ของโลกอย่างเป็นทางการแล้ว หลังคว้าแชมป์กอล์ฟแมนูไลฟ์ฯ !
หลังพลาดหวังขึ้นเป็นนักกอล์ฟหญิงมือ 1 ของโลกเมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องจากความผิดพลาดการคำนวณคะแนนของแอลพีจีเอ ในที่สุด โปรเม เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟหญิงชาวไทยวัย 21 ปี มืออันดับ 2 ของโลก ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์วงการกีฬาและกอล์ฟของไทย ด้วยการก้าวขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกได้สำเร็จ หลังคว้าแชมป์แมนูไลฟ์ แอลพีจีเอ คลาสสิก (Manulife LPGA Classic) ที่วิสเซิลแบร์กอล์ฟคลับ เมืองเคมบริดจ์ ในรัฐออนทาริโอ ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.
สำหรับชัยชนะครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากโปรเม, ชุน อิน กี มืออันดับ 5 ของโลกจากเกาหลีใต้ และเล็กซี ธอมป์สัน มืออันดับ 4 ของโลกจากสหรัฐฯ จบ 4 วัน สกอร์รวมเท่ากันที่ 17 อันเดอร์พาร์ 271 ต้องตัดสินกันด้วยการเพลย์ออฟที่หลุม 18 สุดท้าย โปรเมโชว์การพัตต์เบอร์ดีไกลในระยะกว่า 25 ฟุตลงหลุมอย่างสวยงาม คว้าแชมป์แอลพีจีเอรายการที่ 6 ในชีวิต แต่เป็นรายการแรกของปีนี้ รับเงินรางวัลไปครอง 2.55 แสนเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 8.67 ล้านบาท ทำให้โปรเมกลับมาเป็นผู้ได้รางวัลสะสมปี 2017 สูงสุดในขณะนี้ ด้วยยอดเงิน 974,279 เหรียญ หรือราว 34 ล้านบาท และมีคะแนนเป็นอันดับ 1 ใน Race to CME Globe ซึ่งเป็นการชิงอันดับ 1 ประจำปีของแอลพีจีเอทัวร์ โดยมี 2,128 คะแนน ตามมาด้วยอันดับ 2 เล็กซี ธอมป์สัน 1,786 คะแนน และอันดับ 3 ริว โซ ยอน จากเกาหลีใต้ 1,695 คะแนน
ด้านโปรเม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังจบการแข่งขันว่า ไม่ได้คาดหวังจะได้แชมป์รายการนี้ เพราะยังรู้สึกไม่พอใจกับทีช็อตของตัวเอง แต่บอกตัวเองว่าให้ออกไปเล่นให้สนุกทั้ง 4 วัน คิดเพียงต้องตั้งใจและละเอียดกับทุกช็อตที่เล่น
วันเดียวกัน(12 มิ.ย.) เว็บไซต์ โรเล็กซ์ แรงกิ้ง ได้ประกาศอันดับโลกของนักกอล์ฟหญิง ปรากฏว่า “โปรเม” โปรขวัญใจคนไทยที่เพิ่งคว้าแชมป์ “มานูไลฟ์ แอลพีจีเอ คลาสสิค” ได้ขยับจากมือ 2 ไปเป็นมือ 1 ของโลกอย่างเป็นทางการ โดยมีคะแนนเฉลี่ย 8.78 คะแนน ขณะที่ลิเดีย โค จากนิวซีแลนด์ตกลงไปเป็นมือ 2 ของโลก ที่ 8.34 คะแนน อันดับ 3 ริว โซ ยอน จากเกาหลีใต้ 8.17 คะแนน อันดับ 4 เล็กซี่ ธอมป์สัน จากสหรัฐอเมริกา 7.47 คะแนน อันดับ 5 ชุน อิน กี จากเกาหลีใต้ 7.13 คะแนน
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีกับโปรเมที่ได้รับการประกาศเป็นมือ 1 ของโลก และว่า เรื่องกอล์ฟ สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่เรื่องชนะ อยากให้ไปดูว่าเขาสร้างตัวเองได้อย่างไร ครอบครัวเขาทุ่มเทเสียสละเท่าไหร่ พ่อ-แม่ต้องยากลำบากมาก่อน ต้องขอแสดงความยินดีกับโปรเม พ่อ-แม่ และครอบครัวของเขาที่ประสบความสำเร็จในการทุ่มเท เสียสละ มีความยากลำบากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทราบมาว่าตอนแรกๆ ถึงขนาดเอาบ้านไปจำนอง
สำหรับประวัติโปรเม เอรียา จุฑานุกาล เกิดวันที่ 23 พ.ย.38 ที่ กทม. เป็นลูกสาวคนเล็กของนายสมบูรณ์ และนางนฤมล จุฑานุกาล ส่วนพี่สาวชื่อ โมรียา จุฑานุกาล หรือโปรโม จุดเริ่มต้นเล่นกอล์ฟในวัยเด็กของโปรเม เกิดขึ้นขณะอายุ 5 ขวบครึ่ง โดยนายสมบูรณ์ผู้เป็นบิดา เปิดร้านโปรช็อปขายอุปกรณ์กอล์ฟ กลัวลูกสาวจะกวนเลยยื่นไม้กอล์ฟให้หนึ่งอัน เพื่อให้เด็กหญิงทั้งคู่ไปเขี่ยลูกกอล์ฟเล่นที่สนาม ทำให้โปรกอล์ฟที่เดินไปเดินมาเห็นและเอ็นดูเลยช่วยสอน แต่กว่าจะฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายได้ ครอบครัวต้องทุ่มเทเงิน ขายบ้านขายรถ รวมกว่า 20 ล้านบาท เพื่อทำตามความฝันของผู้เป็นบิดาที่ต้องการเห็นบุตรสาวทั้งคู่ขึ้นเป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกหรืออย่างน้อยต้องติด 1 ใน 10 สร้างความภาคภูมิใจให้คนไทยทั้งประเทศ ซึ่งในที่สุด โปรเมก็ทำตามฝันด้วยการขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกได้สำเร็จ
1.รวบมือบึ้ม รพ.พระมงกุฏฯ แล้ว เป็นอดีตวิศวกร กฟผ. สารภาพวางระเบิด 6 จุด อ้างทำคนเดียว พบนาฬิการูป “ทักษิณ” ในบ้านพัก!
ความคืบหน้าคดีลอบวางระเบิดภายในห้องวงษ์สุวรรณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายราย ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักในหมู่บ้านรามอินทรา ซอย 3 และควบคุมตัวนายวัฒนา ภุมเรศ อายุ 62 ปี อดีตวิศวกรไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หลังตรวจค้น พบวงจรประกอบระเบิด ตะปูเกลียว เชื้อปะทุหรือดินระเบิด บัตรพนักงาน กฟผ.พร้อมสายคล้องคอที่มีรูปนายทักษิณ ขินวัตร ด้วย นอกจากนี้ยังพบนาฬิกาแบบแขวนที่มีรูปนายทักษิณ ชินวัตร เช่นกัน เจ้าหน้าที่ได้เก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อตรวจสอบต่อไป
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำนายวัฒนาไปสอบสวนที่กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 โดยตอนแรกนายวัฒนาปฏิเสธ แต่ภายหลังสารภาพ เพราะมีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดของ รพ.พระมงกุฎเกล้าในวันเกิดเหตุ ซึ่งพบบุคคลต้องสงสัยเดินผ่านเข้ามาทางประตูทางเข้าของโรงพยาบาล มุ่งหน้ามาที่ห้องวงษ์สุวรรณ มีลักษณะผอม สูงประมาณ 160-165 ซม. ใส่เสื้อสีน้ำตาลอ่อน กางเกงสีเทา ใส่หน้ากากอนามัย รองเท้าหนัง โดยมือซ้ายถือถุงหิ้วคล้ายถุงผ้าสีขาว มีสิ่งของโผล่ออกมาลักษณะคล้ายดอกไม้ใส่แจกัน เดินตรงเข้ามาแล้วเลี้ยวเข้าไปในห้องวงษ์สุวรรณ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก่อนเดินออกมา แต่กลับไม่ถือสิ่งของออกมา
มีรายงานว่า นายวัฒนา สารภาพด้วยว่า ไม่ใช่แค่วางระเบิด รพ.พระมงกุฏเกล้าเท่านั้น แต่วางระเบิดรวม 6 จุด คือ ที่หน้ากองสลากเดิม เมื่อวันที่ 5 เม.ย.2560, ที่หน้าโรงละครแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2560, ที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก, ที่ซอยราชวิถี 24 และที่เมเจอร์ รัชโยธิน เมื่อปี 2550 อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อว่านายวัฒนาจะทำคนเดียว คาดว่าน่าจะมีผู้ร่วมขบวนการด้วย
มีรายงานด้วยว่า ในการสอบปากคำคนสนิทนายวัฒนา ทราบว่านายวัฒนามีความคิดฝักใฝ่เรื่องสีเสื้อ และไม่ชอบทหาร
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวยอมรับว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเหตุลอบวางระเบิดที่ รพ.พระมงกุฎเกล้าได้แล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการสอบสวน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ แต่ยังไม่เชื่อมโยงทหารแตงโม อยู่ระหว่างการขยายผลการจับกุมว่าจะมีใครร่วมวางแผนและก่อเหตุหรือไม่
ต่อมา ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับนายวัฒนา 5 ข้อหา ประกอบด้วย พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส, มีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง, มียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับตามที่ขอ
ด้านพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผย(16 มิ.ย.) ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับมอบตัวผู้ต้องหาจากฝ่ายความมั่นคง เนื่องจากอยู่ระหว่างการสอบปากคำโดยทหาร ซึ่งคาดว่าอาจจะอยู่ในการควบคุมของทหารอีก 7 วัน ขณะนี้มีการออกหมายจับเพียงคนเดียว ซึ่งหากตรวจสอบพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องก็จะออกหมายจับเพิ่มเติม ซึ่งจากข้อมูลการสืบสวน เชื่อได้ว่า นายวัฒนาสามารถประกอบระเบิดได้ เนื่องจากเรียนจบด้านวิศวกรรมศาสตร์ และเคยทำงานการไฟฟ้าอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ส่วนปมการก่อเหตุจะเชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองใดหรือไม่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากยังต้องรอการสอบสวนอย่างชัดเจนก่อน ไม่เช่นนั้น เดี๋ยวก็จะเกิดความแตกแยกขึ้นมาอีก
วันเดียวกัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากพยานหลักฐานและการสอบสวน ชัดเจนว่า นายวัฒนา ภุมเรศ คือผู้ก่อเหตุระเบิดที่ รพ.พระมงกุฎฯ และจุดอื่นๆ ซึ่งตนทราบตั้งแต่แรกว่าบุคคลเป้าหมายคนนี้เป็นใคร ทำการสืบสวนมาตลอด จนพบว่ามีความเชื่อมโยงกับทั้ง 3 เหตุการณ์
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวอีกว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ ได้รายงานเบื้องต้นว่า ศาลอาญาอนุมัติหมายจับนายวัฒนา 5 หมาย ก่อนหน้านี้ ก็พบความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดในปี 50 มาตลอด จากพยานหลักฐาน ลักษณะการประกอบระเบิดที่คล้ายกัน เรามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว และนำไปเปรียบเทียบกันจนพบความเชื่อมโยง
2.“บิ๊กตู่” งัด ม.44 แก้ปัญหารถไฟไทย-จีน เร่งเดินหน้าสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-โคราช!
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจตาม ม.44 ออกคำสั่งเพื่อเร่งขับเคลื่อนโครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทาง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา เพื่อให้เดินหน้าได้เร็วขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาล่าช้ามานานว่า ตนสัญญาว่าจะทำให้ทุกอย่างสำเร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการใหญ่ๆ เช่น โครงการรถไฟไทย-จีน ซึ่งติดปัญหาข้อกฎหมายที่มี ก็ขอให้เห็นใจด้วย ตนยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด ให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุด ถ้ากฎหมายมีปัญหา ตนต้องแก้กฎหมายให้ทำได้ แต่รับรองว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใครทั้งสิ้น หลายอย่างต้องใช้กฎหมายมาปรับปรุงเพื่อเดินหน้าต่อไปให้ได้ บางอย่างก็ต้องใช้มาตรา 44 ซึ่งความจริงไม่ได้อยากใช้ แต่ก็ต้องใช้ เพราะไม่เช่นนั้นไปไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการออกมาตรา 44 ในเรื่องรถไฟฟ้าไทย-จีนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สัปดาห์หน้าถึงจะออกคำสั่งมาตรา 44 ในเรื่องดังกล่าว ซึ่งได้มีการหารือในที่ประชุม ครม. กันหมดแล้ว
ต่อมา เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกระทรวงคมนาคมเสนอให้หัวหน้า คสช. ใช้คำสั่งมาตรา 44 เร่งเดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนว่า กำลังเร่งดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ และว่า เรื่องนี้ได้เจรจากันมาประมาณ 20 ครั้งแล้ว โดยใช้เวลา 3 ปี ติดอยู่ 4 - 5 ข้อ ต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหาข้อติดขัด 4-5 ข้อนั้น แต่เมื่อแก้ไม่ได้ ก็มาจนมุมว่าต้องใช้มาตรา 44 ในการแก้ แต่จะให้ถาวรยั่งยืนต่อไป ต้องไปแก้กฎหมายในอนาคตอีกทีหนึ่ง แต่วันนี้แก้ปมตรงนี้ให้เดินออกไปก่อนได้ อย่างน้อยการก่อสร้างตอนที่ 1 ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร (สถานีกลางดง-ปางอโศก) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ต้องทำให้ได้ก่อน
มีรายงานว่า ปมปัญหา 5 ข้อที่ทำให้โครงการรถไฟไทย-จีนเดินหน้าไม่ได้ ประกอบด้วย 1.การก่อสร้างที่ต้องใช้สถาปนิกหรือวิศวกรของจีนไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะติดกฎหมายต้องสอบใบอนุญาตประเภทบุคคลจากไทยก่อน ยกเว้นจะเป็นนิติบุคคลเท่านั้น 2.พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง ที่ต้องผ่านกระบวนการของซุปเปอร์บอร์ด กรณีวงเงินลงทุนเกินกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป 3.การกำหนดราคากลาง ที่ไทยใช้ระบบจัดซื้อจัดจ้าง แตกต่างจากจีนที่ไม่มีราคากลาง 4.การจัดซื้อจัดจ้างแบบรัฐต่อรัฐ ระหว่างรัฐบาลไทย-จีน โดยระบบทางการจีนใช้ระบบให้สภาพัฒน์ของจีนเลือกบริษัทเอกชนเป็นคู่สัญญา จึงสั่งการให้กระทรวงคมนาคมเร่งประสานทางการสภาพัฒน์จีนให้ออกหนังสือรับรองว่าจะใช้บริษัทใดเป็นคู่สัญญาเพื่อดำเนินการก่อสร้าง และ 5.เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา มีบางพื้นที่ต้องผ่านเขตป่าสงวนหรือพื้นที่ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กำหนดให้ใช้เฉพาะทำการเกษตรเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันถึงสัปดาห์หน้าตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกไว้ว่าจะใช้ ม.44 แก้ปัญหารถไฟไทย-จีน ปรากฏว่า ช่วงดึกวันที่ 15 มิ.ย. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะ คสช.ตาม ม.44 เพื่อแก้ปัญหารถไฟไทย-จีน แล้ว โดยใช้ชื่อเรื่องว่า มาตรการเร่งรัดและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา โดยระบุว่า หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับ มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ทำสัญญาจ้างรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีประสบการณ์ตรงด้านการพัฒนารถไฟความเร็วสูง ให้ดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา เพื่อประโยชน์ ในการควบคุมคุณภาพและประสิทธิภาพ ให้กระทรวงคมนาคมประสานให้สภาวิศวกรและสภาสถาปนิกจัดให้มีหลักสูตรฝึกอบรมและทดสอบแก่บุคลากรดังกล่าวตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ ให้ ร.ฟ.ท.ใช้ผลการเจรจาต่อรองของคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เกี่ยวข้อง และผลประชุมของคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน มาเป็นกรอบในการพิจารณา โดยจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน และเมื่อ รฟท.จัดทำร่างสัญญาจ้างเสร็จแล้ว ให้ส่งข้อตกลงการจ้างและร่างสัญญาจ้างให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เจ้าสังกัดพิจารณาเห็นชอบ ก่อนส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา โดยให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาร่างสัญญาจ้างให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และให้กระทรวงเจ้าสังกัดนำเสนอ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
3.“วิทยา” แฉซื้อขายเก้าอี้ตำรวจ ชี้ “นครบาล” แพงกว่าที่อื่น 2 เท่า ด้าน “ผบ.ตร.” เด้ง ผบช.ภ.8 แต่ไม่เด้ง ผบช.น. ปัดเอาคืน “สุเทพ” ขู่ฟ้อง “วิทยา” ทำตำรวจเสื่อมเสีย!
สัปดาห์ที่ผ่านมา นายวิทยา แก้วภราดัย อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และอดีตแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ได้ออกมาแฉถึงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจตั้งแต่ระดับรองผู้บังคับการ ผู้กำกับการ รองผู้กำกับการ และสารวัตร ว่า พบตัวเลขการข้ามห้วยที่ออกมาอาจดูไม่น่าเกลียดมากนัก แต่ที่น่าเป็นห่วงมาก และต้องแสดงความเสียใจต่อบรรดานักวิ่งเต้นแล้วพลาด เงินจ่ายแล้วแต่ก็ไม่ได้ตำแหน่ง เรื่องนี้ต้องบอกนายกรัฐมนตรี พฤติกรรมอย่างนี้เกิดขึ้นจริง แต่จะถามเอาใครมาเป็นพยานคงลำบาก เพราะทั้งคนให้ คนรับผิดกฎหมายทั้งคู่ แต่ถ้ารัฐบาลพร้อมกันให้เป็นพยานแล้ว บอกน้องๆ ตำรวจเลยว่าใครที่จ่ายเงินให้แก่เมียนายแล้วไม่ได้ขึ้นตำแหน่ง ถ้าอยากทวงเงินคืนนั้น และถ้านายกรัฐมนตรี เปิดทาง พร้อมที่จะพานายตำรวจเหล่านี้ไปพบนายกรัฐมนตรี โดยกันไว้เป็นพยาน และทวงเงินจากคนเรียกร้องเงินไปด้วย “ตอนนี้ราคาสูงมากระดับผู้กำกับการ ไปถึงระดับ 5 ล้าน 7 ล้านไปแล้ว ระดับสารวัตรราคา 1.5 ล้าน 2 ล้าน เป็นราคาตั๋วเด็ก ต้องหาทางแก้ไขให้ได้ ไม่เช่นนั้นคนที่ทำงานจริงจังหมดกำลังใจ ตำรวจที่ใช้เงินไปต้องไปหาเงินกลับมาชดใช้หนี้ที่ได้ก่อไว้ การปฏิรูปตำรวจตามรัฐธรรมนูญจึงควรต้องเร่งไปทางใดทางหนึ่งที่ต้องหยุดวิธีการกินเลือดกินเนื้อกันเองในวงการตำรวจ ตำรวจคนใดที่พร้อม ให้นำหลักฐานมา หากนายกรัฐมนตรีเปิดทาง พร้อมที่จะเป็นคนกลางพาไปพบกับนายกรัฐมนตรี และถ้านายกรัฐมนตรีตกลงว่ากันไว้เป็นพยานแน่ พวกจ่ายเงินหลายคนพร้อมที่จะให้ข้อมูล”
นอกจากนี้นายวิทยา กล่าวด้วยว่า มีกระแสข่าวเพิ่มเติมว่า มีกลุ่มนายตำรวจนับสิบนายที่จ่ายเงินให้แก่ภรรยาลับๆ ของนายตำรวจระดับบังคับบัญชาชั้นสูง เพื่อเป็นค่าผ่านทางในการเลื่อนตำแหน่ง กลุ่มนายตำรวจเหล่านี้เตรียมตบเท้าเข้าพบเพื่อขอเงินคืน ซึ่งวงเงินที่จ่ายไปนั้นรวมกว่า 50 ล้านบาท
ทั้งนี้ การออกมาปูดเรื่องซื้อขายเก้าอี้ตำรวจของนายวิทยา ส่งผลให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มีคำสั่งให้ พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 มาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ ผบ.ตร.มอบหมาย จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง โดยอ้างเหตุผลที่เด้ง พล.ต.ท.เทศา ว่า เพื่อให้การปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมีคำสั่งให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายวิทยาอ้างว่ามีการซื้อขายตำแหน่งระดับ สว.ถึงรอง ผบก. โดยให้รายงานผลไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวถึงกรณีที่นายวิทยา แก้วภราดัย อดีต สปท. และแกนนำ กปปส.ออกมาเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายเก้าอี้ตำรวจว่า ตนก็รับเรื่องร้องเรียนมาบ่อยครั้ง ครั้งนี้จะได้จับให้มั่นคั้นให้ตายกันเสียทีว่ามันใช่หรือไม่ใช่ ขอบคุณนักการเมืองที่ให้ข้อมูลการซื้อขายตำแหน่ง ก็ให้ตรวจสอบทั้งหมด ตอนนี้ก็มีการย้าย ผบช.ภ.8 เข้ามาประจำศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว เพื่อสอบสวนในทุกๆ ประเด็น แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคน
ขณะที่นายวิทยาแก้ว ภราดัย อดีต สปท.และอดีตแกนนำ กปปส. กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.จักรทิพย์ มีคำสั่งโยกย้าย พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 พร้อมสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการซื้อขายตำแหน่งในเขตสถานีตำรวจภูธรภาค 8 ว่า ถ้าถามว่าแก้ปัญหาถูกจุดหรือไม่ ก็ยังไม่ถูกทั้งหมด เพราะต้องแก้ปัญหาทั้งโครงสร้างการบริหาร และว่า เรื่องการซื้อขายตำแหน่งไม่ใช่แค่ที่นี่ที่เดียว ตนขอให้ ผบ.ตร. ไปดูข้อมูลที่อื่นด้วย โดยเฉพาะในส่วนของนครบาล บวกไปอีก 2 เท่าของราคาหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวว่าการย้าย ผบช.ภ.8 เป็นเพราะ ผบ.ตร.ต้องการเอาคืนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่ม กปปส. กรณีสมาชิกกลุ่ม กปปส. ออกมาแฉมีการซื้อขายเก้าอี้ตำรวจ นายวิทยา กล่าวว่า ก็สามารถคิดอย่างนั้นได้ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า ผบ.ตร. มีข้อมูลจริง จึงมีคำสั่งดังกล่าว และขอยืนยันว่า ไม่ได้มีการซื้อขายตำแหน่งเฉพาะในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 8 เท่านั้น แต่ปัญหาคือ รัฐบาลจะเอาจริงในเรื่องการปฏิรูปตำรวจหรือไม่ “มีตัวใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ที่คนวงการตำรวจรู้จักชื่อกันหมด เอาเป็นว่าประเทศนี้ พล.ต.ต. ใหญ่กว่า พล.ต.อ.”
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.เเละคณะ ได้แถลงชี้แจงกรณีออกคำสั่งให้ พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผบช.ภ.8 พ้นจากตำแหน่ง ให้ออกจากพื้นที่ มาช่วยงานที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า เพื่อเปิดโอกาสให้การตรวจสอบทำได้ง่าย โปร่งใส ไม่ใช่เป็นการเอาคืนนายสุเทพ พร้อมมอบหมายให้ พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น จเรตำรวจแห่งชาติเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้เวลา 15 วัน และรายงานมาที่ตน และหากจะให้หน่วยงานภายนอกเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ก็ยินดี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังกล่าวด้วยว่า หากกรณีนี้เป็นการกล่าวหาให้เสียหายก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
ส่วนกรณีที่นายวิทยา ระบุว่า มีการซื้อขายเก้าอี้ตำรวจในพื้นที่นครบาลด้วยนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยืนยันว่า คงไม่ต้องสั่งให้ ผบช.น.หรือ ผบช.หน่วยอื่นๆ มาช่วยราชการตามที่นายวิทยากล่าวหา เเละว่า ได้สอบถาม พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น.แล้ว ก็ยืนยันว่า ไม่มีการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในนครบาลแน่ๆ ตนเชื่อในผู้ใต้บังคับบัญชา และก่อนหน้านี้ก็ไม่พบการร้องเรียน ซึ่งต่างจาก บช.ภ.8 ที่มีข่าวมาตลอดหลายยุค ไม่รู้ว่านายวิทยา ออกมาพูดมีเหตุผลอะไร หรือพูดเอามัน คะนองปาก คงต้องให้ บช.น. และฝ่ายกฎหมายไปพิจารณาว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือไม่ หากหมิ่นองค์กร หรือบุคคลใด ทำให้เสียหาย ก็ต้องดำเนินคดีอย่าง กรณี บช.น.ไปว่าแบบนั้น ตนมองว่าเสียหายนะ ต้องบอกให้ บช.น.ไปดำเนินการด้วย ยืนยันว่าการแต่งตั้งทำคนเดียว ตามขั้นตอนกฎหมาย ตามคำสั่ง คสช. มีบางส่วนที่ยกเว้นหลักเกณฑ์ แต่ไม่ใช่ปัญหาเลย
ส่วนกรณีที่นายวิทยาระบุว่า มีนายตำรวจยศ "พล.ต.ต." ใหญ่กว่า "พล.ต.อ." นั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยืนยันว่า ไม่มีในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนใหญ่ที่สุด มันชัดเจนอยู่แล้ว มีเพียงนายกรัฐมนตรีและ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเท่านั้นที่ใหญ่กว่าตน และที่มีการกล่าวหาว่าคนนั้นคนนี้อยู่เบื้องหลังการแต่งตั้ง ไม่มีอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่พูดถึง "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" คือ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบก.สปพ.(191) ลูกน้องของผมเอง ไม่มีอะไร ยอมรับว่า บางครั้งผมก็ใช้งานให้ไปตรวจสอบข้อมูลบุคคลบ้าง ให้ไปเช็กทางลับ จึงอาจถูกเข้าใจผิด ไม่ได้เกี่ยวข้องในการทำบัญชี ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นหน้าที่ผม หน้าที่ของ ผบก.191 คือไปช่วยงานสนับสนุนโรงพัก ไปช่วยจับเด็กแว้น ปราบโจรออนไลน์ จับละเมิดสิทธิบัตร ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับการแต่งตั้ง
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ปฏิเสธการซื้อขายตำแหน่งตำรวจในนครบาล และเตรียมฟ้องนายวิทยา ฐานหมิ่นประมาท ฐานทำให้ภาพลักษณ์ตำรวจเสียหายว่า รู้สึกงง เพราะเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพิ่งจะออกมาขอบคุณนายวิทยา
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวด้วยว่า อยากเห็นการทำงานอย่างสร้างสรรค์ ถ้าข้องใจว่านายวิทยานำข้อมูลมาจากไหน ก็สอบถามและดูว่ามีหลักฐานหรือไม่ และมีน้ำหนักเพียงใด จากนั้นจึงแก้ไข ซึ่งเป็นทางที่ดีที่สุด อีกทั้งที่นายวิทยาให้สัมภาษณ์นั้น ไม่เคยบอกว่ามีปัญหาในพื้นที่ไหน แต่ทาง ผบ.ตร.ตัดสินใจย้าย พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ส่วนที่มองว่าการโยกย้ายเป็นการเอาคืน นายสุเทพ เทือกสุบบรรณ หรือไม่นั้น ส่วนตัวไม่อยากเห็น ไม่ควรจะเป็นเรื่องบุคคลหรือเรื่องความขัดแย้ง
4.ปปง.มีมติอายัด “อาคารบุญรักษา” ของธรรมกาย พร้อมที่ดิน “บรรณพจน์” เหตุโยงคดียักยอกเงินสหกรณ์ฯ คลองจั่น!
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ได้เผยผลประชุมคณะกรรมการธุรกรรมว่า มีประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ เรื่องที่ ปปง.ได้รับการประสานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ให้ตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร กับพวก เกี่ยวกับพฤติกรรมการกระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอกเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ในการนำไปลงทุนซื้อที่ดินและหุ้นของบริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด โดยผิดระเบียบ ข้อบังคับ และวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ฯ คลองจั่น นั้น จากการรวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินดังกล่าว พบว่า เมื่อปี 2552 นายศุภชัยยักยอกเงินของสหกรณ์ฯ คลองจั่น นำไปลงทุนซื้อสิทธิในการซื้อขายที่ดินใน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และหุ้นของบริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 โดยผิดระเบียบข้อบังคับ ด้วยวิธีสั่งจ่ายเช็ค 11 ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 321,400,000 บาท
ต่อมา ปี 2554 บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 ได้แบ่งขายโฉนดที่ดินให้กับนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ซึ่งนายบรรณพจน์ได้ทำสัญญาให้นิติบุคคลภายนอกเช่าที่ดินเมื่อปี 2559 ดังนั้นที่ดินดังกล่าวรวมทั้งสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าที่ดิน จึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ถูกเปลี่ยนสภาพมาหลายครั้ง ทรัพย์สินดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามมาตรา 3 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีมติอายัดทรัพย์ที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด 2 รายการ ได้แก่ 1.ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 165233 เนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 93.1 ตารางวา อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พร้อมสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าว 2.ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 161424 เนื้อที่ 3 งาน 32.5 ตารางวา อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
ต่อมา บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 ได้ขายที่ดินให้กับนายอนันต์ อัศวโภคิน จากนั้น นายอนันต์ได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้บุคคลภายนอก ในราคากว่า 492 ล้านบาท และได้นำเงินไปชำระหนี้ให้บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 และหนี้อื่นบางส่วน โดยได้นำเงินส่วนใหญ่ 303 ล้านบาท ไปบริจาคให้มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เพื่อไปก่อสร้างอาคารบุญรักษา ดังนั้นอาคารดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จึงมีมติอายัดทรัพย์สิน 2 รายการ ได้แก่ 1.สิ่งปลูกสร้างอาคารบุญรักษา อาคาร ค.ส.ล.6 ชั้น 2.สิ่งปลูกสร้าง อาคาร ค.ส.ล.1 ชั้น
5.“โปรเม” ขึ้นมือ 1 ของโลกอย่างเป็นทางการแล้ว หลังคว้าแชมป์กอล์ฟแมนูไลฟ์ฯ !
หลังพลาดหวังขึ้นเป็นนักกอล์ฟหญิงมือ 1 ของโลกเมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องจากความผิดพลาดการคำนวณคะแนนของแอลพีจีเอ ในที่สุด โปรเม เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟหญิงชาวไทยวัย 21 ปี มืออันดับ 2 ของโลก ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์วงการกีฬาและกอล์ฟของไทย ด้วยการก้าวขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกได้สำเร็จ หลังคว้าแชมป์แมนูไลฟ์ แอลพีจีเอ คลาสสิก (Manulife LPGA Classic) ที่วิสเซิลแบร์กอล์ฟคลับ เมืองเคมบริดจ์ ในรัฐออนทาริโอ ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.
สำหรับชัยชนะครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากโปรเม, ชุน อิน กี มืออันดับ 5 ของโลกจากเกาหลีใต้ และเล็กซี ธอมป์สัน มืออันดับ 4 ของโลกจากสหรัฐฯ จบ 4 วัน สกอร์รวมเท่ากันที่ 17 อันเดอร์พาร์ 271 ต้องตัดสินกันด้วยการเพลย์ออฟที่หลุม 18 สุดท้าย โปรเมโชว์การพัตต์เบอร์ดีไกลในระยะกว่า 25 ฟุตลงหลุมอย่างสวยงาม คว้าแชมป์แอลพีจีเอรายการที่ 6 ในชีวิต แต่เป็นรายการแรกของปีนี้ รับเงินรางวัลไปครอง 2.55 แสนเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 8.67 ล้านบาท ทำให้โปรเมกลับมาเป็นผู้ได้รางวัลสะสมปี 2017 สูงสุดในขณะนี้ ด้วยยอดเงิน 974,279 เหรียญ หรือราว 34 ล้านบาท และมีคะแนนเป็นอันดับ 1 ใน Race to CME Globe ซึ่งเป็นการชิงอันดับ 1 ประจำปีของแอลพีจีเอทัวร์ โดยมี 2,128 คะแนน ตามมาด้วยอันดับ 2 เล็กซี ธอมป์สัน 1,786 คะแนน และอันดับ 3 ริว โซ ยอน จากเกาหลีใต้ 1,695 คะแนน
ด้านโปรเม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังจบการแข่งขันว่า ไม่ได้คาดหวังจะได้แชมป์รายการนี้ เพราะยังรู้สึกไม่พอใจกับทีช็อตของตัวเอง แต่บอกตัวเองว่าให้ออกไปเล่นให้สนุกทั้ง 4 วัน คิดเพียงต้องตั้งใจและละเอียดกับทุกช็อตที่เล่น
วันเดียวกัน(12 มิ.ย.) เว็บไซต์ โรเล็กซ์ แรงกิ้ง ได้ประกาศอันดับโลกของนักกอล์ฟหญิง ปรากฏว่า “โปรเม” โปรขวัญใจคนไทยที่เพิ่งคว้าแชมป์ “มานูไลฟ์ แอลพีจีเอ คลาสสิค” ได้ขยับจากมือ 2 ไปเป็นมือ 1 ของโลกอย่างเป็นทางการ โดยมีคะแนนเฉลี่ย 8.78 คะแนน ขณะที่ลิเดีย โค จากนิวซีแลนด์ตกลงไปเป็นมือ 2 ของโลก ที่ 8.34 คะแนน อันดับ 3 ริว โซ ยอน จากเกาหลีใต้ 8.17 คะแนน อันดับ 4 เล็กซี่ ธอมป์สัน จากสหรัฐอเมริกา 7.47 คะแนน อันดับ 5 ชุน อิน กี จากเกาหลีใต้ 7.13 คะแนน
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีกับโปรเมที่ได้รับการประกาศเป็นมือ 1 ของโลก และว่า เรื่องกอล์ฟ สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่เรื่องชนะ อยากให้ไปดูว่าเขาสร้างตัวเองได้อย่างไร ครอบครัวเขาทุ่มเทเสียสละเท่าไหร่ พ่อ-แม่ต้องยากลำบากมาก่อน ต้องขอแสดงความยินดีกับโปรเม พ่อ-แม่ และครอบครัวของเขาที่ประสบความสำเร็จในการทุ่มเท เสียสละ มีความยากลำบากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทราบมาว่าตอนแรกๆ ถึงขนาดเอาบ้านไปจำนอง
สำหรับประวัติโปรเม เอรียา จุฑานุกาล เกิดวันที่ 23 พ.ย.38 ที่ กทม. เป็นลูกสาวคนเล็กของนายสมบูรณ์ และนางนฤมล จุฑานุกาล ส่วนพี่สาวชื่อ โมรียา จุฑานุกาล หรือโปรโม จุดเริ่มต้นเล่นกอล์ฟในวัยเด็กของโปรเม เกิดขึ้นขณะอายุ 5 ขวบครึ่ง โดยนายสมบูรณ์ผู้เป็นบิดา เปิดร้านโปรช็อปขายอุปกรณ์กอล์ฟ กลัวลูกสาวจะกวนเลยยื่นไม้กอล์ฟให้หนึ่งอัน เพื่อให้เด็กหญิงทั้งคู่ไปเขี่ยลูกกอล์ฟเล่นที่สนาม ทำให้โปรกอล์ฟที่เดินไปเดินมาเห็นและเอ็นดูเลยช่วยสอน แต่กว่าจะฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายได้ ครอบครัวต้องทุ่มเทเงิน ขายบ้านขายรถ รวมกว่า 20 ล้านบาท เพื่อทำตามความฝันของผู้เป็นบิดาที่ต้องการเห็นบุตรสาวทั้งคู่ขึ้นเป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกหรืออย่างน้อยต้องติด 1 ใน 10 สร้างความภาคภูมิใจให้คนไทยทั้งประเทศ ซึ่งในที่สุด โปรเมก็ทำตามฝันด้วยการขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกได้สำเร็จ