อดีตข้าราชการในตำแหน่งนักวิชาการของกระทรวงสาธารณสุข ผู้ซึ่งขอใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ด้วยการออกเดินทางท่องเที่ยวตามที่ใจต้องการ และเก็บความทรงจำลงบันทึกไว้ในไดอารีและโลกออนไลน์ ผ่านทางแฟนเพจ ‘ป้าแบ็กแพ็ก’ จนทำให้ “กาญจนา พันธุเตชะ” หรือ ‘ป้าแป๋ว’ ได้เป็นอีกหนึ่งในแรงบันดาลใจอีกคนหนึ่งของแบ็กแพกเกอร์ไทย
จากการทำงานมาทั้งชีวิต จนเมื่อเวลาในการทำงานสิ้นสุดลง คุณป้ากาญจนาจึงตัดสินใจที่จะออกเดินทาง เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในเวลาก่อนหน้านั้น ประกอบกับไม่มีปัญหาอะไรให้กังวลใจอีกแล้ว ทำให้หญิงสูงวัยได้เริ่มต้นอีกครั้ง บนเส้นทางแห่งความรื่นรมย์...
• คนทั้งหมดมักจะคิดว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่ง จะออกไปทำนู่นนี่นั่น คุณป้ามีการวางแผนไว้อย่างนั้นหรือเปล่าครับ
ที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าจะออกไปนะ ไม่ได้คิดว่าหลังจากเกษียณแล้วจะต้องทำนั่นทำนี่ คือช่วงเวลาก่อนหน้านี้เราทำงานอย่างเดียว ไม่ได้นึกถึงเรื่องอะไรเลย จนกระทั่งหมดภาระ เราก็มานั่งพิจารณาตัวเองนะว่าจะทำอะไร ลูกก็ถามแบบนี้เหมือนกัน ขณะที่เราความคิดว่าจะให้อยู่เฉยๆ คงทำไม่ได้ ช่วงที่เกษียณใหม่ๆ เราขับรถไปห้องสมุดของทางเขต ไปอ่านหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ คือเหมือนกับทำงานปกติ ออกจากบ้านก็ไปออกกำลังบ้าง ไปห้องสมุดบ้าง อ่านหนังสือ ก็เหมือนรู้สึกว่าออกจากบ้าน ค่อยๆ ปรับตัวไป ซึ่งความตั้งใจในการท่องเที่ยวก็เพิ่งเกิดขึ้น
• ทำไมถึงเลือกการเดินทางครับ
ถ้าไม่เดินทางมันก็มีตัวเลือกนะ หนึ่ง ไปปฏิบัติธรรม นี่คือสำหรับวัยแบบเรานะ สอง เลี้ยงหลาน สามก็คือ กิน นอน ดูโทรทัศน์ ใช้ชีวิตไปวันๆ ซึ่งจากตัวเลือกที่ว่ามา ตัวเลือกแรก เรายังอยากจะไปอยู่ ส่วนตัวเลือกที่สอง ก็ไม่มีให้เลี้ยง เพราะว่ามีทางคุณยายเขาเลี้ยง และสาม อยู่บ้านเฉยๆ เราก็ไม่เอา เพราะยังมีความรู้สึกว่าเรายังไปไหนมาไหนได้ จะให้เราอยู่เฉยๆ ก็ใช่ที่ คิดว่าตัวเองน่าจะมีความรู้สึกที่เบื่อ เราอยากจะไปไหนของเรา ยังอยากที่จะไปท่องเที่ยวที่ไหนหรือที่ต่างๆ ได้ คิดว่าเราจะนั่งรถไปเที่ยวเอง
คือเรากลัวเฉา นอนอยู่บ้านดูโทรทัศน์แล้วก็หลับ หลับแล้วตื่นมากิน แล้ววนไปอย่างนี้ มันน่าเบื่อนะ และถ้าไม่ได้ทำ ก็คงจะป่วยไปเสียก่อน เราน่าจะไปดูที่นั่นที่นี่ ไปในที่ที่เราอยากไป ส่วนทางบ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะสามีก็ยังทำงานอยู่ ลูกสองคนก็ทำงาน ไม่มีปัญหา แต่เราก็บอกเขาตลอดว่า จะไปที่นี่ๆ นะ กลับวันนี้นะ
อีกอย่าง เราชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ปรากฏว่าไปเจอหนังสือชื่อว่า แบกเป้เที่ยว (โดย Mr-Mint) เราก็ไปลองเปิดดูว่าจะทำได้มั้ย ไปดูว่าฝรั่ง คนหรือสองคน ก็สามารถไปได้ พอไปอ่านก็ประเมินตัวเองว่าเราก็น่าจะทำได้เช่นเดียวกัน เลยอยากที่จะทำ เพราะว่าอยากไปท่องเที่ยวมานานแล้ว ประกอบกับเราไม่ค่อยชอบที่จะไปกับทัวร์ เพราะว่าไปแค่ 6-7 วัน ค่าใช้จ่ายเยอะและดูไม่จุใจ แป๊บเดียวกลับมาแล้ว สู้เราไปเองดีกว่า คิดว่าไปคนเดียวน่าจะสนุกกว่า ซึ่งคนเขียนก็แนะนำต่างๆ ทั้งการทำวีซ่าบ้าง การนอนโรงแรมบ้าง
• มีอุปสรรคอะไรหรือเปล่ากับการคิดจะเดินทางท่องเที่ยวในวัยนี้
คิดว่าทุกอย่างไม่น่าจะมีปัญหาอะไร มีแค่เรื่องเดียวคือความกล้า จากการที่คุยกับเพื่อน เขาบอกว่าไม่กล้าไป เราก็บอกว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร เท่าที่คุยกับเพื่อนบางคน เขาบอกว่าเวลาที่เขานอนกลางคืน เขาจะกลัวผี จะระแวงอะไรต่างๆ ส่วนตัวเราอยากเปิดไฟนอนก็เปิด บังเอิญเราเป็นคนที่กินง่ายนอนง่ายด้วย ก็เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่
อีกอย่างหนึ่ง คนสูงอายุก็ไม่มีเหตุจูงใจอะไรเท่าคนหนุ่มสาวเขาไปกันนะ อย่างตอนที่เราไปญี่ปุ่น เราได้ยินเรื่องหญิงสาวคนไทยที่สนามบิน น่าจะเป็นคนอายุประมาณ 30 เขาบอกว่าโดนค้นกระเป๋า ซึ่งต่างจากเราที่เขาไม่สนใจไง เขาเห็นจากพาสปอร์ตเราว่า ไปมาหลายประเทศแล้วเห็นเราเป็นแบบนี้ เลยไม่สนใจอะไร ซึ่งต่างจากคนอายุน้อยกว่าเราที่เขาจะกังวลว่าไปทำอะไรอย่างอื่นนอกจากไปเที่ยวหรือเปล่า แต่วัยอย่างเราก็จะปลอดภัยและโล่งไป ถือว่าเป็นความโชคดีและเป็นเกราะให้ส่วนหนึ่งด้วยนะ เวลาเดินไปเที่ยว คนก็สนใจน้อย แถมตอนขอความช่วยเหลือ เขาก็ยินดีที่จะช่วยเราอีก ซี่งมองว่าเป็นผลดี เราก็รู้สึกว่าไม่น่ากลัว แต่ไปในที่ชุมชนนะ ถ้าเป็นเดินป่า เราจะไม่ไป เพราะเรารู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องไปด้วยนะ เราไม่ได้มีแรงจูงใจขนาดนั้น ไม่เอาเลย
• ชอบอะไรในการเดินทางท่องเที่ยวครับ
เราชอบไปดูว่าเขากินอยู่ยังไง ดูความเป็นอยู่ของคน ก็จะดูจากตลาดสดนะ อาหารการกินเขาเป็นยังไง อุดมสมบูรณ์มั้ย อย่างตอนที่เราไปทะเลสาบอินเบย์ของพม่า เราไปดูตลาดสอที่นั่น ปลาน้ำจืดเขาเยอะเลย เขาปลูกฟักในน้ำ หรือมีหมู่บ้านในทะเลสาบล้อมรอบไปด้วยภูเขา ห่างไกลจากที่ไหนๆ เราก็ได้เรียนรู้วิถีชีวิต อยู่กันยังไง มันก็สะท้อนอะไรได้หลายๆ อย่างให้เราได้รู้ ได้เห็นความแตกต่างจากวิถีชีวิตที่ต่างกัน คือได้มองจากมุมเราว่าเขากินอยู่กันแบบนี้เนอะ เท่านั้นเอง ไม่ค่อยชอบไปชอปปิ้งค่ะ ก็เดินทางท่องเที่ยวแบบนี้แหละ
• แล้วเรื่องอุปสรรคในการท่องเที่ยวในแต่ละครั้งละครับ
คงเป็นเรื่องเทคโนโลยีค่ะ อยากจะได้แบบไปถึงปุ๊บแล้วสามารถใช้ได้ทันที เนื่องจากเราค่อนข้างมีปัญหาในการหาที่พัก พอไปในสถานที่ต่างๆ ที่มันยังไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ ก็จะหาที่พักยากมาก ยกตัวอย่างล่าสุดที่ไปญี่ปุ่นมา เราต้องไปถามคนข้างทาง พอไปถึงก็ถามตรงนี้นะ ซึ่งเราศึกษาไปก่อนว่าต้องออกตรงนี้ แต่พอไปจริงๆ แล้วไม่เจอ หลงทาง สุดท้ายก็ต้องไปถามคนท้องถิ่น เขาก็เข้าใช้อินเทอร์เน็ตของเขาได้ ซึ่งถ้าเทียบกับนักท่องเที่ยวคนอื่น นี่คือเขาจะค้นหาได้เลย จนเรารู้สึกอิจฉาเลยว่าเมื่อไหร่จะทำอย่างงั้นได้บ้าง นี่คืออุปสรรคเดียวที่เราต้องไปขอให้คนอื่นช่วย (หัวเราะ) ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องพัฒนาต่อไป
• เรื่องสุขภาพร่างกายล่ะครับ
เราก็ต้องออกกำลังกายทุกวันนะ ซึ่งก่อนหน้านี้ ลูกชายซื้อกระเป๋ามา แล้วมาสะพายหลัง ปรากฏว่าน้ำหนักมันจะลงมาที่บ่าจนหนักมาก จนเราปวดกล้ามเนื้อเลย เราก็ไปทำกายภาพบำบัด แต่ไม่หาย สุดท้าย เรามาทำแบบกระบองจากชีวจิตจนมันหาย คือทุกวันนี้เราต้องออกกำลัง ในเวลาที่เราไม่ได้ไปไหนนะ แล้วเวลาเดินทางเราก็ออกกำลังอยู่แล้ว ส่วนถ้าอยู่บ้าน เราจะออกกำลังทุกเช้าด้วยกระบอง วันละชั่วโมง ส่วนอาหารการกิน เราก็กินแบบธรรมดา กินหวานน้อย มันน้อย หลักๆ ก็กินผัก ประมาณนี้ค่ะ คือกินแค่พออยู่ ไม่ได้กินแบบลืมตัวนะ
• อยากให้คุณป้าช่วยเล่าประสบการณ์จากการเดินทางครั้งแรกๆ ให้ฟังหน่อยครับ
หลังจากเกษียณปุ๊บ ก็ซื้อทัวร์ไปที่สิบสองปันนา ที่เราซื้อไว้ตั้งแต่ก่อนเกษียณ ขากลับ เราขอเขาลงที่เชียงของ จากนั้นก็ไปเช่าโรงแรมนอน และก็นั่งรถต่อไปเชียงราย ไปทั้งวัดร่องขุ่น บ้านดำ ไร่ชาซุยฟง ไร่ชาของสิงห์ แล้วก็กลับมา จากนั้นก็กลับไปทางเหนือใหม่ เพราะอากาศในช่วงนั้นยังโอเคอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีเพื่อนอยู่ที่นั่น แต่เราก็ไม่ไปรบกวนเขานะ ก็ไปนอนโรงแรมเอง พอในระหว่างนี้ เราก็ไปเจอหนังสือที่ว่านี่แหละ มาศึกษา ตอนนั้นประเทศที่เราอยากไปมากคือพม่า เพราะเรามีหนังสือเกี่ยวกับพวกนี้เยอะ อย่างเช่น เรื่องพม่าเสียเมือง ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อ่านแล้วเราอยากจะรู้เลยว่าหน้าตามันเป็นยังไง แล้วก็มีหนังสือเล่มอื่นที่มีคนเขียนไว้เยอะ เราอ่านแล้วเรารู้สึกอยากจะไป อยากรู้ว่าคนพม่าเป็นยังไง
จุดแรกที่ไปคือ มะละแหม่ง เพราะด้วยความที่เรารู้จักมะเมี๊ยะมาก่อน ทำให้เราอยากไปที่นั่น เราก็เอาคำแนะนำจากพันทิปที่บอกว่า นั่งรถที่เมียววดี เราก็นั่งจากแม่สอดข้ามไปเลย ตอนนั้นยังไม่สว่างดีนะ เราก็ถามเขาว่ายังพอมีรถไปมั้ย ซึ่งรถเขาเหมือนรถเก๋งนี่แหละ เพียงแต่ถอดเบาะหลังออก แล้วยกพื้นสูงขึ้นแล้วเอาเสื่อปูพื้น เนื่องจากกระเป๋าขึ้นหลังคา ซึ่งท้องถนนในระหว่างทางจะโหดมากเลย มีทั้งฝุ่น แถมรถนี่คือสมบุกสมบันอีก แต่ก็ผ่านมาได้ พอไปถึงเราก็บอกให้เขาไปที่เกสต์เฮาส์ ซึ่งที่ตั้งอยู่แม่น้ำสาละวิน นั่นเป็นครั้งแรกที่เราไปนอนในที่แบบนั้น เพราะเราก็ไม่จำเป็นที่ต้องใช้ห้องใหญ่
พอเราได้สัมผัส ทำให้รู้ว่ามันเป็นแบบนี้นี่เอง แล้วมันก็ปลอดภัยนะ ไม่ใช่แบบห้องไกลๆ เปลี่ยวๆ คือจะเข้าออกก็ใช้ประตูเดียว เราก็คิดว่าแค่อาศัยนอนก็อยู่ได้ ตอนเช้าเราก็ออกไปเที่ยวของเรา ค่ำลงก็กลับมา จากนั้นก็นั่งรถลงมาที่ทวายแล้วก็ต่อไปที่มะริด ก็ได้เห็นสภาพบ้านเมืองและวิถีชีวิตของเขา จึงรู้ว่า มันเป็นอย่างงี้ สรุป ทริปแรกที่ไป ใช้เวลาไปทั้งหมดรวม 8 วัน
• แสดงว่าไปแต่ละครั้ง ก็ต้องมีบันทึกไดอารีด้วยใช่ไหมครับ
(พยักหน้า) ส่วนใหญ่ส่งมาให้ที่บ้านได้รู้ ให้เพื่อนได้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหนแล้ว เขาจะได้ไม่ห่วง รู้ว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ วิธีการเขียนก็เหมือนการเขียนไดอารีทั่วไป เพียงแต่ว่าเราจะเล่าเสริมสอดแทรกเข้าไปว่าแต่ละที่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ความเป็นมาของแต่ละที่เป็นยังไง
จากที่คนบอกว่า การท่องเที่ยว มันเหมือนการได้ประสบการณ์ พอคุณป้าได้มาท่องเที่ยวเอง เราคิดเห็นยังไงกับคำนิยามนี้บ้างครับ
มีคนถามเราเหมือนกันว่า ไปเที่ยวแล้วได้อะไร เราก็บอกกลับไปว่า ถ้าวัยขนาดนี้ คงได้แต่ความรื่นรมย์อย่างเดียว ส่วนอย่างอื่นเอาไปทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะเราเอาเวลาที่เหลือไปทำในสิ่งที่ชอบเท่านั้นเอง แต่ถามว่าจะเอามาทำอะไรก็คงไม่นะ เพราะว่าเราไม่ได้มีบทบาทอะไร เราแค่เป็นตัวของเราและไปเที่ยวเพื่อความสนุกของเราเอง ส่วนประสบการณ์อย่างที่บอก ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ ซึ่งเราก็ไม่ชอบ ไม่เอา เราเลือกที่จะเป็นแบบนี้ดีกว่า มีเวลาน้อยก็ไปในประเทศ มีเวลามากก็ไปต่างประเทศ ส่วนการนิยามของเรานั้น จะคิดว่าใช้เวลาที่เหลือทำในสิ่งที่เราชอบดีกว่า เขาเรียกว่าวัยนี้เป็นวัยทองและปลอดจากภาระจิต ก็หมดแล้ว เราใช้เวลาที่เหลือทำในสิ่งที่เราชอบ ไม่มีโอกาสได้ทำมาก่อน ก็ได้ใช้ช่วงนี้แหละ อยากไปไหนก็ไป สตางค์ก็มี เวลาก็มี แล้วเราจะอยู่เฉยๆ ทำไม ไปเที่ยวก็ได้ออกกำลังด้วย และได้เห็นอะไรมากระตุ้นเราด้วย
• ในฐานะที่คุณป้าเป็นแบ็กแพกเกอร์คนหนึ่ง อยากให้คุณป้าช่วยให้แง่คิดเกี่ยวกับการเดินทางแบบนี้หน่อยครับ
หนึ่ง คนที่จะเดินทางคือผู้หญิงคนเดียว ต้องเตรียมข้อมูลให้ชัดเจนว่าเราจะไปตรงไหน สอง เรื่องการเดินทาง เราจะเที่ยวกลางวันอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเวลาไปที่ใด ต้องเที่ยวแบบมีสติ คำนึงถึงความปลอดภัย อะไรที่มันเสี่ยงเกินไป เราควรจะเลี่ยง สาม เรื่องกินเรื่องดื่ม การที่ไปนอนรวมกัน เราก็ต้องมีความยืดหยุ่น เวลาเราไปอยู่กับคนอื่น ก็ต้องเคารพสิทธิ์ของคนอื่นด้วย ไม่ใช่ต้องเป๊ะนะ แล้วเราจะมีความสุขในการเที่ยวคนเดียวมากขึ้น และวางแผนการเดินทางดีๆ จะทำให้เราปลอดภัย และเป็นไปตามที่เราวางไว้
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
จากการทำงานมาทั้งชีวิต จนเมื่อเวลาในการทำงานสิ้นสุดลง คุณป้ากาญจนาจึงตัดสินใจที่จะออกเดินทาง เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในเวลาก่อนหน้านั้น ประกอบกับไม่มีปัญหาอะไรให้กังวลใจอีกแล้ว ทำให้หญิงสูงวัยได้เริ่มต้นอีกครั้ง บนเส้นทางแห่งความรื่นรมย์...
• คนทั้งหมดมักจะคิดว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่ง จะออกไปทำนู่นนี่นั่น คุณป้ามีการวางแผนไว้อย่างนั้นหรือเปล่าครับ
ที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าจะออกไปนะ ไม่ได้คิดว่าหลังจากเกษียณแล้วจะต้องทำนั่นทำนี่ คือช่วงเวลาก่อนหน้านี้เราทำงานอย่างเดียว ไม่ได้นึกถึงเรื่องอะไรเลย จนกระทั่งหมดภาระ เราก็มานั่งพิจารณาตัวเองนะว่าจะทำอะไร ลูกก็ถามแบบนี้เหมือนกัน ขณะที่เราความคิดว่าจะให้อยู่เฉยๆ คงทำไม่ได้ ช่วงที่เกษียณใหม่ๆ เราขับรถไปห้องสมุดของทางเขต ไปอ่านหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ คือเหมือนกับทำงานปกติ ออกจากบ้านก็ไปออกกำลังบ้าง ไปห้องสมุดบ้าง อ่านหนังสือ ก็เหมือนรู้สึกว่าออกจากบ้าน ค่อยๆ ปรับตัวไป ซึ่งความตั้งใจในการท่องเที่ยวก็เพิ่งเกิดขึ้น
• ทำไมถึงเลือกการเดินทางครับ
ถ้าไม่เดินทางมันก็มีตัวเลือกนะ หนึ่ง ไปปฏิบัติธรรม นี่คือสำหรับวัยแบบเรานะ สอง เลี้ยงหลาน สามก็คือ กิน นอน ดูโทรทัศน์ ใช้ชีวิตไปวันๆ ซึ่งจากตัวเลือกที่ว่ามา ตัวเลือกแรก เรายังอยากจะไปอยู่ ส่วนตัวเลือกที่สอง ก็ไม่มีให้เลี้ยง เพราะว่ามีทางคุณยายเขาเลี้ยง และสาม อยู่บ้านเฉยๆ เราก็ไม่เอา เพราะยังมีความรู้สึกว่าเรายังไปไหนมาไหนได้ จะให้เราอยู่เฉยๆ ก็ใช่ที่ คิดว่าตัวเองน่าจะมีความรู้สึกที่เบื่อ เราอยากจะไปไหนของเรา ยังอยากที่จะไปท่องเที่ยวที่ไหนหรือที่ต่างๆ ได้ คิดว่าเราจะนั่งรถไปเที่ยวเอง
คือเรากลัวเฉา นอนอยู่บ้านดูโทรทัศน์แล้วก็หลับ หลับแล้วตื่นมากิน แล้ววนไปอย่างนี้ มันน่าเบื่อนะ และถ้าไม่ได้ทำ ก็คงจะป่วยไปเสียก่อน เราน่าจะไปดูที่นั่นที่นี่ ไปในที่ที่เราอยากไป ส่วนทางบ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะสามีก็ยังทำงานอยู่ ลูกสองคนก็ทำงาน ไม่มีปัญหา แต่เราก็บอกเขาตลอดว่า จะไปที่นี่ๆ นะ กลับวันนี้นะ
อีกอย่าง เราชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ปรากฏว่าไปเจอหนังสือชื่อว่า แบกเป้เที่ยว (โดย Mr-Mint) เราก็ไปลองเปิดดูว่าจะทำได้มั้ย ไปดูว่าฝรั่ง คนหรือสองคน ก็สามารถไปได้ พอไปอ่านก็ประเมินตัวเองว่าเราก็น่าจะทำได้เช่นเดียวกัน เลยอยากที่จะทำ เพราะว่าอยากไปท่องเที่ยวมานานแล้ว ประกอบกับเราไม่ค่อยชอบที่จะไปกับทัวร์ เพราะว่าไปแค่ 6-7 วัน ค่าใช้จ่ายเยอะและดูไม่จุใจ แป๊บเดียวกลับมาแล้ว สู้เราไปเองดีกว่า คิดว่าไปคนเดียวน่าจะสนุกกว่า ซึ่งคนเขียนก็แนะนำต่างๆ ทั้งการทำวีซ่าบ้าง การนอนโรงแรมบ้าง
• มีอุปสรรคอะไรหรือเปล่ากับการคิดจะเดินทางท่องเที่ยวในวัยนี้
คิดว่าทุกอย่างไม่น่าจะมีปัญหาอะไร มีแค่เรื่องเดียวคือความกล้า จากการที่คุยกับเพื่อน เขาบอกว่าไม่กล้าไป เราก็บอกว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร เท่าที่คุยกับเพื่อนบางคน เขาบอกว่าเวลาที่เขานอนกลางคืน เขาจะกลัวผี จะระแวงอะไรต่างๆ ส่วนตัวเราอยากเปิดไฟนอนก็เปิด บังเอิญเราเป็นคนที่กินง่ายนอนง่ายด้วย ก็เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่
อีกอย่างหนึ่ง คนสูงอายุก็ไม่มีเหตุจูงใจอะไรเท่าคนหนุ่มสาวเขาไปกันนะ อย่างตอนที่เราไปญี่ปุ่น เราได้ยินเรื่องหญิงสาวคนไทยที่สนามบิน น่าจะเป็นคนอายุประมาณ 30 เขาบอกว่าโดนค้นกระเป๋า ซึ่งต่างจากเราที่เขาไม่สนใจไง เขาเห็นจากพาสปอร์ตเราว่า ไปมาหลายประเทศแล้วเห็นเราเป็นแบบนี้ เลยไม่สนใจอะไร ซึ่งต่างจากคนอายุน้อยกว่าเราที่เขาจะกังวลว่าไปทำอะไรอย่างอื่นนอกจากไปเที่ยวหรือเปล่า แต่วัยอย่างเราก็จะปลอดภัยและโล่งไป ถือว่าเป็นความโชคดีและเป็นเกราะให้ส่วนหนึ่งด้วยนะ เวลาเดินไปเที่ยว คนก็สนใจน้อย แถมตอนขอความช่วยเหลือ เขาก็ยินดีที่จะช่วยเราอีก ซี่งมองว่าเป็นผลดี เราก็รู้สึกว่าไม่น่ากลัว แต่ไปในที่ชุมชนนะ ถ้าเป็นเดินป่า เราจะไม่ไป เพราะเรารู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องไปด้วยนะ เราไม่ได้มีแรงจูงใจขนาดนั้น ไม่เอาเลย
• ชอบอะไรในการเดินทางท่องเที่ยวครับ
เราชอบไปดูว่าเขากินอยู่ยังไง ดูความเป็นอยู่ของคน ก็จะดูจากตลาดสดนะ อาหารการกินเขาเป็นยังไง อุดมสมบูรณ์มั้ย อย่างตอนที่เราไปทะเลสาบอินเบย์ของพม่า เราไปดูตลาดสอที่นั่น ปลาน้ำจืดเขาเยอะเลย เขาปลูกฟักในน้ำ หรือมีหมู่บ้านในทะเลสาบล้อมรอบไปด้วยภูเขา ห่างไกลจากที่ไหนๆ เราก็ได้เรียนรู้วิถีชีวิต อยู่กันยังไง มันก็สะท้อนอะไรได้หลายๆ อย่างให้เราได้รู้ ได้เห็นความแตกต่างจากวิถีชีวิตที่ต่างกัน คือได้มองจากมุมเราว่าเขากินอยู่กันแบบนี้เนอะ เท่านั้นเอง ไม่ค่อยชอบไปชอปปิ้งค่ะ ก็เดินทางท่องเที่ยวแบบนี้แหละ
• แล้วเรื่องอุปสรรคในการท่องเที่ยวในแต่ละครั้งละครับ
คงเป็นเรื่องเทคโนโลยีค่ะ อยากจะได้แบบไปถึงปุ๊บแล้วสามารถใช้ได้ทันที เนื่องจากเราค่อนข้างมีปัญหาในการหาที่พัก พอไปในสถานที่ต่างๆ ที่มันยังไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ ก็จะหาที่พักยากมาก ยกตัวอย่างล่าสุดที่ไปญี่ปุ่นมา เราต้องไปถามคนข้างทาง พอไปถึงก็ถามตรงนี้นะ ซึ่งเราศึกษาไปก่อนว่าต้องออกตรงนี้ แต่พอไปจริงๆ แล้วไม่เจอ หลงทาง สุดท้ายก็ต้องไปถามคนท้องถิ่น เขาก็เข้าใช้อินเทอร์เน็ตของเขาได้ ซึ่งถ้าเทียบกับนักท่องเที่ยวคนอื่น นี่คือเขาจะค้นหาได้เลย จนเรารู้สึกอิจฉาเลยว่าเมื่อไหร่จะทำอย่างงั้นได้บ้าง นี่คืออุปสรรคเดียวที่เราต้องไปขอให้คนอื่นช่วย (หัวเราะ) ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องพัฒนาต่อไป
• เรื่องสุขภาพร่างกายล่ะครับ
เราก็ต้องออกกำลังกายทุกวันนะ ซึ่งก่อนหน้านี้ ลูกชายซื้อกระเป๋ามา แล้วมาสะพายหลัง ปรากฏว่าน้ำหนักมันจะลงมาที่บ่าจนหนักมาก จนเราปวดกล้ามเนื้อเลย เราก็ไปทำกายภาพบำบัด แต่ไม่หาย สุดท้าย เรามาทำแบบกระบองจากชีวจิตจนมันหาย คือทุกวันนี้เราต้องออกกำลัง ในเวลาที่เราไม่ได้ไปไหนนะ แล้วเวลาเดินทางเราก็ออกกำลังอยู่แล้ว ส่วนถ้าอยู่บ้าน เราจะออกกำลังทุกเช้าด้วยกระบอง วันละชั่วโมง ส่วนอาหารการกิน เราก็กินแบบธรรมดา กินหวานน้อย มันน้อย หลักๆ ก็กินผัก ประมาณนี้ค่ะ คือกินแค่พออยู่ ไม่ได้กินแบบลืมตัวนะ
• อยากให้คุณป้าช่วยเล่าประสบการณ์จากการเดินทางครั้งแรกๆ ให้ฟังหน่อยครับ
หลังจากเกษียณปุ๊บ ก็ซื้อทัวร์ไปที่สิบสองปันนา ที่เราซื้อไว้ตั้งแต่ก่อนเกษียณ ขากลับ เราขอเขาลงที่เชียงของ จากนั้นก็ไปเช่าโรงแรมนอน และก็นั่งรถต่อไปเชียงราย ไปทั้งวัดร่องขุ่น บ้านดำ ไร่ชาซุยฟง ไร่ชาของสิงห์ แล้วก็กลับมา จากนั้นก็กลับไปทางเหนือใหม่ เพราะอากาศในช่วงนั้นยังโอเคอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีเพื่อนอยู่ที่นั่น แต่เราก็ไม่ไปรบกวนเขานะ ก็ไปนอนโรงแรมเอง พอในระหว่างนี้ เราก็ไปเจอหนังสือที่ว่านี่แหละ มาศึกษา ตอนนั้นประเทศที่เราอยากไปมากคือพม่า เพราะเรามีหนังสือเกี่ยวกับพวกนี้เยอะ อย่างเช่น เรื่องพม่าเสียเมือง ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อ่านแล้วเราอยากจะรู้เลยว่าหน้าตามันเป็นยังไง แล้วก็มีหนังสือเล่มอื่นที่มีคนเขียนไว้เยอะ เราอ่านแล้วเรารู้สึกอยากจะไป อยากรู้ว่าคนพม่าเป็นยังไง
จุดแรกที่ไปคือ มะละแหม่ง เพราะด้วยความที่เรารู้จักมะเมี๊ยะมาก่อน ทำให้เราอยากไปที่นั่น เราก็เอาคำแนะนำจากพันทิปที่บอกว่า นั่งรถที่เมียววดี เราก็นั่งจากแม่สอดข้ามไปเลย ตอนนั้นยังไม่สว่างดีนะ เราก็ถามเขาว่ายังพอมีรถไปมั้ย ซึ่งรถเขาเหมือนรถเก๋งนี่แหละ เพียงแต่ถอดเบาะหลังออก แล้วยกพื้นสูงขึ้นแล้วเอาเสื่อปูพื้น เนื่องจากกระเป๋าขึ้นหลังคา ซึ่งท้องถนนในระหว่างทางจะโหดมากเลย มีทั้งฝุ่น แถมรถนี่คือสมบุกสมบันอีก แต่ก็ผ่านมาได้ พอไปถึงเราก็บอกให้เขาไปที่เกสต์เฮาส์ ซึ่งที่ตั้งอยู่แม่น้ำสาละวิน นั่นเป็นครั้งแรกที่เราไปนอนในที่แบบนั้น เพราะเราก็ไม่จำเป็นที่ต้องใช้ห้องใหญ่
พอเราได้สัมผัส ทำให้รู้ว่ามันเป็นแบบนี้นี่เอง แล้วมันก็ปลอดภัยนะ ไม่ใช่แบบห้องไกลๆ เปลี่ยวๆ คือจะเข้าออกก็ใช้ประตูเดียว เราก็คิดว่าแค่อาศัยนอนก็อยู่ได้ ตอนเช้าเราก็ออกไปเที่ยวของเรา ค่ำลงก็กลับมา จากนั้นก็นั่งรถลงมาที่ทวายแล้วก็ต่อไปที่มะริด ก็ได้เห็นสภาพบ้านเมืองและวิถีชีวิตของเขา จึงรู้ว่า มันเป็นอย่างงี้ สรุป ทริปแรกที่ไป ใช้เวลาไปทั้งหมดรวม 8 วัน
• แสดงว่าไปแต่ละครั้ง ก็ต้องมีบันทึกไดอารีด้วยใช่ไหมครับ
(พยักหน้า) ส่วนใหญ่ส่งมาให้ที่บ้านได้รู้ ให้เพื่อนได้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหนแล้ว เขาจะได้ไม่ห่วง รู้ว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ วิธีการเขียนก็เหมือนการเขียนไดอารีทั่วไป เพียงแต่ว่าเราจะเล่าเสริมสอดแทรกเข้าไปว่าแต่ละที่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ความเป็นมาของแต่ละที่เป็นยังไง
จากที่คนบอกว่า การท่องเที่ยว มันเหมือนการได้ประสบการณ์ พอคุณป้าได้มาท่องเที่ยวเอง เราคิดเห็นยังไงกับคำนิยามนี้บ้างครับ
มีคนถามเราเหมือนกันว่า ไปเที่ยวแล้วได้อะไร เราก็บอกกลับไปว่า ถ้าวัยขนาดนี้ คงได้แต่ความรื่นรมย์อย่างเดียว ส่วนอย่างอื่นเอาไปทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะเราเอาเวลาที่เหลือไปทำในสิ่งที่ชอบเท่านั้นเอง แต่ถามว่าจะเอามาทำอะไรก็คงไม่นะ เพราะว่าเราไม่ได้มีบทบาทอะไร เราแค่เป็นตัวของเราและไปเที่ยวเพื่อความสนุกของเราเอง ส่วนประสบการณ์อย่างที่บอก ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ ซึ่งเราก็ไม่ชอบ ไม่เอา เราเลือกที่จะเป็นแบบนี้ดีกว่า มีเวลาน้อยก็ไปในประเทศ มีเวลามากก็ไปต่างประเทศ ส่วนการนิยามของเรานั้น จะคิดว่าใช้เวลาที่เหลือทำในสิ่งที่เราชอบดีกว่า เขาเรียกว่าวัยนี้เป็นวัยทองและปลอดจากภาระจิต ก็หมดแล้ว เราใช้เวลาที่เหลือทำในสิ่งที่เราชอบ ไม่มีโอกาสได้ทำมาก่อน ก็ได้ใช้ช่วงนี้แหละ อยากไปไหนก็ไป สตางค์ก็มี เวลาก็มี แล้วเราจะอยู่เฉยๆ ทำไม ไปเที่ยวก็ได้ออกกำลังด้วย และได้เห็นอะไรมากระตุ้นเราด้วย
• ในฐานะที่คุณป้าเป็นแบ็กแพกเกอร์คนหนึ่ง อยากให้คุณป้าช่วยให้แง่คิดเกี่ยวกับการเดินทางแบบนี้หน่อยครับ
หนึ่ง คนที่จะเดินทางคือผู้หญิงคนเดียว ต้องเตรียมข้อมูลให้ชัดเจนว่าเราจะไปตรงไหน สอง เรื่องการเดินทาง เราจะเที่ยวกลางวันอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเวลาไปที่ใด ต้องเที่ยวแบบมีสติ คำนึงถึงความปลอดภัย อะไรที่มันเสี่ยงเกินไป เราควรจะเลี่ยง สาม เรื่องกินเรื่องดื่ม การที่ไปนอนรวมกัน เราก็ต้องมีความยืดหยุ่น เวลาเราไปอยู่กับคนอื่น ก็ต้องเคารพสิทธิ์ของคนอื่นด้วย ไม่ใช่ต้องเป๊ะนะ แล้วเราจะมีความสุขในการเที่ยวคนเดียวมากขึ้น และวางแผนการเดินทางดีๆ จะทำให้เราปลอดภัย และเป็นไปตามที่เราวางไว้
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี