xs
xsm
sm
md
lg

ประเพณีมีเมียหลายคนในสยาม นักเขียนฝรั่งใส่ไข่ว่ากษัตริย์เอเชียมีเมียเป็นพัน!!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค

ชีวิตครอบครัวของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
การที่ผู้ชายมีเมียมากกว่า ๑ คน ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาของคนเอเชียในสมัยก่อน จะเรียกว่าเป็นธรรมเนียมประเพณีก็ยังได้ ถึงเดี๋ยวนี้ศาสนาอิสลามก็ยังยอมให้ผู้ชายมีเมียได้ถึง ๔ คน ถ้ามีปัญญาเลี้ยงดูให้มีความสุข

เมื่อตอนที่โกษาปานเป็นราชทูตสมเด็จพระนารายณ์มหาราชไปฝรั่งเศส ถูกสุภาพสตรีไฮโซของฝรั่งเศสถามดื้อๆว่า เคยได้ยินที่เมืองไทยใครจะมีเมียสักกี่คนก็ได้ไม่ถือว่าผิดประเพณีสามีภรรยากัน สำหรับเจ้าคุณมีภรรยาเล็กภรรยาน้อยกี่คน โกษาปานก็ตอบหน้าตาเฉยว่า

“เรามี ๒๒ คนเท่านั้น”

และเมื่อเห็นเจ้าหล่อนทั้งหลายตกอกตกใจในจำนวนมากเช่นนั้น ท่านราชทูตก็ให้อรรถาธิบายว่า

“หล่อนเห็นแปลกที่เรามีเมียถึง ๒๒ คน เพราะยังไม่เคยได้ยินว่าใครมีมากถึงขนาดนี้ แต่ในเมืองไทยนั้นไม่มีใครเห็นแปลก ใครจะมีเท่าไหร่ก็ได้ ยิ่งมีมากเขายิ่งนับถือว่าเป็นคนมีบุญวาสนามาก ก็เมื่อพื้นบ้านพื้นเมืองเขานิยมแบบนี้ใครเล่าจะฝืนความนิยมของเขาได้”

ทั้งยังให้เหตุผลว่า

“จะมีมากมีน้อยก็ตามที เราอยู่เป็นสุข เขาก็อยู่เป็นสุข ข้อนี้เป็นข้อสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด”

ชาวตะวันตกเห็นว่าการมีเมียหลายคนเป็นเรื่องแปลก นักเขียนหลายคนเขียนเรื่องนี้กันอย่างสนุกสนาน และระบายสีว่ากษัตริย์ในเอเซียและอาฟริกามีมเหสีเป็นพันๆคน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ยังถูกนักเขียนที่ชื่อ Gunter ยกเมฆใส่ไข่ไปว่า ทรงมีพระมเหสีและเจ้าจอม ๘๔ พระองค์ พระราชโอรสและพระราชธิดา ๓๖๒ พระองค์

นายแพทย์มัลคอม สมิธ แพทย์หลวงชาวอังกฤษประจำราชสำนักไทย ซึ่งรับใช้ใกล้ชิดราชวงศ์ไทยอยู่หลายปี ได้เขียนไว้ในหนังสือที่กรมศิลปากรแปลออกมาในชื่อ “ราชสำนักสยามในทรรศนะของหมอสมิธ” ตอบโต้ข้อเขียนยกเมฆของกุนเธอร์ว่า

“ยังนับว่าโชคดีที่ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนพระมเหสีและเจ้าจอมตลอดจนพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีนั้น มีบันทึกอยู่ในพงศาวดารค่อนข้างจะสมบูรณ์ ยกเว้นเฉพาะจำนวนพระมเหสีและเจ้าจอมที่มิได้ทรงให้กำเนิดพระราชโอรสและพระราชธิดาเท่านั้นที่มิได้มีระบุไว้ ถ้าหากได้ศึกษากันอย่างถ่องแท้แล้วก็จะพบว่า พงศาวดารฉบับดังกล่าวเป็นเอกสารที่เปิดเผยให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับลำดับที่ที่แน่นอนของบรรดาพระมเหสีและเจ้าจอม ตลอดจนจำนวนพระราชโอรสและพระราชธิดาและวันเวลาที่ประสูติ ทั้งจากการคาดเดาและข้อมูลที่แน่นอน รวมไปถึงเรื่องราวความรักอันมั่นคงที่พระเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อพระมเหสีและเจ้าจอมของพระองค์ได้เป็นอย่างดี”

หมอสมิธได้รวบรวมข้อมูลระบุจำนวนพระราชโอรสและพระราชธิดาที่เกิดจากพระมเหสีและพระสนมไว้ดังนี้

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงมีพระราชโอรส ๑๗ พระองค์ พระราชธิดา ๒๕ พระองค์ ประสูติแต่พระมารดาไม่ทราบจำนวน เนื่องจากรายพระนามและนามของพระมเหสีและเจ้าจอมเมื่อครั้งที่พระเจ้าอยู่หัวยังมิได้เสด็จขึ้นครองราชย์มิได้มีบันทึกไว้

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมีพระราชโอรส ๓๘ พระองค์ พระราชธิดา ๓๕ พระองค์ ประสูติแต่พระมารดารวมทั้งสิ้น ๓๘ พระองค์

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชโอรส ๒๒ พระองค์ พระราชธิดา ๒๙ พระองค์ ประสูติแต่พระมารดารวมทั้งสิ้น ๓๕ พระองค์

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชโอรส ๓๙ พระองค์ และพระราชธิดา ๔๓ พระองค์ ประสูติแต่พระมารดารวมทั้งสิ้น ๓๕
พระองค์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชโอรส ๓๒ พระองค์ พระราชธิดา ๔๔ พระองค์ และสิ้นพระชนม์ในครรภ์พระมารดาอีก ๑ พระองค์ (เกิดเหตุจากพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ หรือพระนางเรือล่ม สิ้นพระชนม์ขณะทรงครรภ์) ประสูติแต่พระมารดารวมทั้งสิ้น ๓๖ พระองค์

หากพิจารณากันดูให้ดีจะพบว่า สาเหตุประการสำคัญที่สุด ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมเหสีและเจ้าจอมเป็นจำนวนมาก มิได้เกิดจากความไม่รู้จักยับยั้งชั่งพระทัยของพระองค์เอง หรือเป็นเพราะทรงอยู่ในสถานภาพที่แวดล้อมไปด้วยสาวสรรกำนัลใน แต่น่าจะเกิดจากความวิตกกังวลที่พระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติในแต่ละปีมีจำนวนน้อยมากกว่า

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรกที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระมเหสีและเจ้าจอมของพระองค์ ออกไปนอกเขตพระราชวังได้ แต่ทว่าสิทธิในทางปฏิบัติยังมิได้ดำเนินไปอย่างกว้างขวางนัก จนกระทั่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การปฏิบัติจึงขยายขอบเขตออกไปกว้างขวางมากขึ้น สตรีในราชสำนักได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ออกไปนอกเขตพระราชวัง และออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆได้ ด้วยความรักที่พระเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อพระมเหสีและเจ้าจอม ตลอดจนพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์ จึงไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้พระองค์พอพระทัยได้มากเท่ากับการได้ทรงพระสำราญอยู่กับบุคคลอันเป็นที่รักเหล่านี้ ในสมัยนั้นการเล่นสนุกด้วยการแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายแปลกๆ เป็นที่นิยมในราชสำนักสยามเช่นเดียวกับในยุโรป และที่จัดว่าพิเศษกว่าอื่นใดและรับความนิยมมากที่สุด ก็คือ พระเจ้าอยู่หัวและพระราชโอรสเล็กๆจะทรงแต่งพระองค์เป็นหญิง ในขณะที่พระมเหสีและเจ้าจอมตลอดจนพระราชธิดาทรงแต่งพระองค์เป็นชาย สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีฯ ทรงใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่มากมายของพระองค์ ก่อให้เกิดประโยชน์ได้อย่างมาก พระองค์จะไม่ทรงเข้าไปร่วมในเกมการเล่น แต่จะทรงแต่งพระองค์เป็นชายในชุดที่แสดงถึงความเป็นคนสำคัญ ประทับนั่งแยกออกมาต่างหาก คอยบัญชาการกำหนดระเบียบแบบแผนในการเล่น ในโอกาสนี้ผู้เล่นทุกคนได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องคลานกับพื้น และไม่ต้องถวายบังคม พระมเหสีและเจ้าจอมตลอดจนเจ้านายเล็กๆเหล่านี้จะวิ่งเล่นกันราวกับเด็กๆ ส่งเสียงหวีดร้องและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จนยากที่จะให้ใครก็ตามที่ได้พบเห็นเชื่อว่า สตรีเหล่านี้จะไม่มีความสุขและต่างก็อิจฉาริษยาซึ่งกันและกัน กว่าเกมการเล่นแต่ละครั้งจะจบลงก็เป็นเวลาค่ำมืด

สำหรับบุคคลที่อยู่ในฐานะพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีสถานที่แห่งใดที่จะให้ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวได้ดีเท่ากับ “ตำหนักที่ประทับ” ของบรรดาพระมเหสีและเจ้าจอม ผู้ที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระมเหสี ซึ่งหมายถึงพระชายาคนสำคัญ เป็นบุคคลที่พระเจ้าอยู่หัวทรงมีสัมพันธภาพที่ดีด้วย และมักจะเสด็จฯมาหาอย่างสม่ำเสมอ หรือไม่ก็โปรดฯให้เข้าเฝ้าขณะเสวยพระกระยาหาร แต่เวลาประทับพระเจ้าอยู่หัวจะไม่ประทับอยู่รวมกับพระมเหสีและเจ้าจอมเหล่านี้ แต่จะบรรทม ทรงเครื่อง เปลี่ยนฉลองพระองค์ และเสวยพระกระยาหารมื้อแรกภายในตำหนักที่ประทับของพระองค์เอง

การที่พระมเหสีและเจ้าจอมคนใดคนหนึ่ง จะขอหย่าร้างกับพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีทางเป็นไปได้ ใครก็ตามที่อยู่ในฐานะพระมเหสีและเจ้าจอม จะไม่สามารถออกไปแต่งงานกับผู้ชายอื่นได้อีก แม้ว่าพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จสวรรคตไปแล้วก็ตาม และตราบใดที่พระเจ้าอยู่หัวยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ทุกคนก็จะต้องพำนักอาศัยอยู่ภายในวัง มีตำหนักที่ประทับและที่พักเป็นของตนเอง มีหลักฐานที่มั่นคงและมีสถานภาพเช่นนั้นเรื่อยไป หากเจ้าจอมคนใดได้มีโอกาสให้กำเนิดพระราชโอรสและพระราชธิดาแก่พระเจ้าอยู่หัวก็อาจจะเรียกร้องสิ่งต่างๆได้บ้าง อย่างไรก็ตาม แม้แต่เจ้าจอมที่สร้างความขัดเคืองพระราชหฤทัยแก่พระเจ้าอยู่หัว และถูกลงโทษมีสถานภาพที่ต่ำต้อยที่สุด อย่างเช่นเจ้าจอมห้องเหลือง ก็ยังไม่เคยถูกทอดทิ้งโดยที่พระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงจัดหาสิ่งใดๆให้เลย

สำหรับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ลงในหนังสือพิมพ์ “ดุสิตสมิธ” ไว้ว่า สาเหตุที่ทำให้ประเทศชาติไม่เจริญรุดหน้าได้นั้น มีอยู่สาเหตุหนึ่งมาจาการที่ผู้คนในประเทศนิยมมีเมียหลายคน แล้วให้ความอุปการะเลี้ยงดูไม่ทั่วถึง นอกจากจะทรงออกฎหมายให้ผู้ชายผู้หญิงมีคู่ครองได้เพียงคนเดียวแล้ว ยังทรงเริ่มที่ข้าราชสำนักและในกองทัพบกก่อน โดยให้จดทะเบียนภรรยา เพื่อป้องกันมิให้ข้าราชการมีภรรยาหลายคน

สำหรับพระองค์เอง แม้จะทรงตั้งพระปณิธานที่จะมีมเหสีพระองค์เดียว แต่ก็ทรงผิดหวังในความรักหลายครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องรัชทายาท จนก่อนสวรรคตเพียงวันเดียว พระนางเจ้าสุวัฒทนาพระวรราชเทวี ก็มีพระประสูติ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพรรณวดี เป็นพระราชธิดาเสียอีก จึงไม่มีรัชทายาทในรัชสมัยของพระองค์

ส่วนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ก็ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางเจ้ารำไพพรรณีเพียงพระองค์เดียว และไม่มีทั้งพระราชโอรสและพระราชธิดา

อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของคนไทยตั้งแต่รับอารยะธรรมตะวันตก ประเพณีมีภรรยาหลายคนตามความนิยมของชาวเอเชียแบบเก่าๆ ก็ค่อยๆจางหายไป โดยมีพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ เป็นต้นมา เป็นแบบอย่างที่ดีงามให้ประชาชน ถึงแม้ทุกวันนี้ผู้ชายบางคนยังมีภรรยามากกว่า ๑ คน แต่สังคมก็ไม่ได้ยึดถือแบบที่โกษาปานว่า “ยิ่งมีมากเขาก็ยิ่งนับถือว่าเป็นคนมีบุญวาสนามาก” แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม และมีความรู้สึกตำหนิติเตียน จนอาจกล่าวได้ว่า ประเพณีการมีเมียของคนไทย ก็เช่นเดียวกับประเพณีมีคู่ของชาวตะวันตก
พระราชโอรสพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
ชีวิตภายในพระราชฐานฝ่ายใน
กำลังโหลดความคิดเห็น