xs
xsm
sm
md
lg

ที่สุดในใจกลางยุโรป: สวิตเซอร์แลนด์ : ตอนที่ 2 ที่สุดด้านการโรงแรมและบริการ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เหล่านี้คือนักเรียน ที่ Bouveret  ที่จะไปเป็นเชฟในอนาคต
เรื่องและภาพโดย สุทธิดา มะลิแก้ว

” พอดีว่าผมเป็นคนชอบทำอาหาร แล้วได้ไปทำงานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแล้วเกิดแรงบันดาลใจว่าจะทำอาหารอย่างจริงจัง เชฟ ได้แนะนำว่าให้ผมให้ผมมาเรียนต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ และการเลือกมาเรียนที่โรงเรียนนี้เพราะตอบโจทย์ตรงที่ได้ปฏิบัติเยอะ” โต้ง ซึ่งขณะนี้เรียนอยู่ที่ สถาบันศิลปะการอาหาร ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ( Culinary Arts Academy Switzerland -CAAS) วิทยาเขตลูเซิร์น ตอบคำถามว่าทำไมถึงได้มาเรียนที่นี่

โต้ง สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์สาขาโยธา จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และอันที่จริงเขาน่าจะเรียนมาถูกทางแล้วเพราะที่บ้านมีกิจการรับเหมาก็สร้าง แต่แล้ววันหนึ่งเขาได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งที่เชฟนำวิธีการปรุงอาหารไทยและอาหารพื้นบ้านโดยใช้เทคนิคอาหารฝรั่งมาใช้กับอาหารไทย รวมทั้งเจ้าของร้านก็มีแนวคิดหรือคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับแนวทางการทำอาหารที่ทำให้เขาประทับใจ อีกทั้งโดยความจริงเขาก็พบว่าเขาชอบทำอาหารมากกว่าเป็นวิศวกร ในที่สุดเขาไปขอฝึกงานกับทางร้านโดยไม่รับค่าจ้างใดๆ และได้เรียนรู้การทำอาหารมากมาย ซึ่งเขาถือว่านี่คือไอดอลหรือคนต้นแบบของเขาในเรื่องอาหารเลยทีเดียว และเมื่อเขาอยากมาเรียนการทำอาหารอย่างจริงจังเชฟซึ่งอันที่จริงเรียนจบจากอเมริกาแต่ก็แนะนำให้เขามาเรียนต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ที่คิดว่าเหมาะกับความต้องการของโต้งที่แท้จริงและเขาก็ก็คิดว่าเขาเลือกไม่ผิด ขณะนี้ โต้งอยู่ในหลักสูตรระดับอนุปริญญาโทซึ่งเป็นหลักสูตรสำหรับผู้ที่จบปริญญาตรีมาแล้วแต่ยังไม่มีพื้นฐานการเรียนเรื่องการอาหารมาก่อน ซึ่งหากสำเร็จขั้นนี้แล้วเขาสามารถกลับไปประกอบอาชีพได้เลย โดยหลักสูตรนี้มีเรียน เทอมละ 11 สัปดาห์ 2 เทอมและต่อจากนั้นก็ฝึกงาน 4-6 เดือน

“หนูชอบทำอาหารมากค่ะ เลยขอพ่อแม่มาเรียน แต่พ่อแม่ได้เลือกให้มาเรียนที่สวิตเซอร์แลนด์เพราะสงบและปลอดภัยเป็นธรรมชาติดี ตอนแรกก็เรียนโรงเรียนอื่น แต่ดูเหมือนไม่ค่อยมีปฏิบัติจริง เลยย้ายมาเรียนที่นี่ ได้ทำงานจริงๆ” แอลสาวน้อยวัย 19 ซึ่งหลงใหลในการทำอาหารเธอมาเรียนที่สวิตเซอร์แลนด์ตั้งแต่อายุ 17 ปี ขณะนี้เรียนระดับปริญญาตรีในสถาบันเดียวกับกับโต้งแต่อยู่ที่วิทยาเขตบูเวอร์เรต์ (Bouveret) เธอหวังว่าจะได้เป็นเชฟในภัตตาคารหรือโรงแรมใหญ่ๆหรืออาจมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง

“พอดีที่บ้านมีธุรกิจรีสอร์ตอยู่และตัวแจนก็อยากจะทำธุรกิจโรงแรม จบปริญญาตรีแล้วก็เลยมาเรียนที่เพื่อจะหาความรู้เรื่องการบริหารการโรงแรมแทนทีแรกก็เรียน post graduated (อนุปริญญาโท) แต่พอเรียนจบแล้วก็ชอบการเรียนการสอนของที่นี่มากก็เลยกลับมาเรียนต่อปริญญาโท” แจน สาวยุคใหม่บุคลิกดีพูดจาฉะฉาน จบการศึกษาระดับปริญญาตรีมาจากคณะวารสารศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กำลังศึกษาระดับปริญญาโทที่ Swiss Hotel Management School (SHMS) วิทยาเขตเลย์แซง (Leysin) เทอมสุดท้ายและมีแผนที่จะไปฝึกงานและเรียนภาษาจีนที่เซี่ยงไฮ้ และมีแผนไว้แล้วว่าอีกไม่นานนักก็น่าจะได้เปิดธุรกิจโรงแรมที่ไทย

“ ชอบที่นี่ค่ะทั้งในเรื่องของบ้านเมืองและการเรียน เพราะว่าที่นี่ไม่ได้สอนแค่การบริหารจัดการโรงแรมแต่ยังมีวิชาการออกแบบตกแต่งโรงแรมด้วย คือเราไม่ถึงขนาดสถาปัตย์หรือมัณฑศิลป์ แต่เราออกแบบการตกแต่งพื้นที่ใช้พื้นใช้สอยในโรงแรม” พัชระ “ และที่สำคัญทีชอบโรงเรียนนี้เพราะอาจารย์เอาใจใส่เด็กดีมากจำลูกศิษย์ได้ทุกคน จำชื่อได้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ที่สำคัญเมืองนี้ก็สงบและสวยงาม” ชาแพง

พัชระหรือคัตและชาแพง กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาโทที่สถาบัน IHTTI School of Hotel Management ซึ่งคัตจบปริญญาตรีมาจากคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้ามาต่ออนุปริญญาโทและปริญญาโทที่นี่ ส่วนชาแพงเรียนที่นี่มาตั้งแต่ปริญญาตรี และขณะนี้ทั้งคู่ก็กำลัง Project ก่อนจบโดยการการออกแบบโรงแรมให้กับองค์การสหประชาชาติ ( UN) ที่เจนีวา คัตนั้นตั้งใจว่าเรียนจบแล้วคงจะได้กลับมาใช้ความรู้ความสามารถที่อยู่ในการทำงานในประเทศไทย ส่วนชาแพงก็คิดว่าจะมาเปิดโรงแรมหรือรีสอร์ตที่บ้านเกิดของเธอที่เชียงราย

“ การเรียนที่นี่ค่อนข้างหนัก เพราะว่าระยะการเวลาเรียนค่อนข้างน้อย แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้เราตั้งใจเรียนมากขึ้น ตอนนี้มีกลุ่มนักเรียนไทย 4 คนที่ไปเร็วและจองที่นั่งด้านหน้าซึ่งตอนอยู่ที่ไทยเราไม่ได้เป็นแบบนี้ ซึ่งความตั้งใจนี้ทำให้เราภูมิใจเวลาผลงานเราออกมาดี การเรียนที่นี่ทำให้เราได้รู้จักกับผู้คนหลากหลายเพราะนักเรียนมาจากหลายชาติ รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นและได้ประสบการณ์เยอะมาก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นะเพราะบ้านเมืองสวยงาม ทะเลสาบสวยมากและการคมนาคมดีมากไปไหนมาไหนก็สะดวกดี “ กระติ๊บ สาวสวยคมพูดจาฉะฉานพูดถึงการเรียนที่นี่

กระติ๊บและเพือนๆที่เธอพูดถึงกับกำลังเรียนระดับปริญญาโททางด้าน International Business กันอยู่ที่ Hotel Institute Montreux (HIM) ส่วนตัวของกระติ๊บนั้นจบจากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรมีความคิดสนใจในเรื่องของธุรกิจเลยคิดว่าจะต่อปริญญาด้านบริหารธุรกิจแต่หากเป็น MBA อาจจะไม่ตอบโจทย์ที่จะต้องมีคณิตศาสตร์มากขนาดนั้น ประกอบกับที่เคยมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน (AFS) ที่สวิตเซอร์แลนด์ แฟมีลี่ทางสวิตฯก็แนะนำให้มาเรียนที่นี่ เลยเข้ามาเรียนในหลักสูตร PGD และต่อปริญญาโท ซึ่งหากเรียนจบแล้วเธอก็คิดว่าจะหาโอกาสทำงานหาประสบการณ์ทำงานในต่างประเทศอีกสักพักก่อน แล้ววันหนึ่งก็ค่อยกลับไปเมืองไทย

นี่คือตัวอย่างของนักเรียนไทยบางส่วนที่ได้มีโอกาสมาเรียนทางด้านการอาหาร การบริการและการโรงแรมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งแต่ละคนมาจากต่างที่มาและมาเรียนในโรงเรียนที่ต่างกัน และเรียนในสถาบันที่ต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือ ทุกคนรู้ดีว่า ในเรื่องของอุตสาหกรรมภาคบริการนั้น สวิตเซอร์แลนด์ มีชื่อเสียงในเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน ดังนั้นเลือกหาสิ่งที่ดีที่สุดในด้านนี้ ทำให้หนุ่มสาวเหล่านี้เลือกมาที่สวิตเซอร์แลนด์ ส่วนโรงเรียนที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น ทั้งหมดคือโรงเรียนที่อยู่เครือของ Swiss Education Group

ทั้งนี้ Swiss Education Group ที่มีโรงเรียนอยู่ในเครือ 5 โรงเรียน แบ่ง 7 วิทยาเขต ได้แก่ Cesar Ritz Colleges Switzerland- CRCS, Culinary Arts Academy Switzerland - CAAS, Hotel Institute Montreux -HIM, IHTTI School of Hotel Management, Swiss Hotel Management School -SHMS ทั้งหมด มีการสอนในระดับหลักสูตรการสอน ในระดับในระดับประกาศนียบัตร ประกาศนียบัตรชั้นสูง ปริญญาตรีที่ใช้เวลาเรียน 3 ปี อนุปริญญาโท สำหรับผู้ที่จบปริญญาตรีมาแล้วแต่เป็นสาขาอื่นๆ ระยะเวลา 1 ปี (เรียน 5 เดือนฝึกงาน 4-6 เดือน และ และปริญญาโท 1 ปี เรียน 5 เดือนฝึกงาน 4-6 เดือน ( ดูข้อมูลเพิ่มเติมแต่ละโรงเรียนในตาราง)

ความเหมือนในความต่าง
แน่นอนว่า ในความสุดยอด เรื่องการบริการที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกอยู่แล้ว แต่โรงเรียนเหล่านี้ก็ไม่ได้หยุดพัฒนา ซึ่งสมกับคำกล่าวของ ฌอง เพียเจต์ (Jean Piaget) นักจิตวิทยาชาวสวิส ผู้สร้างทฤษฎีพัฒนาการเชาวน์ปัญญา จนเป็นที่รู้จักกันดีในนามของทฤษีเพียเจต์ ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ เป้าหมายหลักของการศึกษาในโรงเรียนควรจะอยู่ที่การสร้างคนให้มีความสามารถทำในสิ่งใหม่ๆไม่ใช่ทำซ้ำๆในสิ่งเก่าๆที่คนในยุคก่อนหน้าได้ทำเอาไว้” ดังนั้น โรงเรียนเหล่านี้ในเครือ Swiss Education Group แม้ยังคงดำเนินงานการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้หลักการงานบริหารการโรงแรมตามแบบแผนดั้งเดิมอันเป็นจุดเด่นของสวิสแต่ได้ผสานเนื้อหาหรือแนวความคิดใหม่ๆเข้ามาในหลักสูตรเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของยุคสมัยและสร้างอัตลักษณ์ให้แก่สถาบันที่จะแตกต่างออกไปจากที่อื่น ตัวอย่าง เช่น สถาบัน IHTTI ที่จัดได้ว่าเป็นสถาบันเดียวในโลกที่ได้เอาวิชาออกแบบเข้าบูรณาการเข้าไปในหลักสูตรการบริหารจัดการโรงแรม หรือ หรือที่ SHMS เน้นในเรื่อง Event หรือ HIM ที่เน้นบริหารธุรกิจ และธุรกิจแบรนด์หรู ( Luxury Marketing)

กระนั้น ในความต่างกันของแต่ละสถาบันในเรื่องของสาขาวิชา แต่ก็มีความเหมือนกัน อันเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้นักเรียนได้ใช้ทักษะหรือมีความเชี่ยวชาญในการทำงานตามความสนใจของแต่ละคน สิ่งที่เหมือนกันของทั้ง 5 สถาบัน ประการแรกคือ กระบวนการเรียนการสอนแบบ “ learning by doing” คือการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติหรือลงมือทำ ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนการสอบแบบเดียวกันแต่เป็นการสร้างให้ผู้เรียนได้มีโอกาสคิดหรือสร้างสรรค์งานของตัวและแก้ไขปัญหาของตนเองได้ เช่น การให้นักเรียนมี duty ตามแผนกต่างๆของโรงแรม ในทุกแผนกซึ่งสัปดาห์ซึ่งก็จะมีหนึ่งวันว่าจะไปอยู่แผนกไหนเพื่อว่านักเรียนจะเข้าใจระบบโรงแรมทั้งระบบ หรือแม้แต่การเรียนวิชาบัญชีก็มีการจำลองสถานการณ์มาให้นักเรียนคิดและแก้ไขทุกวันอยู่ในรูปแบบคล้ายเกมซิมฯ ทำให้การเรียนบัญชีไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดและใช้งานได้จริง

ยิ่งไปกว่านั้นคือ การเรียนที่ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติในสถานการณ์ที่เป็นจริง เช่น การเรียนมีให้จัด Banquet หรือ Event ที่นักเรียนต้องร่วมกันจัดงาน โดยที่อาจารย์จะกำหนดให้แค่ว่างานอะไรและจำนวนคนเท่าไร ทุกคนจะต้องใช้ทักษะที่เรียนมาแล้วมาแบ่งงานกันทำ และตรงนี้เองที่นักเรียนจะได้ใช้ทักษะต่างๆมาใช้จริง โดยอาจารย์จะเข้ามาช่วยแนะนำเล็กๆน้อยอยู่ห่างๆเท่านั้น เสร็จงานก็มีการประเมินว่าผ่านหรือไม่ซึ่งในหลายๆงาน อาจารย์จากที่นั่นได้บอกว่า บางครั้งก็ดีกว่ามืออาชีพเสียอีก

ปุน สาวน้อยวัย 20 เรียนอยู่ในหลักสูตรปริญญาตรีในชั้นปีที่ 2 ที่ SHMS ที่ Caux ผ่านมาได้จัด Event โดยอยู่ในฝ่ายตกแต่ง ให้กับงานแต่งงานหนึ่งซึ่งปุนบอกว่า งานนี้ได้รับประสบการณ์เยอะมาก ได้ใช้ทักษะในทุกอย่างที่เรียนมา “ ต้องติดต่อประสานงานทั้งเรื่องการจัดดอกไม้ หาของต่างๆ ต้อง deal กับทางร้านต่างๆ และตอนที่เห็นงานออกมาเจ้าของงานพอใจมากเราก็ดีใจมากๆ “

ในขณะที่ นัดซึ่งอยู่ในระดับ PGD ที่ SHMS วิทยาเขต Leysin ก็เพิ่งจัด Banquet ก็เห็นด้วยเพราะว่าการงานได้ใช้ทักษะครบทั้งหมด

“ เราได้รับโจทย์แค่ว่างานอะไร สำหรับคนจำนวนกี่คน ที่เหลือต้องคิดเองทั้งหมด การทำงานนี้ต้องทำงานกันเป็นทีมและก็จะมีหัวหน้าของแต่ละทีม ในฐานะที่เราเป็นหัวหน้าที่ก็ต้องสามารถที่จะทำให้คนในทีมที่ได้ร่วมกันทำงานเพื่อให้งานออกมาให้สำเร็จให้ได้ ดังนั้น ตรงนี้นอกจากจะใช้ความคิดสร้างสรรค์และยังต้องใช้ทักษะการสื่อสาร การประสานงาน ครบหมด เป็นงานที่เหนื่อยมาก แต่ก็สนุกมาก ผ่านมาได้ด้วยดีก็รู้สึกภูมิใจมากค่ะ”นัดกล่าว และเธอเองก็ตั้งใจเอาไว้ว่าเมื่อจบแล้วจะไปทำงานในสายงาน Event ของโรงแรมแห่งใดแห่งหนึ่ง

กรณีเดียวกันกับที่ IHTTI ซึ่งคัดและชาแพง กำลังมี Project การออกแบบสำหรับการสร้างโรงแรมองค์การสหประชาชาติ ( UN) ที่เจนีวา ดังที่ได้กล่าวไปแล้วตอนต้นก็เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเรียนการสอนของสถาบันที่เน้นการปฏิบัติจริง

ความเหมือนประการต่อมา หรือเรียกได้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเรียนที่สถาบันทั้ง 5 แห่งนี้คือ การฝึกงาน ซึ่งนอกจากจะสามารถเลือกไปฝึกงานที่ไหนก็ได้ทั่วโลกแล้ว ระยะเวลาของการฝึกงานจะค่อนข้างยาวกว่าที่อื่น คือ 4-6 เดือนซึ่งที่ผ่านส่วนใหญ่ก็ฝึกงานประมาณ 6 เดือน กรณี ฝึกในสวิตเซอร์แลนด์จะได้เงินด้วยตามกฎหมายเงินเดือน สูงสุดคือไม่เกิน 2,177 สวิสฟรังก์ (ประมาณ 76,000 บาท แต่ต้องถูกหักภาษีอีกจำนวนมากพอสมควร)

ตัวอย่าง การฝึกงานที่ผ่านมา ปุณซึ่งเรียนอยู่ปี 2 ระดับปริญญาตรีด้าน Hospitality and Event Management (วิทายเขต Caux) ฝึกงานครั้งแรกที่ ดุสิตธานี อาบูดาบี ตอนนี้เตรียมฝึกครั้งที่ 2 เบลเยี่ยม พิณและอิม ซึ่งเรียนปีสุดท้ายที่วิทยาเขต Leysin ที่ผ่านมาได้ผ่านการฝึกงานกันมาแล้วคนละ 2 ครั้ง ในครั้งแรกก็เคยได้ไปฝึกงานด้าน F & B ของบริษัทฝรั่งเศสที่เข้ามาทำในองค์การสหประชาชาติที่ เจนีวา และในครั้งที่ 2 ฝึกงานในแผนกต้อนรับ ที่โรงแรม Island Shangri-la ฮ่องกง ส่วน อิม ก็ได้ไปฝึกงานในที่เดียวกันในครั้งที่หนึ่ง ส่วนครั้งที่ 2 ก็ได้ฝึกงานที่ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอ็ท กรุงเทพฯ ฝ่ายการขายและการตลาด ซีซี ก็เคยไปฝึกงานที่ Four Season Resort ที่เชียงใหม่ หรือ แอลซึ่งมุ่งมั่นที่จะเป็นเชฟ ก็เคยได้ไปฝึกงานที่ร้านอาหารฝรั่งเศสที่เจนีวา ซึ่งเป็นโอกาสได้ทำอาหารอยู่ในครัวและทำงานกับเชฟมืออาชีพพร้อมได้เตรียมความพร้อมการเป็นเชฟที่แท้จริงของเธอ

ในขณะที่เด็กๆกลุ่มที่มาเรียน post graded ส่วนหนึ่งอย่าง นัสมี ปิ่น เป้ นัด ที่จบปริญญาตรีมาจาก ABAC และ นนท์จากราชภัฎสวนดุสิตและแพร์จากราชมงคลธัญบุรีซึ่งมาเรียนต่อระดับอนุปริญญาโทซึ่งอยู่ในช่วงสุดท้ายและเตรียมพร้อมที่จะไปฝึกงานกันในเดือนกรกฎาคมนี้ นัสมีไปฝึกที่อาบูดาดี เป้ไปที่บาเซโลนา ปิ่นไปเบลเยี่ยม นัดกำลังรอในเครือมารีอ็อต นนท์จะกลับมาฝึกงานที่โรงแรมโอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ และแพร์จะมาที่ฝึกที่ Chocolate Boutique ที่ โรงแรมแชงกรี-ล่า กรุงเทพฯ

ความเหมือนในประการสุดท้าย หรือสิ่งที่สำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งที่นักเรียนจะได้รับจากการเรียนจากที่นี่ คือทักษะที่จำเป็นในการทำงานหรือเป็นที่ต้องการอุตสาหกรรมบริการในยุค 2020

คุณ Joroen Graven ผู้อำนวยการด้านวิชาการ ( คณบดี) ของสถาบัน SHMS วิทยาเขต Caux กล่าวว่า การเรียนที่นี่ เน้นการนำไปใช้ในทำงานจริงและการเรียนการสอนนั้นจะตอบโจทย์ที่จะให้นักเรียนได้มีทักษะในการทำงานที่เป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมบริการ อันประกอบไปด้วยทักษะต่างๆ การคิดเชิงวิเคราะห์ หรือคิดอย่างมีวิจารญาณ( Critical Thinking) ความคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking) ปฎิภาณในการเข้าสังคม (Social intelligence) การแก้ปัญหา(problem-solving) การคิดเชิงบูรณาการ (Interdisciplinary thinking) ความสมเหตุสมผล (sense-making) ตรรกะและเหตุผล (logic and reason) และ ทักษะในเรื่องคน (people skill) เป็นต้น ซึ่งนักเรียนจะได้รับทักษะเหล่านี้ผ่านการเรียนการสอนที่เป็นแบบปฏิบัติจริงดังกล่าวและที่สำคัญคือจากการฝึกงาน

โอกาสการทำงาน
การมาเรียนในสถาบันต่างๆในเครือของ Swiss Education Group ด้วยวิธีการสอนและการที่ต้องมาอยู่เอง แม้ว่าจะเป็นการอยู่ในหอพักในสถาบันก็ตาม แต่สิ่งที่ทุกคนต้องได้มาคือ การรู้จักรับผิดชอบตนเอง การมีระเบียบวินัย และ นอกจากนั้นจากการเรียนที่เป็นหลักสูตรนานาชาติและมีนักเรียนมาจากหลากหลายประเทศทั่วโลก นักเรียนที่นี่จะได้รับและเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมีเพื่อนจากหลายๆประเทศ ที่สำคัญในฐานะของคนที่จะไปทำธุรกิจ หรือโอกาสในการทำงานในที่ต่างๆ คือการมี “Connection”

นอกจาก “Connection” จากการที่รู้จักเพื่อนนักเรียนด้วยกันแล้ว การฝึกงานก็เป็นอีกหนทางหนึ่งของการได้ connection ที่มาจากการจัดงานพบปะกันของศิษย์เก่าที่เป็นศิษย์เก่า (Alumni) ของแต่ละโรงเรียนและศิษย์เก่าของทั้ง 5 สถาบันมาพบปะกัน นอกจากนั้นโอกาสสำคัญที่สุดในการก้าวเดินไปสู่อาชีพการงานผ่าน Event สำคัญที่ SEG จัดขึ้นคือ the International Recruitment Forum (IRF) โดยจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ในงานจะมีเจ้าของโรงแรม ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ หรือบริษัทจัดงาน Event ต่างๆเข้ามาคัดเลือกนักเรียนจากที่นี่ การจัด IRF ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2009 ที่เมือง Montraux ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนและนายจ้างในอนาคตได้มาพบกัน จากทุกวันนี้ นักเรียนที่เรียนจบจากที่นี่ ข้อมูลจากเอกสารของ SEG ระบุว่า 89% ของนักเรียนที่จบที่นี่ หลังจากเรียนจบไปแล้ว 5 ปี พบว่าอยู่ในตำแหน่งระดับบริหารหรือไม่ก็เป็นเจ้าของกิจการของตัวเอง และปัจจุบันมี 73% ของศิษย์เก่าที่นี่ทำงานในธุรกิจบริการ (hospitality) หรือร้านอาหาร และ 96% ของศิษย์เก่าที่สำเร็จการศึกษาที่นี่ที่ทำงานในภาคบริการจะอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาว ( Luxury hotel)

ชอบไม่ชอบในสวิตเซอร์แลนด์
"ชอบธรรมชาติค่ะ/ วิวสวยมาก/ ห้องนอนตื่นมาก็เห็นวิวสวย/ระบบการขนส่งดีมากไปไหนมาไหนสะดวกมาก/ชอบรถไฟ หน้าต่างบานใหญ่ๆดูวิวเพลินมาก / บ้านเมืองสงบเรียบร้อยและรู้สึกปลอดภัยค่ะ/ ชอบการเรียนการสอนที่ได้คิดเองทำเอง/ได้ประสบการณ์เยอะมาก/ฝึกงานที่ประเทศไหนก็ได้/อาจารย์เอาใจใส่นักเรียนดีมาก จำนักเรียนได้ทุกคน มีปัญหาก็ปรึกษาได้ตลอด /ได้เรียนรู้หลายวัฒนธรรม” อีกมากมายหลายคำตอบจากเหล่านักเรียนไทยเกือบ 30 คนที่มาจากโรงเรียนทั้ง 5 แห่งในเครือ SEGที่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันภายใต้คำถามที่ว่า ชอบอะไรในสวิตเซอร์แลนด์ โดยให้ตอบได้ทั้งความชอบทั่วๆไปและเกี่ยวข้องกับการมาเรียนที่นี่ ซึ่งส่วนใหญ่มีความเห็นเป็นบวก แต่มีบางคนมองว่าการเรียนที่นี่ดูเหมือนว่าจะแพง แต่ไปๆมาๆ ก็คำนวณกับว่าหากไปเรียนในประเทศอื่นในยุโรปที่ดูเหมือนค่าเทอมถูกว่าแต่ก็ยังไม่รวมเรื่องค่าอาหารที่พักเดนทางและอุปกรณ์การเรียน แต่ที่นี่คือจ่ายเงินครั้งเดียวก็ได้ครบ ทั่งพักอาหาร เครื่องแบบนักเรียน อุปกรณ์การเรียน เรียกว่าแม้ไม่มีเงินก็ไม่อดแน่นอน มีอาหารครบ 3 มื้อ

มีเพียงเรื่องเดียวที่นักเรียนไทยเห็นพ้องต้องกันว่าที่นี่ต่างจากกรุงเทพฯอย่างสิ้นเชิง และเป็นเพียงเรื่องเดียวไม่ชอบคือ “ร้านค้าต่างๆปิดเร็วเกินไป หลัง สี่ทุ่มก็หาซื้ออะไรไม่ได้ บางทีก็คิดถึงอารมณ์ข้าวต้มรอบดึกแบบกรุงเทพฯ” นักเรียกคนหนึ่งกล่าวอย่างทีเล่นทีจริง แต่สุดท้ายเมื่อขอคำตอบสุดท้ายว่า คิดถูกหรือไม่ที่มาเรียนต่อที่นี่ ก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “คิดถูกแล้ว”

โปรดติดตามตอนที่ 3 ที่สุดในหทัยราษฎร์

-----------------

Swiss Education Group จัดตั้งสำนักงานสำหรับรับสมัครนักเรียนประจำประเทศไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2549 เพื่อให้การดูแลนักเรียนที่สนใจศึกษาต่อในด้านอุตสาหกรรมบริการที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีสำนักงานชั้น 7 อาคารมณียา (ชิดลม) กรุงเทพฯ

ตึกเรียนของสถาบัน Hotel Institute Montreux – HIM
ทิวทัศน์ที่มองเห็นได้จาก Swiss Hotel Management School –SHMS วิทยาเขตโคซ์ ( Caux)
อดีตคือ Caux Palace Hotel  โรงแรมหรูสำหรับชนชั้นสูง ตั้งอยู่บนภูเขาโคซ์  เริ่มให้บริการมาตั้งแต่ คศ.  1902 ปัจจุบันคือ ห้องเรียนของสถาบัน Swiss Hotel Management School –SHMS วิทยาเขตโคซ์ ( Caux)  สามารถเดินทางจากม็องเทรอซ์โดยรถไฟใช้เวลา  21 นาที หรือโดยรถยนต์  10 นาที ( Photo Cr. Bank Boonwan BKK)
น้องๆนักเรียนไทย จาก SHMS  วิทยาเขต Leysin ซึ่งพร้อมแล้วที่จะออกไปทำงานและฝึกงานทั้งในเอเชีย ยุโรปและไทย จากซ้าย อิม พิณ เป้  แจน ปิ่น  แพร และ นนท์  (Photo Cr. Bank Boonwan Bkk)
5 โต้ง แม้เพิ่งเข้าเทอมแรกก็ได้มีงานปฏิบัติในครัว
บรรยากาศการเรียนที่สถาบัน  ITTHI  ที่เนอชาแตล  นักเรียนได้คิด วิเคราะห์ และออกแบบ
นักเรียนไทย 4  คนที่กำลังเรียนระดับปริญญาโท ที่  HIM มีความขยันตั้งใจจนเป็นที่รู้กันดีว่า ทั้ง 4  คนนี้ต้องจองที่นั่งหน้าในชั้นเรียน
เหล่านี้คือนักเรียน ที่ Bouveret  ที่จะไปเป็นเชฟในอนาคต
แอล ในช่วงทำงานครัว
ทิวทัศน์ที่มองเห็นได้จากอาคารเรียนที่ SHMS วิทยาเขต Leysin
กำลังโหลดความคิดเห็น