xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯคนซื่อมัวหมอง!เมื่อคนรอบข้างเห็นแก่ได้ ก่อเรื่องอัปยศ“เซ็งลี้ที่ทรัพย์สินฯ”!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค


พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้า “คณะราษฎร” ได้ชื่อว่าเป็นคนซื่อ บริสุทธิ์ ทั้งมิตรและศัตรูเห็นพ้องต้องกันว่า “ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” แม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีมาหลายสมัย ก็ยังรักษาความยากจนไว้ได้เสมอต้นเสมอปลาย แต่ครั้งหนึ่งนายกฯคนซื่อมือสะอาดคนนี้ก็มัวหมองจนต้องลาออก เพราะคนรอบข้างซึ่งล้วนแต่เป็นคนดังๆ เกิดเห็นแก่ได้ เอาที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาชำแหละขายกันเองในราคาถูกๆ ซึ่งถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในชื่อ “เซ็งลี้ที่ทรัพย์สินฯ”

สาเหตุเรื่องนี้มาจากการที่รัฐบาลได้ออก“พระราชบัญญัติจัดทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๔๘๐ เพื่อจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เสียใหม่ โดยจะโอนพระคลังข้างที่ซึ่งเดิมอยู่กับสำนักพระราชวัง ไปขึ้นกับกระทรวงการคลัง แต่ก่อนที่จะรับโอน กระทรวงการคลังได้ขอให้สำรวจและจัดทำบัญชีให้เรียบร้อยเสียก่อน

ในระหว่างที่สำรวจจัดทำบัญชีอยู่นี้ มีบุคคลสำคัญในวงการรัฐบาลหลายคนอยากได้ที่ดินบางแปลงไว้ปลูกบ้าน พระดุลยธารปรีชาไว รัฐมนตรีรักษาการณ์กำกับดูแลสำนักพระราชวังแทนนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือแจ้งต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งประกอบด้วย พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา พระยายมราช และ พล.อ.เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ซึ่งคณะผู้สำเร็จราชการฯก็ไม่ขัดข้อง พระดุลยธารฯจึงนำที่ดินเหล่านั้นมาขายแบบผ่อนส่งในราคาถูกๆ ซึ่งผู้ซื้อก็ล้วนแต่อยู่ในกลุ่มพรรคพวกรัฐบาล โดยพระดุลยธารฯเองก็ซื้อที่ดินย่านสำเพ็งไว้แปลงหนึ่งในราคา ๑๔,๐๐๐ บาท

ขณะขายที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในราคาถูกๆ พระคลังข้างที่ก็ซื้อที่ดินของพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ประธานคณะผู้สำเร็จฯไว้ในราคาค่อนข้างสูง นายเลียง ไชยกาล ส.ส.ปากกล้าแห่งอุบลราชธานีทราบเรื่อง จึงรีบคว้ามาสร้างความดังทันที ยื่นกระทู้ด่วนถามนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน นายไต๋ ปาณิกบุตร ส.ส.พระนคร ก็ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายด้วย ทำให้ พ.อ.หลวงพิบูลสงคราม รมต.กลาโหม และ พล.ร.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ รมต.มหาดไทย ซึ่งซื้อกับเขาไว้เหมือนกัน รีบเอาไปคืนทันที อ้างว่าซื้อไว้เพราะไม่รู้ เลยถูกลบชื่อออกจากรายชื่อผู้ซื้อไป

การเปิดอภิปรายเรื่องนี้ในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๘๐ ต่างฝ่ายรู้ดีว่าจะต้องมีการปะทะคารมกันอย่างดุเดือด อาจถึงขั้นแตกหัก จึงมีสมาชิกมาประชุมกันเต็มอัตราศึก ส่วนรัฐมนตรีก็มากันพร้อมหน้า

นายเลียงได้ถามพระยาพหลฯ ๘ ข้อ คือ

มีการขายอสังหาริมทรัพย์ของกรมพระคลังข้างที่ ก่อนที่จะโอนไปขึ้นกับกระทรวงการคลังถึง ๒๕ แปลง ในระหว่างวันที่ ๑-๒๐ กรกฎาคม ๒๔๘๐ ตามบัญชีที่แนบมานี้ เป็นความจริงหรือไม่

ราคาที่ขายนั้นถูกมากหรือไม่ ทำไมไม่ประกาศให้ประชาชนรู้บ้าง ซึ่งอาจจะขายได้ในราคาที่สูงกว่านี้ ปรากฏว่าขายให้พรรคพวกกันเองเท่านั้น

ท่านจะประกาศให้มหาชนซื้อที่ดินเหล่านี้ด้วยเงินสดได้หรือไม่ ถ้าได้ราคามากกว่านี้ให้ไล่เจ้าหน้าที่คนขายออก แต่ถ้าไม่มากกว่าที่ขายกันอยู่ ข้าพเจ้าจะขอลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่ขอสมัครอีกตลอดชีวิต

ตามธรรมดาค่าธรรมเนียมซื้อขาย ผู้ซื้อเป็นฝ่ายออก แต่ครั้งนี้พระคลังข้างที่เป็นฝ่ายออก ใช่หรือไม่

การสำรวจแบ่งแยกที่ดิน ธรรมดาใช้เวลา ๒ เดือน แต่คราวนี้ ๒ วันเสร็จ เหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น

เหตุผลในการขายที่ดินนี้มีอย่างไร ขอให้อธิบาย และเหตุใดผู้ซื้อจึงมีแต่คนในวังปารุสกวัน พระคลังข้างที่ เกษตร สมาชิกประเภท ๒ รัฐมนตรี เลขานุการนายกรัฐมนตรี และราชเลขานุการในพระองค์ ขอให้อธิบายให้หายข้องใจ

ท่านไม่มีความสงสัยอะไรบ้างเลยหรือ เมื่อมีเสียงโจษจรรย์กันว่าในกรมพระคลังข้างที่เกิดการทุจริตกันมาก

ท่านทราบหรือไม่ว่า ที่ดินทุกแปลงที่ขายมีรายได้จากค่าเช่าไล่เลี่ยกับที่ผ่อน อย่างรายของพระดุลยธารปรีชาไว ได้ค่าเช่าเดือนละ ๕๐ บาท แต่ขายผ่อนเดือนละ ๑๐๐ บาท และจะลงโทษผู้ทุจริตยิ่งกว่าไล่ออกหรือไม่ เพราะไล่ออกเฉยๆ เขาก็ได้ทรัพย์คุ้มพอ

พระยาพหลฯได้ตอบกระทู้ของนายเลียงด้วยเสียงอันดังตามแบบฉบับว่า

-การซื้อขายเช่นนี้ เวลานี้ก็มี เวลาก่อนก็มี
-ให้ผ่อนชำระเป็นงวดๆไป
-บางรายจะว่าถูกก็ได้ ที่ไม่ประกาศก็เพราะไม่ตั้งใจจะขาย ที่ขายก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณเท่านั้น
-ข้าพเจ้าไม่ทราบ
-ไม่ทราบข้อเท็จจริง
-ได้ตอบแล้วว่า ขายให้ผู้สมควรได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นรายๆไป
-ข้าพเจ้าไม่สงสัยว่าการกระทำนั้นเป็นการทุจริต เพราะเป็นการกระทำโดยเปิดเผย
-ข้อเท็จจริงไม่ทราบ และที่ดินรายที่อ้างนั้นไม่รู้

การตอบของพระยาพหลฯไม่ได้ให้ความกระจ่างชัดแต่อย่างใด นายเลียงจึงได้ซักถึงข้ออ้างของพระยาพหลฯที่ว่า การขายที่ดินเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นรายๆไป ทำไมจึงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่พระดุลยธารปรีชาไว ขุนพิชิตสุรการ ทำไมไม่มีพระมหากรุณาธิคุณแก่หลวงสินธุ์สงครามชัย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ หรือเป็นเพราะพระดุลยธารปรีชาไวมีความดีความชอบมากกว่าบุคคลทั้ง ๓ ที่ได้ออกนามมา

ถึงตอนนี้พระยาพหลฯ หน้าแดงกร่ำด้วยความโมโห และตอบด้วยเสียงดังว่า

“ข้าพเจ้าจะไปรู้ได้ยังไง มันเป็นเรื่องกระเป๋าของเขา”

นายเลียง ไชยการเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว จึงยุติไว้เพียงแค่นั้น ปล่อยให้นายไต๋ ปาณิกบุตรออกโรงต่อ

กระทู้ด่วนของนายเลียง ไชยกาลนั้น ความจริงก็แค่เกริ่นนำ แต่“ญัตติเปิดอภิปรายซื้อขายที่ดินพระคลังข้างที่”ของนายไต๋นั้น ถึงขั้นแตกหักกันทีเดียว

นายไต๋ได้เริ่มต้นอย่างนิ่มนวลโดยกล่าวว่า

“เราถือกันว่าทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินแผ่นดิน ไม่ใช่เป็นของส่วนพระองค์ เราต้องรักษาไว้ ฉะนั้นนโยบายจัดทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จึงมีว่า ต้องจัดให้คงอยู่และเจริญขึ้น มิใช่เสื่อมลง...”

และได้กล่าวถึงการขายที่ดินพระยาสุรเกษตรโสภณ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งได้จำนองที่ดินราคาหลายหมื่นบาทกับพระคลังข้างที่ แล้วขอซื้อคืนด้วยราคา ๒๐,๐๐๐ บาท แต่พระคลังไม่ขาย กลับไปขายให้บุคคลอื่นด้วยราคาเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท และผ่อนส่งน้อยกว่าที่พระยาสุรเกษตรฯ เสนอให้ด้วย

พระยาพหลฯ ทำท่าอึดอัดไม่อยากพูดเรื่องนี้ นายไต๋ก็ย้ำอีกว่า

“จริงหรือไม่ที่ข้าพเจ้าว่า”

พระยาพหลฯ จึงถามอย่างหงุดหงิดว่า

“จะให้ข้าพเจ้าพูดจริงหรือ”

นายไต๋ลุกขึ้นยืนโค้ง เป็นการท้าให้พูด

พระยาพหลพลพยุหเสนาอึดอัดใจ ที่จะเอาเรื่องของบุคคลภายนอกมาตีแผ่ในสภา แต่เมื่อฝ่ายค้านตั้งข้อหาหนักว่า เอาที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปขายในราคาถูก ทั้งที่คนเช่าอยู่เดิมเสนอขอซื้อในราคาที่สูงกว่าก็ไม่ยอมขาย และท้าให้เปิดเผยข้อเท็จจริง ชายชาติทหารจึงจำต้องเอาความจริงมามาพูดกลางสภา
พระยาพหลฯ ตอบด้วยเสียงอันดังตามแบบฉบับ และด้วยอารมณ์แบบทหารว่า

“ที่ดินรายนั้น พระยาสุรเกษตรโสภณเช่าอยู่ในราคาเดือนละ ๔๐ บาท ติดค่าเช่ามาตั้งพันกว่าหรือสองพัน มาเจรจาขอซื้อด้วยเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท โดยจะยอมใช้หนี้เดือนละ ๑๒๐ บาท พระคลังเห็นว่าค่าเช่าเดือนละ ๔๐ บาทยังติดถึง ๒,๐๐๐ บาท จะมาขอซื้อให้ถึงเดือนละ ๑๒๐ บาท จะสามารถให้ได้หรือ จึงว่าเอาอย่างนี้เถอะ ผ่อนใช้เดือนละ ๔๐ บาทก่อน จนกว่าหนี้เก่าหมด เอาไหมล่ะ พระยาสุรเกษตรโสภณก็เงียบไป ต่อมามีอีกผู้หนึ่งมาขอพระมหากรุณาฯ ซื้อโดยผ่อนเดือนละ ๕๐ บาท คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พิจารณาเห็นสมควรให้ ลดราคาที่ดินลง ๑ ใน ๓ เป็นพระมหากรุณาส่วนพระองค์ ที่นั้นยังเหลือราคา ๓๐,๓๐๓ บาท สำหรับพระยาสุรเกษตรฯ แม้แต่ ๔๐ บาทก็ไม่มีจะให้ ๑๒๐ บาทจะให้ได้อย่างไร”

นายเลียง ไชยกาลได้ลุกขึ้นมาถามด้วยความข้องใจในคำ “พระมหากรุณาธิคุณ” ว่า

“มีหลักเกณฑ์อย่างไรในสิ่งที่เรียกว่า พระมหากรุณาธิคุณ ถ้าเป็นการให้โดยเสน่หาก็ขอให้เอากฎหมายมาพูดกัน ซึ่งในกรณีนี้จะไม่เข้าเกณฑ์เลย ครั้งพระยามานวราชเสวีเป็นผู้อำนวยการพระคลังข้างที่ ได้วางหลักเกณฑ์ไว้ว่า การซื้อขายที่ดินเป็นเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ บาทขึ้นไป ต้องเสนอคณะกรรมการที่ปรึกษา นี่ขุนวิชิตสุรการถือบัญชีเดินส่งให้เลือกซื้อกัน ที่ดินแปลงบางลำพู ราคาหลายหมื่นบาท เอามาขายกันราคาถูกๆ อย่างนี้ ใครเป็นผู้รับผิดชอบ...”

นอกจากนี้นายเลียงยังเปิดเกมใหม่อีกว่า

“นอกจากจะขายด้วยราคาถูกๆแล้ว พระคลังยังรับซื้อที่ดินแห่งหนึ่งราคาตารางวาละ ๓๕ บาท ในเมื่อที่ใกล้ๆกันมีราคาตารางวาละ ๑๕ บาท”

นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ดาวดังจากเมืองอุบลฯอีกคน ลุกขึ้นมาเสริมนายเลียง โดยกล่าวหาคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยถ้อยคำรุนแรงว่า

“อีกปัญหาหนึ่ง คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทั้ง ๓ ท่าน คงได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษส่วนตัวบ้างในกิจการคราวนี้ เพราะในเวลาที่พระคลังซื้อโรงเรียนการเรือนด้วยราคาตารางวาละ ๓๕ บาทนั้น พระคลังก็โอนขายที่ของตนโครมๆ”

นายทองอินทร์ยังอภิปรายพุ่งเป้าเข้าหาพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตรงๆ ว่า

“พฤติการณ์ที่ปรากฏในการได้รับพระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้ ทำให้เข้าใจว่า คนเหล่านั้นได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์อาทิตย์ฯ ยิ่งกว่าองค์พระมหากษัตริย์”

จากนั้นขุนวรสิทธิดรุณเวทย์ ส.ส.จากหนองคาย ก็อภิปรายตอกย้ำความผิดไปที่คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีกว่า

“...มีปัญหาเดียวที่จะต้องขบกันคือ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้องแล้วหรือ หน้าที่ของผู้สำเร็จราชการมีอยู่ ๒ ฐานะคือ ๑ บริหารตามรัฐธรรมนูญ ๒ เป็นตัวแทนจัดทรัพย์สินของผู้เยาว์ เมื่อมีข้อกล่าวหาพาดพิงไปถึง เจ้าคุณนายกฯแก้ตก ก็ทำหน้าที่ต่อไป ถ้าแก้ไม่ตก ไม่ควรไว้ใจให้ทำหน้าที่ต่อไป การที่พูดว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณส่วนพระองค์ เป็นการกล่าวแก้อย่างไม่มีเหตุผล คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทำไปอย่างไม่ควรไว้วางใจเป็นอย่างยิ่ง”

เมื่อสมาชิกสภาต่างอภิปรายพาดพิงไปถึงคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงเช่นนี้ พระยาพหลฯ จึงแอ่นอกเข้ารับ โดยกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าคิดว่า สมาชิกทั้งหลายยังมีความเข้าใจผิดอยู่ ถึงหากข้าพเจ้าจะมอบความรับผิดชอบไปให้แต่ละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่รัฐบาลไม่มีความผิด แต่หากในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบสำนักพระราชวัง เมื่อเกิดความผิดขึ้นเช่นนี้ จึงขอให้ตั้งกรรมการมาสอบสวนข้าพเจ้า ไม่ใช่สอบสวนคนอื่น คณะผู้สำเร็จราชการมีอำนาจที่จะวินิจฉัย อันใดควรให้ อันใดจะกรุณาได้หรือไม่”

และก่อนที่จะปิดประชุม เลื่อนไปประชุมต่อในวันรุ่งขึ้น พระยาพหลฯได้กล่าวทิ้งท้ายอย่างใส่อารมณ์ว่า

“ไม่ใช่โอ้อวดหรอก ชีวิตยังให้ได้ สำมหาอะไรกับเท่านี้จะให้ไม่ได้ ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่โกรธ แต่ด้วยความจริงใจทีเดียว”

บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นพระยาพหลฯหงุดหงิดตลอดเวลาในการประชุม และทิ้งท้ายใส่อารมณ์อย่างที่ไม่เคยมาก่อน ก็พากันหนาวๆร้อนๆไปตามกัน คิดว่าพระยาพหลฯ ต้องยุบสภา ไม่ยอมให้สมาชิกปากกล้ามาด่าอีกเป็นวันที่สองแน่ แต่สปิริตความเป็นนักประชาธิปไตยของพระยาพหลฯมีอยู่สูง แม้ความเป็นนักการทหารจะทำให้ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ในบางครั้งก็ตาม พระยาพหลฯก็เลือกใช้วิธีนำคณะรัฐมนตรีลาออกในวันรุ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ยื่นใบลาออกต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยประธานคณะผู้สำเร็จราชการฯให้เหตุผลว่า

“เนื่องจากได้มีการอภิปรายกันในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร อันเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินเมื่อวานนี้ มีท่านสมาชิกผู้แทนราษฎรบางท่าน ได้อภิปรายพาดพิงมาถึงประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คือตัวข้าพเจ้า อันมีถ้อยคำรุนแรง เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า เป็นการเสื่อมเสียเกียรติยศและตำแหน่งหน้าที่ราชการ

ทั้งนี้ข้าพเจ้ามั่นใจในระบอบประชาธิปไตยโดยแท้ ยึดเสียงประชาชนคือสภาผู้แทนราษฎรเป็นใหญ่ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ที่กระทำการเป็นที่ข้องใจของประชาชนเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าขอลาออกจากคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”

เพื่อความกระจ่างในเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริต โดยนำที่ดินของตัวเองขายให้พระคลังข้างที่ในราคาแพงนั้น พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯได้มีบันทึกชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ทราบความจริงใจอย่างน่าเห็นใจว่า

ที่ดินแปลงนี้ (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตในปัจจุบัน) เดิมเป็นของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งได้รับพระราชทานมาจากรัชกาลที่ ๕ ต่อมาได้ตกเป็นมรดกถึงพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ผู้เป็นโอรส แต่เดิมพระองค์ท่านเคยเก็บค่าเช่าได้เดือนละ ๕๐๐ บาท ต่อมากระทรวงธรรมการมาขอเช่าในอัตราเดือนละ ๔๐๐ บาทเพื่อตั้งเป็นโรงเรียนการเรือน ท่านเห็นแก่ประโยชน์การศึกษาก็ยอม เพราะขณะนั้นพระองค์ท่านรับราชการเป็นเลขานุการส่วนพระองค์ มีเงินเดือนพระราชทานพอใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่ต่อมาสภาก็เลือกพระองค์ท่านเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยมิได้สอบถามความสมัครใจก่อน ซึ่งพระองค์ท่านก็ไม่ปฏิเสธ

ครั้นดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้สำเร็จฯ ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มมากขึ้น เช่นช่วยเหลือในประโยชน์สาธารณะ การกุศลต่างๆดังที่ผู้แทนราษฎรทั้งหลายก็ทราบกันดี และยังมีผู้เดือดร้อนมาขอความช่วยเหลือทุกวัน ทั้งยังต้องใช้จ่ายในการรับรองข้าราชการและชาวต่างประเทศอยู่เสมอ เพื่อรักษาเกียรติ บำรุงฐานะให้สมกับหน้าที่ราชการ จนต้องเอามรดกออกขายใช้จ่ายไปจนหมดสิ้น เมื่อปีก่อนก็ได้ขายที่ดินปากคลองโอ่งอ่างไปแปลงหนึ่ง ที่ดินโรงเรียนการเรือนนี้เป็นมรดกผืนสุดท้าย แต่เป็นที่ดินพระราชทานซึ่งมีพระราชนิยมมาแต่ก่อนว่า จะโอนหรือขายให้ผู้ใดไม่ได้ จะต้องได้รับพระบรมราชานุญาตก่อน พระองค์จึงได้แจ้งไปตามระเบียบ ต่อมาพระคลังข้างที่เห็นสมควรรับซื้อไว้ จึงเสนอไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อขอพระบรมราชานุญาตต่อไป และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ลงมติให้รับซื้อไว้ พระองค์ท่านได้รับทราบก็ต่อเมื่อเรื่องได้เสร็จสิ้นแล้ว

ในที่สุด เรื่องนี้ก็จบลงโดยผู้ซื้อไว้ต้องคืนที่ดินทั้งหมด และสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเลือกคณะผู้สำเร็จราชการชุดเดิมกลับเข้ารับตำแหน่งอีก เช่นเดียวกับที่ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ก็ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนให้กลับเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกสมัย แต่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของนายกฯคนเก่า ไม่มีพระดุลยธารปรีชาไว คนที่ทำเรื่องมัวหมองไว้กลับมาร่วม ครม.อีก สภาเลยลงมติรับรอง ครม.ชุดใหม่เป็นเอกฉันท์

นี่ก็เป็นการทำหน้าที่ตรวจสอบของฝ่ายค้าน เพื่อให้การบริหารราชการเป็นไปด้วยโปร่งใส บริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะขัดขา โดยไม่คำนึงถึงปัญหาหนักหนาสาหัสที่ประเทศชาติกำลังเผชิญ
พระยาพหลพลพยุหเสนา
พระยาพหลพลพยุหเสนา
พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา
กำลังโหลดความคิดเห็น