เฟซบุ๊กกระบอกเสียงตำรวจโพสต์หนังสือถึงผู้กำกับโรงพักบางละมุง 2 ผู้ต้องหาชาวรัสเซียปล้นธนาคารกรุงศรี พัทยาใต้ เมื่อปี 2545 ยิงดาบตำรวจส่งเงินกู้ดับ 1 ก่อนซิ่งเรือเร็วแต่น้ำมันหมดที่เกาะไผ่ ปากน้ำปราณ ศาลสั่งประหารชีวิต แต่ลดโทษเหลือ 33 ปี 4 เดือน สุดท้ายได้รับอภัยโทษ 6 ครั้ง เหลือติดคุกจริงเพียง 13 ปี ส่วนครอบครัวดาบตำรวจต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
เฟซบุ๊ก Thailand Police Story ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของข้าราชการตำรวจที่ไม่เปิดเผยตัวตน ได้โพสต์เฟซบุ๊ก หนังสือของเรือนจำกลางคลองเปรม ถึงผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบางละมุง จ.ชลบุรี ให้ไปรับตัวนักโทษเด็ดขาดพ้นโทษเพื่อดำเนินการตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง
โดยเฟซบุ๊กดังกล่าว ระบุว่า “พ้นโทษแล้ว ตำนานคดีดัง ติดคุกแค่ 13 ปี”
ปี 2545 นายเชอเรมนิกค์ ฟิลิกซ์ (หัวหน้าแก๊งชาวรัสเซีย) ร่วมกับพวกก่อเหตุปล้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาพัทยาใต้ ได้เงินสด 2.4 ล้านบาท และยิงตำรวจพัทยาเสียชีวิต ถูกศาลพิพากษาลงโทษประหาร สุดท้ายได้รับอภัยโทษ 6 ครั้ง เหลือติดคุกจริงเพียง 13 ปี (พ้นโทษ 11 พ.ค. 59) ส่วนครอบครัวดาบตำรวจต้องเสียใจไปตลอดชีวิต...
ช่วงสายของวันที่ 30 ส.ค. 2545 เหตุระทึกขวัญที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อจู่ ๆ ได้มีคนร้าย 4 คน ร่างกายกำยำ แต่ละคนสูงไม่ต่ำกว่า 180 เซนติเมตร แต่งกายรัดกุมชุดดำ อาวุธครบมือ สวมหน้ากากยางรูปปิศาจ อำพรางใบหน้าเอาไว้ บุกเข้าไปปล้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาพัทยาใต้
ขณะนั้น ด.ต.ทรงกิตติ มณีโชติ เจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการ สภ.เมืองพัทยา เดินเข้ามาใช้บริการธนาคาร เพื่อจะชำระเงินกู้ที่ต้องจ่ายทุกสิ้นเดือนเห็นเหตุการณ์ ทำให้ 1 ใน 4 คนร้ายแสดงความโหดเหี้ยมใช้ปืนยิง ทำให้เกิดการต่อสู้ ด.ต.ทรงกิตติ พลาดท่าถูกยิงเสียชีวิต คนร้ายจึงเดินเข้าไปหยิบอาวุธปืนพก.38 ของเหยื่อมายิงข่มขวัญอีก 2 นัดซ้อน จากนั้นต้อนให้ทุกคนมารวมตัวอยู่ห้องด้านใน พร้อมยังใช้ปืนตบพนักงานหนุ่มบังคับให้นำกุญแจนิรภัยไปเปิดตู้เซฟ คว้าเงินสด 2.4 ล้านบาท ยัดใส่กระเป๋าแล้วพากันวิ่งไปขึ้นรถปิกอัพอีซูซุ 4 ประตูสีบรอนซ์เงิน ขับหลบหนีไป ใช้เวลาลงมือแค่ 10 นาที
ภายหลังเกิดเหตุ นายจเด็จ อินสว่าง ผวจ.ชลบุรี (ตำแหน่งขณะนั้น) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ปกรณ์ สรรพกิจ ผบช.ภ.2 สั่งระดมกำลังตำรวจเกือบทั้งจังหวัด กระจายกำลังไล่ล่า จนพบเบาะแสว่าคนร้ายนำรถไปจอดซุกซ่อนอยู่ในป่าละเมาะ ภายในซอยวัดบุญกาญจนาราม ต.หนองปรือ ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 15 กม. โดยมีชาวบ้านเห็นคนร้ายพากันขึ้นรถเก๋ง ฮอนด้า ซีวิค สีบรอนซ์ หลบหนีอีกทอด คราวนี้จึงต้องเสริมกำลังทั้งทางภาคอากาศ นำเฮลิคอปเตอร์บินขึ้น พร้อมประสานกองเรือภาค 1 กองเรือยุทธการสนธิกำลังนำเรือตรวจการณ์ (ต.) 215 ออกลาดตระเวนน่านน้ำทะเล อ.สัตหีบ และใกล้เคียง นอกจากนี้ ยังตรวจเข้มที่สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ป้องกันคนร้ายหลบหนี
การพลิกแผ่นดินไล่ล่า ทั้งภาคพื้นดิน อากาศ และ ทะเล เริ่มเป็นผล เมื่อพบรถเก๋งที่คนร้ายขับไปจอดบริเวณเต็นท์รถเช่า พบหลักฐานสำคัญ อุปกรณ์ที่ใช้ลงมือก่อเหตุหลงเหลือมากมาย ที่สำคัญ ยังพบร่องรอยคราบเลือด ตรวจสอบข้อมูลจากเจ้าของเต็นท์ทราบว่า นายเชอเรมนิกค์ ฟิลิกซ์ อายุ 31 ปี ชาวรัสเซีย อดีตทหารในกองทัพรัสเซีย ประวัติเดินทางเข้า - ออก เมืองไทยเป็นประจำมาติดต่อเช่า ล่าสุด ยังนำเงินสดกว่า 5 แสนบาท มาซื้อเรือเร็วชื่อ “โฟล์วีล” ขนาด 19 ฟุตครึ่ง เครื่องยนต์ 125 แรงม้า ขับเรือออกจากแหลมบาลีฮาย จ.ชลบุรี หลังเกิดเหตุปล้นธนาคารไม่นานเท่าไรนัก
คดีนี้โชคไม่เข้าข้างคนร้าย หลังจากวางแผนปล้นแล้วซื้อเรือเร็วหวังขับข้ามอ่าวไทยมุ่งหน้าไปทางภาคใต้ คาดว่า ปลายทางอาจจะเป็นเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี แต่เตรียมน้ำมันมาไม่พอ จึงหมดกลางทะเล ลอยเคว้งอยู่หลังเกาะไผ่ ปากน้ำปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตำรวจน้ำรับแจ้งเหตุจึงไปตรวจสอบช่วงเช้าวันที่ 31 ส.ค. ภายในเรือไม่มีใครอยู่ จึงตระเวนค้นหาตามเรือประมงในอาณาบริเวณใกล้เคียง จึงพบชาวรัสเซีย 3 คน อยู่ในเรือประมงที่กำลังวิ่งเข้าฝั่งปากน้ำปราณบุรี คือ นายเชอเรมนิกค์ ฟิลิกซ์ หัวหน้าแก๊ง ได้รับบาดเจ็บถูกยิงโคนขาขวา นายมิลิคีฟ มาทัส อายุ 32 ปี และ นายอูลาลอฟ รีนาส อายุ 32 ปี พร้อมของกลางเงินสดที่เหลือจากการปล้น 9.8 แสนบาท แผนที่ประเทศไทย หนังสือเดินทาง ส่วนอาวุธปืนอ้างว่าโยนทิ้งทะเลไปแล้ว โดยตำรวจเชื่อว่า ยังมีผู้ร่วมก่อเหตุอีก 2 คนที่หลบหนีไปได้
ตอนแรกทั้งหมดให้การปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม จากการเค้นสอบสวนอย่างหนัก นายเชอเรมนิกค์ ยอมเปิดปากรับสารภาพ สุดท้ายภายหลังมีการนำตัวทั้งสามส่งฟ้องศาลจังหวัดพัทยา พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเชอเรมนิกค์ และ นายอูลาลอฟ แต่นายเชอเรมนิกค์ รับสารภาพในชั้นสอบสวนลดโทษกึ่งหนึ่งคงเหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วน นายอูลาลอฟ ให้การปฏิเสธตลอด จึงไม่มีการลดโทษ ขณะที่ นายมิลิคีฟ พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุก 33 ปี 4 เดือน
ถือเป็นการปิดฉากคดีอาชญากรข้ามชาติ แม้จะวางแผนแยบยล แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นเงื้อมมือตำรวจไทย