โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ปัดข้อเสนอ DSI เชิญหมอ รพ.ตำรวจ ตรวจอาการ “พระธัมมชโย” โวยเจ้าหน้าที่สอบสวน รพ.ค่ายภาณุรังษี ทำแพทย์หวาดกลัว ซัดเชิญ “มโน” ร่วมถกส่อไม่เป็นกลาง จวกขอกำลัง สตช. ยังกับจะทำสงครามกลางเมือง ทำชาวพุทธทั่วโลกสะเทือนใจ หวั่นให้หมอนอกมาตรวจจะซ้ำรอยปี 42 ทำทรุดหนักไร้ผู้รับผิดชอบ จี้รวบรวมสำนวน ด้านผู้ช่วยสำนักสื่อสารองค์กรฯ เผย การ์ด นปช. ออกไปจากวัดแล้ว ขอประเมินสถานการณ์รื้อลวดหนามหรือไม่ อ้างบอลลูนแค่จุดปฏิบัติธรรม
วันนี้ (2 มิ.ย.) ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ DMC สำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย แถลงข่าวว่า กรณีที่ พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่าจะให้แพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจมาตรวจอาการของ พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย หากยืนยันว่า อาการอาพาธจริง ก็ยินดีมาแจ้งข้อกล่าวหาที่วัดพระธรรมกายนั้น หากดีเอสไอ มีท่าทีอย่างนี้มาตั้งแต่ต้น เรื่องนี้ก็คงจบไปนานแล้ว แต่ขณะนี้การแสดงออกของดีเอสไอที่ผ่านมา ทำให้คณะศิษยานุศิษย์ไม่เชื่อมั่นในความเป็นกลางของดีเอสไอ แม้ทางวัดจะมีหนังสือไปถึงดีเอสไอแจ้งว่าพระธัมมชโย อาพาธโดยมีใบรับรองแพทย์ยืนยันโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางถึง 3 ท่าน และแพทย์ผู้ตรวจก็ได้เดินทางไปรอให้ข้อมูลรายละเอียดที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่พนักงานสอบสวนก็ไม่ยอมให้คณะแพทย์เข้าไปให้รายละเอียดต่อที่ประชุมพนักงานสอบสวน แม้ทางวัดขอให้ส่งแพทย์จากหน่วยงานกลางมาตรวจอาการของพระธัมมชโย ที่วัด แต่ทางดีเอสไอก็ปฏิเสธ และไปยื่นขอหมายจับที่ศาลทันทีถึง 2 ครั้ง
โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย กล่าวว่า ทั้งนี้ ยังมีการออกข่าวว่า ใบรับรองแพทย์ของพระธัมมชโย เป็นเท็จ แม้ภายหลังแพทยสภาจะออกมายืนยันว่าเป็นใบรับรองแพทย์ที่ถูกต้อง ก็ยังคงมีความพยายามจะเล่นงานแพทย์ผู้ออกใบรับรองแพทย์ โดยส่งเจ้าพนักงานสอบสวนของดีเอสไอไปสอบสวนที่โรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี จังหวัดราชบุรี ว่า การออกใบรับรองแพทย์ผิดขั้นตอนของโรงพยาบาลหรือไม่ พฤติกรรมการแสดงออกของพนักงานสอบสวนในคดีนี้ ทำให้แพทย์ผู้ตรวจรักษาเกิดความหวาดกลัว แม้จะปฏิบัติหน้าที่ตรวจรักษาผู้ป่วยตามจรรยาบรรณของแพทย์ก็อาจเกิดความเดือดร้อนได้
นายองอาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ของดีเอสไอ ได้เชิญ นพ.มโน เลาหวนิช อดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นคู่กรณีผู้กล่าวโจทก์พระธัมมชโย เข้าร่วมประชุมกับคณะพนักงานสอบสวนและเป็นผู้ชี้นำวิธีการจัดการกับพระธัมมชโยให้พนักงานสอบสวน ทำให้คณะศิษยานุศิษย์รู้สึกว่าคณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ มีจุดยืนที่ทำให้สงสัยว่าไม่เป็นกลาง ตั้งตนเป็นคู่ปรปักษ์กับพระธัมมชโย
“อีกทั้งดีเอสไอได้ทำหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอกำลังจำนวน 4 กองร้อย หรือ 600 นาย พร้อมอาวุธครบมือ รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ โดยดีเอสไอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เมื่อรวมกับกำลังของดีเอสไอ ซึ่งปรากฏตามรายงานข่าวของสื่อมวลชนว่า มีรถหุ้มเกราะพร้อมออกปฏิบัติการ และกำลังของเจ้าหน้าที่หน่วยอื่น ดูประหนึ่งว่า ดีเอสไอกำลังทำสงครามกลางเมือง โดยยกกำลังนับพันนายพร้อมรถหุ้มเกราะ และเฮลิคอปเตอร์ บุกเข้าวัดในพุทธศาสนา เพื่อจับกุมพระภิกษุชรา อายุกว่า 72 ปี ที่กำลังอาพาธหนักเป็นเพียงผู้ต้องหา ยังไม่ได้สอบสวน ยังไม่ตกเป็นจำเลยในคดีเลย เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจต่อคณะสงฆ์ทั่วประเทศ ศิษยานุศิษย์พระธัมมชโย และชาวพุทธทั่วโลกเป็นอย่างมาก มีองค์กรพุทธทั่วโลกส่งหนังสือมาทักท้วงการทำงานของดีเอสไอยังท่านนายกรัฐมนตรีมากมาย ปรากฏเป็นข่าวไปทั่วโลก สร้างความเสื่อมเสียแก่ภาพลักษณ์ของประเทศชาติอย่างร้ายแรง จนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาปรามไม่ให้ดีเอสไอใช้มาตรการรุนแรง” นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวอ้างว่า เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2542 เคยเกิดกรณีที่พระธัมมชโย อาพาธ ไอมาก มีเสมหะปนเลือด โดยมีใบรับรองแพทย์ จึงขอเลื่อนการไปพบพนักงานสอบสวน แต่พนักงานสอบสวนไม่เชื่อ จึงได้พาแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ 2 นายมาตรวจอาการที่วัด เสร็จแล้วแพทย์วินิจฉัยว่าไปได้ และบังคับให้ออกเดินทางไปกับพนักงานสอบสวน วันรุ่งขึ้นอาการของพระธัมมชโยจึงทรุดหนักอาเจียนเป็นเลือด ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 1 เดือน และกลับมารักษาตัวที่วัดอีก 3 เดือน อาการจึงดีขึ้น โดยไม่มีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบแต่อย่างไร มิหนำซ้ำยังเล่นงานแแพทย์ผู้ออกใบรับรองแพทย์โดยแพทยสภาสั่งพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 1 เดือน แพทย์ทั้ง 2 ท่าน จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง จนสุดท้ายศาลปกครองมีคำพิพากษาในคดีแดงหมายเลขที่ 1175/2547 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2547 ว่า คำสั่งของแพทยสภาดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนคำสั่งของแพทยสภา แต่ก็ไม่มีผู้ใดรับผิดชอบต่ออาการเจ็บป่วยร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับพระธัมมชโยจากการวินิจฉัยที่ผิดพลาดของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจทั้ง 2 ท่านนั้น พฤติกรรมของพนักงานสอบสวนในคดีนี้มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 17 ปีก่อนมาก จึงไม่มั่นใจในความเป็นกลางของพนักงานสอบสวนในคดีนี้
นายองอาจ กล่าวอีกว่า ขณะที่ คดีพิเศษ 27/2559 นี้ เป็นการดำเนินคดีที่ซ้ำซ้อนกับคดีพิเศษ 146/2556 พยานหลักฐานในคดีที่ 146/2556 การดำเนินคดีที่ 27/2559 นี้จึงไม่ถูกต้องชอบธรรมตั้งแต่ต้นเหมือนการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อ ๆ ไป ทำให้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด จึงขอแสดงจุดยืนเรียกร้องให้ทางดีเอสไอรวมสำนวนการสอบสวนคดีที่ 27/2559 เข้ากับคดีที่ 146/2556 และสอบสวนพยานหลักฐานด้วยความโปร่งใสเป็นธรรม เพื่อเป็นมาตรฐานกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องดีงามของสังคมสืบไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 09.30 น. พระมหานพพร ปุญญชโย ผู้ช่วยสำนักสื่อสารองค์กร ได้แถลงถึงกรณีมีภาพชายต้องสงสัยซึ่งอาจเกี่ยวข้องทางการเมืองเข้ามาในวัดว่า ทางวัดได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ ในเรื่องของการลงทะเบียนซึ่งต้องมีการคัดกรองบุคคลต้องสงสัยที่อาจจะก่อความไม่สงบหรือสร้างสถานณ์ทางการเมืองภายในวัด จากการตรวจสอบพบว่ามีชายคนดังกล่าวเข้ามาในวัดจริง แต่ไม่ทราบว่าเข้ามาเพื่อจุดประสงค์ใด และได้ออกจากวัดไปแล้ว ซึ่งเจ้าตัวคงรู้ว่าสื่อให้ความสนใจและนำเสนอข่าว จึงสมัครใจขอออกไปจากวัดเอง โดยทางวัดไม่ได้ไล่ออกแต่อย่างใด วัดพระธรรมกายมุ่งเน้นการปฏิบัติธรรมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง
ส่วนที่มีการถามถึงที่มาของรั้วลวดหนามที่ได้มายังไงนั้น พระมหานพพร กล่าวว่า ทางวัดได้ซื้อมาจากร้านก่อสร้าง บ้างก็ลูกศิษย์จัดหาให้ อาจจะมีการเปลี่ยนออก ซึ่งต้องมีการประเมินสถานการณ์จากมือที่สาม และจะมีการหารือกันภาย 2 - 3 วันนี้ นอกจากนี้ได้มีกลุ่มบุคคลซึ่งตรวจสอบแล้วว่าไม่ใช่สาธุชนเข้ามาดูเหตุการณ์ในวัด ทางเจ้าหน้าที่จึงได้คัดกรองออกไป ซึ่งยอมรับว่า ทางเจ้าหน้าที่จุดคัดกรอง ได้รับทราบข่าวสารไม่เท่ากัน บางคนดูข่าวเยอะก็จะรู้ว่าใครเป็นใคร จึงทำให้อาจมีบุคคลผู้ไม่หวังดีหลุดรอดเข้ามาได้ สำหรับบอลลูนที่สื่อให้ความสนใจอยู่นั้น บอลลูนดังกล่าวอยู่ภายในวัด เป็นเพียงสัญลักษณ์ในการเดินทาง เพื่อบอกจุดให้ศิษย์เดินทางปฏิบัติธรรมอย่างเป็นระเบียบ