ชาวไทยยังคงเศร้าโศก พสกนิกรทุกหมู่เหล่าจากทั่วทุกภูมิภาคเดินทางมาร่วมถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นวันที่ 13 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
แม้ชาวไทยทั้งประเทศจะสูญเสีย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถึง 29 วันแล้วก็ตาม แต่คนไทยทุกคนก็ยังคงเศร้าโศกและทำใจไม่ได้ต่อการสวรรคตของในหลวง รัชกาลที่ 9 ธ ผู้ทรงคุณอเนกอนันต์ต่อผืนแผ่นดินไทย
วันนี้ (10 พ.ย.) เวลา 05.00 น. สำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ 13 ของการเปิดให้ประชาชนขึ้นไปสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จึงมีประชาชนเรือนหมื่นจากทั่วทุกสารทิศที่ต่างมีหัวใจดวงเดียวกัน แต่งชุดดำไว้ทุกข์มุ่งหน้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อทำหน้าที่ลูกที่ดีเป็นครั้งสุดท้าย
นายแฮมมิล ไมเคิล เดวิด อายุ 46 ปี ชาวออสเตรเลีย เดินเท้าแสดงความอาลัยถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จาก อ.สมุย จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. และมาถึงหน้าพระบรมมหาราชวัง ในช่วงกลางคืนของวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา รวมระยะทางกว่า 900 กม. โดยมาพร้อมกับพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่เขียนคำว่า “Walk for king” ถือไว้เบื้องหน้า และสะพายกระเป๋าเดินทางแบ็กแพ็กคู่ใจมาเพียงลำพัง โดยมี นายเมธีพิพัฒน์ เข้มตระกูล อาสากู้ภัยป่อเต็กตึ๊งตลาดพลู 068 ที่ทำหน้าที่ให้การดูแลประชาชนบริเวณสนามหลวง ได้พบเห็นและพามาแจ้งกับเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง เพื่อเข้ากราบสักการะพระบรมศพ
นายแฮมมิล กล่าวว่า เพิ่งเคยเดินทางมาประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยเดินทางมาช่วงหยุดพักผ่อนเป็นเวลา 2 เดือน ระหว่างที่อยู่ที่นี่ได้เห็นประชาชนคนไทยรักในหลวง รัชกาลที่ ๙ มาก พอมีประกาศว่าพระองค์เสด็จสวรรคตเป็นช่วงเวลาที่เห็นคนไทยทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศแสดงความโศกเศร้าในการสูญเสียพระองค์ แม้ตัวเองจะรู้เรื่องราวของพระองค์ท่านน้อยมาก แต่ขณะที่กำลังอยู่ในเมืองไทย จึงอยากทำอะไรสักอย่างที่เป็นการแสดงความอาลัยเลยเลือกที่จะเดินเท้ามาเพื่อกราบสักการะพระบรมศพ และขอแสดงความเสียใจต่อคนไทยทุกคน ขณะที่ได้เข้าไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ก้มลงกราบพระบรมศพ สิ่งที่คิดก็คงเหมือนชาวไทยทุกคนระลึกถึงว่าพระองค์ทรงทำอะไรหลายอย่างให้แก่ประชาชนของท่านไว้มากมาย ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ว่าเหตุใดเราจึงต้องทำแบบนี้ และเหตุใดถึงรักเมืองไทย เพราะหลังจากนี้ คิดอยากจะใช้ชีวิตในประเทศไทยจนวันสุดท้ายของชีวิต จากนี้ขอเดินชมรอบๆ พระบรมมหาราชวัง ก่อนเดินทางท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ จนกว่าจะได้งานทำที่สมุยแล้วค่อยเดินทางกลับ
ด้าน น.ส.ทัศนีย์ มลาราม อายุ 52 ปี ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) สาขาประสาทเมืองใหม่ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ กล่าวภายหลังเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ว่า ตนและเพื่อนร่วมงานตั้งใจเดินทางมากราบสักการะพระองค์ที่ทรงเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจพอเพียง และทรงเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตแบบพอเพียงให้กับประชาชน โดยส่วนตัวและครอบครัว ก็ได้น้อมนำหลักของพระองค์มาใช้ในชีวิตประจำวัน และด้วยหน้าที่ก็ได้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ไปดูแลช่วยเหลือเกษตรกรในการทำเกษตรแบบพอเพียง
ขณะที่ นางสนิท เปลี่ยนดี อายุ 63 ปี ชาวบ้าน หมู่ 9 ต.กกแรต อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย เดินทางมากับเพื่อนบ้าน หมู่ 1 ต. บ้านใหม่ กล่าวว่า รู้สึกตื้นตันใจไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้จะได้มีโอกาสเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างแท้จริง ฝนก็ไม่ตก แดดก็ไม่ร้อน ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกเสียใจไม่รู้ว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างไร ดูทีวียิ่งเห็นว่าพระองค์ทำประโยชน์ให้กับประชาชนเยอะแยะมากมาย เมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค. น้ำท่วมที่ อ.กงไกรลาศ ก็ได้รับถุงพระราชทานของพระองค์ที่พระราชทานไปช่วยเหลือประชาชน พระองค์ท่านเหมือนตัวแทนพระพุทธเจ้าของพวกเรา พวกเราก็จะทำความดีสนองพระคุณของพระองค์ตลอดจนชีวิตจะหาไม่