xs
xsm
sm
md
lg

Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน : “ยักษ์เที่ยวไทย” ยอมหั่นไม่ถูกแบน - “ฝายผ่องพรรณ” เวอร์วังจันทร์โอชา - จับ “เหี้ย” พ้นสวนลุมฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


MGR Online ขอนำเสนอ “Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน” สรุปข่าวเด่นประเด็นฮอตที่พลาดไม่ได้ เป็นประจำทุกวันศุกร์ ทาง www.manager.co.th และเฟซบุ๊ก MGROnline Live

อันดับ 1 : อาลัยโศกนาฏกรรม 28 ศพ เรือล่มหน้าวัดสนามไชย อยุธยา

โศกนาฏกรรมทางเรือที่คร่าชีวิตผู้คนนับสิบครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ก.ย. เรือโดยสารนำเที่ยว 2 ชั้น “สมบัติมงคลชัยทับทิม” กลับจากงานประเพณีรำลึกถึงครูผู้ล่วงลับของชาวมุสลิม (งานโฮ้ล) มุ่งหน้าไปยัง จ.นนทบุรี มีผู้โดยสารราว 150 คน ล่มริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณท่าน้ำวัดสนามไชย หมู่ 10 ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ทำให้ผู้โดยสารทั้งหมดร่วงลงไปในน้ำ บางส่วนพยายามตะเกียกตะกายว่ายกลับเข้าฝั่ง และบางส่วนจมน้ำติดอยู่ภายในจำนวนมาก ท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลแรงและฝนที่ตกอย่างหนัก การค้นหาร่างใช้เวลานานกว่า 3 วัน พบผู้เสียชีวิตรวม 28 ราย เป็นชาย 7 ราย หญิง 21 ราย



จากการกู้ซากเรือตรวจสอบความเสียหาย พบว่า บริเวณกาบขวาช่วงหัวเรือถึงกลางเรือ มีรอยแตกขนาดใหญ่ กว้าง 1 เมตร ยาว 7 เมตร แต่โครงสร้างหลักไม่เสียหาย จากการสอบปากคำพยานส่วนใหญ่ ให้การว่า ขณะที่คนขับเรือขับมาด้วยความเร็ว และแซงเรือบรรทุกทรายทางด้านขวาขณะแล่นตามน้ำ ทำให้เรือเสียหลักบังคับไม่อยู่ ใต้ท้องเรือฟาดกับสันเขื่อนคอนกรีตใต้น้ำ จนเรือแตกและล่มลง โดยกรมเจ้าท่าได้สั่งการไปยังสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาพระนครศรีอยุธยา ให้ตรวจสอบการสร้างเขื่อนว่ามีใบอนุญาตตามแบบหรือไม่ หากพบว่ามีความผิดจะดำเนินคดีกับทางวัดสนามไชยด้วย



ด้านตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดำเนินคดีกับ นายวิรัตน์ ชัยศิริกุล อายุ 67 ปี คนขับเรือ 5 ข้อหา ได้แก่ 1. กระทำการประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2. ขับเรือโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส 3. ขับเรือโดยบรรทุกผู้โดยสารมากกว่าที่ได้รับอนุญาต 4. ใบอนุญาตขับเรือหมดอายุ และ 5. ใช้ยานพาหนะ ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่งศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฝากขังเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยคัดค้านการประกันตัว พร้อมสอบสวน นายสุนทร พันธุ์เสือทอง เจ้าของเรือ และ นายอภิชาติ เมืองสุวรรณ อายุ 47 ปี ผู้เช่าเรือ มาสอบสวนเพื่อดำเนินคดี

อันดับ 2 : เวอร์วังจันทร์โอชา! “ฝายแม่ผ่องพรรณ” พ่วง “ลูกบิ๊กติ๊กรับเหมา”

เรื่องฉาวเกี่ยวกับครอบครัวน้องชายนายกรัฐมนตรี “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เกิดขึ้นเมื่อช่วงวันที่ 16 ก.ย. ในโลกโซเชียลต่างวิจารณ์บทบาท นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ภริยา พล.อ.ปรีชา เปิดโครงการฝายชะลอน้ำ ณ อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา (ปางปอย) หมู่ที่ 9 ต.แม่คะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยได้ตั้งชื่อฝาย ว่า “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนยังมีการเปิดเผยว่า นายปฐมพล จันทร์โอชา บุตรชาย พล.อ.ปรีชา ได้จัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดคอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น รับเหมาก่อสร้าง ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 ซึ่ง พล.อ.ปรีชา เป็นอดีตผู้บังคับบัญชา ถึง 7 โครงการ มูลค่า 97,651,000 บาท

เรื่องดังกล่าวทำให้ พล.อ.ปรีชา ระบุเมื่อวันที่ 20 ก.ย. ว่า นายกรัฐมนตรี ในฐานะพี่ชายโทรศัพท์มาหาและเตือนให้ระวังตัว ผู้ใหญ่บอกว่าให้เงียบ ๆ ไม่ต้องชี้แจงอะไร ตนเชื่อว่า ใครทำสิ่งใดไว้ย่อมได้สิ่งนั้น และกล่าวเพิ่มเติมว่า เราไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เมื่อทำอะไรถูกต้องแล้วก็สบายใจเรา ข่าวโจมตีที่มีกระเเสแรงขึ้นนั้นก็ให้สืบหาข้อเท็จจริงเอา สิ่งไหนไม่ถูกต้องก็ว่ากันไป ส่วนการรับงานก่อสร้างของบุตรชายในกองทัพภาคที่ 3 ระบุว่า อย่าไปยุ่ง บริษัทนี้ลูกชายดำเนินการเอง ตนไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะตนย้ายมาดำรงตำแหน่งปลัดฯ กลาโหมแล้ว ลูกชายของตนตั้งบริษัทมา 5 ปีแล้ว ถ้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ไปชี้แจงข้อเท็จจริงก็ไปได้ เพราะเรามีข้อมูลอยู่แล้ว

ด้าน นางผ่องพรรณ กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า ช่วงนี้เรตติ้งกำลังแรง ขออยู่เฉย ๆ ดีกว่า ไม่มีอะไร เราก็อยู่ของเรา เราตั้งใจทำให้ชาวบ้าน ชื่อชาวบ้านตั้งเอง เขาเรียกชื่อพ่ออุ้ยแม่อุ้ย เราบอกจะใช้ชื่ออะไรก็แล้วแต่ ชาวบ้านเลยใช้ชื่อแม่เพราะจำง่ายดี และตนไม่เครียด อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ในโลกโซเชียลได้แชร์ภาพสภาพฝายพังลงมาเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่เปิดใช้งานไปได้แค่ 12 วัน

สำหรับเรื่องวุ่น ๆ ของครอบครัว พล.อ.ปรีชา เคยเกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ มีการเผยแพร่เอกสารลับ บรรจุ นายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรชาย เข้ารับราชการในตำแหน่งรักษาราชการนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 3 อัตราพลตรี รับเงินเดือน ระดับ น.1 ชั้น 18 (15,000 บาท) และแต่งตั้งยศเป็นว่าที่ร้อยตรี เหล่าสารบรรณ (สบ.) ซึ่ง พล.อ.ปรีชา ยอมรับว่า แต่งตั้งลูกชายตัวเองเป็นข้าราชการทหารจริง อ้างว่า ลูกชายจบปริญญาตรีมา ก็ต้องทำงาน เมื่อมีตำแหน่งว่างก็ให้เข้ามาทำงาน ซึ่งก็มีหลายคนในกองทัพที่ทำแบบนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ลูกชายตนคนเดียวที่ทำแบบนี้ได้ ทำให้สังคมเกิดความกังขามาแล้ว

สำหรับ นางผ่องพรรณ เคยเป็นอดีตผู้จัดการสาขา ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนนเรศวร พิษณุโลก

อันดับ 3 : พบกันครึ่งทาง! เอ็มวี “ยักษ์เที่ยวไทย” ยอมหั่นเนื้อหา หลังถูกตำหนิไม่เหมาะสม

หลังจากที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เผยแพร่มิวสิกวิดีโอส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศไทย “เที่ยวไทยมีเฮ” ที่ผลิตโดย อ๊อด บัณฑิต ทองดี ผู้กำกับชื่อดัง เมื่อวันที่ 12 ก.ย. โดยได้นักแสดงนำอย่าง เก่ง - ธชย ประทุมวรรรณ และ ฟิล์ม บงกช เจริญธรรม สองนักร้องจากเวทีประกวดเดอะวอยซ์ ก็ถูก น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย อดีตผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ร้องเรียนต่อสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (วิทยาลัยนาฏศิลป์) ถึงความเหมาะสม โดยเฉพาะการหยอดขนมครก, ขับโกคาร์ต, ถ่ายเซลฟีของตัวละครทศกัณฐ์ ทำให้ในโลกโซเชียลต่างพากันไม่พอใจ และเห็นว่าเป็นพวกไดโนเสาร์ มีแนวคิดล้าหลัง มีการล่ารายชื่อมากกว่า 3 หมื่นรายชื่อ และมีการแสดงออกซึ่งภาพและข้อความคัดค้านการแบนเอ็มวีออกมา



กระทั่งเมื่อวันที่ 22 ก.ย. นายอภินันท์ โปษยานนท์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งผู้บริหารกระทรวง กรมส่งเสริมวัฒนธรรม สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ เข้าหารือก่อนจะมีข้อสรุปว่า ให้พบกันครึ่งทาง เห็นควรให้ปรับปรุงแก้ไขภาพ และเนื้อหาบางส่วนให้เหมาะสมมากขึ้น เพราะมีบางฉากที่ไม่เหมาะสม โดยทศกัณฐ์ ถือว่าเป็นราชาแห่งยักษ์ และเป็นตัวละครในวรรณคดีที่สง่างาม น่าเกรงขาม ไม่ควรจับมาทำกิจกรรมลักษณะเช่นนี้ ประกอบกับโขนเป็นศิลปะชั้นสูง มีครูบาอาจารย์ ต้องมีความเคารพ เชื่อว่า เมื่อแก้ไขแล้ว เอ็มวีน่าจะออกมาดียิ่งขึ้น และ ททท. ไม่คิดไปทำลายวัฒนธรรม

ด้านผู้กำกับ เปิดเผยว่า จากการหารือกับศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้ตัดสินใจยอมตัดเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ที่ทำให้คนรุ่นหลังเข้าใจผิดออกไป จากนั้นจะส่งผลงานให้ศูนย์เฝ้าระวังวัฒนธรรมดูในวันที่ 27 ก.ย. โดยเฉพาะฉากยักษ์หยอดขนมครก เล่นเจ็ตสกี ขี่ม้า ขับสามล้อ ฯลฯ หากมติกระทรวงวัฒนธรรมออกมาอย่างไรก็พร้อมปรับ และหากตัดแล้วไม่พอใจจะแบนก็คงต้องแบน เพราะมีฟุตเทจเพียงเท่านี้ แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นตัวละครดังกล่าว

อันดับ 4 : เซ็นแกร๊ก! คำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหาย “บุญทรง - พวก” จีทูจีเก๊ 2 หมื่นล้าน

การดำเนินคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หนึ่งนั้นคือ การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) 4 สัญญา ปริมาณ 6.2 ล้านตัน มูลค่าความเสียหาย 2 หมื่นล้านบาท ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 13 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกคำสั่ง คสช. ที่ 56/2559 อาศัยตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2547 สาระสำคัญ คือ คุ้มครองเจ้าหน้ารัฐดำเนินการระบายมันและข้าวโพดที่เสื่อมสภาพ พร้อมตั้งกรมบังคับคดี มีอำนาจใช้มาตรการบังคับทางปกครองกับคดีจำนำข้าว แทรกแซงมันสำปะหลังและข้าวโพดด้วย

กระทั่งวันที่ 19 ก.ย. นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ได้เซ็นหนังสือคำสั่งบังคับทางปกครองเพื่อเรียกค่าเสียหายกรณีการขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับนักการเมืองและข้าราชการจำนวน 6 ราย ได้แก่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์, นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์, พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์, นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ ซึ่งหลังจากที่มีข่าวออกมา นายบุญทรง ระบุว่า มีการใช้มาตรา 44 กลั่นแกล้ง และจะต่อสู้คดีในทุกศาล พร้อมจะฟ้องกลับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลงนามในคดีข้าวจีทูจี รวมทั้งจะดำเนินคดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ อีกด้วย

สำหรับคดีทุจริตโครงการจำนำข้าว สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกอบด้วย คดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลย และคดีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ให้กับประเทศจีน ที่พบว่า ไม่มีการส่งออกข้าวออกไปยังประเทศจีนจริง ข้าวทั้ง 6.2 ล้านตันนั้น ถูกขายให้บริษัทของ นายอภิชาต จันทร์สกุล หรือเสี่ยเปี๋ยง ซึ่งเป็นจำเลยคนหนึ่งในคดีอาญา โดยไม่ต้องมีการประมูล ทั้งสองคดี อยู่ระหว่างการไต่สวนของศาล ส่วนคำสั่งเรียกค่าเสียหาย เป็นคำสั่งทางปกครอง เอาผิดเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำให้เกิดความเสียหาย โดยไม่จำเป็นต้องรอผลคดีอาญา

อันดับ 5 จับตัวเหี้ย! สวนลุมพินีไปราชบุรี สังคมเสียงแตก “เหี้ยทำอะไรผิด”

สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพพมหานคร ดีเดย์วันที่ 20 ก.ย. ประสานกับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ ดำเนินการเคลื่อนย้ายตัวเหี้ย สัตว์เลื้อยคลานที่สวนลุมพินี ถนนพระราม 4 เขตปทุมวัน ที่จากการสำรวจพบว่ามีอยู่ประมาณ 400 ตัว หลังมีผู้ร้องเรียนว่า ระหว่างใช้บริการออกกำลังกายและพักผ่อนหย่อนใจ ได้มีตัวเหี้ยเดินเพ่นพ่าน ทำให้เกิดความหวาดกลัว บางส่วนขี่จักรยานชนเข้ากับตัวเหี้ย รวมทั้งตัวเหี้ยได้ทำลายแปลงต้นไม้และตลิ่งทำให้มีผลกระทบต่อระบบนิเวศภายในสวนลุมพินี ที่ผ่านมาได้จับไปแล้ว 3 ครั้ง รวม 87 ตัว และจะทยอยจับเพื่อควบคุมปริมาณประชากรเหี้ยให้เหมาะสมกับระบบนิเวศ ซึ่งตัวเหี้ยที่จับได้จะนำไปไว้ที่สถานเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ก่อนปล่อยสู่ธรรมชาติ

การจับตัวเหี้ยครั้งนี้สร้างความสนใจให้กับสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศจำนวนมาก ทำให้การทำหน้าที่จับตัวเหี้ยของเจ้าหน้าที่ 30 คน เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากตัวเหี้ยเกิดอาการตกใจตื่นสื่อมวลชน ที่คอยวิ่งตามเจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกัน การจับตัวเหี้ยในครั้งนี้ สังคมวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเห็นด้วย เพราะที่ผ่านมาตัวเหี้ยสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้ใช้บริการ และไม่เห็นด้วย เพราะรู้สึกสงสาร และถามกลับว่า ตัวเหี้ยทำอะไรผิด ไม่ได้ไปขโมยของใคร และยังช่วยรักษาระบบนิเวศน์ รวมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ไปถึง กทม. ว่า มาเสียเวลาในการจับตัวเหี้ย ทั้งที่ปัญหาอื่นให้แก้ปัญหาอีกมากมาย เป็นต้น

อันดับ 6 : ท้องก่อนแต่ง! “แพท ณปภา” ตั้งครรภ์ 4 เดือน หลัง “หนุ่มนักแข่งรถ” ขอแต่งงานไม่กี่วัน

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ดาราสาว “แพท ณปภา ตันตระกูล” ถูกแฟนหนุ่มนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์ เจ้าของฉายา “เบนซ์เรซซิ่ง” อย่าง “เบนซ์ อัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช” คุกเข่าพร้อมสวมแหวนเพื่อขอแต่งงานภายในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. สร้างความฮือฮากันไปทั้งสนาม และมีข่าวลือว่าแพทกำลังตั้งท้อง แต่หลังจากนั้นไม่นาน วันที่ 19 ก.ย. แพทได้ควงหนุ่มเบนซ์ แถลงข่าวที่อาคารมาลีนนท์ ยอมรับว่า กำลังตั้งครรภ์จริง ได้ลูกชาย อายุครรภ์ได้ 4 เดือนแล้ว ก่อนเปิดเผยว่า สาเหตุที่ยังไม่ออกมาพูดตั้งแต่แรกเพราะมีหลายปัจจัย โดยเฉพาะสุขภาพร่างกาย ที่มีปัญหาเป็นซีสต์มาตั้งแต่เด็ก ทำให้ต้องทานยาคุมกำเนิดมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา



แพท ณปภา เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ เบนซ์ได้มาขอตนแต่งงาน แต่การตั้งครรภ์ยังไม่ชัวร์จึงปฏิเสธไว้ก่อน กระทั่งได้ปรึกษาแพทย์ แนะนำว่าถ้าอยากมีบุตรปีหน้าต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ และยังกังวลเรื่องการฝังตัวของทารกว่าอาจไม่สมบูรณ์ กระทั่งเมื่อ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ไปตรวจครรภ์ พบว่า ครรภ์มีความสมบูรณ์ ส่วนเรื่องเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานนั้น ฝ่ายชายยืนยันว่าไม่ได้จัดฉาก แต่เป็นเพราะแพทมาเชียร์ และสนามว่างพอดี จึงทำทีให้แพทไปพูดให้เป็นเกียรติกับทางสนาม ก่อนที่จะลงไปเอาช่อดอกไม้ ซึ่งการแต่งงานขึ้นอยู่กับฝ่ายชายจะจัดการ ส่วนกระแสท้องก่อนแต่งนั้น แพท ณปภา ชี้แจงว่า ตนอยากมีครอบครัวมากกว่าการแต่งงาน ถ้าแต่งงานแล้วสิ้นเปลืองก็ไม่ต้องแต่ง เอาเงินมาเลี้ยงลูกดีกว่า แต่ไม่ได้แนะนำ ใครสะดวกแต่งก่อนก็แต่งไป

อันดับ 7 : “หมอแล็บแพนด้า” ถูกฟ้อง เพราะแฉยาลดความอ้วน

เฟซบุ๊กเพจ “หมอแล็บแพนด้า” ที่บอกเล่าสาระความรู้ทางการแพทย์ด้วยภาษาง่าย ๆ ให้ชาวบ้านเข้าใจ และตอบโต้เหล่าข้อมูลทางการแพทย์แบบผิด ๆ โดยมีชายชุดกาวน์ผู้มีขอบตาดำเหมือนคนอดนอนเป็นเอกลักษณ์ เป็นฝีมือของ ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 6.7 แสนคน ล่าสุด ผลของการออกมาแฉข้อมูลสุขภาพแบบผิด ๆ ก็ทำให้เขาต้องตกเป็นจำเลย เมื่อวันที่ 17 ก.ย. เขาออกมาเปิดเผยว่า ถูกเจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนักแบรนด์หนึ่ง ฟ้องร้องดำเนินคดี กรณีโพสต์ข้อความเตือนประชาชนถึงอันตรายของผลิตภัณฑ์ลดความน้ำหนักที่มีการวางจำหน่ายกันเกลื่อนท้องตลาด ทำให้ในโลกโซเชียลต่างออกมาให้กำลังใจเจ้าตัวเป็นจำนวนมาก พร้อมกับเสนอความช่วยเหลือในการสู้คดี



โดยเจ้าตัวยืนยันว่า มีทนายความอยู่แล้ว แต่กำลังหาโอกาสว่างเพื่อมาช่วยว่าความให้ ส่วนเงินจ้างทนายและเงินสำรองในการสู้คดี ยังไม่มีขนาดนั้น กำลังหาอยู่ ตนไม่ได้ร่ำรวยอะไร ผมเป็นนักเทคนิคการแพทย์ตาดำ ๆ ทำงานกินเงินเดือน แต่ถ้าจะให้ระดมทุนเพื่อเอามาสู้คดี คิดว่าน่าจะเป็นวิธีสุดท้ายเพราะตนเอาเงินใครฟรี ๆ ไม่ลง แม้ทุกคนอยากให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ก็ตาม กำลังคิดอยู่ว่าจะหาเงินโดยการขายของ หรือไม่ก็ประมูลอะไรบางอย่าง แค่พอเอาไว้เป็นค่าดำเนินการก็พอ พร้อมฝากทุกคนดูแลสุขภาพตัวเอง สินค้าอะไรที่โฆษณาเกินจริงก็ลองชั่งใจดู เงินทองไม่ได้หามาง่าย ๆ และถ้าโชคร้ายก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราได้

รายงานข่าวจาก สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี ระบุว่า เจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนักแบรนด์หนึ่ง ฟ้องร้องดำเนินคดีกับ ทนพ.ภาคภูมิ โดยเรียกค่าเสียหายถึง 2 ล้านบาท หลังเขาโพสต์เรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ป่วย เพราะรับประทานอาหารเสริมยี่ห้อดังกล่าวลงบนเฟซบุ๊ก แม้ก่อนหน้าที่จะโพสต์ได้ปิดบังชื่อ และหน้าตาของผู้หญิงคนดังกล่าว รวมทั้งรูปกล่องอาหารเสริมแล้ว แต่เจ้าของอาหารเสริมไม่พอใจและฟ้องร้อง โดยในวันที่ 20 ต.ค. นี้ ศาลได้นัดไกล่เกลี่ยเรื่องดังกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น