พ.ศ. ๒๕๐๘
ตลาดท่าเรือ ที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังเป็นชุมชนที่ไม่ใหญ่โตนัก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก มีเพียงห้องแถวไม้ชั้นเดียวตั้งเรียงรายอยู่สองฟากถนนที่ตัดมุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟ แต่การค้าของตลาดท่าเรือก็คึกคักพอสมควร มีสาขาธนาคารเกือบทุกแห่งตั้งอยู่ มีร้านทองถึง ๕ ร้าน แต่ละร้านก็แขวนทองโชว์เต็มตู้ประชันกัน โดยไม่คิดว่าจะมีโจรที่ไหนกล้ามาปล้น เพราะอยู่กลางตลาด ห่างจากสถานีตำรวจและที่ว่าการอำเภอประมาณ ๑๐๐ เมตรเท่านั้น
แต่แล้วในเย็นวันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๘ ราว ๑๖.๒๐ ก็มีรถเมล์สองแถวสีเทาคันหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างช้าๆ จอดที่หน้าโรงแรมตั้งซาฮะ ภายในรถมีชายฉกรรจ์สิบกว่าคน อาวุธครบมือ แต่งกายคล้ายเครื่องแบบครึ่งท่อน นุ่งกางเกงสีกากี ผู้คนในตลาดเห็นก็นึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับผู้ร้ายมา
ทันทีที่รถจอด ชายคนหนึ่งถือปืนคาร์ไบน์และยังมีถุงผ้าหูรูดห้อยติดข้อมือ กระโดดลงมาเป็นคนแรก แล้วยิงปืนขึ้นฟ้า ๑ นัด ประกาศก้องว่า “อ้ายเสือบุก!”
จากนั้นทุกคนก็ตามลงมา พร้อมกับยิงปืนหูดับตับไหม้เป็นการข่มขวัญ อีกส่วนหนึ่งกระจายกำลังไปที่หน้าสถานีตำรวจและที่ว่าการอำเภอ สาดกระสุนข่มขวัญและตรึงกำลังไว้โดยรอบไม่ให้เจ้าหน้าที่ออกมาต่อสู้ ชาวบ้านที่มาจับจ่ายซื้อของต่างวิ่งกันอลหม่าน เจ้าของร้านก็รีบปิดร้าน โดยเฉพาะร้านทองทั้ง ๕ แต่ก็ยังช้าไปกว่า ๕ โจรที่มีอาวุธปืนสั้นซึ่งมาเฝ้าประกบร้านทองทุกร้านล่วงหน้าแล้ว
นายแก้ว หรือ กำหน่ำ แซ่หล่า เจ้าของร้านทอง “เล่าย่งเฮง” กำลังจะปิดประตูร้าน แต่ก็ไม่ทันโจรคนหนึ่งที่ถือปืนสั้นปราดเข้ามา นายแก้วเห็นหน้าโจร ก็ร้องขึ้นว่า
“อ้ายวี มึงเองหรือ?”
ทันใดปืนในมือ “อ้ายวี” ก็คำรามขึ้น นายแก้วทรุดลงตายคาที่ โจรเอาด้ามปืนทุบกระจกตู้ กวาดทองคำเหลืองอร่ามลงใส่ถุงที่เตรียมมาจนเกลี้ยงตู้ แล้วเผ่นออกจากร้านไป
พอออกจากร้าน โจรที่หิ้วทองออกมาก็เห็นนายจอม เปี่ยมสาคร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๒ ตำบลท่าเจ้าสนุก อำเภอท่าเรือ ซึ่งแต่งเครื่องแบบจะไปร่วมงานวันเฉลิมพระชนม์พรรษาที่อำเภอ และวิ่งมาเพราะเสียงปืน โจรเลยนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่จะมาขัดขวาง เลยส่องดับคาที่ไปอีกราย
ที่ร้านทองอีกแห่งชื่อ“ย่งฮวด” นายตังสิ่น แซ่ตั้ง อายุ ๘๗ ปี เจ้าของร้านทำท่าจะขัดขืน เลยถูกยิงดับเป็นศพที่ ๓
แต่ที่ร้านทอง “ฮั่วซ่งหลี” นายเล่าท้อ แซ่ฮั้ว กับ นางเซี๊ยะกิม แซ่ฮั้ว กำลังช่วยกันจะเก็บทองซ่อน แต่พอเห็นโจรถือปืนพรวดพราดเข้ามาเลยกลัวจนตัวสั่น ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ดูโจรกวาดทองจากตู้ใส่ถุงไม่กระดุกกระดิก พอโจรกวาดทองเสร็จจะถอยออกจากร้าน ยิงปืนกลรัวเพื่อจะข่มขวัญ นางเซี๊ยะกิมซึ่งกำลังกลัวสุดขีดอยู่แล้ว เลยช็อกหัวใจวายตายเป็นศพที่ ๔
ก่อนที่จะถอยออกจากร้าน โจรคนหนึ่งหันไปเห็นนางสาวเซี๊ยะคิ้ม หน้าตาดีหลบซ่อนอยู่ เลยคว้าตัวไปด้วยเป็นของแถม
ไม่เพียงแต่ร้านทองทั้ง ๕ ร้านถูกทุบกระจกตู้กวาดทองไปเรียบ ร้านขายนาฬิกา ร้านขายวิทยุ ร้านขายเสื้อผ้า ก็ถูกกวาดทรัพย์สินมีค่าเช่นกัน กลุ่มโจรใช้เวลาปฏิบัติการอยู่นานราว ๒๐ นาที หัวหน้าโจรจึงส่งสัญญาณให้สมุนที่ปิดล้อมโรงพักและที่ว่าการอำเภอถอยไปที่รถ พร้อมกับตะโกนบอกกลุ่มที่ยังเก็บกวาดทรัพย์สินตามร้านว่า “อ้ายเสือถอย” มารวมกันกลับขึ้นรถพร้อมกับเชลยสาว แล้วยิงกราดไปรอบทิศเป็นการขู่ไม่ให้มีการติดตาม กระสุนชุดล่าถอยของโจรยังทะลุฝาบ้านเข้าไปถูกขานางนิภา เกตุอ่ำ ที่กำลังให้นมลูกบาดเจ็บไปอีกราย
ปรากฏว่าโจรที่ปฏิบัติการครั้งนี้มีถึง ๑๗ คน มากับรถสองแถว ๑๒ คน และรออยู่ก่อนแล้ว ๕ คน ส่วนคนขับรถสองแถวนั้นคือนายวิชัย มานะกิจมงคล ถูกโจรคนหนึ่งไปว่าจ้างให้ไปรับพรรคพวกอีก ๑๑ คน แล้วจี้ให้ขับไปที่ตลาดท่าเรือ
ขณะที่ถอยออกไปจากการปล้น นอกจากในรถสองแถวซึ่งดัดแปลงมาจากรถปิคอัพจะอัดแน่นไปด้วย ๑๗ โจรแล้ว น.ส.เซี๊ยะคิ้มที่ถูกจับมาด้วยยังร้องไห้ครวญครางขอชีวิตไปตลอดทาง พอไปถึงบ้านร่อม ห่างตลาดท่าเรือไป ๓ กม. โจรจึงยอมปล่อยตัวลงข้างทาง ส่วนคนขับรถยังถูกจี้ให้ไปส่งยังจุดที่กำหนดไว้ ซึ่งก็อยู่ในเขตบ้านร่อมนั่นเอง
เมื่อถึงจุดที่หมาย กลุ่มโจรก็ลงจากรถ ยอมปล่อยคนขับไปแต่โดยดี แล้วพากันเดินถือปืนหอบทองตัดทุ่งไป ขณะนั้นยังไม่มืดชาวบ้านจึงเห็นพวกโจรถนัด แต่ก็ไม่มีใครกล้าดู ต่างปิดประตูหน้าต่างกันพร้อมหน้า กลุ่มโจรได้แวะที่บ้านของนายเชื้อ เขมารมย์ ครูใหญ่ ร.ร.ประชาบาลบ้านร่อม ซึ่งเป็นทางผ่าน ขอน้ำดื่ม ซึ่งครูใหญ่ก็ต้องบริการให้ด้วยความเกรงกลัว
ในวันนั้น พ.ต.ท.สมหวัง เพ็ญสูตร ผู้กำกับการตำรวจภูธรภาค ๑ มือปราบที่กำลังดัง นำตำรวจออกไปติดตามคนร้ายปล้นทรัพย์ที่ตลาดช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ กลับมาในตอนเย็นยังแวะที่สถานีตำรวจท่าลาน เพื่อสืบเรื่องคนร้ายปล้นรถโดยสารและฆ่าเจ้าทุกข์ตายที่อำเภอบ้านหมอ สระบุรีอีกคดี ก็พอดีมีรถโดยสารเข้ามาแจ้งว่ากำลังมีการปล้นที่ตลาดท่าเรือ ผู้กำกับฯสมหวังจึงโทรศัพท์แจ้งสถานีตำรวจบ้านหมอให้นำกำลังไปสกัดเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะต้องหนีไปทางนั้น ส่วนตัวเองก็นำกำลังรีบรุดไปติดตามคนร้ายกลุ่มนี้ทันที
ผู้กำกับฯสมหวังได้ข่าวว่ากลุ่มโจรลงรถที่บ้านร่อมและเดินตัดทุ่งไป จึงติดตามไปจนทัน กลุ่มโจรเห็นตำรวจตามมาจึงจี้ตัวชาวนากำบังกระสุนและยิงต่อสู้ขณะที่ถอย ทำเอาเจ้าหน้าที่ยิงตอบไม่สะดวก จนความมืดคืบคลานมา กลุ่มโจรทั้ง ๑๗ คนจึงอาศัยความมืดหลบหนีไปได้
ในยุคนั้นการปล้นฆ่าเกิดขึ้นในต่างจังหวัดเป็นประจำ โดยเฉพาะในภาคกลาง แต่การปิดตลาดท่าเรือปล้นถือว่าเป็นการกระทำอุกอาจ อำมหิต ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง และเป็นการหยามหน้ากรมตำรวจ หนังสือพิมพ์ได้ประโคมข่าวนี้อย่างเอิกเกริกจนทำให้ตำรวจใหญ่นั่งกันไม่ติด พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจ สั่งให้ระดมนายตำรวจของท้องที่โดยรอบเข้าร่วมพิชิตคดีนี้ โดยตั้งเป็นคณะปราบปรามชุดพิเศษเฉพาะกิจขึ้นมา มี พล.ต.ต.ประหลาท ประการะนันท์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธร เป็นผู้อำนวยการ
จากการสอบสวนในที่เกิดเหตุ มีผู้ตกเป็นเหยื่อโจรเสียชีวิตไป ๔ คน รวมทรัพย์สินที่โจรปล้นไปมีมูลค่าราว ๖ แสนบาท
เป็น ๖ แสนบาทในขณะที่ทองคำราคาบาทละ ๓๐๐ บาท
ต่อมาไม่นาน ตำรวจก็สืบรู้ตัวโจรก๊กนี้ ว่ามี เสือใบ กุลแพ ที่ลูกน้องตั้งฉายาให้ว่า “เจ้าพ่อกำแพงเขย่ง” เป็นหัวหน้า และเป็นคนที่เอาปืนจี้หัวนายวิชัยคนขับรถสองแถวให้มาปล้น โดยมี เสือมาย หรือ นายละมาย ภู่แสนสะอาด คนที่รสนิยมจัดในเรื่องผู้หญิงและเป็นคนคว้าตัว น.ส. เซี๊ยะคิ้มเป็นของแถม เป็นผู้วางแผนปล้น
เสือใบเคยบวชเรียนเป็นเณรและเป็นทหารอยู่ที่ลพบุรีถึง ๓ ปี เมื่อออกจากทหารก็ริเป็นเสือปล้นจนชื่อดัง เมื่อนายสันต์ เอกมหาชัย นายอำเภอเมืองลพบุรี มีนโยบายจะใช้โจรปราบโจร เสือใบจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๓ ตำบลดอนโพธิ์ ซึ่งก็ทำให้โจรในลพบุรีสงบไปได้พักหนึ่ง
แต่เสือไม่ยอมทิ้งลาย ต่อมาผู้ใหญ่ใบกับลูกน้องอีก ๕ คนข้ามถิ่นไปปล้นบ้านผู้ใหญ่ฉุย ที่ตำบลโคกโพธิ์ อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี เจ้าทรัพย์ยิงสู้ถูกต้นขาขวาผู้ใหญ่ใบจนหนีไม่รอด ถูกจับดำเนินคดี ศาลตัดสินจำคุก ๑๐ ปี ลดฐานสารภาพเหลือ ๕ ปี และขาข้างนั้นพิการจนต้องเดินโขยกได้ฉายาว่า “เจ้าพ่อกำแพงเขย่ง”
ในเรือนจำสระบุรี เสือใบได้รู้จักกับเสือมาย โจรรุ่นน้องที่ให้ความนับถือเรียกว่าพี่ เมื่อพ้นโทษก็ยังมีความสัมพันธ์กันตลอดมา เมื่อเสือมายคิดจะเข้าปล้นตลาดท่าเรือ โดยดูลาดเลาและวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว จึงไปชวนเสือใบมาร่วมปล้นด้วย
เมื่อรู้ตัวระดับหัวหน้าของ ๑๗ โจรที่ปิดตลาดท่าเรือปล้นแล้ว ตำรวจจึงวางแผนที่จะล่าคนหนึ่งคนใดมาให้ได้ก่อน เพื่อขยายผลเอาทั้ง ๑๗ โจรมารับโทษ แต่หัวหน้าโจรที่รู้ตัวมาต่างก็อยู่ในระดับพระกาฬทั้งนั้น จะยอมให้จับแต่โดยดีคงเป็นไปไม่ได้ หากจู่โจมเข้าไปจับแบบไม่รัดกุม ก็อาจจะทำให้เสียชีวิตฝ่ายปราบปรามเป็นแน่ และถ้าหากเสือร้ายเป็นฝ่ายตาย การขยายผลก็จะหมดไปทางหนึ่งด้วย
คณะปราบปรามชุดพิเศษเฉพาะกิจประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว กาหัวที่จะคว้าตัว “เจ้าพ่อกำแพงเขย่ง” เป็นคนแรก เพราะมีพยานยืนยันแน่ชัดว่าเป็นคนเอาปืนจี้หัวนายวิชัย คนขับรถสองแถว ทั้งยังเดินเขย่งโชว์ตัวให้คนเห็นทั้งตลาด
คณะปราบปรามฯได้ตัว จ.ส.ต.พล เพียรเจริญ หัวหน้าสถานีตำรวจบ้านกุ่ม ลพบุรี ซึ่งสนิทสนมกับเสือใบและรู้จักบ้านช่องเป็นอย่างดี ฉะนั้นกลางดึกของคืนวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๘ หลังการปล้นเพียง ๒ วัน พ.ต.อ.ตรึก สุทธิจิตต์ และพ.ต.ท. สมหวัง เพ็ญสูตร ก็นำกำลังตำรวจจำนวนหนึ่งลงเรือโดยมี จ.ส.ต.พลเป็นผู้นำทาง ไปถึงบ้านของเสือใบ กุลมา ที่ตำบลดอนโพธิ์ในเช้าตรู่ของวันที่ ๘
เมื่อวางกำลังรายล้อมไว้แล้ว จ.ส.ต.พลก็ไปตะโกนเรียกที่หน้าบ้านว่า
“ใบโว้ย ตื่นหรือยัง?”
“ใครวะ?” เสียงถามมาจากบนบ้าน
“ข้าเอง พลโว้ย”
“มาทำไมวะแต่เช้ามืด” เจ้าพ่อเริ่มสงสัย
“มีธุระโว้ย ลงมาคุยกันหน่อย”
แม้จะเรียกให้ลงมาโดยดี แต่เจ้าหน้าที่ก็เพียงต้องการให้เสือร้ายพุ่งความสนใจไปที่ จ.ส.ต.พลเท่านั้น ขณะที่หน่วยจู่โจมคืบคลานเข้าไปไม่ให้เสือร้ายรู้ตัว และตรูกันขึ้นไปล็อคตัวไว้ได้ขณะที่เสือร้ายถลาไปคว้าปืน
เมื่อหมดทางที่จะต่อสู้ “เจ้าพ่อกำแพงเขย่ง” ก็ยอมจำนนให้สวมกุญแจมือแต่โดยดี เจ้าหน้าที่ค้นทั่วบ้านและบริเวณโดยรอบ พบปืนคาร์ไบน์ที่ใช้ในการปล้นพร้อมเครื่องทองของกลางยังอยู่เพียบ เสือสิ้นลายรับสารภาพและเผยตัวลูกน้องร่วมขบวนจนหมดสิ้น
วันต่อมา สายรายงานมาว่า สมบุญ มากฤทธิ์ ๑ ใน ๑๗ โจรได้หลบไปอยู่บ้านพรรคพวกที่ ต.โพธิ์เอน ในอำเภอท่าเรือนั่นเอง พ.ต.ท.สมหวังจึงพาตำรวจไปล้อมไว้ตั้งแต่ตี ๓ พอสว่างก็จู่โจมเข้าจับ เสือร้ายหันไปคว้าปืน แต่ก็ถูกปืนตำรวจจ่ออยู่หลายกระบอก เลยต้องยอมให้จับแต่โดยดีอีกราย เจ้าหน้าที่ยึดได้ปืนพก ๑ กระบอก กระสุนตุนไว้ถึง ๑๐๒ นัด นาฬิการาโดเรือนทอง ๑ เรือน พร้อมกับเครื่องทองอีกมาก
ในเวลาต่อมา ตำรวจชุดเดิมก็บุกไปรวบตัว ทวี เฉลิมสมัย คนที่สังหารเถ้าแก่ร้านทองเล้าย่งฮง และผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๒ ท่าเจ้าสนุก ถึง ๒ ศพ ได้ที่บ้านแม่ พร้อมด้วยของกลางถึง ๘๕ รายการ
เมื่อได้ตัวหัวหน้าโจรและสมุนตัวสำคัญมาอีก ๒ คน พ.ต.ท.สมหวัง เพ็ญสูตร มือปราบคนดังก็คึกคักขึ้นมาทันที ในวันที่ ๒๗ สายก็รายงานมาว่า บุญเลิศ ปลอดเกิด โจรอีกคนหลบไปอยู่ที่ตลาดโคกตูม นิคมสร้างตนเอง ลพบุรี จึงพากำลังพร้อมสุนัขตำรวจมุ่งไปที่จุดนั้น แต่พอใกล้ถึง ตำรวจท้องที่คนพาไปก็ชี้มือให้ดูชายคนหนึ่งขี่จักรยานสวนทางมา พร้อมกับบอก
“นั่นไอ้บุญเลิศนี่ครับ”
ตำรวจเลยไม่ต้องออกแรง แค่จอดรถเทียบแล้วเอาปืนจ่อ บุญเลิศก็ลงจากรถให้จับแต่โดยดี
ระหว่างที่ตำรวจกำลังพิชิตดาวโจรได้อย่างง่ายดาย สายลับของกองอำนวยการ ๓ คน คือนายบุญลือ ชูมา นายอุดม มงคลแก้ว และนายสำราญ ปายาทะ ซึ่งกำลังแกะรอยตามโจรให้ตำรวจ เกิดเสียท่าให้โจรรู้ เลยถูกเก็บเรียบร้อยทั้ง ๓ คน ตำรวจสืบรู้ว่าคนยิงทิ้งสายลับของตนก็คือ เสือศิริ กุลวิบูลย์ และ เสือแบน วงษ์ขำ ซึ่งกำลังวางแผนจะเข้าปล้นบ้านคหบดีที่บ้านดงสัก อำเภอบ้านหมอ สระบุรีอีก จึงไปซุ่มรอตั้งแต่หัวค่ำ ราว ๔ ทุ่มก็เห็นชาย ๒ คนลัดเลาะชายป่ามุ่งหน้ามา ตำรวจรอให้โจรทั้ง ๒ เข้ามาใกล้ในระยะปืน แล้วจึงตะโกนให้หยุดแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ สองเสือสาดกระสุนใส่ทันที ตำรวจจึงสาดกระสุนตอบ ทั้งสองฝ่ายยิงกันหูดับตับไหม้จนชาวบ้านแตกตื่นทั้งหมู่บ้าน ประมาณ ๑๕ นาทีเสียงปืนฝ่ายโจรก็สงบ ตำรวจเข้าเคลียร์พื้นที่ก็พบเสือศิริถูกยิงเสียชีวิต ในมือยังถือปืนกลเอ็มทรี มีกระสุนเหลืออีกร้อยกว่านัด และมีปืนคอลท์ซุปเปอร์เหน็บเอวอีกกระบอก
ห่างไปราว ๑๐ เมตร เสือแบนถูกยิงพรุน มีคาร์ไบน์ตกอยู่ข้างตัว ๑ กระบอก กระสุนอีกสองร้อยกว่านัด
ทั้ง ๒ เสือต่างห้อยพระเครื่องดังๆที่คอเป็นพวง แต่พระกับโจรก็ไปด้วยกันไม่ได้ โจรดับแต่พระยังอยู่
รายการต่อไปเป็นของ ศักดิ์ นันโท เสืออารมณ์ร้าย ไม่พอใจใครก็ยิงดื้อๆ แม้แต่แม่ตัวเองก็ยังทำร้าย ก่อคดีทั้งฆ่าทั้งปล้นไว้มาก ตำรวจได้ข่าวว่าไปตั้งชุมเสืออยู่ในป่าช้าคลองวัว เขตติดต่ออยุธยากับอ่างทอง ใกล้กับบ้านพ่อตาแม่ยาย มีชัยภูมิเหมาะเพราะมีคลองชลประทานผ่าน แต่เสือร้ายลงคลองไม่ทันเมื่อตำรวจไปถึง ถูกยิงตายเสียก่อน ลูกน้องพากันใช้คลองแหวกวงล้อมไปได้ เสือศักดิ์แขวนพระเป็นพวงถึง ๓๐ องค์ คงจะหนักพระนี่เองที่ทำให้หนีไม่ทัน
ส่วนโจรสำคัญอีกคนคือ “เสือมาย” ละมาย ภู่แสนสะอาด ซึ่งเป็นทั้งเสือปล้นและเสือผู้หญิง ผู้วางแผนปล้นในครั้งนี้ พ.ต.ท.สมหวังส่งสายสืบตามประกบเพื่อจะเอาตัวมาให้ได้ แต่เสือมายกลับรู้ว่า ๒ พี่น้อง พายัพกับพยนต์ ที่ตามมาคลุกคลีนั้นคือสายของตำรวจ จึงยิงทิ้งเสียกลางทุ่ง
แต่แล้วสายที่ทำแนบเนียนจนเสือมายจับไม่ได้ก็รายงานว่า เสือมายจะไปเที่ยวงานผูกพัทธสีมาวัดดอนทองที่บ้านหมอ สระบุรี จึงนำกำลังไปกระจายอยู่ในงานตั้งแต่หัวค่ำ รออยู่จนเที่ยงคืนก็ยังไม่เห็นเงาขุนโจร จนกระทั่งราวตี ๒ จึงสังเกตเห็นชายกลุ่มหนึ่งแต่งกายคล้ายทหารนั่งกินเหล้าอยู่ที่ร้านในงาน ขณะเจ้าหน้าที่กำลังกระจายกำลังเข้าล้อมนั้น เสือมายรู้ตัวจึงสาดกระสุนเข้าใส่ก่อน คนที่มาเที่ยวงานต่างแตกหนีกันกระเจิง เสือมายเชื่อมั่นในเครื่องรางของขลังที่ห้อยไว้เต็มคอ จึงยืนปักหลักซัดกับตำรวจโดยไม่หลบเข้าที่กำบัง ผลก็คือพรุนไปทั้งเสือและเครื่องราง จบชีวิตตัวการต้นคิดที่วางแผนปิดตลาดท่าเรือปล้น
ส่วนอีกราย ตำรวจรู้ว่า เสือน้อย เจริญสุข กำลังจะไปเอาของกลางที่ฝากไว้ที่บ้านหนองเบี้ยว โคกสำโรง ลพบุรี จึงไปดักจับได้โดยละม่อมอีกเป็นรายที่ ๕
บางคนหนีไปไกล อย่าง บั๊ก หรือ มะลิ คาลามานนท์ ไปกบดานอยู่ถึงลำปาง แต่ก็ไม่รอดอยู่ดี ตำรวจตามไปคว้าตัวมาได้
ในที่สุด ๑๗ โจรก็ถูกจับเป็นมาได้ ๖ จับตาย ๖ ญาติเกลี้ยกล่อมให้มามอบตัวอีก ๑ คือ ลำพอง มหาวิจิตร ซึ่งวัยยังไม่ถึง ๑๘ นอกนั้นยังไม่ได้ตัว หน่วยปราบปรามพิเศษจึงต้องวางสายออกล่าทุกหัวระแหงต่อไป
รัฐบาลถือว่าการปิดตลาดท่าเรือปล้นเป็นการกระทำที่อุกอาจและเหี้ยมโหด ไม่เกรงกลัวกฎหมาย จึงนำเรื่องเข้า ครม. ตอนนั้นยุคเผด็จการจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ออกกฎหมายมาเป็นเครื่องมือครองอำนาจไว้ เรียกว่า “ธรรมนูญการปกครอง” ซึ่งมาตรา ๑๗ ของธรรมนูญนี้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งประหารชีวิตคนได้ จอมพลถนอม กิตติขจร ผู้รับทอดอำนาจและเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จึงใช้มาตรา ๑๗ ซึ่งจอมพลสฤษดิ์เคยใช้ประหารชีวิตคนมาหลายรายแล้ว สั่งประหารโจรปล้นตลาดท่าเรือ ๖ คนที่จับมาได้ ให้เอาไปยิงเป้า ณ ที่เกิดเหตุ
๒๔ มีนาคม ๒๕๐๙ โจรทั้ง ๖ ได้ถูกเบิกตัวออกจากเรือนจำโดยมีประชาชนตามดูกันแน่นขนัดนำตัวไปที่สนามโรงเรียนท่าเรือนิตยานุกุล ซึ่งปักหลักไม้กางเขนไว้ ๖ หลัก มีผ้าดิบขาวปิดบังไว้ ๓ ด้าน ด้านหน้ามีวงกลมดำเป็นเป้าตรงหัวใจพอดี ใช้คันดินของทางรถไฟเป็นกำแพงหลัง และมีกระสอบทรายกองไว้หลังหลักประหาร มือสังหารถูกวางตัวประกบเป็นรายคนคือ
๑. พ.ต.ต.ศุภสิทธิ์ ศรีสุระสงคราม ยิงเสือใบ
๒. พ.ต.ต.ทิพย์เจริญ ชูเวช ยิงเสือสมบุญ
๓. ร.ต.อ.ชูพันธ์ ประยูรเวช ยิงเสือทวี
๔. ร.ต.ท.สหัส จิตตานนท์ ยิงเสือบุญเลิศ
๕. ร.ต.ท.ประสาร ธนสุกาญจน์ ยิงเสือมะลิ
๖. ร.ต.ต.ดำริห์ บุญกระทือ ยิงเสือน้อย
โดยมี พ.ต.อ.(พิเศษ) จรุง เศวตนันทน์ เป็นผู้อ่านคำสั่งนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางประชาชนที่มาดูกันแน่นขนัด จากนั้นคาร์ไบน์ ๖ กระบอกก็คำรามพร้อมกันกระบอกละ ๑๕ นัด มีแต่เสือใบคนเดียวที่ ๑๕ นัดยังเอาไม่อยู่ ต้องแถมให้เป็น ๒๒ นัด
ตลอดทั้งวัน ประชาชนเป็นหมื่นๆคนที่มาดูการประหารก็ยังไม่ยอมถอย เมื่อเคลื่อนย้ายศพของผู้ถูกประหารออกไปแล้วต่างก็กรูเข้าดูถึงหลักประหารและกองกระสอบทรายที่ยังมีเลือดกระจายอยู่ทั่วไป พากันค้นหาหัวกระสุนเอาไปทำมหาอุดคล้องคอ เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ จนกองกระสอบทรายทลายลงมา
เมื่อความมืดคืบคลานเข้ามาประชาชนจึงเริ่มถอย ทิ้งสถานที่ประหารให้เปล่าเปลี่ยววังเวง ตามปรกติบริเวณนี้เป็นเส้นทางเดินไปตลาดและสถานีรถไฟ แต่คืนนั้นไม่มีใครกล้าเดินเลย ทั้งหลักประหารและกองกระสอบทรายยังอยู่ ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
ตอนเช้า มีมอเตอร์ไซด์ ๑๐ คันตรงมาที่ ร.ร.ท่าเรือนิตยานุกุล ปรากฏว่าเป็นกลุ่มนักมวยอาชีพจากกรุงเทพฯ ต่างเข้ารื้อผ้าดิบที่ใช้เป็นฉากบังตัวขณะประหาร เพื่อเอาไปทำผ้าคาดศีรษะขึ้นเวที ซึ่งเชื่อว่ามีอาถรรพ์ข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้ และเกิดวิวาทจนเกือบตะลุมบอนกันเมื่อต่างอยากจะได้ผืนของเสือใบ กุลมาที่มีรอยกระสุนถึง ๒๒ รูมากกว่าคนอื่น
แม้ ๖ โจรถูกจับตาย อีก ๖ โจรถูกประหารไปแล้ว และอีกคนที่มอบตัวซึ่งศาลได้พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต แต่อีก ๔ โจรยังลอยนวล ฝ่ายปราบปรามยังไม่หมดภารกิจที่ต้องติดตามด้วยความคิดถึงกันต่อไป
๑ ใน ๔ ที่ตำรวจต้องการตัวมากที่สุดก็คือ จำเนียร สีม่วง หรือ “เสือขาว” ซึ่งแต่ก่อนก็มีค่าตัว ๒ พันบาทอยู่แล้ว หลังจากร่วมปล้นตลาดท่าเรือและยังปล้นต่อมาอีกเรื่อยๆ ค่าตัวพุ่งขึ้นไปถึง ๒ หมื่นบาท ตอนนั้นเสือขาวโด่งดังมาก ปล้นฆ่าทั่วไปหลายจังหวัด จนตำรวจสงสัยว่าเสือขาวปล้นจริงหรือคนอื่นผสมโรงแอบอ้าง ตำรวจจึงตามตัวไม่ลดละลงไปถึงราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ส่วนทางเหนือก็ไปถึงเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน แต่ก็คลาดกันหวุดหวิด แม้บางครั้งล้อมไว้แล้ว เสือขาวก็ยังแหวกวงล้อมออกไปได้อีก ทำเอาตำรวจร้อนไปทั้งกรมเมื่อถูกหาว่าหมดน้ำยา
และแล้วตำรวจก็ได้ข่าวมาว่า เสือขาวจะเข้าวิวาห์ที่บ้านไร่แถวมะนาวหวาน อำเภอพัฒนานิคม ลพบุรี ที่ชาวบ้านเข้าไปบุกเบิกทำไร่ข้าวโพด ข้าวฟ่าง โดยสู่ขอลูกสาวชาวบ้านเป็นเจ้าสาว พ่อเจ้าสาวเรียกเงินสด ๑ หมื่นบาท เสือขาวจ่ายให้แค่ ๑ พัน พ่อตาก็ไม่กล้าอ้าปากกลัวลูกปืนจะกรอกเข้าไป ตำรวจยกกำลังเป็นร้อยเพราะเสือขาวส้องสุมลูกน้องและอาวุธไว้มาก ตร.ถือฤกษ์ส่งตัวเข้าหอตอน ๒ ทุ่มเป็นฤกษ์จู่โจม เกิดยิงกันหูดับตับไหม้ แต่พอเสียงปืนสงบตำรวจสาดไฟเข้าบ้าน ก็เห็นศพนอนอยู่เกลื่อนและมีรอยหยดเลือดเข้าไปในป่า เมื่อตามรอยเลือดไปก็พบเสือขาวสิ้นชีวิตอยู่ในชุดเจ้าบ่าว นุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียว มีรอยกระสุนเหนือคิ้วซ้าย ทะลุกะโหลกเข้าไป
จบชีวิตเสือร้ายปล้นตลาดท่าเรือที่หนีหลักประหารไปได้อีกราย แต่ก็เกิดข้อกังขา ร่ำลือกันทั่วไปว่าเสือขาวยังมีชีวิตอยู่ คนที่ตายไม่ใช่ตัวจริง
พ.ต.ท.สมหวัง เพ็ญสูตร ยังติดตามโจรปล้นตลาดท่าเรือที่ยังเหลืออีก ๓ คนต่อไป ตำรวจรู้ว่าโจรคนที่ไปติดต่อเช่ารถสองแถวแล้วจี้มาปล้นนั้นก็คือ “เสือท็อก”หรือ วิชิต เกตุคำศรี อดีตโก๋หลังวังเจ้าของฉายา “เปี๊ยก กีวี” อันธพาลเมืองหลวงรุ่น ๒๔๙๙ ต้องคดีขว้างระเบิดขวดใส่ทหาร ถูกตัดสินจำคุก ๕ ปี แต่ก็เข้ากลุ่มอันธพาลรุ่นเดียวกันในคุกไม่ได้ เลยขอย้ายจากคุกลาดยาวไปอยู่เรือนจำสระบุรี เกิดไปถูกคอกับเสือสมบุญ พอมีความดีความชอบออกมาทำงานนอกเรือนจำ เสือสมบุญเลยพาหนีไปอาศัยอยู่กับเสือมาย จากโก๋เมืองกรุงเลยกลายเป็นสมุนโจรภูธรไป
ตำรวจได้ข่าวว่าเปี๊ยกหลบไปอยู่ราชบุรี พ.ต.ท.สมหวัง เพ็ญสูตร จึงชวน ร.ต.ท. ประสาร ธนสุกาญจน์ไปหาในงานฉลองศาลเจ้าหลักเมืองในค่ายภาณุรังษี คิดว่าเปี๊ยกน่าจะออกมาเที่ยวหาความสำราญในงานนี้ตามนิสัย แล้วก็เป็นที่คาดเห็นเปี๊ยกเดินมากับกลุ่มชายฉกรรจ์ ๔-๕ คน ฉะนั้นหลังจากนัดแนะกันแล้ว พ.ต.ท.สมหวังก็เข้าไปแนะนำตัว
“อั๊วชื่อสมหวัง เพ็ญสูตร มาจับโจรปล้นตลาดท่าเรือ”
แค่นี้ทั้งกลุ่มก็เกิดอาการหนาวไปตามๆกัน เพราะชื่อนี้กำลังดังในฐานะเป็นมือปราบมหากาฬ และยังเคยเป็นผู้กำกับราชบุรีมาก่อน
แต่ก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะขยับตัว ร.ต.ท.ประสารก็โดดเข้าล็อคคอเปี๊ยก กีวีทันที อีก ๔-๕ คนจึงหนีกันกระเจิง
เปี๊ยกถูกนำตัวมาขึ้นศาล แม้จะหนีหลักประหารร่วมกับพรรคพวกทั้ง ๖ คนมาได้ แต่ศาลก็ตัดสินประหารชีวิตเขาอยู่ดีที่บางขวาง
เมื่อหมดเปี๊ยก กีวีไปอีกคนหรือ “เสือโก๊ะ” ที่ยังลอยนวลอยู่ ทั้ง ๒ เคยปะทะกับตำรวจมาหลายครั้งและถูกยิงบาดเจ็บแต่ก็แหวกวงล้อมไปนอนเลียแผลได้ จากนั้นก็เก็บตัวเงียบสนิทจนตำรวจไม่ได้วี่แวว แม้จะออกตามล่าทุกหัวระแหงและส่งสายออกไปทุกทิศก็ไม่ได้ข่าว ในที่สุดเลยต้องยอมปิดคดีให้ ๒ เสือลอยนวลไปได้ รอให้สร้างคดีใหม่ค่อยตามล่ามาบวกคดีเก่า
คดีปิดตลาดท่าเรือปล้น นับเป็นข่าวดังสนั่นหวั่นไหวที่สุดในยุคนั้น เพราะนอกจากจะเป็นการปล้นอย่างเอิกเกริกแล้ว นายกรัฐมนตรียังใช้ ม.๑๗ สั่งยิงเป้ากลุ่มโจรในที่เกิดเหตุ ท่ามกลางสายตาของคนนับจำนวนหมื่นๆอีกด้วย ๑๗ โจรปล้นตลาดท่าเรือก็ยังเหลืออีกเพียง ๒ เท่านั้น คือ จุ่น ผลหาญ กับ สง่า เฉลิมทรัพย์