นักเชียร์กีฬาตัวจริง “ถั่วแระ เชิญยิ้ม” เปิดปากพูดถึงกรณีการจุดพลุแฟร์ พร้อมแนะนำการเชียร์กีฬาอย่างสร้างสรรค์ มีสติ และมีน้ำใจนักกีฬา “ถ้าเราอยากจะเป็นนักเชียร์ที่ดี ตั้งสตินิดหนึ่ง อะไรผิดอะไรถูก มันเกินไปไหม ทำแบบนี้แล้วมันเดือดร้อนใครไหม เกิดมันระเบิดขึ้นมา โดนใคร โดนลูกหลานเรา พวกเราเองทั้งนั้น”
สืบเนื่องจากการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์ซูซูกิคัพ 2016 เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้ว่า “ช้างศึก” จะสามารถทำให้คนไทยทั้งประเทศโห่ร้องดีใจ ด้วยการคว้าแชมป์อย่างสวยสดงดงาม กระนั้นความขาวสะอาดตลอดระยะเวลา 90 นาทีแห่งการแข่งขัน ก็มีอันต้องด่างพร้อย เมื่อแฟนบอลกลุ่มหนึ่งจุดพลุแฟร์สนั่นหวั่นไหวจนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ท่ามกลางการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของวงการฟุตบอล จากกลุ่มแฟนบอลที่เติบโตจากหลักร้อยสู่หลักล้าน คำถามที่น่าคิดต่อก็คือว่า พลพรรคพี่น้อง “กองเชียร์” ที่ส่งแรงใจให้นักกีฬาอยู่ข้างสนาม ควรจะเป็นอย่างไร จึงจะเป็นแรงใจให้นักกีฬาได้อย่างแท้จริง เฉกเช่นในอดีตที่แม้เสียงเชียร์จะไม่มากมายอย่างในปัจจุบัน แต่ทว่าก็สง่างาม
ในเรื่องนี้ คงไม่มีใครจะรู้ซึ้งเท่าหนึ่งในตำนานผู้สร้างเสียงหัวเราะ “ถั่วแระ เชิญยิ้ม” นักเชียร์ทีมชาติไทยตัวจริงเสียงจริงที่ติดตามไปให้กำลังใจทัพนักกีฬาไทยมาแล้วหลายขอบสนาม
• ในฐานะแฟนบอลพันธุ์แท้ทีมชาติไทย รู้สึกอย่างไรบ้างต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
รู้สึกว่า เราควรจะต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าเรากำลังทำอะไร คือยุคสมัยนี้กองเชียร์ไทยแลนด์ของเราถือว่าติดอันดับโลกเลยทีเดียว เราพัฒนากันมาไกลมาก จากแต่ก่อนที่มีพรรคพวกผม 4-5 คน ติดตามให้กำลังใจมาเป็นเวลานานแสนนาน เวลาเชียร์บอลหรือเชียร์กีฬาอะไรต่อมิอะไร ความรู้สึกของผมเป็นอะไรที่ดี ฟุตบอลสโมสรเรากำลังจะเป็นบอลอาชีพกันไปหมดแล้ว และแต่ละสโมสร เขาก็มีทุน มีกำลัง ที่จะทำทีมของเขา แล้วเขาเชียร์กันแบบอลังการงานสร้างมาก ยกตัวอย่างทีมสโมสรบุรีรัมย์ เป็นทีมแรกที่มีกองเชียร์แบบแผนเป็นของตัวเอง ก่อนจะต่อยอดตามกันมา อันนี้แหล่ะมันเป็นสิ่งที่สุดยอดของกองเชียร์ระดับโลกที่ใครๆ เขาก็ทำกันอย่างนี้
เราเห็น เราก็ดีใจที่พัฒนาถึงขนาดนี้ ณ วันนี้ เมื่อไหร่ที่มีไทยแลนด์เตะ หรือคุณซิโก้ไปที่ไหน เราก็จะเห็นกองเชียร์ไทยเราอุ่นหนาฝาคั่งมาก เต็มอัฒจันทร์ แต่ทีนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง อย่างแรกคือความไม่เข้าใจในคำว่ากีฬา เมื่อก่อนยุคสมัยผมเชียร์ ไม่มีเลยเรื่องแบบนี้ ไม่มีความรุนแรงในการเชียร์
• คิดว่าเพราะอะไร มันถึงมีความรุนแรงในการเชียร์
ส่วนหนึ่งก็อย่างที่กล่าวไปตอนต้น เราเข้าสู่รูปแบบการเชียร์แบบเมืองนอก เมื่อก่อนไม่มีจุดพลุ อะไรก็ไม่มี เชียร์ธรรมดาเสร็จแล้วก็กลับกันไป เฮฮาปาร์ตี้กัน อย่างน้อยก็มีขวดน้ำขว้างลงมาบ้าง ไม่พอใจ เป็นเรื่องของธรรมชาติในการเชียร์ มันอินมาก มันสะใจ มันก็ห้ามกันลำบาก นั่นคือสาเหตุหนึ่ง แล้วอีกสาเหตุหนึ่งคือ รูปแบบการแข่งขัน การตัดสิน ต้องมีเหตุมีผล ทำให้เขาโมโหกันหรือเปล่า เห็นชัดๆ ไม่เป่า แต่เวลาเราเป่าจังเลย อย่างนี้เป็นต้น อันนี้พูดรวมๆ อย่างที่ได้ข่าวอยู่เสมอ กรรมการโดนต่อย โดนเตะ ทำร้ายร่างกาย บางทีถึงขั้นยิง มันอยู่ตรงนี้ด้วย และท้ายที่สุดเรื่องคลาสสิกวงการกีฬา เรื่องของการพนันมันยังมีอยู่หรือเปล่า ล้มบอล แกล้งแพ้ เคยทำกันไหมล่ะ มันถึงได้เกิดการรุนแรงขึ้นมา ถ้าเล่นกันตามเกม แฟร์ๆ มันก็ไม่เกิดเหตุการณ์อะไรหรอก มันเป็นปัญหาโดยรวม มันถึงได้เกิด
เพราฉะนั้น สรุปโดยรวมว่าทุกคนต้องดูบอลเป็น รู้กติกา ทุกคนต้องมีหัวจิตหัวใจเป็นนักกีฬา แพ้เป็นแพ้ ชนะเป็นชนะ เราต้องเขียนคำว่าแพ้เป็นบ้าง ต้องรู้จัก กีฬาอะไรจะชนะอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้ อยู่ที่หัวจิตหัวใจของเราอย่างเพลง กีฬาๆ เป็นยาวิเศษ
• ซึ่งถ้าเรามองเป็นอย่างอื่น ก็จะส่งผลอย่างที่เกิดขึ้น
ก็เป็นยาพิษไป เพราะเล่นการพนันกัน เพราะเล่นกันไม่แฟร์ เล่นกันแบบไม่มีน้ำใจนักกีฬา ซึ่งหากปล่อยไว้ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่เรากำลังก้าวเข้าสู่รูปแบบการพัฒนาการเชียร์ถึงระดับโลก เราก็จะกลายเป็นเหมือนอย่างต่างประเทศที่มีข่าวกองเชียร์หัวรุนแรง ไม่พอใจ เขวี้ยงเลย ตีเลย จนถึงขั้นยกพวกตีกัน
ทีนี้ ปัญหามันอยู่ที่ความปลอดภัยในการจัดงาน จะทำกันได้มากน้อยขนาดไหนแค่นั้นเอง นิ้วไหนร้ายก็ต้องตัดมันทิ้งเป็นนิ้วๆ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องระหว่างประเทศ มันเสียหายหนักมาก ไม่ใช่บอลสโมสร แล้วประเทศเราต้องคุมให้ได้ดีที่สุด ถึงได้บอกว่าเราต้องกลับไปถามตัวเอง เชื่อว่าเราเคยเฝ้าฝันเหมือนสมัยก่อน อยากให้เกิดการเชียร์อย่างทุกวันนี้ที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจส่งให้ไทยแลนด์ของเรา เราจึงควรต้องมีสติ ไม่ใช่เตลิดเปิดเปิงเพื่อที่จะเอาชัยชนะอย่างเดียว เชียร์มันต้องมีหลักการ หลักเกณฑ์ ตรงไหนควรจะรุก หรือรับ ตอนไหนควรจะแผ่ว
• คุณกำลังจะบอกว่าการเชียร์ น่าจะต้องมีแกนนำทำเป็นแบบอย่างและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ต้องประมาณนั้น เพราะตอนนี้ กองเชียร์เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มแต่ละกลุ่ม หน่วยงานแต่ละหน่วยงาน ชมรมแต่ละชมรม เลยอาจจะมีความคิดเห็นหรือความรู้สึกที่แตกต่างกัน แต่ถ้าหากกลุ่มผู้นำแต่ละคน หรือใครเป็นผู้นำกองเชียร์ที่จะรับผิดชอบในเรื่องราวแบบนี้ได้ ตั้งกฎขึ้นมา อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ทำอันไหนแล้วดี อันไหนไม่ดี บริหารจัดการเรื่องนิสัยใจคอ อธิบาย คอยดูแลให้ชัดเจน เนื่องจากแต่ละกลุ่ม เรารู้กันอยู่แล้วว่าเรากลุ่มไหน ที่นั่งชั้นแถวเราก็จะซื้อในโซนละแวกเดียวกัน แตกต่างไป อยู่ไม่ได้หรอก ดูกับกลุ่มเพื่อนฝูง ถึงจะสนุก เรียกกันคุย ประชุมหารือกัน เราก็คุมพวกเขาได้
ที่จริง แฟนบอลบ้านเราไม่ได้มีจิตใจใฝ่ความรุนแรง ต่างประเทศเขารุนแรงกว่าเราอีก อย่างก่อนหน้านี้หลายๆ ปี จำได้ วันนั้นไปเชียร์ที่ประเทศมาเลเซีย ลงจากสนามบินได้ เข้าห้องพัก รีบแต่งตัวไปเพราะจะไม่ทัน จังหวะเข้าไปจะมีเรื่องกระทืบกัน แล้วรั้วเป็นรั้วลวดหนาม รั้วมันขย่มได้เลย ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลย แต่พอเราไป สามารถห้ามคนในสนามได้ เจ้าหน้าที่เขายังงง คือเรารู้ว่าหากเกิดมีเรื่อง ประเทศเสียหาย งานนี้ระดับประเทศ เรามาเพื่อใคร ทำอะไร ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องมีจิตวิญญาณในการทำ การพูด เขาทำ เราไม่ทำเหมือนที่เขา เขาเอาเลเซอร์ฉายใส่หน้า แต่เราต้องไม่
อีกครั้งก็ที่มาเลเซีย แต่ไม่ใช่ฟุตบอล เป็นเซปักตระกร้อ จะมีเรื่องกันให้ได้ ก็ห้ามทัพไว้ได้ พอการแข่งขันจบ เราชนะเขา แต่หัวหน้ากองเชียร์เขาเดินมากอดเรา นี่คือมิตรภาพ ทุกคนเฮหมด ทุกคนสวมกอดกันด้วยความดีใจ เราต้องสร้างระบบนี้ขึ้นมา นี่คือการเชียร์จากประสบการณ์ที่ผมได้มา
เพราะฉะนั้น คนที่เป็นกองเชียร์แล้วยุให้มีเรื่อง ผมว่าไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่นักเชียร์ที่แท้จริง ถ้าจริงๆ ต้องรู้จังหวะ เวล่ำเวลา เมื่อไหร่จะให้เขาสนุก เมื่อไหร่ตอนไหนจะรุก-รับ มันมีอย่างนี้ ตอนเราหงอยๆ เหงาๆ เราต้องสร้างพลังขึ้นมาให้นักกีฬาได้เห็นพวกเรา ว่าเรากำลังมา มาเพื่ออะไรกับพวกคุณ คุณอย่าหงอย อะไรอย่างนี้
เมื่อวานนี้ก็ได้ไปคุยงานเรื่องว่าจะทำชุดเชียร์ไทยเชียร์ไทยขึ้นมา ตั้งเป็นชมรมขึ้นมาก่อน แกนนำก็คือผม เราจะทำให้มันเป็นปึกแผ่นในการเชียร์ จะทำไปถึงเมืองนอกเมืองนา ใครที่อยากจะไปกับเรา เราจะใช้คำว่า “ช็อป ชิม เชียร์” คุณอาจจะไปฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ก็ได้ อาจจะไปอยู่กับผม โรงแรมหรูๆ กินดีๆ ช็อปดีๆ ก็ได้ ถ้าได้สิทธิ์นั้น ไปกันแบบครอบครัว มีระบบระเบียบในการเชียร์ ไมใช่ว่าต้องเอากองเชียร์ที่ว่าต้องชนะอย่างเดียวไป แต่ให้ไปดู ไปศึกษา ไปให้กำลังใจ เชียร์อย่างมีสติ เชียร์อย่างนักเชียร์ เพื่อให้กำลังใจกับนักกีฬา อันนี้คือกฎเหล็กของเรา
• อยากฝากบอกอะไรนักเชียร์ที่ทำให้เกิดเรื่องตรงนี้ขึ้นมาหรือนักเชียร์อีกจำนวนหนึ่งซึ่งนิยมเชียร์รุนแรง
ที่เขาจุดกัน (พลุ) ผมว่าเขาสติแตก ลืมหรือไม่รู้ว่ามันผิดขนาดไหน โดนปรับขนาดไหน โดนสั่งห้ามเตะกี่ปี และเราก็ไม่ได้ประกาศให้เขารู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ในรายละเอียด เขารู้อย่างเดียวว่าห้ามเอาน้ำแข็งเข้าไป ห้ามเอาของแข็งเข้าไป ห้ามเอาขวดน้ำเข้าไป ให้เทน้ำใส่แก้ว ห้ามพกอาวุธ ธงชาติก็เข้าไปไม่ได้ในต่างประเทศ เพราะด้ามเป็นเหล็ก นี่คือหลักๆ ที่รับรู้กัน อีกสาเหตุหนึ่ง
แต่ที่สำคัญอยากให้มีสติ ตัวนี้สำคัญเลย ไม่ต้องเป็นเหมือนผมก็ได้ ไม่ต้องเอาเยี่ยงอย่างผม ถ้าเราอยากจะเป็นนักเชียร์ที่ดี ตั้งสตินิดหนึ่ง อะไรผิดอะไรถูก มันเกินไปไหม ทำแบบนี้แล้วมันเดือดร้อนใครไหม เกิดมันระเบิดขึ้นมา โดนใคร โดนลูกหลานเรา พวกเราเองทั้งนั้น ใจเขาใจเรา น้ำใจนักกีฬา
สืบเนื่องจากการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์ซูซูกิคัพ 2016 เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้ว่า “ช้างศึก” จะสามารถทำให้คนไทยทั้งประเทศโห่ร้องดีใจ ด้วยการคว้าแชมป์อย่างสวยสดงดงาม กระนั้นความขาวสะอาดตลอดระยะเวลา 90 นาทีแห่งการแข่งขัน ก็มีอันต้องด่างพร้อย เมื่อแฟนบอลกลุ่มหนึ่งจุดพลุแฟร์สนั่นหวั่นไหวจนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ท่ามกลางการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของวงการฟุตบอล จากกลุ่มแฟนบอลที่เติบโตจากหลักร้อยสู่หลักล้าน คำถามที่น่าคิดต่อก็คือว่า พลพรรคพี่น้อง “กองเชียร์” ที่ส่งแรงใจให้นักกีฬาอยู่ข้างสนาม ควรจะเป็นอย่างไร จึงจะเป็นแรงใจให้นักกีฬาได้อย่างแท้จริง เฉกเช่นในอดีตที่แม้เสียงเชียร์จะไม่มากมายอย่างในปัจจุบัน แต่ทว่าก็สง่างาม
ในเรื่องนี้ คงไม่มีใครจะรู้ซึ้งเท่าหนึ่งในตำนานผู้สร้างเสียงหัวเราะ “ถั่วแระ เชิญยิ้ม” นักเชียร์ทีมชาติไทยตัวจริงเสียงจริงที่ติดตามไปให้กำลังใจทัพนักกีฬาไทยมาแล้วหลายขอบสนาม
• ในฐานะแฟนบอลพันธุ์แท้ทีมชาติไทย รู้สึกอย่างไรบ้างต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
รู้สึกว่า เราควรจะต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าเรากำลังทำอะไร คือยุคสมัยนี้กองเชียร์ไทยแลนด์ของเราถือว่าติดอันดับโลกเลยทีเดียว เราพัฒนากันมาไกลมาก จากแต่ก่อนที่มีพรรคพวกผม 4-5 คน ติดตามให้กำลังใจมาเป็นเวลานานแสนนาน เวลาเชียร์บอลหรือเชียร์กีฬาอะไรต่อมิอะไร ความรู้สึกของผมเป็นอะไรที่ดี ฟุตบอลสโมสรเรากำลังจะเป็นบอลอาชีพกันไปหมดแล้ว และแต่ละสโมสร เขาก็มีทุน มีกำลัง ที่จะทำทีมของเขา แล้วเขาเชียร์กันแบบอลังการงานสร้างมาก ยกตัวอย่างทีมสโมสรบุรีรัมย์ เป็นทีมแรกที่มีกองเชียร์แบบแผนเป็นของตัวเอง ก่อนจะต่อยอดตามกันมา อันนี้แหล่ะมันเป็นสิ่งที่สุดยอดของกองเชียร์ระดับโลกที่ใครๆ เขาก็ทำกันอย่างนี้
เราเห็น เราก็ดีใจที่พัฒนาถึงขนาดนี้ ณ วันนี้ เมื่อไหร่ที่มีไทยแลนด์เตะ หรือคุณซิโก้ไปที่ไหน เราก็จะเห็นกองเชียร์ไทยเราอุ่นหนาฝาคั่งมาก เต็มอัฒจันทร์ แต่ทีนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง อย่างแรกคือความไม่เข้าใจในคำว่ากีฬา เมื่อก่อนยุคสมัยผมเชียร์ ไม่มีเลยเรื่องแบบนี้ ไม่มีความรุนแรงในการเชียร์
• คิดว่าเพราะอะไร มันถึงมีความรุนแรงในการเชียร์
ส่วนหนึ่งก็อย่างที่กล่าวไปตอนต้น เราเข้าสู่รูปแบบการเชียร์แบบเมืองนอก เมื่อก่อนไม่มีจุดพลุ อะไรก็ไม่มี เชียร์ธรรมดาเสร็จแล้วก็กลับกันไป เฮฮาปาร์ตี้กัน อย่างน้อยก็มีขวดน้ำขว้างลงมาบ้าง ไม่พอใจ เป็นเรื่องของธรรมชาติในการเชียร์ มันอินมาก มันสะใจ มันก็ห้ามกันลำบาก นั่นคือสาเหตุหนึ่ง แล้วอีกสาเหตุหนึ่งคือ รูปแบบการแข่งขัน การตัดสิน ต้องมีเหตุมีผล ทำให้เขาโมโหกันหรือเปล่า เห็นชัดๆ ไม่เป่า แต่เวลาเราเป่าจังเลย อย่างนี้เป็นต้น อันนี้พูดรวมๆ อย่างที่ได้ข่าวอยู่เสมอ กรรมการโดนต่อย โดนเตะ ทำร้ายร่างกาย บางทีถึงขั้นยิง มันอยู่ตรงนี้ด้วย และท้ายที่สุดเรื่องคลาสสิกวงการกีฬา เรื่องของการพนันมันยังมีอยู่หรือเปล่า ล้มบอล แกล้งแพ้ เคยทำกันไหมล่ะ มันถึงได้เกิดการรุนแรงขึ้นมา ถ้าเล่นกันตามเกม แฟร์ๆ มันก็ไม่เกิดเหตุการณ์อะไรหรอก มันเป็นปัญหาโดยรวม มันถึงได้เกิด
เพราฉะนั้น สรุปโดยรวมว่าทุกคนต้องดูบอลเป็น รู้กติกา ทุกคนต้องมีหัวจิตหัวใจเป็นนักกีฬา แพ้เป็นแพ้ ชนะเป็นชนะ เราต้องเขียนคำว่าแพ้เป็นบ้าง ต้องรู้จัก กีฬาอะไรจะชนะอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้ อยู่ที่หัวจิตหัวใจของเราอย่างเพลง กีฬาๆ เป็นยาวิเศษ
• ซึ่งถ้าเรามองเป็นอย่างอื่น ก็จะส่งผลอย่างที่เกิดขึ้น
ก็เป็นยาพิษไป เพราะเล่นการพนันกัน เพราะเล่นกันไม่แฟร์ เล่นกันแบบไม่มีน้ำใจนักกีฬา ซึ่งหากปล่อยไว้ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่เรากำลังก้าวเข้าสู่รูปแบบการพัฒนาการเชียร์ถึงระดับโลก เราก็จะกลายเป็นเหมือนอย่างต่างประเทศที่มีข่าวกองเชียร์หัวรุนแรง ไม่พอใจ เขวี้ยงเลย ตีเลย จนถึงขั้นยกพวกตีกัน
ทีนี้ ปัญหามันอยู่ที่ความปลอดภัยในการจัดงาน จะทำกันได้มากน้อยขนาดไหนแค่นั้นเอง นิ้วไหนร้ายก็ต้องตัดมันทิ้งเป็นนิ้วๆ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องระหว่างประเทศ มันเสียหายหนักมาก ไม่ใช่บอลสโมสร แล้วประเทศเราต้องคุมให้ได้ดีที่สุด ถึงได้บอกว่าเราต้องกลับไปถามตัวเอง เชื่อว่าเราเคยเฝ้าฝันเหมือนสมัยก่อน อยากให้เกิดการเชียร์อย่างทุกวันนี้ที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจส่งให้ไทยแลนด์ของเรา เราจึงควรต้องมีสติ ไม่ใช่เตลิดเปิดเปิงเพื่อที่จะเอาชัยชนะอย่างเดียว เชียร์มันต้องมีหลักการ หลักเกณฑ์ ตรงไหนควรจะรุก หรือรับ ตอนไหนควรจะแผ่ว
• คุณกำลังจะบอกว่าการเชียร์ น่าจะต้องมีแกนนำทำเป็นแบบอย่างและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ต้องประมาณนั้น เพราะตอนนี้ กองเชียร์เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มแต่ละกลุ่ม หน่วยงานแต่ละหน่วยงาน ชมรมแต่ละชมรม เลยอาจจะมีความคิดเห็นหรือความรู้สึกที่แตกต่างกัน แต่ถ้าหากกลุ่มผู้นำแต่ละคน หรือใครเป็นผู้นำกองเชียร์ที่จะรับผิดชอบในเรื่องราวแบบนี้ได้ ตั้งกฎขึ้นมา อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ทำอันไหนแล้วดี อันไหนไม่ดี บริหารจัดการเรื่องนิสัยใจคอ อธิบาย คอยดูแลให้ชัดเจน เนื่องจากแต่ละกลุ่ม เรารู้กันอยู่แล้วว่าเรากลุ่มไหน ที่นั่งชั้นแถวเราก็จะซื้อในโซนละแวกเดียวกัน แตกต่างไป อยู่ไม่ได้หรอก ดูกับกลุ่มเพื่อนฝูง ถึงจะสนุก เรียกกันคุย ประชุมหารือกัน เราก็คุมพวกเขาได้
ที่จริง แฟนบอลบ้านเราไม่ได้มีจิตใจใฝ่ความรุนแรง ต่างประเทศเขารุนแรงกว่าเราอีก อย่างก่อนหน้านี้หลายๆ ปี จำได้ วันนั้นไปเชียร์ที่ประเทศมาเลเซีย ลงจากสนามบินได้ เข้าห้องพัก รีบแต่งตัวไปเพราะจะไม่ทัน จังหวะเข้าไปจะมีเรื่องกระทืบกัน แล้วรั้วเป็นรั้วลวดหนาม รั้วมันขย่มได้เลย ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลย แต่พอเราไป สามารถห้ามคนในสนามได้ เจ้าหน้าที่เขายังงง คือเรารู้ว่าหากเกิดมีเรื่อง ประเทศเสียหาย งานนี้ระดับประเทศ เรามาเพื่อใคร ทำอะไร ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องมีจิตวิญญาณในการทำ การพูด เขาทำ เราไม่ทำเหมือนที่เขา เขาเอาเลเซอร์ฉายใส่หน้า แต่เราต้องไม่
อีกครั้งก็ที่มาเลเซีย แต่ไม่ใช่ฟุตบอล เป็นเซปักตระกร้อ จะมีเรื่องกันให้ได้ ก็ห้ามทัพไว้ได้ พอการแข่งขันจบ เราชนะเขา แต่หัวหน้ากองเชียร์เขาเดินมากอดเรา นี่คือมิตรภาพ ทุกคนเฮหมด ทุกคนสวมกอดกันด้วยความดีใจ เราต้องสร้างระบบนี้ขึ้นมา นี่คือการเชียร์จากประสบการณ์ที่ผมได้มา
เพราะฉะนั้น คนที่เป็นกองเชียร์แล้วยุให้มีเรื่อง ผมว่าไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่นักเชียร์ที่แท้จริง ถ้าจริงๆ ต้องรู้จังหวะ เวล่ำเวลา เมื่อไหร่จะให้เขาสนุก เมื่อไหร่ตอนไหนจะรุก-รับ มันมีอย่างนี้ ตอนเราหงอยๆ เหงาๆ เราต้องสร้างพลังขึ้นมาให้นักกีฬาได้เห็นพวกเรา ว่าเรากำลังมา มาเพื่ออะไรกับพวกคุณ คุณอย่าหงอย อะไรอย่างนี้
เมื่อวานนี้ก็ได้ไปคุยงานเรื่องว่าจะทำชุดเชียร์ไทยเชียร์ไทยขึ้นมา ตั้งเป็นชมรมขึ้นมาก่อน แกนนำก็คือผม เราจะทำให้มันเป็นปึกแผ่นในการเชียร์ จะทำไปถึงเมืองนอกเมืองนา ใครที่อยากจะไปกับเรา เราจะใช้คำว่า “ช็อป ชิม เชียร์” คุณอาจจะไปฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ก็ได้ อาจจะไปอยู่กับผม โรงแรมหรูๆ กินดีๆ ช็อปดีๆ ก็ได้ ถ้าได้สิทธิ์นั้น ไปกันแบบครอบครัว มีระบบระเบียบในการเชียร์ ไมใช่ว่าต้องเอากองเชียร์ที่ว่าต้องชนะอย่างเดียวไป แต่ให้ไปดู ไปศึกษา ไปให้กำลังใจ เชียร์อย่างมีสติ เชียร์อย่างนักเชียร์ เพื่อให้กำลังใจกับนักกีฬา อันนี้คือกฎเหล็กของเรา
• อยากฝากบอกอะไรนักเชียร์ที่ทำให้เกิดเรื่องตรงนี้ขึ้นมาหรือนักเชียร์อีกจำนวนหนึ่งซึ่งนิยมเชียร์รุนแรง
ที่เขาจุดกัน (พลุ) ผมว่าเขาสติแตก ลืมหรือไม่รู้ว่ามันผิดขนาดไหน โดนปรับขนาดไหน โดนสั่งห้ามเตะกี่ปี และเราก็ไม่ได้ประกาศให้เขารู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ในรายละเอียด เขารู้อย่างเดียวว่าห้ามเอาน้ำแข็งเข้าไป ห้ามเอาของแข็งเข้าไป ห้ามเอาขวดน้ำเข้าไป ให้เทน้ำใส่แก้ว ห้ามพกอาวุธ ธงชาติก็เข้าไปไม่ได้ในต่างประเทศ เพราะด้ามเป็นเหล็ก นี่คือหลักๆ ที่รับรู้กัน อีกสาเหตุหนึ่ง
แต่ที่สำคัญอยากให้มีสติ ตัวนี้สำคัญเลย ไม่ต้องเป็นเหมือนผมก็ได้ ไม่ต้องเอาเยี่ยงอย่างผม ถ้าเราอยากจะเป็นนักเชียร์ที่ดี ตั้งสตินิดหนึ่ง อะไรผิดอะไรถูก มันเกินไปไหม ทำแบบนี้แล้วมันเดือดร้อนใครไหม เกิดมันระเบิดขึ้นมา โดนใคร โดนลูกหลานเรา พวกเราเองทั้งนั้น ใจเขาใจเรา น้ำใจนักกีฬา