ท่ามกลางความรู้สึกโศกเศร้าเพราะการสูญเสียอันใหญ่หลวงที่สะเทือนใจปวงชนชาวไทย สิ่งหนึ่งซึ่งสร้างความปลาบปลื้มในจิตใจเมื่อได้เห็น คือคนไทยทุกหมู่เหล่าพร้อมใจลุกขึ้นมาทำความดีเพื่อพ่อ และหนึ่งในนั้นก็คือ “วินมอเตอร์ไซค์ไม่รับจ้าง” อาสารับส่งฟรี สำหรับประชาชนที่เดินทางมาแสดงความไว้อาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ พาไปเปิดใจ ถามไถ่ความรู้สึกนึกคิดของบรรดาสารถีสองล้อ ซึ่งแม้จะห้อกันมาจากต่างที่ต่างถิ่น แต่ถ้าถามถึงหัวใจและจิตวิญญาณแล้วนั้น ... ต่างมีหัวใจดวงเดียวกัน ...
“พระองค์ท่านสู้และทำเพื่อเราประชาชนกว่า 70 ล้านคนทั่วประเทศตลอดชีวิตของพระองค์ท่านให้มีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดี แล้วเราจะทำเพื่อท่านบ้างไม่ได้เลยหรือ”
ปอย-สุทธิพงศ์ ประดับสิริพรหม หนุ่มใหญ่มือกีตาร์ประจำร้านอาหารบ้านคลองเพลง 1 ย่านรังสิต ศิลปินเจ้าของเพลง “คนเบิกทาง” และขับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างบางครั้งคราว กล่าวถึงเหตุผลที่เสียสละเวลา มาอาสาบริการรับ-ส่งประชาชนที่ประสงค์จะเดินทางไปร่วมเคารพพระพรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
“เรามีทุกอย่างวันนี้ได้ก็เพราะพระองค์ท่าน เราเกิดมาก็เห็นท่านเหนื่อย ท่านทรงงานตลอด ช่วยประชาชนตลอด พระราชกรณียกิจต่างๆ ของท่านไม่เคยเว้นว่าง เราถึงได้มีวันนี้กันได้ ที่ทำตรงนี้ถือว่าน้อยมากเลย รวมครอบครัวที่เป็นตระกูลรับราชการทหาร พี่ชายคนหนึ่งก็เสียในสนามรบ อีกคนก็เป็นนายทหารจนเกษียณแล้วตาย หรือการที่ก่อนหน้านี้ ผมเป็นอาสาสมัครตำรวจรับใช้พี่น้องประชาชนอยู่ที่เขตบางนา 6-7 ปี อยู่กับการเป็นข้าราชบริพารพลเรือนเล็กๆ ช่วยรับใช้ท่าน ยังไม่ได้ถึงธุลีฝุ่นของพระบาทท่านสักนิดที่พระองค์ทรงทำพระองค์เดียว”
และด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้ออกมาร่วมกับเพื่อนที่เป็นมือเบสแบ็คอัปให้กับศิลปินชื่อดังอย่าง “บิว เดอะสตาร์” ที่บริเวณท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศ ตั้งแต่เช้าจนถึงมืดค่ำ เป็นระยะเวลากว่า 4 วันแล้ว
“พระองค์คือร่มโพธิ์ร่มไทร ราชวงศ์จักรีเหมือนสถาบัน ทุกบ้าน ถ้าไม่มีพ่อมีแม่ มันไม่ใช่สถาบัน เราอาจะกำพร้าพ่อกำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก แต่ว่าสิ่งสุดท้ายแล้วต้องมีจุดใดจุดหนึ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ สถาบันหรือครอบครัวคือที่กำเนิดเกิดฝังรกราก จุดใดจุดหนึ่งที่จะเป็นที่ยึดเหนียวของลูก ในหลวงคือพ่อของคนทั้งประเทศ และของโลก King of The King อันนี้คือเรื่องจริง ไม่มีใครสามารถที่จะเปรียบองค์ท่านได้เลย
“หนึ่งปี ตรงนี้ถ้าทำได้ก็จะไว้ทุกข์ให้ท่าน แล้วก็ทำตลอดไป นำคำสอนของท่านมาใช้ในชีวิต ถ่ายทอดเรื่องราวของท่านสู่ลูกหลานผ่านเรื่องเล่า เช่น บทเพลงอย่างเพลง “หัวอกพ่อ” ที่แต่งกำลังเสร็จ และถึงแม้ว่าภารกิจตรงนี้จะจบลง แต่ก็จะทำต่อไปในอนาคต อะไรที่เป็นกุศลหรือสิ่งที่ทำให้คนไทยด้วยกันได้ จะทำให้ท่าน ถวายเป็นพระราชกุศลให้พระองค์ เนื่องจากที่ผ่านมา เราหลงลืม พอเสียท่านไป เราถึงได้ตระหนัก อย่างเด็กวัยรุ่นที่ได้ไปรับไปส่ง ผมจะสอบถามหมดว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร ทั้งๆ ที่อายุเขาน้อย อาจจะเกิดในปลายรัชสมัย แต่คำตอบของพวกเขานั้นทุกคน ตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ในหลวงคือที่สุดของหัวใจ คือพ่อ พ่อผู้ที่มอบแต่ความรักและสิ่งดีๆ
“เราได้ยินอย่างนั้นก็ชื่นใจทุกครั้ง ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้ง 4 วันแล้วที่มาอาสาอยู่ตรงนี้ แม้จะขาดรายได้ไปส่วนหนึ่ง อดบางมื้อบ้าง แต่มันกลับอิ่มโดยไม่หิว เพราะท่านยังพระปรีชาสามารถทำหลายๆ อย่างโดยไม่เหน็ดเหนื่อยและหยุดพักกว่า 70 ปี เราก็ต้องทำได้ ท่านทำแต่ความสุขให้ประชาชนที่ท่านรัก เราก็เป็นหนึ่งในคนที่รักพระองค์ท่าน เราทำให้พี่น้องประชาชน ประชาชนที่ท่านรัก”
เช่นเดียวกับสองสิงห์นักศึกษา “พี-พีระศิลป์ จิตรภาษย์” นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา คณะคุรุศาสตร์ ชั้นปีสุดท้าย และ “อาร์ม-ธนดล ไตรโชคแสงศรี” วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก กรุงเทพฯ ที่จับมือร่วมกันกับเพื่อนๆ อีก 3-4 คน อาสารับส่งฟรีแก่ประชาชนที่ต้องการเดินทางไปเข้าร่วมเคารพพระบรมศพ ณ ท้องสนามหลวง บริเวณช่วงไหล่ทางก่อนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
“เราไม่อยากให้ท่านเห็นประชาชนต้องลำบากอีก หลังจากที่ท่านสวรรคตไป สักครั้งหนึ่งที่ทำเพื่อตอบแทนพระองค์ท่าน แล้วก็อยากจะตามรอยพระยุคลบาทของพระองค์ท่านที่ท่านตรากตรำช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอด ก็เลยเลือกที่จะมาช่วยตรงเรื่องนี้”
และการช่วยเหลือตรงนี้ก็เหมือนเป็นจุดเริ่มที่ทำให้อยากทำความดีต่อยอดเรื่อยๆ ด้วยความกตัญญูต่อพ่อหลวงสืบไป
“ก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ ที่เราทำได้ เราไม่รวย เราก็ช่วยเรื่องแรง เรื่องความสามารถ เราคุยกันแล้วว่าจะตั้งใจทำในความถนัดของเรา อย่างเรียนครู ต่อไปในอนาคต นอกจากสอนให้เด็กๆ มีความรู้ความสามารถแล้ว ก็จะมุ่งให้เขาเป็นคนดีด้วย อย่างที่พระองค์ท่านเคยตรัสไว้ว่า ขอฝากเด็กๆ ด้วยนะ ช่วยสอนให้เขาเป็นคนดี ผมก็จะน้อมนำคำตรัสของท่านมาดำเนินชีวิตและตั้งใจทำดีโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใดๆ เพราะพระองค์ทรงเป็นต้นแบบอย่า
“น้องผมเรียนช่างกลโรงงานก็เหมือนกัน จะนำความรู้และวิชาที่ได้รับแล้วเอาพระองค์เป็นต้นแบบในการประพฤติตัวและทำงาน เพื่อพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างที่ท่านได้ทำให้เราเติบโตตลอดระยะเวลาครองราชย์ เพื่อให้พระองค์ท่านภาคภูมิในสิ่งที่พระองค์ท่านทำและให้พระองค์ท่านรับรู้ว่าจะไม่มีวันสูญเปล่า”
ไม่ต่างไปจาก “พลู-ณัฐพล นามแดง” วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างสี่แยก 70 ไร่ ย่านคลองเตยและลูกจ้างรายปีการไฟฟ้านครหลวง ที่แม้จะเพิ่งเข้ามาอาสารับส่งผู้โดยสารฟรี แต่ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพ่อหลวง ผู้ดั่งจุดประกายชีวิตให้สดใส หลังเสร็จภารกิจส่วนตัวและร่วมทีมอาสาแจกจ่ายเสบียงยาอาหารจนเพียงพอแล้ว เขาก็ไม่เลือกที่จะหยุดยุติบทบาท กลับยังคงแน่วแน่ถวายความดีเพื่อนายหลวงจนชีวิตจะหาไม่
“ก็จะทำจนกว่าจะไม่มีแรง ไม่มีลมหายใจ เพราะผมเกิดและเติบโตที่คลองเตย ซึ่งใครก็รู้ว่าย่านนั้นเป็นอย่างไร เพื่อนๆ ผม 15 คนในกลุ่ม ติดยาหมดทุกคน แต่ที่ผมมีวันนี้ได้เพราะพระองค์ท่าน เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่าง การที่ทำตรากตรำทำงาน การที่ท่านช่วยเหลือพสกนิกร ทำให้อา ทำให้ลุง ของผม เดินตามรอยท่านเป็นอาสาดับเพลิง อาสาร่วมกตัญญู ผมก็ได้รับแรงบันดาลใจ เติบโตมากับสังคมช่วยเหลือจากท่านโดยอ้อม ผมจึงนับว่ามีชีวิตได้ดีอย่างวันนี้ก็เพราะพระองค์ท่าน
“ผมเลยมาอยู่ตรงนี้ มาทำตรงนี้ต่อ หลังจากวันแรก วันศุกร์ที่ 14 และวันเสาร์ที่ 15 มาในฐานะเป็นอาสากู้ภัยช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับคนเจ็บไข้ได้ป่วย ควบกับทำอาหารที่มูลนิธิมาแจกจ่าย เพราะมันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ในหลวงท่านทำ ท่านทำตั้งแต่เรายังไม่เกิดทันเกิดด้วยซ้ำ หรือทำจนกระทั่งบางคนไม่อยู่แล้ว เราโตมาเราเห็นท่านทรงออกงาน เหนื่อย ขึ้นเขาลงห้วยก็ไม่เคยท้อ ตอนที่ท่านประชวรก็ยังทรงงาน แล้วทำไมคนอย่างพวกเรากับเรื่องเล็กๆ เราจะทำให้พระองค์ท่านบ้างไม่ได้”
“ไม่ใช่กระแส ไม่ใช่การเพื่อหวังสิ่งตอบแทนใดๆ” ณัฐพล กล่าวมั่นยืนยันด้วยน้ำเสียงสั่นเครือของลูกผู้ชายที่น้ำตาตกใน
“ท่านเปรียบเสมือนพ่อ ท่านคือพ่อคนที่สองสำหรับ แล้วชีวิตผมดีขึ้นเพราะท่าน ผมเลยรักท่านมาก พอมาทราบข่าวท่านเสด็จสวรรคต วินาทีนั้นกำลังขับวินมอเตอร์ไซค์อยู่ ไม่มีกำลังใจ ไม่มีกะจิตกะใจขับต่อเลย จู่ๆ น้ำตามันก็ไหลออกมา เชื่อว่าไม่ใช่เราคนเดียว ประชาชนทั้งประเทศก็รักเพราะองค์มากทุกคน การสูญเสียครั้งนี้มันใหญ่หลวง แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นบทเรียนให้เรากลับมารักกัน ทำดี อย่างที่พ่อเคยปรารถนา
“ก็จริงที่ว่าอาจจะสายไป แต่อย่างน้อยๆ ท่านจะได้รับรู้ว่า สิ่งที่ท่านทำและสอนยังคงอยู่และดำเนินขับเคลื่อนต่อไป ก็อยากให้เราพี่น้องคนไทยร่วมกันทำอย่างนี้ รักกันอย่างนี้ สามัคคีกันอย่างนี้ หลังจากนี้ ถ้าในหลวงท่านมองลงมาจากฟ้า ท่านก็คงดีใจ ที่เรารักกัน ปองดองกัน
“และไม่มีครั้งสุดท้ายสำหรับในหลวงรัชกาลที่ 9 คำว่าครั้งสุดท้ายจะไม่มี ทุกองค์รัชกาล ไม่มีใครลืมได้ เราจำพระนามท่านได้หมด จำพระราชกรณียกิจที่ท่านทำเพื่อปวงชนไม่ลืม แต่ว่าเราเกิดมาในรัชกาลที่ 9 เราซึมซับในในหลวง รู้ว่าท่านทำอะไรลำบากยากเย็น ศึกษามาตั้งแต่เป็นเด็กเล็กน้อย พ่อแม่ครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอนมา ผมบอกได้เลยในหลวงรัชกาลที่ 9 ธ จะสถิตอยู่ในดวงใจไม่มีวันเลือนหาย”
เป้-มนูญ แจ่มดี หนึ่งในหัวเรือใหญ่ที่ร่วมก่อตั้งศูนย์อาสาบริการรับส่งฟรี ซึ่งนับว่าเป็นจุดใหญ่จุดหนึ่งมีอาสากว่าเกือบ 400 คนให้บริการแก่พี่น้องหน้าหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนินเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา กล่าวเสริม
“ที่นี่ ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ มากันด้วยใจล้วนๆ มันคือครั้งหนึ่งในชีวิตของคนไทย ที่จะแสดงออกแบบ ที่จะมาร่วมกลุ่มกันแบบนี้ มีจิตใจที่จะอาสารับส่งคนโน้นคนนี้ โดยที่เราออกค่าใช้จ่ายเองทุกอย่าง น้ำมัน ยางรั่วปะ แต่ถือว่าน้อยมากถ้าจะทำให้ท่าน คนอื่นทำมากกว่า เราก็ทำตามกำลัง แต่ใจเต็มร้อยทุกคน ไม่ใช่กระแส ไม่มีใครมาเกาะแล้วอยู่เฉยๆ สนุกสนานเฮฮากับเพื่อนไป เขาวิ่งกันไม่หยุดเลย ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงคืนกว่าที่คนทยอยกลับหมดแล้ว ตก 40 รอบ ครึ่งร้อยกว่ารอบ
“ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันจริงๆ พอเขารู้ข่าว เขาเห็น เขาก็มาร่วมด้วยช่วยกัน จากวันแรก 6-7 คัน ตอนนี้ก็ 400 กว่าคันได้แล้ว และพอมา เขาก็ช่วยกันกระจายข้อมูล ในกลุ่มรถ YAMAHA NMAX CLUB THAILAND ก็ช่วยกันปริ๊นท์กระดาษติด “ทำดีเพื่อพ่อหลวง” มาติดประกาศให้ประชาชนได้รับทราบ บางคนก็ติดมาพร้อมเองเลย ขับมาขอเข้าร่วม เนื่องจากจุดนี้เป็นจุดแรกที่ประชาชนเดินทางมาถึง จะต้องเดินเท้าผ่าน ถึงได้บอกว่าเรามาด้วยใจกันจริงๆ ไม่มีแอบแฝง
“เมื่อวานก่อน ฝนตก เราก็วิ่งฝ่าสายฝนให้ประชาชนที่ประสงค์ต้องการจะเดินทางไป ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ดี ถ้าคนคิดได้อีกสัก 100 คน 1,000 คน จากเศษผงทองรวมกันมันก็จะเป็นก้อนทอง”
ช่างเครื่องเสียงร้านอาหารแคนสยามบางบอน แจกแจงรายละเอียดเบื้องหลังการถวายงานสนองยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ประหนึ่ง “พ่อ” คนที่สองอย่างที่คำพูดมิอาจถ่ายทอดได้หมด
“ทุกครั้งที่วิ่งเข้าไปข้างใน จะรู้สึกแน่นตันที่หน้าอกทุกครั้งเมื่อเห็นภาพบรรยากาศ ซึ่งทำให้ตระหนักถึงความดีและคำสอนของท่าน และแรงผลักให้ทำดีต่อไปไม่หยุด เริ่มที่ตัวเองปฏิญาณจะประพฤติดี ไม่ทำให้สังคมเดือนร้อน และจะช่วยเหลือสังคมเท่าที่เราจะช่วยเหลือได้ รักกัน ทำดีแก่กัน เพื่อถวายแก่พระองค์ท่าน พ่อของเราผู้ที่เหนื่อยยากเพื่อเราตลอดมา
“ท่านทำให้ผมรับรู้ถึงคำชมและรอยยิ้มอย่างเมตตา”
“เอิร์ท - อรรถพล ฉิมงามขำ” อดีตเด็กแว้นหนุ่มวัย 17 ปี และ “วุฒิ - วุฒิชัย ม่วงทอง” นักศึกษามหาวิทยาลัยราชมงคลสุวรรณภูมิชั้นปีที่ 1 เล่าถึงการทำความดีในครั้งนี้ถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
“คือผมไม่เคยทำความดีเลย ไม่เคยเชื่อเลยที่พ่อบอกพ่อสอนให้ทำดี เป็นคนดี ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เกเร เป็นเด็กแว้นพูดง่ายๆ ในสายตาคนอื่นที่มองมา ก็ไม่ดี ทั้งๆ ที่เรื่องราวต่างๆ ของพระองค์ พระองค์ท่านทำให้กับเรามากมาย เรามีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ ที่ทำกิน ที่หลับที่นอน พระองค์ทั้งนั้นที่อยู่เบื้องหลังทำให้เกิดขึ้น 70 ปี ที่ผมรู้น้อยมาก ก่อนจะถึง ณ วันนี้ ตอนนี้ วันที่ท่านไม่อยู่แล้ว ครั้งสุดท้ายที่เราคิดจะทำเพื่อท่าน แต่ท่านก็ยังคงทำให้เรารู้ ท่านยังคงทำให้เราจนนาทีนี้ ทำให้ชีวิตผมได้รับรู้ถึงคำว่าความดี รับรู้ถึงความเมตตา รอยยิ้ม คำชมจากคนรายรอบตัว
“ก็ได้รู้ถึงคำตอบว่าทำไมพี่ๆ เขาถึงมากัน ทำไมเขาถึงทำเรื่องดีๆ กัน อย่างไม่เขิน ไม่อาย ก็ขอสัญญาว่าจะทำดีตลอดไป เพราะว่าท่านก็เหนื่อยมามากแล้ว แล้วรอดูสิ่งที่เราทำ ผลที่ได้รับการถ่ายทอดจากท่านว่าจะเป็นอย่างไร ทำได้มากน้อยแค่ไหน
“ต่อจากนี้เป็นไม้ผลัดของเรา ที่เราจะต้องร่วมมือกัน คิดว่าท่านก็คงบรรลุในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งก็อยากให้เราช่วยกันทำความดีแก่กันให้มากๆ ทำความดีกันเยอะๆ อย่างที่พ่อสอน เพราะพ่อสอนให้เราทำดี ไม่ใช่เพื่อตัวใครหรือตัวท่าน แต่เพื่อตัวเราเอง ถ้าเราทำอย่างนี้กันต่อไปทุกๆ คน พระองค์ก็จะไม่ทรงผิดหวังในประชาชนที่ท่านรัก ในลูกๆ ของท่าน
“แม้ว่าพระองค์ท่านพ่อหลวงจะจากไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อใดที่มองขึ้นบนฟ้า เราก็สามารถบอกกับท่านได้ และท่านก็จะสามารถรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ครับ ว่าเรารักท่านมากเพียงใด”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ พาไปเปิดใจ ถามไถ่ความรู้สึกนึกคิดของบรรดาสารถีสองล้อ ซึ่งแม้จะห้อกันมาจากต่างที่ต่างถิ่น แต่ถ้าถามถึงหัวใจและจิตวิญญาณแล้วนั้น ... ต่างมีหัวใจดวงเดียวกัน ...
“พระองค์ท่านสู้และทำเพื่อเราประชาชนกว่า 70 ล้านคนทั่วประเทศตลอดชีวิตของพระองค์ท่านให้มีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดี แล้วเราจะทำเพื่อท่านบ้างไม่ได้เลยหรือ”
ปอย-สุทธิพงศ์ ประดับสิริพรหม หนุ่มใหญ่มือกีตาร์ประจำร้านอาหารบ้านคลองเพลง 1 ย่านรังสิต ศิลปินเจ้าของเพลง “คนเบิกทาง” และขับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างบางครั้งคราว กล่าวถึงเหตุผลที่เสียสละเวลา มาอาสาบริการรับ-ส่งประชาชนที่ประสงค์จะเดินทางไปร่วมเคารพพระพรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
“เรามีทุกอย่างวันนี้ได้ก็เพราะพระองค์ท่าน เราเกิดมาก็เห็นท่านเหนื่อย ท่านทรงงานตลอด ช่วยประชาชนตลอด พระราชกรณียกิจต่างๆ ของท่านไม่เคยเว้นว่าง เราถึงได้มีวันนี้กันได้ ที่ทำตรงนี้ถือว่าน้อยมากเลย รวมครอบครัวที่เป็นตระกูลรับราชการทหาร พี่ชายคนหนึ่งก็เสียในสนามรบ อีกคนก็เป็นนายทหารจนเกษียณแล้วตาย หรือการที่ก่อนหน้านี้ ผมเป็นอาสาสมัครตำรวจรับใช้พี่น้องประชาชนอยู่ที่เขตบางนา 6-7 ปี อยู่กับการเป็นข้าราชบริพารพลเรือนเล็กๆ ช่วยรับใช้ท่าน ยังไม่ได้ถึงธุลีฝุ่นของพระบาทท่านสักนิดที่พระองค์ทรงทำพระองค์เดียว”
และด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้ออกมาร่วมกับเพื่อนที่เป็นมือเบสแบ็คอัปให้กับศิลปินชื่อดังอย่าง “บิว เดอะสตาร์” ที่บริเวณท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศ ตั้งแต่เช้าจนถึงมืดค่ำ เป็นระยะเวลากว่า 4 วันแล้ว
“พระองค์คือร่มโพธิ์ร่มไทร ราชวงศ์จักรีเหมือนสถาบัน ทุกบ้าน ถ้าไม่มีพ่อมีแม่ มันไม่ใช่สถาบัน เราอาจะกำพร้าพ่อกำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก แต่ว่าสิ่งสุดท้ายแล้วต้องมีจุดใดจุดหนึ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ สถาบันหรือครอบครัวคือที่กำเนิดเกิดฝังรกราก จุดใดจุดหนึ่งที่จะเป็นที่ยึดเหนียวของลูก ในหลวงคือพ่อของคนทั้งประเทศ และของโลก King of The King อันนี้คือเรื่องจริง ไม่มีใครสามารถที่จะเปรียบองค์ท่านได้เลย
“หนึ่งปี ตรงนี้ถ้าทำได้ก็จะไว้ทุกข์ให้ท่าน แล้วก็ทำตลอดไป นำคำสอนของท่านมาใช้ในชีวิต ถ่ายทอดเรื่องราวของท่านสู่ลูกหลานผ่านเรื่องเล่า เช่น บทเพลงอย่างเพลง “หัวอกพ่อ” ที่แต่งกำลังเสร็จ และถึงแม้ว่าภารกิจตรงนี้จะจบลง แต่ก็จะทำต่อไปในอนาคต อะไรที่เป็นกุศลหรือสิ่งที่ทำให้คนไทยด้วยกันได้ จะทำให้ท่าน ถวายเป็นพระราชกุศลให้พระองค์ เนื่องจากที่ผ่านมา เราหลงลืม พอเสียท่านไป เราถึงได้ตระหนัก อย่างเด็กวัยรุ่นที่ได้ไปรับไปส่ง ผมจะสอบถามหมดว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร ทั้งๆ ที่อายุเขาน้อย อาจจะเกิดในปลายรัชสมัย แต่คำตอบของพวกเขานั้นทุกคน ตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ในหลวงคือที่สุดของหัวใจ คือพ่อ พ่อผู้ที่มอบแต่ความรักและสิ่งดีๆ
“เราได้ยินอย่างนั้นก็ชื่นใจทุกครั้ง ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้ง 4 วันแล้วที่มาอาสาอยู่ตรงนี้ แม้จะขาดรายได้ไปส่วนหนึ่ง อดบางมื้อบ้าง แต่มันกลับอิ่มโดยไม่หิว เพราะท่านยังพระปรีชาสามารถทำหลายๆ อย่างโดยไม่เหน็ดเหนื่อยและหยุดพักกว่า 70 ปี เราก็ต้องทำได้ ท่านทำแต่ความสุขให้ประชาชนที่ท่านรัก เราก็เป็นหนึ่งในคนที่รักพระองค์ท่าน เราทำให้พี่น้องประชาชน ประชาชนที่ท่านรัก”
เช่นเดียวกับสองสิงห์นักศึกษา “พี-พีระศิลป์ จิตรภาษย์” นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา คณะคุรุศาสตร์ ชั้นปีสุดท้าย และ “อาร์ม-ธนดล ไตรโชคแสงศรี” วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก กรุงเทพฯ ที่จับมือร่วมกันกับเพื่อนๆ อีก 3-4 คน อาสารับส่งฟรีแก่ประชาชนที่ต้องการเดินทางไปเข้าร่วมเคารพพระบรมศพ ณ ท้องสนามหลวง บริเวณช่วงไหล่ทางก่อนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
“เราไม่อยากให้ท่านเห็นประชาชนต้องลำบากอีก หลังจากที่ท่านสวรรคตไป สักครั้งหนึ่งที่ทำเพื่อตอบแทนพระองค์ท่าน แล้วก็อยากจะตามรอยพระยุคลบาทของพระองค์ท่านที่ท่านตรากตรำช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอด ก็เลยเลือกที่จะมาช่วยตรงเรื่องนี้”
และการช่วยเหลือตรงนี้ก็เหมือนเป็นจุดเริ่มที่ทำให้อยากทำความดีต่อยอดเรื่อยๆ ด้วยความกตัญญูต่อพ่อหลวงสืบไป
“ก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ ที่เราทำได้ เราไม่รวย เราก็ช่วยเรื่องแรง เรื่องความสามารถ เราคุยกันแล้วว่าจะตั้งใจทำในความถนัดของเรา อย่างเรียนครู ต่อไปในอนาคต นอกจากสอนให้เด็กๆ มีความรู้ความสามารถแล้ว ก็จะมุ่งให้เขาเป็นคนดีด้วย อย่างที่พระองค์ท่านเคยตรัสไว้ว่า ขอฝากเด็กๆ ด้วยนะ ช่วยสอนให้เขาเป็นคนดี ผมก็จะน้อมนำคำตรัสของท่านมาดำเนินชีวิตและตั้งใจทำดีโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใดๆ เพราะพระองค์ทรงเป็นต้นแบบอย่า
“น้องผมเรียนช่างกลโรงงานก็เหมือนกัน จะนำความรู้และวิชาที่ได้รับแล้วเอาพระองค์เป็นต้นแบบในการประพฤติตัวและทำงาน เพื่อพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างที่ท่านได้ทำให้เราเติบโตตลอดระยะเวลาครองราชย์ เพื่อให้พระองค์ท่านภาคภูมิในสิ่งที่พระองค์ท่านทำและให้พระองค์ท่านรับรู้ว่าจะไม่มีวันสูญเปล่า”
ไม่ต่างไปจาก “พลู-ณัฐพล นามแดง” วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างสี่แยก 70 ไร่ ย่านคลองเตยและลูกจ้างรายปีการไฟฟ้านครหลวง ที่แม้จะเพิ่งเข้ามาอาสารับส่งผู้โดยสารฟรี แต่ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพ่อหลวง ผู้ดั่งจุดประกายชีวิตให้สดใส หลังเสร็จภารกิจส่วนตัวและร่วมทีมอาสาแจกจ่ายเสบียงยาอาหารจนเพียงพอแล้ว เขาก็ไม่เลือกที่จะหยุดยุติบทบาท กลับยังคงแน่วแน่ถวายความดีเพื่อนายหลวงจนชีวิตจะหาไม่
“ก็จะทำจนกว่าจะไม่มีแรง ไม่มีลมหายใจ เพราะผมเกิดและเติบโตที่คลองเตย ซึ่งใครก็รู้ว่าย่านนั้นเป็นอย่างไร เพื่อนๆ ผม 15 คนในกลุ่ม ติดยาหมดทุกคน แต่ที่ผมมีวันนี้ได้เพราะพระองค์ท่าน เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่าง การที่ทำตรากตรำทำงาน การที่ท่านช่วยเหลือพสกนิกร ทำให้อา ทำให้ลุง ของผม เดินตามรอยท่านเป็นอาสาดับเพลิง อาสาร่วมกตัญญู ผมก็ได้รับแรงบันดาลใจ เติบโตมากับสังคมช่วยเหลือจากท่านโดยอ้อม ผมจึงนับว่ามีชีวิตได้ดีอย่างวันนี้ก็เพราะพระองค์ท่าน
“ผมเลยมาอยู่ตรงนี้ มาทำตรงนี้ต่อ หลังจากวันแรก วันศุกร์ที่ 14 และวันเสาร์ที่ 15 มาในฐานะเป็นอาสากู้ภัยช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับคนเจ็บไข้ได้ป่วย ควบกับทำอาหารที่มูลนิธิมาแจกจ่าย เพราะมันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ในหลวงท่านทำ ท่านทำตั้งแต่เรายังไม่เกิดทันเกิดด้วยซ้ำ หรือทำจนกระทั่งบางคนไม่อยู่แล้ว เราโตมาเราเห็นท่านทรงออกงาน เหนื่อย ขึ้นเขาลงห้วยก็ไม่เคยท้อ ตอนที่ท่านประชวรก็ยังทรงงาน แล้วทำไมคนอย่างพวกเรากับเรื่องเล็กๆ เราจะทำให้พระองค์ท่านบ้างไม่ได้”
“ไม่ใช่กระแส ไม่ใช่การเพื่อหวังสิ่งตอบแทนใดๆ” ณัฐพล กล่าวมั่นยืนยันด้วยน้ำเสียงสั่นเครือของลูกผู้ชายที่น้ำตาตกใน
“ท่านเปรียบเสมือนพ่อ ท่านคือพ่อคนที่สองสำหรับ แล้วชีวิตผมดีขึ้นเพราะท่าน ผมเลยรักท่านมาก พอมาทราบข่าวท่านเสด็จสวรรคต วินาทีนั้นกำลังขับวินมอเตอร์ไซค์อยู่ ไม่มีกำลังใจ ไม่มีกะจิตกะใจขับต่อเลย จู่ๆ น้ำตามันก็ไหลออกมา เชื่อว่าไม่ใช่เราคนเดียว ประชาชนทั้งประเทศก็รักเพราะองค์มากทุกคน การสูญเสียครั้งนี้มันใหญ่หลวง แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นบทเรียนให้เรากลับมารักกัน ทำดี อย่างที่พ่อเคยปรารถนา
“ก็จริงที่ว่าอาจจะสายไป แต่อย่างน้อยๆ ท่านจะได้รับรู้ว่า สิ่งที่ท่านทำและสอนยังคงอยู่และดำเนินขับเคลื่อนต่อไป ก็อยากให้เราพี่น้องคนไทยร่วมกันทำอย่างนี้ รักกันอย่างนี้ สามัคคีกันอย่างนี้ หลังจากนี้ ถ้าในหลวงท่านมองลงมาจากฟ้า ท่านก็คงดีใจ ที่เรารักกัน ปองดองกัน
“และไม่มีครั้งสุดท้ายสำหรับในหลวงรัชกาลที่ 9 คำว่าครั้งสุดท้ายจะไม่มี ทุกองค์รัชกาล ไม่มีใครลืมได้ เราจำพระนามท่านได้หมด จำพระราชกรณียกิจที่ท่านทำเพื่อปวงชนไม่ลืม แต่ว่าเราเกิดมาในรัชกาลที่ 9 เราซึมซับในในหลวง รู้ว่าท่านทำอะไรลำบากยากเย็น ศึกษามาตั้งแต่เป็นเด็กเล็กน้อย พ่อแม่ครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอนมา ผมบอกได้เลยในหลวงรัชกาลที่ 9 ธ จะสถิตอยู่ในดวงใจไม่มีวันเลือนหาย”
เป้-มนูญ แจ่มดี หนึ่งในหัวเรือใหญ่ที่ร่วมก่อตั้งศูนย์อาสาบริการรับส่งฟรี ซึ่งนับว่าเป็นจุดใหญ่จุดหนึ่งมีอาสากว่าเกือบ 400 คนให้บริการแก่พี่น้องหน้าหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนินเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา กล่าวเสริม
“ที่นี่ ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ มากันด้วยใจล้วนๆ มันคือครั้งหนึ่งในชีวิตของคนไทย ที่จะแสดงออกแบบ ที่จะมาร่วมกลุ่มกันแบบนี้ มีจิตใจที่จะอาสารับส่งคนโน้นคนนี้ โดยที่เราออกค่าใช้จ่ายเองทุกอย่าง น้ำมัน ยางรั่วปะ แต่ถือว่าน้อยมากถ้าจะทำให้ท่าน คนอื่นทำมากกว่า เราก็ทำตามกำลัง แต่ใจเต็มร้อยทุกคน ไม่ใช่กระแส ไม่มีใครมาเกาะแล้วอยู่เฉยๆ สนุกสนานเฮฮากับเพื่อนไป เขาวิ่งกันไม่หยุดเลย ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงคืนกว่าที่คนทยอยกลับหมดแล้ว ตก 40 รอบ ครึ่งร้อยกว่ารอบ
“ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันจริงๆ พอเขารู้ข่าว เขาเห็น เขาก็มาร่วมด้วยช่วยกัน จากวันแรก 6-7 คัน ตอนนี้ก็ 400 กว่าคันได้แล้ว และพอมา เขาก็ช่วยกันกระจายข้อมูล ในกลุ่มรถ YAMAHA NMAX CLUB THAILAND ก็ช่วยกันปริ๊นท์กระดาษติด “ทำดีเพื่อพ่อหลวง” มาติดประกาศให้ประชาชนได้รับทราบ บางคนก็ติดมาพร้อมเองเลย ขับมาขอเข้าร่วม เนื่องจากจุดนี้เป็นจุดแรกที่ประชาชนเดินทางมาถึง จะต้องเดินเท้าผ่าน ถึงได้บอกว่าเรามาด้วยใจกันจริงๆ ไม่มีแอบแฝง
“เมื่อวานก่อน ฝนตก เราก็วิ่งฝ่าสายฝนให้ประชาชนที่ประสงค์ต้องการจะเดินทางไป ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ดี ถ้าคนคิดได้อีกสัก 100 คน 1,000 คน จากเศษผงทองรวมกันมันก็จะเป็นก้อนทอง”
ช่างเครื่องเสียงร้านอาหารแคนสยามบางบอน แจกแจงรายละเอียดเบื้องหลังการถวายงานสนองยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ประหนึ่ง “พ่อ” คนที่สองอย่างที่คำพูดมิอาจถ่ายทอดได้หมด
“ทุกครั้งที่วิ่งเข้าไปข้างใน จะรู้สึกแน่นตันที่หน้าอกทุกครั้งเมื่อเห็นภาพบรรยากาศ ซึ่งทำให้ตระหนักถึงความดีและคำสอนของท่าน และแรงผลักให้ทำดีต่อไปไม่หยุด เริ่มที่ตัวเองปฏิญาณจะประพฤติดี ไม่ทำให้สังคมเดือนร้อน และจะช่วยเหลือสังคมเท่าที่เราจะช่วยเหลือได้ รักกัน ทำดีแก่กัน เพื่อถวายแก่พระองค์ท่าน พ่อของเราผู้ที่เหนื่อยยากเพื่อเราตลอดมา
“ท่านทำให้ผมรับรู้ถึงคำชมและรอยยิ้มอย่างเมตตา”
“เอิร์ท - อรรถพล ฉิมงามขำ” อดีตเด็กแว้นหนุ่มวัย 17 ปี และ “วุฒิ - วุฒิชัย ม่วงทอง” นักศึกษามหาวิทยาลัยราชมงคลสุวรรณภูมิชั้นปีที่ 1 เล่าถึงการทำความดีในครั้งนี้ถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
“คือผมไม่เคยทำความดีเลย ไม่เคยเชื่อเลยที่พ่อบอกพ่อสอนให้ทำดี เป็นคนดี ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เกเร เป็นเด็กแว้นพูดง่ายๆ ในสายตาคนอื่นที่มองมา ก็ไม่ดี ทั้งๆ ที่เรื่องราวต่างๆ ของพระองค์ พระองค์ท่านทำให้กับเรามากมาย เรามีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ ที่ทำกิน ที่หลับที่นอน พระองค์ทั้งนั้นที่อยู่เบื้องหลังทำให้เกิดขึ้น 70 ปี ที่ผมรู้น้อยมาก ก่อนจะถึง ณ วันนี้ ตอนนี้ วันที่ท่านไม่อยู่แล้ว ครั้งสุดท้ายที่เราคิดจะทำเพื่อท่าน แต่ท่านก็ยังคงทำให้เรารู้ ท่านยังคงทำให้เราจนนาทีนี้ ทำให้ชีวิตผมได้รับรู้ถึงคำว่าความดี รับรู้ถึงความเมตตา รอยยิ้ม คำชมจากคนรายรอบตัว
“ก็ได้รู้ถึงคำตอบว่าทำไมพี่ๆ เขาถึงมากัน ทำไมเขาถึงทำเรื่องดีๆ กัน อย่างไม่เขิน ไม่อาย ก็ขอสัญญาว่าจะทำดีตลอดไป เพราะว่าท่านก็เหนื่อยมามากแล้ว แล้วรอดูสิ่งที่เราทำ ผลที่ได้รับการถ่ายทอดจากท่านว่าจะเป็นอย่างไร ทำได้มากน้อยแค่ไหน
“ต่อจากนี้เป็นไม้ผลัดของเรา ที่เราจะต้องร่วมมือกัน คิดว่าท่านก็คงบรรลุในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งก็อยากให้เราช่วยกันทำความดีแก่กันให้มากๆ ทำความดีกันเยอะๆ อย่างที่พ่อสอน เพราะพ่อสอนให้เราทำดี ไม่ใช่เพื่อตัวใครหรือตัวท่าน แต่เพื่อตัวเราเอง ถ้าเราทำอย่างนี้กันต่อไปทุกๆ คน พระองค์ก็จะไม่ทรงผิดหวังในประชาชนที่ท่านรัก ในลูกๆ ของท่าน
“แม้ว่าพระองค์ท่านพ่อหลวงจะจากไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อใดที่มองขึ้นบนฟ้า เราก็สามารถบอกกับท่านได้ และท่านก็จะสามารถรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ครับ ว่าเรารักท่านมากเพียงใด”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล