เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชายหนุ่มผมยาวมาดเซอร์ สวมแว่นตากลม ในชุดม่อฮ่อม ผู้ขับร้องเพลง “คงไม่ทัน” ในรายการนักร้องซ่อนแอบ - I Can See You Voice - ที่ปลุกทุกคนในสตูดิโอส่งเสียงเชียร์ และลามเลียไปสู่โลกออนไลน์ในยูทิวบ์ที่มียอดวิวมากกว่าล้าน
ชีวิตไม่เคยมีคำว่า “คงไม่ทัน” ตราบเท่าที่ฝันยังมีอยู่ในใจและการก้าวเดิน...
ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีบนปฏิทินชีวิต “เอ๋-วชิระ ดาบุตร” ผุดแล้วดับ ดับแล้วผุด ครั้งแล้วครั้งเล่าบนเส้นทางสายดนตรี ที่จริงเขาควรจะเหนื่อยล้า ที่จริงเขาควรจะรามือ แต่คนบางคน เมื่อโอกาสวิ่งเข้ามาชน ต่อให้คนอื่นไหนใครนั้น สงสัยว่ามันจะเป็นไปได้หรือ เขาก็พร้อมจะน้อมรับโอกาสนั้น และทำให้มันดีที่สุด...
เปิดชีวิตนักร้องบ้านนอก
สู่ศิลปินบางกอก “ดงบังกะปิ”
“ผมเกิดและโตที่จังหวัดมุกดาหาร แล้วก็มาเรียนช่างไฟฟ้าที่เทคโนขอนแก่น ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากอยู่บ้าน เพราะที่บ้านมีปัญหาเรื่องครอบครัว”
นักร้องหนุ่มใหญ่ เริ่มร่ายเมโลดี้ชีวิตที่ผกผันเพราะปัญหา ก่อนวันเวลาจะนำพาให้ย่างก้าวเข้าสู่เส้นทางดนตรีโดยที่ไม่คาดคิด--ฟังเพลง—เสพดนตรี
“อันที่จริง ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเล่นดนตรี แต่เราชอบร้องเพลง ได้ฟังน้าเปิด พ่อเปิด เพลงยุคเก่าๆ ตั้งแต่เด็ก ทั้ง Scorpions, Bon Jovi, Deep Purple, Black Sabbath เราก็ได้รับอิทธิพลมาโดยไม่รู้ตัว พอออกมาเรียนช่าง พูดก็เหมือนตลก ที่ทำให้สนใจดนตรีเพราะเพื่อนเขาไปจีบหญิง แล้วเขาเล่นกีตาร์เป็น เขาจีบหญิงติด เราก็อยากแบบเขา แต่ด้วยความที่เราหน้าตาไม่ดี เล่นกีตาร์ก็ไม่ได้ด้วย ก็เลยเริ่มจับกีตาร์มาฝึก
“จำได้ว่า วันเดียวเล่นเป็นเลย เพราะฝึกตั้งแต่ 2 ทุ่มยัน 8 โมงเช้าของอีกวัน เพลง “หมากเกมนี้” ของวงอินคา มีคอร์ด Em คอร์ด G วนแค่นี้ง่ายๆ แต่แปลกมาก หลังจาก 12 ชั่วโมงนั้นลืมการคิดถึงเรื่องผู้หญิงไปเลย แล้วก็เอาจริงเอาจังดนตรีอย่างเดียว จนการเรียนเสีย แม่ก็มาบอกให้ตั้งใจเรียนหน่อย (หัวเราะ) แม้ว่าท่านจะรู้อยู่แล้วว่าเรามาเรียนเพราะอะไร แต่ก็อยากให้จบ ให้ตั้งใจ และสัญญาว่าเดี๋ยวจะซื้อกีตาร์ให้ตัวหนึ่ง เราก็เลยตั้งใจเรียนเลย ให้มันได้เกรด 2 กว่า จบ ปวช.ก็ได้กีตาร์มาตัวหนึ่ง”
ได้มาก็หัดเล่น เล่นๆ ด้วยวันวัยรุ่นที่ไฟในเลือดลมกระพือแรง นิ้วมือที่ควรจะจับปากกาดินสอจ่อจดคำสอนตำราเรียน จึงวนเวียนอยู่กับเพียงเส้นเหล็ก 6 สาย และโต๊ะกับเก้าอี้ไม้รายรอบเป็นทิวยาว ยามค่ำคืน
“พอได้กีตาร์มาก็เล่นๆ อย่างเดียว พอเล่นได้ก็แทบจะไม่เรียน คือลืมคำที่แม่บอก กระทั่งไม่ไหวแล้ว แม่ก็มาบอกอีกว่าให้เรียนให้จบก่อน เอา ปวส.ให้รอด ก็จบ จบแล้ว ก็ขอแม่มาทำงานที่กรุงเทพฯ สรุปก็มาเป็นช่างลิฟต์ เพราะไม่รู้จักใคร เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ก็ทำงานได้ 1-2 ปี ไม่ไหว อันตรายมาก การเป็นช่างลิฟต์ต้องขึ้นลง ตึก มีไฟไหม้ ผมยังอยู่ในตึกอยู่เลย ล้างท่อลิฟต์อยู่ ไม่รู้เรื่องว่าไฟไหม้ ทีนี้ ด้วยความที่มันอันตรายบวกกับความอยากเล่นดนตรี ก็เลยออกไปเป็นพนักงานขายเครื่องดนตรี สาเหตุก็เพราะได้เข้าไปใกล้ คืออย่างน้อยไม่ได้เล่น ไปขายก็ยังดี ไปคลุกคลีหน่อย เงินเดือนน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไร เราได้อยู่กับกีตาร์ ได้จับๆ แต่บังเอิญเพื่อนที่ห้างที่ทำงานด้วยกัน เขามีวงแล้วมาเห็นผมเล่นกีตาร์ช่วงพัก เขาก็เลยมาชวนไปทำวงดนตรีไปเล่นกลางคืน หลังห้างเลิกประมาณ 4 ทุ่ม”
“เกิดเป็นแก๊ง 'ดงบังกะปิ'”
นักร้องหนุ่มกล่าวแซมยิ้ม เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เด็กต่างจังหวัดหัวเดียวกระเทียมลีบจะจับพลัดจับผลูเจอะเจอผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน
“เราก็ไปเล่น ไปตีคอร์ดช่วย ร้องเพลงช่วย ได้ค่าตัว 150 บาท บางทีลูกค้าไม่มีก็เล่น เล่นแลกค่าเบียร์ มีกันทั้งหมด 5 คน เล่นที่ร้าน Rock service เลียบทางด่วน-รามอินทรา เล่นวันเดียวกันกับพี่อ๊อฟ วง Dezember สมัยที่พี่เขายังไม่ออกเทป เล่นได้สัก 1-2 ปี ช่วงปี 2538-2539 เล่นไปสักพักก็โชคดี มีวงใต้ดิน ชื่อวง No เขาเป็นวงมาจากภาคอีสาน แล้วเขามาเห็นวงเราเล่น เขาก็ติดต่ออยากให้เราไปเล่นแบ็กอัพ
“เราก็ออกจากงานเลย ถามว่าตอนนั้นตัดสินใจยากไหมกับสิ่งที่รักและสิ่งที่ต้องทำเพื่ออยู่รอด จังหวะนั้นไม่คิดตรงนี้ เพราะมันมาถึงขั้นนี้แล้ว มันไม่ได้ มันเป็นโอกาสที่เราเฝ้ารอ เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่มีเพื่อนเลย จะมามีวง แล้วมาเจอคนอุดมการณ์เดียวกัน มาเจอคนให้โอกาสอีก ก็ทำ ก็ไปเป็นวงเปิดให้ โลโซ ชุดอัลบัม Rock and Roll เป็นงานคอนเสิร์ตประจำจังหวัด ตอนนั้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ แล้วก็ได้ไปเป็นวงเปิดให้ นิโค เทริโอ ที่จังหวัดเลย
“แต่เสร็จงานนั้น วง No เขาก็วงแตก ก็กลับมารวมตัวกับวงเพื่อนๆ ดงบังกะปิ อีกครั้ง เพราะตอนนั้นบางคนยังกล้าๆ กลัวๆ จะออกจากงาน ก็คุยกันเพื่อจะเล่นอาชีพจริงๆ ด้วยความที่ใจเรารักกันอยู่แล้ว ครั้งนี้ทุกคนก็ออกจากงานกันหมด มาลุยกันเลย กินเกลือกัน ทุบหม้อข้าวกัน”
แต่ด้วยสมัยนิยมแปรเปลี่ยน เส้นทางดนตรีที่ดำเนินจึงต้องล้มพับ ไม่ประสบความสำเร็จ
“ปีสองปี ก็วงแตก เพราะว่ามันไม่มีงาน สมัยนั้นเป็นยุคของวงโคโยตี้ เปิดแผ่นแล้วมีนักร้องสาวๆ แต่งชุดวาบหวิวมาร้องมาเต้น แต่เราเป็นวงดนตรีชายล้วนเล่นสด เราก็สู้เขาไม่ได้ ก็ถอย
“ห่างมาอีก 2 ปี ผมกับมือกีตาร์ มือเบส ก็มารวมกันใหม่ มาเล่นอะคูสติกด้วยกัน แล้วก็ได้มือกลองคนใหม่ เก่งมาก มือกลองทุกวันนี้เป็นระดับแบ็คอัพให้พี่ติ๊ก ชีโร่ พี่กบ ไมโคร เรารวมกันเป็น 4 คน 3 ชิ้น เราร้องนำเต็มตัว เพราะไม่มีนักร้อง ก็ต้องจำใจร้อง ไม่มั่นใจการออกไปเป็นฟรอนต์แมน สำเนียงร้องตอนนั้นก็ร้องร็อกๆ แต่ประสบการณ์จากโฟล์กซองทำให้พอไม่เขินอาย ก็เล่นที่ร้านหน้าห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ
“ไม่ได้คิดว่าจะร้องดี แต่ทุกอย่างมันกลับดีไปหมด เพราะช่วงนั้นไม่มีวงที่เล่นสดๆ อย่างนี้ เล่นเพลงวง Limp Bizkit, Linkin Park, วงหินเล็กไฟ พวกวงร็อกเก่าๆ เล่นแนวอัลเทอร์เนทีฟ คนก็มาจากต่างจังหวัด มาดูเรา 6 โมงเย็นนี่คนเต็มร้านแล้ว ต้องรอข้างนอก ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ออกเทป”
และเมื่อโอกาสเปิด คนดนตรีตัวเล็กๆ ได้มีโอกาสแสดงความเป็นตัวตน ชื่อของ "ซามูไร" วงโนเนมผมหลากสี จึงได้รับการทาบทามจากแมวมองค่ายยักษ์ใหญ่ แต่ก็ไม่สำเร็จอีก
“อายุตอนนั้นประมาณ 27-28 ปี ก็เล่นที่ร้านนั้น 4-5 ปี จนคนจากค่ายใหญ่เขาเห็น เขาก็ให้เราลองแต่งเพลง แต่งเพลงเสร็จแล้วก็ให้เราไปแคสติ้ง เขาก็ตกลงโอเคกับวง แต่ระหว่างกำลังจะเซ็นสัญญา วงเราก็แตกกันก่อน
“เราก็กลับไปเล่นอะคูสติก มาเล่นกับน้องๆ บ้าง ทำวงกับน้องๆ งานก็น้อยๆ ลง ด้วยอายุด้วยอะไรด้วย อายุ 32-33 เริ่มเหนื่อยเริ่มหนัก เริ่มมีคนเรียกน้า ถามว่าน้าเอ๋ยังเล่นอยู่อีกเหรอ บอกว่าเลิกได้แล้วมั้ง คือมันไม่ประสบความสำเร็จไปทุกอย่าง แต่เราก็สู้ไม่ถอย ยังมีไฟ ยังอยากไปเล่น”
นักร้องนักดนตรีหนุ่มใหญ่เผย ก่อนจะเล่าถึงอัตราเปอร์เซ็นต์ ความล้มเหลวที่เพิ่มจากหลักหน่วยเป็นหลักสิบ เช่นเดียวกับตัวเลขอายุ 41 ปี
“แล้วก็กลับมารวมกับเพื่อนๆ สมัยทำงานห้าง ตอนนั้นก็มีไปเล่นแถวถนนข้าวสาร ก็วงแตกอีก ก็เปลี่ยนไปอีกหลายวง ก็ลุ่มๆ ดอนๆ แล้วจากเล่นหลายวัน ร้านก็เลิกจ้าง จนเหลือเล่นวันเดียว คือคิดว่าเราไม่เป็นที่ต้องการของยุคสมัย เหมือนรถที่ตกรุ่นไปแล้ว ด้วยลุค ด้วยเพลง เพลงร็อกเก่าๆ เขาไม่ต้องการ เขาต้องการเพลงสไตล์ใหม่ๆ แต่เราไม่เปลี่ยน ไม่ใช่ว่าเราร้องไม่ได้ ร้องไม่ดี แต่เราร้องไปไม่ใช่เรา
“เพลงสำหรับเราคือการถ่ายทอดอารมณ์ ต้องออกมาจากข้างใน เพอร์ซันนัล ไม่ใช่ตัวโน้ต อักขระ ไม่อย่างนั้น ศิลปินก็จะออกมาสไตล์เดียวกันหมด เหมือนกันหมด ไม่มีแบบ Kurt Cobain วง Nirvana ออกมา ไม่มี เสก โลโซ ไม่มีอาจารย์ไข่ มาลีฮวนน่า ที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน ได้ยินปุ๊บ เรารู้เลยว่าใคร เราฝันเราอยากเป็น เราอยากเสนอความเป็นเรา เราฝันอยากจะมีผลงานเป็นของตัวเองให้ได้ ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็พยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ พยายามฝึกร้องในหลายๆ รูปแบบเพื่อสร้างสกิล เพื่อหาสไตล์ที่แท้จริงของตัวเอง
“ดังนั้น แม้ว่าจะฝันอยากมีผลงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีโอกาสแล้วเราจะรีบคว้าไว้เลยทันที ชอบหรือไม่ชอบ ใช่หรือไม่ใช่ ไม่สน ขอให้ได้ออกผลงานไว้ก่อน เราโกหกตัวเองไม่ได้ เราก็โกหกคนอื่นไม่ได้เช่นเดียวกัน”
ช้าเร็วอยู่ที่เรา
ขอเพียงอย่าสุมเถ้าให้ศรัทธา
เมื่อคิดได้ดังนั้น แม้ว่าจะไม่สำเร็จตามเป้าฝัน แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นก็เฝ้าหาหนทาง ถึงจะช้า จะน้อยนิด จะท้อถอยบ้าง
“ช่วงนั้นก็เฟดตัวเองออกมานิดหน่อย เพราะครอบครัว เราแต่งงานกับแฟน ด้วยความที่สนใจพระเครื่อง ประกอบกับครอบครัวแฟนทำหนังสือพระเครื่อง เราก็เลยทำหนังสือพระเครื่องชื่อ 'พุทธจักรพระเครื่อง' เพื่อความมั่นคง แต่เราก็ยังมีไฟเสมอ ยังไปเล่น ไปแจมกับคนนั้นคนนี้ ทำตามฝันอยู่ ก็คิดตลอดว่ามันต้องมีสักวัน
“จนถึงช่วง 2-3 ปีหลังจากแยกวงกับเพื่อนที่ห้าง ก็มีน้องที่เป็นช่างสัก ตอนนี้เขาอยู่ประเทศออสเตรียแนะนำให้รู้จัก พี่กวาง มือกีตาร์วงเสือใหญ่ แล้วก็พี่เมา มือกลองวงเสือใหญ่ พี่ป้อมมือเบส ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล เล่นให้พี่จั๊ก วงดับเบิ้ลยู พี่ไท ธนาวุฒิ แล้วก็น้องยุ้ย นักร้องผู้หญิง เล่นกันประมาณ 5-6 ปี ก็แยกย้ายกัน ก็คุยกับแฟนอีกครั้งว่าจะเลิก”
“ครั้งนี้ว่าจะเลิกเส้นทางนี้จริงๆ”
นักร้องหนุ่มเผย ก่อนจะบอกเล่าเหตุผลที่ทำให้กลับมามีไฟและพลังในตัวเอง
“การทำกิจการงานใด สาขาใดก็ตาม ย่อมมีผลกระทบกับชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น หากแต่ผลกระทบนั้นถ้ามันเป็นไปในทางบวก ชีวิตก็คงจะมีความสุขดี แต่ถ้าผลกระทบนั้นเป็นไปในทางตรงกันข้าม ไปในทางลบ ซึ่งมนุษย์เราก็หนีไม่พ้น คงไม่มีใครโชคดีถึงขนาดเจอทางบวกอย่างเดียว หรือโชคร้าย เจอแต่ทางลบอย่างเดียวเช่นกัน มันสลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ตัวอย่างคำสอนของท่านพุทธทาสในหนังสือ “คู่มือมนุษย์” ท่านว่าชีวิตคนเรามันก็มีแต่ความทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ไอ้ตอนที่เรารู้สึกว่ามันสุข แท้จริงแล้วมันก็แค่ทุกข์น้อยลง พอคิดได้ตามที่ท่านสอน เราก็ดำเนินชีวิตของเราตามปกติ
“ก็พอดีพี่นาญ (ชำนาญ เขม่นจันทร์) เขามาปลุกไฟเรา จุดไฟเรา แล้วก็ให้คำปรึกษา แนะนำโอกาส คือเขาเห็นเราตั้งนาน ตั้งแต่เริ่มต้นช่วงเล่นกลางคืนก่อนจะถูกชักชวนไปแคสต์ที่ค่าย ก็เคยได้ไปเล่นกับแจมกับวงพี่เขาสมัยยังไม่ออกเทป แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย กระทั่งเขามาเจอเราเล่นที่ข้าวสาร เราก็ได้รับโอกาสเกือบจะได้ไปร่วมวงดนตรีดัง แต่ก็ด้วยอีโก้ เขาอยากให้วางกีตาร์แล้วเป็นนักร้องอย่างเดียว แต่เราก็ไม่ พี่เขาก็เข้าใจเรา เขาก็คอยหาลู่ทางเวลาไปเจออะไรที่คิดว่าเราน่าจะเหมาะ
“จนมาปีที่แล้ว ถามว่าจะทำเพลงกับเขาไหม เราก็ได้ เอาเลย ว่างหมดแล้ว เสียงสดมาก ไม่มีร้านเล่นแล้ว เหลือ 2 วัน วันศุกร์กับวันเสาร์เท่านั้น ไม่มีอะไรเสีย ก็จะทำ แต่งานพี่เขายุ่ง ก็เลยไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกัน แต่มิตรภาพดีๆ และโอกาสดีๆพี่เขาก็หยิบยื่นให้เสมอ จนมาเจอมือเบสรุ่นน้องที่เคยเล่นด้วยกัน ให้มาออดิชั่นทำเพลง ร่วมวง เมื่อราวเดือนกุมภาพันธ์ ปีที่ผ่านมา แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ เราก็มา แก่ก็แก่ 41 ปีแล้ว แต่ก็มาเป็นโอกาส ลองดู”
“ต้องไปต่อไป จนกว่ามันจะสุดจริงๆ”
นักร้องหนุ่มใหญ่เล่าโดยไม่คาดคิดว่าครั้งนี้จะสำเร็จ
“แต่เราก็ต้องฝึกฝน ต้องเตรียมพร้อมตัวเองตลอดเวลา พร้อมเสมอที่จะสู้ ไม่ใช่ว่าพออันนี้ไม่ผ่าน ไม่ได้ดั่งหวังก็จะจบ ไม่ใช่ มันต้องทำ คุณต้องศรัทธาในตัวเองก่อน เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนั้น คุณไปคาดหวังในความสำเร็จทุกอย่าง มันเป็นไปไม่ได้ ควรศรัทธาในความเป็นเราก่อน เพราะถ้าเกิดไปคาดหวังว่าเราจะไปถึงระดับนี้ๆ มันไม่ใช่ ศรัทธาในความเป็นเราแล้วก็ทำต่อไปเรื่อยๆ แค่นั้นเอง
“แม้แต่เรื่องอายุก็เหมือนกัน ที่เปรียบเป็นรถ รถเก่าแต่มันวิ่งได้ ช้าเร็วอยู่ที่เรา แค่เราไม่อยู่นิ่ง ศรัทธาตัวเอง มันก็อยู่ได้ ถ้าบอกว่าอายุ 40 กว่าแล้ว เพื่อนๆ เป็นปลัด บางคนเป็น เสธ.ทหาร เป็นตำรวจ ทำงานเมืองนอก เป็นหัวหน้างาน เงินเดือนเป็นแสน แต่เรายังไม่เลิก ก็ไม่ได้ซีเรียสตรงนี้ เพราะว่าเราศรัทธา
“ก็ปรากฏว่าได้ วันแรกที่มาลอง เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็คิดว่าคงไม่เอาเรามั้ง (หัวเราะ) แต่พออีกอาทิตย์หนึ่ง เขาโทร.มานัดซ้อมอีกที ก็เลยแย็บๆ ถามว่าเอาเราหรือยัง เขาก็ไม่บอก แต่เขาก็เรียกซ้อมเรื่อยๆ หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนคีย์ เปลี่ยนทุกอย่างให้เข้ากับเราหมด ก็จบแล้ว ไม่ต้องถามแล้ว เอาแล้ว พี่เขาที่ทำโปรเจกต์นี้ก็ทำมาก่อนเราประมาณ 5-6 เดือน แต่ยังไม่ได้ เราก็ได้เข้าไปตรงนั้น ก็อาจจะด้วยโชคดีด้วยส่วนหนึ่ง”
แม้เจ้าตัวจะบอกกล่าวไปในทางเรื่องชาตะฟ้าลิขิต แต่กระนั้น “โชคดี” คำนี้คงอาจจะหมายถึง “โชค” ที่ตัวเองพยายาม “ดี” ที่ตัวเองมุ่งมานะ จากประสบการณ์ที่บ่มเพาะเต็มเปี่ยมระยะเวลา 20 กว่าปี ทำให้ในระหว่างที่ผลงานเพลงกำลังดำเนินไป ก็บังเอิญได้รับการแนะนำชักชวนให้ไปออกรายการ นักร้องซ่อนแอบ (I Can See You Voice) และสร้างชื่อของ “วชิระ ดาบุตร” ชายหนุ่มผมยาวกับแว่นตาทรงกลมสไตล์ยุค 70 ก็กลายเป็นที่รู้จักชั่วข้ามคืนนับแต่นั้น
“เรื่องของเรื่องคือบังเอิญมีน้องที่รู้จักให้ไปออกรายการ เราก็ไป ไปก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะทำผลงานเราอยู่แล้ว ทุกอย่างก็เลยไม่กดดัน มันไม่มีความคาดหวังแล้ว รู้สึกว่าทำหน้าที่ให้ดีก็พอ ทำให้ไฟท่วมไปเลย ทุกคนปรบมือ อาจารย์ชอบ กลับมาบ้านดีใจ บอกแฟนดังแล้ว ฉันดังแล้วนะ
“ก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน ยอดวิวหนึ่งเดือนล้านกว่า ตกใจ ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง และหลายๆ คนร้องดีกว่าผมเยอะแยะ ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนมาเพิ่มเพื่อนในเฟซบุ๊ก มาคอมเม้นท์ สอนร้องเพลงให้ผมหน่อย เราก็คิด มีอย่างนี้ด้วยเหรอ (หัวเราะ) เพราะผมไม่เคยเจออย่างนี้ เพื่อนในเฟซบุ๊กจาก 50 กว่าคน ตอนนี้ 3,000 กว่าคน
“แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองดัง ยอมรับว่ามีคนรู้จักมากขึ้น ก็ขอขอบคุณรายการที่เปิดโอกาสให้ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในระหว่างที่ความสำเร็จยังมาไม่ถึง แต่ไม่ได้โฟกัสมองตรงนั้น รู้สึกอย่างนั้น แต่กลับให้เรารู้สึกว่านี่มันเป็นแรงผลักให้เราต้องมีมาตรฐานมากกว่าเดิม ซ้อมหนักขึ้น เราต้องรักษามาตรฐานให้อยู่ในจุดที่คนเขาตอบรับ ยอมรับความเป็นตัวตนเรา มาตรฐานต้องอย่าลดไปกว่าเดิม แล้วก็ต้องมีเพิ่มไปเรื่อยๆ
“เรายิ่งต้องฝึกและขวนขวายให้มากขึ้น วันหนึ่ง เมื่อความสำเร็จเดินทางมาถึงก็ต้องฝึกเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะส่วนตัวคิดว่าการรักษาความสำเร็จไว้ให้นานๆ เป็นเรื่องที่ยากกว่า เราก็ต้องพยายามฝึกตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างที่บอก ตรงนี้ตอนนี้ ความสำเร็จได้มาเพราะฝึกฝน แต่พอสำเร็จแล้ว เราจะยังฝึกเท่าเดิมก็ไม่ได้ นั่นเท่ากับเราย่ำอยู่กับที่ และเมื่อคนฟังเขาจับได้ เขาก็คงไม่อยากจะมอบความสำเร็จให้กับเราอีกต่อไป สุดท้ายเราก็โดนพรากความสำเร็จจากคนที่เคยให้เรามา”
ก้าวน้อย ก็ก้าวหนึ่ง
อย่าเพิ่งหยุด แม้ยังไม่ถึงซึ่งปลายทาง...
“นอกจากศรัทธา ทำในสิ่งที่เรารัก ทุกอย่างถ้ามีความฝันก็คืออย่าหยุด ต้องลองจนกว่าจะรู้ ถ้าไม่ยอม มันก็ต้องได้เห็น ณ วันหนึ่ง อย่างตอนที่เราไม่มีหลอดไฟ ถ้าโทมัส เอดิสัน เขายอมแพ้ไป เราก็ยังไม่มีหลอดไฟใช้ คนที่คิดค้นอะไร เขาจะต้องใช้ความพยายามมาก กว่าจะได้แต่ละอย่าง ก็เหมือนกับเราฝันจะได้อย่างนี้ มันต้องแลกอะไรมา ต้องแลกจากความพยายาม อย่าหยุด แม้เพียงน้อยนิด ก้าวหนึ่งก็ยังดี ลองอีกทีไปเรื่อยๆ”
“เอาสิ ขนาดผมอายุ 41 แล้ว ยังอยู่ได้ ทำได้”
นักร้องหนุ่มให้กำลังใจคนที่มีฝัน อย่างคนที่ถึงฝั่งแล้วรู้ถึงพื้นดินที่กว้างใหญ่
“คือเราทำงานด้วย แล้วเราอยู่อย่างไร เราทำอย่างไร ก็ต้องแบ่งเวลาให้เป็น แล้วต้องมุ่งมั่น ไม่หวั่นไหว ความฝันมันต้องทำ ถ้าไม่ทำ มันไปไม่ได้ ไม่ทำมันก็คือฝันอยู่อย่างนั้น เราหยุดนิ่ง คนอื่นเขาเดินไปข้างหน้า เดินๆ ไปเรื่อยๆ เหมือนกับคนปิดตาเดินไปเรื่อยๆ จับอะไรได้ เปิดตาดูว่าถูกไหม ไม่ถูกก็ปิดตาแล้วเดินใหม่ คนเราก็เหมือนกัน ลองไปเรื่อยๆ เพราะมันไม่มีใครรู้อนาคตหรอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นมา เหมือนอยู่ดีๆ นักร้องคนหนึ่งของประเทศอังกฤษ เขาตัวอ้วนๆ หน้าตาไม่ดี แต่ร้องเสียงดี อายุเขาตั้ง 50 ประกวดรายการ เขายังเป็นนักร้องได้ แล้วก็ดังไปทั่วโลก
“แล้วทำไมเราแค่นี้ เราจะไปไม่ได้ ถ้าคนไม่ดูถูกตัวเองยังไงก็ทำได้ ทำได้หมด ถ้าไม่แน่วแน่อยู่ไม่ได้ และด้วยกระแสสมัยนี้ อย่างสมมติว่าผมไปลองประกวด คนก็จะบอกว่าสู้เขาได้เหรอ ทำไมจะสู้ไม่ได้ เราก็คนเหมือนกัน ผมก็มีสไตล์ในตัวเอง แล้วทำไมเราต้องกลัวเขา ทุกอย่าง ถ้าเราไม่ดูถูกตัวเอง เราไม่ต้องกลัว ไม่ได้คราวนี้ก็ไปใหม่ ไปให้มันรู้ จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คนที่นิ่ง คนที่หยุด แล้วก็เอาแต่พูด วิจารณ์ น่าอายเสียกว่า
“ถ้าฝากได้ก็ฝากประมาณนี้ อย่าหยุด และทำไปเรื่อยๆ แม้น้อยก็คือหนึ่ง เดินจนกว่ามันจะชนฝาที่ใช่ ถ้าชนแล้วไม่ใช่ ก็เอียงซ้าย-ขวา หาให้มันออก
“ส่วนเรื่องอัลบัม 5 เพลงที่ทำเป็นมินิอัลบัมยังเปิดเผยไม่ได้ครับ ตอนนี้ก็ซ้อมกันหนักมาก เพราะอยู่ในขั้นตอนกระบวนการอัด ซ้อมทุกอาทิตย์ 2-3 วัน วนไปวนมา ทั้งคืน 5-6 ชั่วโมง เพราะด้วยชื่อเสียงพวกพี่ๆ เขาด้วย ไม่อยากให้เสียหาย ก็ซ้อมหนักเลย แก้ทีละเม็ด ตรงนี้ฟีลมันนั่นไป เอาตรงนั้นมาโปะ หลายขั้นตอนมาก ฟังเพลงเหมือนง่าย แต่ทำยาก กว่าจะได้ออกมาแต่ละเม็ด
“เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กก็รอฟัง เขาก็อยากให้ลงคลิป แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ ถ้าเปิดเผยเซอร์ไพรส์แน่ คนรู้จักทั้งประเทศ ก็ทำกันเองอยู่ ทำเสร็จก็จะไปเสนอค่าย”
นักร้องหนุ่มเผย ก่อนจะหันมาแง้มทิ้งท้ายถึงแนวเพลง
“ก็เป็นแนวเพลง สนุกๆ แนวอัลเทอร์เนทีฟ ไม่ซีเรียสเหมือนชีวิต เพราะว่าด้วยยุคสมัย เราซีเรียสมากไปไม่ได้ คนฟังก็ต้องมีความสบายใจก่อน และเราต้องการให้ทุกคนฟัง คำว่าทุกคน คือมีเบาบ้าง หนักบ้าง เอาให้เป็นกลาง ฟังแล้วสมูธ หวังว่าแฟนคลับ คนที่ชื่นชอบในตัวตนเรา ชอบในความเป็นเรา จะให้การต้อนรับครับ”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ชีวิตไม่เคยมีคำว่า “คงไม่ทัน” ตราบเท่าที่ฝันยังมีอยู่ในใจและการก้าวเดิน...
ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีบนปฏิทินชีวิต “เอ๋-วชิระ ดาบุตร” ผุดแล้วดับ ดับแล้วผุด ครั้งแล้วครั้งเล่าบนเส้นทางสายดนตรี ที่จริงเขาควรจะเหนื่อยล้า ที่จริงเขาควรจะรามือ แต่คนบางคน เมื่อโอกาสวิ่งเข้ามาชน ต่อให้คนอื่นไหนใครนั้น สงสัยว่ามันจะเป็นไปได้หรือ เขาก็พร้อมจะน้อมรับโอกาสนั้น และทำให้มันดีที่สุด...
เปิดชีวิตนักร้องบ้านนอก
สู่ศิลปินบางกอก “ดงบังกะปิ”
“ผมเกิดและโตที่จังหวัดมุกดาหาร แล้วก็มาเรียนช่างไฟฟ้าที่เทคโนขอนแก่น ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากอยู่บ้าน เพราะที่บ้านมีปัญหาเรื่องครอบครัว”
นักร้องหนุ่มใหญ่ เริ่มร่ายเมโลดี้ชีวิตที่ผกผันเพราะปัญหา ก่อนวันเวลาจะนำพาให้ย่างก้าวเข้าสู่เส้นทางดนตรีโดยที่ไม่คาดคิด--ฟังเพลง—เสพดนตรี
“อันที่จริง ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเล่นดนตรี แต่เราชอบร้องเพลง ได้ฟังน้าเปิด พ่อเปิด เพลงยุคเก่าๆ ตั้งแต่เด็ก ทั้ง Scorpions, Bon Jovi, Deep Purple, Black Sabbath เราก็ได้รับอิทธิพลมาโดยไม่รู้ตัว พอออกมาเรียนช่าง พูดก็เหมือนตลก ที่ทำให้สนใจดนตรีเพราะเพื่อนเขาไปจีบหญิง แล้วเขาเล่นกีตาร์เป็น เขาจีบหญิงติด เราก็อยากแบบเขา แต่ด้วยความที่เราหน้าตาไม่ดี เล่นกีตาร์ก็ไม่ได้ด้วย ก็เลยเริ่มจับกีตาร์มาฝึก
“จำได้ว่า วันเดียวเล่นเป็นเลย เพราะฝึกตั้งแต่ 2 ทุ่มยัน 8 โมงเช้าของอีกวัน เพลง “หมากเกมนี้” ของวงอินคา มีคอร์ด Em คอร์ด G วนแค่นี้ง่ายๆ แต่แปลกมาก หลังจาก 12 ชั่วโมงนั้นลืมการคิดถึงเรื่องผู้หญิงไปเลย แล้วก็เอาจริงเอาจังดนตรีอย่างเดียว จนการเรียนเสีย แม่ก็มาบอกให้ตั้งใจเรียนหน่อย (หัวเราะ) แม้ว่าท่านจะรู้อยู่แล้วว่าเรามาเรียนเพราะอะไร แต่ก็อยากให้จบ ให้ตั้งใจ และสัญญาว่าเดี๋ยวจะซื้อกีตาร์ให้ตัวหนึ่ง เราก็เลยตั้งใจเรียนเลย ให้มันได้เกรด 2 กว่า จบ ปวช.ก็ได้กีตาร์มาตัวหนึ่ง”
ได้มาก็หัดเล่น เล่นๆ ด้วยวันวัยรุ่นที่ไฟในเลือดลมกระพือแรง นิ้วมือที่ควรจะจับปากกาดินสอจ่อจดคำสอนตำราเรียน จึงวนเวียนอยู่กับเพียงเส้นเหล็ก 6 สาย และโต๊ะกับเก้าอี้ไม้รายรอบเป็นทิวยาว ยามค่ำคืน
“พอได้กีตาร์มาก็เล่นๆ อย่างเดียว พอเล่นได้ก็แทบจะไม่เรียน คือลืมคำที่แม่บอก กระทั่งไม่ไหวแล้ว แม่ก็มาบอกอีกว่าให้เรียนให้จบก่อน เอา ปวส.ให้รอด ก็จบ จบแล้ว ก็ขอแม่มาทำงานที่กรุงเทพฯ สรุปก็มาเป็นช่างลิฟต์ เพราะไม่รู้จักใคร เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ก็ทำงานได้ 1-2 ปี ไม่ไหว อันตรายมาก การเป็นช่างลิฟต์ต้องขึ้นลง ตึก มีไฟไหม้ ผมยังอยู่ในตึกอยู่เลย ล้างท่อลิฟต์อยู่ ไม่รู้เรื่องว่าไฟไหม้ ทีนี้ ด้วยความที่มันอันตรายบวกกับความอยากเล่นดนตรี ก็เลยออกไปเป็นพนักงานขายเครื่องดนตรี สาเหตุก็เพราะได้เข้าไปใกล้ คืออย่างน้อยไม่ได้เล่น ไปขายก็ยังดี ไปคลุกคลีหน่อย เงินเดือนน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไร เราได้อยู่กับกีตาร์ ได้จับๆ แต่บังเอิญเพื่อนที่ห้างที่ทำงานด้วยกัน เขามีวงแล้วมาเห็นผมเล่นกีตาร์ช่วงพัก เขาก็เลยมาชวนไปทำวงดนตรีไปเล่นกลางคืน หลังห้างเลิกประมาณ 4 ทุ่ม”
“เกิดเป็นแก๊ง 'ดงบังกะปิ'”
นักร้องหนุ่มกล่าวแซมยิ้ม เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เด็กต่างจังหวัดหัวเดียวกระเทียมลีบจะจับพลัดจับผลูเจอะเจอผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน
“เราก็ไปเล่น ไปตีคอร์ดช่วย ร้องเพลงช่วย ได้ค่าตัว 150 บาท บางทีลูกค้าไม่มีก็เล่น เล่นแลกค่าเบียร์ มีกันทั้งหมด 5 คน เล่นที่ร้าน Rock service เลียบทางด่วน-รามอินทรา เล่นวันเดียวกันกับพี่อ๊อฟ วง Dezember สมัยที่พี่เขายังไม่ออกเทป เล่นได้สัก 1-2 ปี ช่วงปี 2538-2539 เล่นไปสักพักก็โชคดี มีวงใต้ดิน ชื่อวง No เขาเป็นวงมาจากภาคอีสาน แล้วเขามาเห็นวงเราเล่น เขาก็ติดต่ออยากให้เราไปเล่นแบ็กอัพ
“เราก็ออกจากงานเลย ถามว่าตอนนั้นตัดสินใจยากไหมกับสิ่งที่รักและสิ่งที่ต้องทำเพื่ออยู่รอด จังหวะนั้นไม่คิดตรงนี้ เพราะมันมาถึงขั้นนี้แล้ว มันไม่ได้ มันเป็นโอกาสที่เราเฝ้ารอ เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่มีเพื่อนเลย จะมามีวง แล้วมาเจอคนอุดมการณ์เดียวกัน มาเจอคนให้โอกาสอีก ก็ทำ ก็ไปเป็นวงเปิดให้ โลโซ ชุดอัลบัม Rock and Roll เป็นงานคอนเสิร์ตประจำจังหวัด ตอนนั้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ แล้วก็ได้ไปเป็นวงเปิดให้ นิโค เทริโอ ที่จังหวัดเลย
“แต่เสร็จงานนั้น วง No เขาก็วงแตก ก็กลับมารวมตัวกับวงเพื่อนๆ ดงบังกะปิ อีกครั้ง เพราะตอนนั้นบางคนยังกล้าๆ กลัวๆ จะออกจากงาน ก็คุยกันเพื่อจะเล่นอาชีพจริงๆ ด้วยความที่ใจเรารักกันอยู่แล้ว ครั้งนี้ทุกคนก็ออกจากงานกันหมด มาลุยกันเลย กินเกลือกัน ทุบหม้อข้าวกัน”
แต่ด้วยสมัยนิยมแปรเปลี่ยน เส้นทางดนตรีที่ดำเนินจึงต้องล้มพับ ไม่ประสบความสำเร็จ
“ปีสองปี ก็วงแตก เพราะว่ามันไม่มีงาน สมัยนั้นเป็นยุคของวงโคโยตี้ เปิดแผ่นแล้วมีนักร้องสาวๆ แต่งชุดวาบหวิวมาร้องมาเต้น แต่เราเป็นวงดนตรีชายล้วนเล่นสด เราก็สู้เขาไม่ได้ ก็ถอย
“ห่างมาอีก 2 ปี ผมกับมือกีตาร์ มือเบส ก็มารวมกันใหม่ มาเล่นอะคูสติกด้วยกัน แล้วก็ได้มือกลองคนใหม่ เก่งมาก มือกลองทุกวันนี้เป็นระดับแบ็คอัพให้พี่ติ๊ก ชีโร่ พี่กบ ไมโคร เรารวมกันเป็น 4 คน 3 ชิ้น เราร้องนำเต็มตัว เพราะไม่มีนักร้อง ก็ต้องจำใจร้อง ไม่มั่นใจการออกไปเป็นฟรอนต์แมน สำเนียงร้องตอนนั้นก็ร้องร็อกๆ แต่ประสบการณ์จากโฟล์กซองทำให้พอไม่เขินอาย ก็เล่นที่ร้านหน้าห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ
“ไม่ได้คิดว่าจะร้องดี แต่ทุกอย่างมันกลับดีไปหมด เพราะช่วงนั้นไม่มีวงที่เล่นสดๆ อย่างนี้ เล่นเพลงวง Limp Bizkit, Linkin Park, วงหินเล็กไฟ พวกวงร็อกเก่าๆ เล่นแนวอัลเทอร์เนทีฟ คนก็มาจากต่างจังหวัด มาดูเรา 6 โมงเย็นนี่คนเต็มร้านแล้ว ต้องรอข้างนอก ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ออกเทป”
และเมื่อโอกาสเปิด คนดนตรีตัวเล็กๆ ได้มีโอกาสแสดงความเป็นตัวตน ชื่อของ "ซามูไร" วงโนเนมผมหลากสี จึงได้รับการทาบทามจากแมวมองค่ายยักษ์ใหญ่ แต่ก็ไม่สำเร็จอีก
“อายุตอนนั้นประมาณ 27-28 ปี ก็เล่นที่ร้านนั้น 4-5 ปี จนคนจากค่ายใหญ่เขาเห็น เขาก็ให้เราลองแต่งเพลง แต่งเพลงเสร็จแล้วก็ให้เราไปแคสติ้ง เขาก็ตกลงโอเคกับวง แต่ระหว่างกำลังจะเซ็นสัญญา วงเราก็แตกกันก่อน
“เราก็กลับไปเล่นอะคูสติก มาเล่นกับน้องๆ บ้าง ทำวงกับน้องๆ งานก็น้อยๆ ลง ด้วยอายุด้วยอะไรด้วย อายุ 32-33 เริ่มเหนื่อยเริ่มหนัก เริ่มมีคนเรียกน้า ถามว่าน้าเอ๋ยังเล่นอยู่อีกเหรอ บอกว่าเลิกได้แล้วมั้ง คือมันไม่ประสบความสำเร็จไปทุกอย่าง แต่เราก็สู้ไม่ถอย ยังมีไฟ ยังอยากไปเล่น”
นักร้องนักดนตรีหนุ่มใหญ่เผย ก่อนจะเล่าถึงอัตราเปอร์เซ็นต์ ความล้มเหลวที่เพิ่มจากหลักหน่วยเป็นหลักสิบ เช่นเดียวกับตัวเลขอายุ 41 ปี
“แล้วก็กลับมารวมกับเพื่อนๆ สมัยทำงานห้าง ตอนนั้นก็มีไปเล่นแถวถนนข้าวสาร ก็วงแตกอีก ก็เปลี่ยนไปอีกหลายวง ก็ลุ่มๆ ดอนๆ แล้วจากเล่นหลายวัน ร้านก็เลิกจ้าง จนเหลือเล่นวันเดียว คือคิดว่าเราไม่เป็นที่ต้องการของยุคสมัย เหมือนรถที่ตกรุ่นไปแล้ว ด้วยลุค ด้วยเพลง เพลงร็อกเก่าๆ เขาไม่ต้องการ เขาต้องการเพลงสไตล์ใหม่ๆ แต่เราไม่เปลี่ยน ไม่ใช่ว่าเราร้องไม่ได้ ร้องไม่ดี แต่เราร้องไปไม่ใช่เรา
“เพลงสำหรับเราคือการถ่ายทอดอารมณ์ ต้องออกมาจากข้างใน เพอร์ซันนัล ไม่ใช่ตัวโน้ต อักขระ ไม่อย่างนั้น ศิลปินก็จะออกมาสไตล์เดียวกันหมด เหมือนกันหมด ไม่มีแบบ Kurt Cobain วง Nirvana ออกมา ไม่มี เสก โลโซ ไม่มีอาจารย์ไข่ มาลีฮวนน่า ที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน ได้ยินปุ๊บ เรารู้เลยว่าใคร เราฝันเราอยากเป็น เราอยากเสนอความเป็นเรา เราฝันอยากจะมีผลงานเป็นของตัวเองให้ได้ ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็พยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ พยายามฝึกร้องในหลายๆ รูปแบบเพื่อสร้างสกิล เพื่อหาสไตล์ที่แท้จริงของตัวเอง
“ดังนั้น แม้ว่าจะฝันอยากมีผลงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีโอกาสแล้วเราจะรีบคว้าไว้เลยทันที ชอบหรือไม่ชอบ ใช่หรือไม่ใช่ ไม่สน ขอให้ได้ออกผลงานไว้ก่อน เราโกหกตัวเองไม่ได้ เราก็โกหกคนอื่นไม่ได้เช่นเดียวกัน”
ช้าเร็วอยู่ที่เรา
ขอเพียงอย่าสุมเถ้าให้ศรัทธา
เมื่อคิดได้ดังนั้น แม้ว่าจะไม่สำเร็จตามเป้าฝัน แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นก็เฝ้าหาหนทาง ถึงจะช้า จะน้อยนิด จะท้อถอยบ้าง
“ช่วงนั้นก็เฟดตัวเองออกมานิดหน่อย เพราะครอบครัว เราแต่งงานกับแฟน ด้วยความที่สนใจพระเครื่อง ประกอบกับครอบครัวแฟนทำหนังสือพระเครื่อง เราก็เลยทำหนังสือพระเครื่องชื่อ 'พุทธจักรพระเครื่อง' เพื่อความมั่นคง แต่เราก็ยังมีไฟเสมอ ยังไปเล่น ไปแจมกับคนนั้นคนนี้ ทำตามฝันอยู่ ก็คิดตลอดว่ามันต้องมีสักวัน
“จนถึงช่วง 2-3 ปีหลังจากแยกวงกับเพื่อนที่ห้าง ก็มีน้องที่เป็นช่างสัก ตอนนี้เขาอยู่ประเทศออสเตรียแนะนำให้รู้จัก พี่กวาง มือกีตาร์วงเสือใหญ่ แล้วก็พี่เมา มือกลองวงเสือใหญ่ พี่ป้อมมือเบส ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล เล่นให้พี่จั๊ก วงดับเบิ้ลยู พี่ไท ธนาวุฒิ แล้วก็น้องยุ้ย นักร้องผู้หญิง เล่นกันประมาณ 5-6 ปี ก็แยกย้ายกัน ก็คุยกับแฟนอีกครั้งว่าจะเลิก”
“ครั้งนี้ว่าจะเลิกเส้นทางนี้จริงๆ”
นักร้องหนุ่มเผย ก่อนจะบอกเล่าเหตุผลที่ทำให้กลับมามีไฟและพลังในตัวเอง
“การทำกิจการงานใด สาขาใดก็ตาม ย่อมมีผลกระทบกับชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น หากแต่ผลกระทบนั้นถ้ามันเป็นไปในทางบวก ชีวิตก็คงจะมีความสุขดี แต่ถ้าผลกระทบนั้นเป็นไปในทางตรงกันข้าม ไปในทางลบ ซึ่งมนุษย์เราก็หนีไม่พ้น คงไม่มีใครโชคดีถึงขนาดเจอทางบวกอย่างเดียว หรือโชคร้าย เจอแต่ทางลบอย่างเดียวเช่นกัน มันสลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ตัวอย่างคำสอนของท่านพุทธทาสในหนังสือ “คู่มือมนุษย์” ท่านว่าชีวิตคนเรามันก็มีแต่ความทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ไอ้ตอนที่เรารู้สึกว่ามันสุข แท้จริงแล้วมันก็แค่ทุกข์น้อยลง พอคิดได้ตามที่ท่านสอน เราก็ดำเนินชีวิตของเราตามปกติ
“ก็พอดีพี่นาญ (ชำนาญ เขม่นจันทร์) เขามาปลุกไฟเรา จุดไฟเรา แล้วก็ให้คำปรึกษา แนะนำโอกาส คือเขาเห็นเราตั้งนาน ตั้งแต่เริ่มต้นช่วงเล่นกลางคืนก่อนจะถูกชักชวนไปแคสต์ที่ค่าย ก็เคยได้ไปเล่นกับแจมกับวงพี่เขาสมัยยังไม่ออกเทป แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย กระทั่งเขามาเจอเราเล่นที่ข้าวสาร เราก็ได้รับโอกาสเกือบจะได้ไปร่วมวงดนตรีดัง แต่ก็ด้วยอีโก้ เขาอยากให้วางกีตาร์แล้วเป็นนักร้องอย่างเดียว แต่เราก็ไม่ พี่เขาก็เข้าใจเรา เขาก็คอยหาลู่ทางเวลาไปเจออะไรที่คิดว่าเราน่าจะเหมาะ
“จนมาปีที่แล้ว ถามว่าจะทำเพลงกับเขาไหม เราก็ได้ เอาเลย ว่างหมดแล้ว เสียงสดมาก ไม่มีร้านเล่นแล้ว เหลือ 2 วัน วันศุกร์กับวันเสาร์เท่านั้น ไม่มีอะไรเสีย ก็จะทำ แต่งานพี่เขายุ่ง ก็เลยไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกัน แต่มิตรภาพดีๆ และโอกาสดีๆพี่เขาก็หยิบยื่นให้เสมอ จนมาเจอมือเบสรุ่นน้องที่เคยเล่นด้วยกัน ให้มาออดิชั่นทำเพลง ร่วมวง เมื่อราวเดือนกุมภาพันธ์ ปีที่ผ่านมา แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ เราก็มา แก่ก็แก่ 41 ปีแล้ว แต่ก็มาเป็นโอกาส ลองดู”
“ต้องไปต่อไป จนกว่ามันจะสุดจริงๆ”
นักร้องหนุ่มใหญ่เล่าโดยไม่คาดคิดว่าครั้งนี้จะสำเร็จ
“แต่เราก็ต้องฝึกฝน ต้องเตรียมพร้อมตัวเองตลอดเวลา พร้อมเสมอที่จะสู้ ไม่ใช่ว่าพออันนี้ไม่ผ่าน ไม่ได้ดั่งหวังก็จะจบ ไม่ใช่ มันต้องทำ คุณต้องศรัทธาในตัวเองก่อน เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนั้น คุณไปคาดหวังในความสำเร็จทุกอย่าง มันเป็นไปไม่ได้ ควรศรัทธาในความเป็นเราก่อน เพราะถ้าเกิดไปคาดหวังว่าเราจะไปถึงระดับนี้ๆ มันไม่ใช่ ศรัทธาในความเป็นเราแล้วก็ทำต่อไปเรื่อยๆ แค่นั้นเอง
“แม้แต่เรื่องอายุก็เหมือนกัน ที่เปรียบเป็นรถ รถเก่าแต่มันวิ่งได้ ช้าเร็วอยู่ที่เรา แค่เราไม่อยู่นิ่ง ศรัทธาตัวเอง มันก็อยู่ได้ ถ้าบอกว่าอายุ 40 กว่าแล้ว เพื่อนๆ เป็นปลัด บางคนเป็น เสธ.ทหาร เป็นตำรวจ ทำงานเมืองนอก เป็นหัวหน้างาน เงินเดือนเป็นแสน แต่เรายังไม่เลิก ก็ไม่ได้ซีเรียสตรงนี้ เพราะว่าเราศรัทธา
“ก็ปรากฏว่าได้ วันแรกที่มาลอง เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็คิดว่าคงไม่เอาเรามั้ง (หัวเราะ) แต่พออีกอาทิตย์หนึ่ง เขาโทร.มานัดซ้อมอีกที ก็เลยแย็บๆ ถามว่าเอาเราหรือยัง เขาก็ไม่บอก แต่เขาก็เรียกซ้อมเรื่อยๆ หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนคีย์ เปลี่ยนทุกอย่างให้เข้ากับเราหมด ก็จบแล้ว ไม่ต้องถามแล้ว เอาแล้ว พี่เขาที่ทำโปรเจกต์นี้ก็ทำมาก่อนเราประมาณ 5-6 เดือน แต่ยังไม่ได้ เราก็ได้เข้าไปตรงนั้น ก็อาจจะด้วยโชคดีด้วยส่วนหนึ่ง”
แม้เจ้าตัวจะบอกกล่าวไปในทางเรื่องชาตะฟ้าลิขิต แต่กระนั้น “โชคดี” คำนี้คงอาจจะหมายถึง “โชค” ที่ตัวเองพยายาม “ดี” ที่ตัวเองมุ่งมานะ จากประสบการณ์ที่บ่มเพาะเต็มเปี่ยมระยะเวลา 20 กว่าปี ทำให้ในระหว่างที่ผลงานเพลงกำลังดำเนินไป ก็บังเอิญได้รับการแนะนำชักชวนให้ไปออกรายการ นักร้องซ่อนแอบ (I Can See You Voice) และสร้างชื่อของ “วชิระ ดาบุตร” ชายหนุ่มผมยาวกับแว่นตาทรงกลมสไตล์ยุค 70 ก็กลายเป็นที่รู้จักชั่วข้ามคืนนับแต่นั้น
“เรื่องของเรื่องคือบังเอิญมีน้องที่รู้จักให้ไปออกรายการ เราก็ไป ไปก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะทำผลงานเราอยู่แล้ว ทุกอย่างก็เลยไม่กดดัน มันไม่มีความคาดหวังแล้ว รู้สึกว่าทำหน้าที่ให้ดีก็พอ ทำให้ไฟท่วมไปเลย ทุกคนปรบมือ อาจารย์ชอบ กลับมาบ้านดีใจ บอกแฟนดังแล้ว ฉันดังแล้วนะ
“ก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน ยอดวิวหนึ่งเดือนล้านกว่า ตกใจ ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง และหลายๆ คนร้องดีกว่าผมเยอะแยะ ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนมาเพิ่มเพื่อนในเฟซบุ๊ก มาคอมเม้นท์ สอนร้องเพลงให้ผมหน่อย เราก็คิด มีอย่างนี้ด้วยเหรอ (หัวเราะ) เพราะผมไม่เคยเจออย่างนี้ เพื่อนในเฟซบุ๊กจาก 50 กว่าคน ตอนนี้ 3,000 กว่าคน
“แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองดัง ยอมรับว่ามีคนรู้จักมากขึ้น ก็ขอขอบคุณรายการที่เปิดโอกาสให้ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในระหว่างที่ความสำเร็จยังมาไม่ถึง แต่ไม่ได้โฟกัสมองตรงนั้น รู้สึกอย่างนั้น แต่กลับให้เรารู้สึกว่านี่มันเป็นแรงผลักให้เราต้องมีมาตรฐานมากกว่าเดิม ซ้อมหนักขึ้น เราต้องรักษามาตรฐานให้อยู่ในจุดที่คนเขาตอบรับ ยอมรับความเป็นตัวตนเรา มาตรฐานต้องอย่าลดไปกว่าเดิม แล้วก็ต้องมีเพิ่มไปเรื่อยๆ
“เรายิ่งต้องฝึกและขวนขวายให้มากขึ้น วันหนึ่ง เมื่อความสำเร็จเดินทางมาถึงก็ต้องฝึกเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะส่วนตัวคิดว่าการรักษาความสำเร็จไว้ให้นานๆ เป็นเรื่องที่ยากกว่า เราก็ต้องพยายามฝึกตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างที่บอก ตรงนี้ตอนนี้ ความสำเร็จได้มาเพราะฝึกฝน แต่พอสำเร็จแล้ว เราจะยังฝึกเท่าเดิมก็ไม่ได้ นั่นเท่ากับเราย่ำอยู่กับที่ และเมื่อคนฟังเขาจับได้ เขาก็คงไม่อยากจะมอบความสำเร็จให้กับเราอีกต่อไป สุดท้ายเราก็โดนพรากความสำเร็จจากคนที่เคยให้เรามา”
ก้าวน้อย ก็ก้าวหนึ่ง
อย่าเพิ่งหยุด แม้ยังไม่ถึงซึ่งปลายทาง...
“นอกจากศรัทธา ทำในสิ่งที่เรารัก ทุกอย่างถ้ามีความฝันก็คืออย่าหยุด ต้องลองจนกว่าจะรู้ ถ้าไม่ยอม มันก็ต้องได้เห็น ณ วันหนึ่ง อย่างตอนที่เราไม่มีหลอดไฟ ถ้าโทมัส เอดิสัน เขายอมแพ้ไป เราก็ยังไม่มีหลอดไฟใช้ คนที่คิดค้นอะไร เขาจะต้องใช้ความพยายามมาก กว่าจะได้แต่ละอย่าง ก็เหมือนกับเราฝันจะได้อย่างนี้ มันต้องแลกอะไรมา ต้องแลกจากความพยายาม อย่าหยุด แม้เพียงน้อยนิด ก้าวหนึ่งก็ยังดี ลองอีกทีไปเรื่อยๆ”
“เอาสิ ขนาดผมอายุ 41 แล้ว ยังอยู่ได้ ทำได้”
นักร้องหนุ่มให้กำลังใจคนที่มีฝัน อย่างคนที่ถึงฝั่งแล้วรู้ถึงพื้นดินที่กว้างใหญ่
“คือเราทำงานด้วย แล้วเราอยู่อย่างไร เราทำอย่างไร ก็ต้องแบ่งเวลาให้เป็น แล้วต้องมุ่งมั่น ไม่หวั่นไหว ความฝันมันต้องทำ ถ้าไม่ทำ มันไปไม่ได้ ไม่ทำมันก็คือฝันอยู่อย่างนั้น เราหยุดนิ่ง คนอื่นเขาเดินไปข้างหน้า เดินๆ ไปเรื่อยๆ เหมือนกับคนปิดตาเดินไปเรื่อยๆ จับอะไรได้ เปิดตาดูว่าถูกไหม ไม่ถูกก็ปิดตาแล้วเดินใหม่ คนเราก็เหมือนกัน ลองไปเรื่อยๆ เพราะมันไม่มีใครรู้อนาคตหรอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นมา เหมือนอยู่ดีๆ นักร้องคนหนึ่งของประเทศอังกฤษ เขาตัวอ้วนๆ หน้าตาไม่ดี แต่ร้องเสียงดี อายุเขาตั้ง 50 ประกวดรายการ เขายังเป็นนักร้องได้ แล้วก็ดังไปทั่วโลก
“แล้วทำไมเราแค่นี้ เราจะไปไม่ได้ ถ้าคนไม่ดูถูกตัวเองยังไงก็ทำได้ ทำได้หมด ถ้าไม่แน่วแน่อยู่ไม่ได้ และด้วยกระแสสมัยนี้ อย่างสมมติว่าผมไปลองประกวด คนก็จะบอกว่าสู้เขาได้เหรอ ทำไมจะสู้ไม่ได้ เราก็คนเหมือนกัน ผมก็มีสไตล์ในตัวเอง แล้วทำไมเราต้องกลัวเขา ทุกอย่าง ถ้าเราไม่ดูถูกตัวเอง เราไม่ต้องกลัว ไม่ได้คราวนี้ก็ไปใหม่ ไปให้มันรู้ จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คนที่นิ่ง คนที่หยุด แล้วก็เอาแต่พูด วิจารณ์ น่าอายเสียกว่า
“ถ้าฝากได้ก็ฝากประมาณนี้ อย่าหยุด และทำไปเรื่อยๆ แม้น้อยก็คือหนึ่ง เดินจนกว่ามันจะชนฝาที่ใช่ ถ้าชนแล้วไม่ใช่ ก็เอียงซ้าย-ขวา หาให้มันออก
“ส่วนเรื่องอัลบัม 5 เพลงที่ทำเป็นมินิอัลบัมยังเปิดเผยไม่ได้ครับ ตอนนี้ก็ซ้อมกันหนักมาก เพราะอยู่ในขั้นตอนกระบวนการอัด ซ้อมทุกอาทิตย์ 2-3 วัน วนไปวนมา ทั้งคืน 5-6 ชั่วโมง เพราะด้วยชื่อเสียงพวกพี่ๆ เขาด้วย ไม่อยากให้เสียหาย ก็ซ้อมหนักเลย แก้ทีละเม็ด ตรงนี้ฟีลมันนั่นไป เอาตรงนั้นมาโปะ หลายขั้นตอนมาก ฟังเพลงเหมือนง่าย แต่ทำยาก กว่าจะได้ออกมาแต่ละเม็ด
“เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กก็รอฟัง เขาก็อยากให้ลงคลิป แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ ถ้าเปิดเผยเซอร์ไพรส์แน่ คนรู้จักทั้งประเทศ ก็ทำกันเองอยู่ ทำเสร็จก็จะไปเสนอค่าย”
นักร้องหนุ่มเผย ก่อนจะหันมาแง้มทิ้งท้ายถึงแนวเพลง
“ก็เป็นแนวเพลง สนุกๆ แนวอัลเทอร์เนทีฟ ไม่ซีเรียสเหมือนชีวิต เพราะว่าด้วยยุคสมัย เราซีเรียสมากไปไม่ได้ คนฟังก็ต้องมีความสบายใจก่อน และเราต้องการให้ทุกคนฟัง คำว่าทุกคน คือมีเบาบ้าง หนักบ้าง เอาให้เป็นกลาง ฟังแล้วสมูธ หวังว่าแฟนคลับ คนที่ชื่นชอบในตัวตนเรา ชอบในความเป็นเรา จะให้การต้อนรับครับ”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พลภัทร วรรณดี