ดูท่าจะจบไม่ง่าย ๆ สำหรับกรณีที่ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ “ธัมมชโย” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ตามคำขอของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ในข้อหาฟอกเงิน และรับของโจร ขณะที่เจ้าตัวยังคงดื้อแพ่งไม่ยอมไปรับทราบข้อกล่าวหานั้น
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเวลา 22.00 น. ของวันนี้ ทางด้าน นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา ก็ได้มีการโพสต์ข้อความฝากเตือนไปยังบรรดาผู้ที่ชื่นชอบในตัวธัมมชโยที่พากันไปฟ้องบุคคลอื่น ๆ อาทิ นายสมเกียรติ อ่อนวิมล, เปลว สีเงิน, หลวงปู่พุทธะอิสระ และ พระพยอม กัลยาโณ ในข้อหานำความเท็จมากล่าวทำให้พระธัมมชโยได้รับความเสียหายตามสถานีตำรวจหลายแห่ง โดยระบุว่า ระวังจะกลายเป็นจำเลยซะเอง
โดยอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกาได้อธิบายเพิ่มเติมว่า กรณีนี้พระธัมมชโยซึ่งเป็นผู้เสียหายเท่านั้น ที่มีอำนาจไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ที่สำคัญก็คือ ทางวัดเองได้ออกมายืนยันว่าไม่ทราบเรื่องการกระทำของบุคคลเหล่านั้น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ก็น่าสงสัยว่าบุคคลเหล่านั้นรู้ได้อย่างไรว่าพระธัมมชโยได้รับความเสียหาย
มีรายละเอียดดังนี้
ข่าวบุคคลกลุ่มหนึ่งไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีแก่ นายสมเกียรติ อ่อนวิมล เปลว สีเงิน หลวงปู่พุทธะอิสระ และ พระพยอม กัลยาโณ ในข้อหาว่าบุคคลดังกล่าว นำความเท็จมากล่าวทำให้พระธัมมชโยได้รับความเสียหาย โดยได้ไปแจ้งที่สถานีตำรวจหลายแห่ง
วันนี้ ทางวัดพระธรรมกายได้แถลงต่อสื่อมวลชน ว่า ทางวัดและพระธัมมชโยไม่ทราบเรื่องการกระทำของบุคคลเหล่านั้น เป็นเรื่องที่เขากระทำกันเอง ถ้าเป็นเช่นนี้ก็น่าสงสัยว่าบุคคลเหล่านั้นรู้ได้อย่างไร ว่า พระธัมมชโยได้รับความเสียหาย
ถ้าเป็นกรณีแจ้งความให้ดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทพระธัมมชโย ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ พระธัมมชโยผู้เสียหายเท่านั้นที่มีอำนาจไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด การที่บุคคลเหล่านั้นซึ่งไม่ได้เป็นผู้เสียหายไปแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อาจทำการสอบสวนดำเนินคดีได้
ส่วนกรณีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แม้จะเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ผู้รู้เห็นว่ามีการกระทำความผิด มีสิทธิไปกล่าวโทษผู้กระทำความผิดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ แต่ข้อกล่าวหาที่ว่าเอาความเท็จมากล่าวทำให้พระธัมมชโยได้รับความเสียหาย บุคคลเหล่านั้นรู้ได้อย่างไรว่า เป็นความเท็จและทำให้พระธัมมชโยได้รับความเสียหาย ในเมื่อพระธัมมชโยก็ยังไม่เคยกล่าวว่าเป็นความเท็จและท่านได้รับความเสียหาย และถ้าผู้ถูกกล่าวหาพิสูจน์ได้ว่าที่นำมากล่าวเป็นความจริงก็ย่อมไม่มีความผิด
อยากจะบอกกลุ่มบุคคลที่ไปกระทำการดังที่กล่าวมาข้างต้น ว่า ขอให้ตระหนักว่า สิ่งที่ท่านกระทำกันอยู่อาจย้อนกลับมาทำให้ท่านต้องถูกฟ้องเป็นจำเลยได้
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา มาตรา 173 บัญญัติว่า ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงาน สอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญาว่า ได้มีการกระทําความผิด ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท
การที่ท่านไปแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่บุคคลดังกล่าวข้างต้นที่สถานนีตำรวจหลายแห่ง ก็ไม่มีผลให้ผู้ท่านไปแจ้งความกล่าวหาถูกดำเนินคดีทุกแห่งที่ท่านไปแจ้งความ เพราะเมื่อมีการกระทำครั้งเดียว แม้จะไปแจ้งความหลายแห่งไม่ว่า 10 แห่งหรือ 20 แห่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องนำมารวมกันเป็นคดีเดียวเท่านั้น
แต่กลับกันถ้าการที่ท่านไปแจ้งความดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 173 ถ้ามีการแจ้งความหลายแห่งการกระทำของท่านก็มีความผิดทุกครั้งที่ไปแจ้งความหรือภาษากฎหมายเรียกว่า ไปแจ้งความครั้งหนึ่งก็มีความผิดกรรมหนึ่ง ถ้าไปแจ้งความ 5 แห่ง ก็เป็นการกระทำผิด 5 กรรม ถ้าศาลลงโทษจำคุกกรรมละ 1 ปี กระทำผิด 5 กรรม ก็รวม 5 ปี
วันนี้ได้ฟังข่าวหลวงปู่พุทธะอิสระ และ นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นโจทก์ ฟ้องผู้ที่ไปแจ้งความกล่าวหาว่า โจทก์ทั้งสองหมิ่นประมาทสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นความเท็จเพราะปัจจุบันยังไม่มีสมเด็จพระสังฆราช
จึงนำเรื่องนี้มาพูดเพราะเป็นห่วงท่านทั้งหลายว่าอาจถูกฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 เฉกเช่นบุคคลที่หลวงปู่พุทธะอิสระ และนายไพบูลย์ ฟ้องเป็นจำเลยในวันนี้ ครับ