ชาวป้อมมหากาฬรวมตัวปิดกั้นทางเข้าออกชุมชน คัดค้านการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามแผนพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ของ กทม. พร้อมยืนยันจะไม่ย้ายออก ต่อมาตัวแทนร่วมหารือได้ข้อสรุป ยอมให้รื้อถอนบ้านที่สมัครใจ 12 หลัง อีก 1 หลัง เป็นบ้านไม้สักโบราณจะขอเก็บไว้ พร้อมเรียกร้องตั้งคณะกรรมการร่วมหารือแนวทางแก้ปัญหา โดยทาง กทม. จะตัดน้ำ - ไฟ เฉพาะบ้านที่จะรื้อถอนเท่านั้น
เช้าวันนี้ (3 ก.ย.) ชาวบ้านชุมชนป้อมมหากาฬ และเครือข่ายภาคประชาสังคมจากพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่เริ่มปฏิบัติการรื้อถอนบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างภายในชุมชนป้อมมหากาฬ ในวันนี้ ได้รวมตัวกันปิดกั้นทางเข้าชุมชน พร้อมป้ายเขียนข้อความคัดค้านคำสั่งการรื้อถอน ติดริบบิ้นสีเขียวไว้ที่แขนเสื้อ เพื่อแยกคนในชุมชนและบุคคลภายนอก และนำแผงเหล็กมาปิดกั้นประตูทางเข้าออกทุกทาง โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าบันทึกภาพในชุมชน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้บริหารของกรุงเทพมหานครก่อน พร้อมยืนยันว่า จะไม่ย้ายออกไปไหน เพราะต้องการรักษาชุมชนชาวพระนครที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่นี้ไว้ให้คงอยู่ต่อไป
ขณะที่กรุงเทพมหานครจัดเจ้าหน้าที่เทศกิจ กำลังตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ กองบังคับการปราบปราม กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์และทหารชุดป้องกันและปราบปรามเหตุจลาจล รวมประมาณ 250 นาย รักษาความเรียบร้อย
ต่อมา พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้มาเจรจากับฝ่ายชุมชนป้อมมหากาฬ โดยมี นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เป็นคนกลางไกล่เกลี่ย จนได้ข้อสรุปว่า ทาง กทม. จะเข้ารื้อถอนบ้านที่ยินยอมให้รื้อจำนวน 12 หลัง ส่วนอีก 1 หลัง ที่ยอมให้รื้อ เป็นบ้านไม้สักทองจะเก็บไว้ โดยอนุญาตให้ชาวบ้านช่วยกันทำความสะอาดได้ แต่ไม่อนุญาตให้เข้าพักอาศัย ใช้เวลาดำเนินการ 2 วัน และทยอยรื้อส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
ด้านตัวแทนชุมชนป้อมมหากาฬ ยินดีให้ทาง กทม. รื้อถอน แต่เรียกร้องให้ตั้งคณะกรรมการร่วมจากทุกฝ่ายเพื่อหารือแนวทางแก้ปัญหา โดยมี กสม. ร่วมเป็นคณะกรรมการ
สำหรับการรื้อย้าย ทาง กทม. จะจัดเจ้าหน้าที่ 5 ชุด ชุดละ 44 คน เข้ารื้อถอน โดยจะประสานการไฟฟ้านครหลวง และ การประปานครหลวง ดำเนินการตัดไฟฟ้า และน้ำประปา เป็นรายหลังเฉพาะที่ทำการรื้อย้ายเท่านั้น
