ด้วยพลังแรงใจไม่ยอมแพ้ แม้จะป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่อายุ 26 แถมโชคร้ายกลายเป็นหนึ่งในล้านที่มีก้อนเนื้อมะเร็งในห้องหัวใจ แต่ทว่า “เบลล่า-ศิรินทิพย์” ไม่เคยท้อแท้ถอดใจ และเป็นเวลากว่าสามปีที่เธอต่อสู้กับมะเร็งจนถึงวันนี้ที่หมอแจ้งว่าอาการของโรคสงบลงแล้ว แม้จะยังไม่อาจนิ่งนอนใจ แต่นี่คือเรื่องราวแห่งความหวังสำหรับยุคสมัยที่กำลังถูกมะเร็งรุกรานเช่นทุกวันนี้
มีคนหลายคนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่อายุยังน้อย
เบลล่าก็เป็นหนึ่งในนั้น
เธอเริ่มป่วยด้วยโรคดังกล่าวตั้งแต่อายุเพียง 26 ปี และหมอหลายสำนักต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอไม่น่ารอด มิหนำซ้ำยังเคราะห์ร้ายไปกว่านั้นเพราะจากการตรวจ พบว่าเธอมีก้อนเนื้อในหัวใจห้องล่างขวา หรือที่พูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่า “มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในหัวใจ” ซึ่งในประเทศไทยนั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีใครเคยเป็นเลยด้วยซ้ำ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เธอทำการรักษามาแล้วอย่างเข้มข้น ทั้งการให้คีโม 26 ครั้ง ฉายแสง 18 ครั้ง เข้า ICU 1 ครั้ง CCU 2 ครั้ง ผ่าตัดใหญ่อีก 2 ครั้ง และผ่าตัดเล็กอีกนับไม่ถ้วน ณ ตอนนี้ เบลล่าสามารถต่อสู้กับโรคร้ายดังกล่าวจนเรียกได้ว่าโรคสงบลงแล้ว
ในวันที่โรคมะเร็งกำลังคุกคามข่มขวัญผู้คนอย่างที่เป็นอยู่ในยุคปัจจุบัน เราเชื่อว่าเรื่องราวของเธอจะเป็นตัวอย่างดีๆ ที่สามารถเป็นได้ทั้งกำลังใจและวิทยาทานให้กับหลายๆ คนได้ดีไม่น้อย
• ค้นพบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
ตอนนั้นประมาณปี ค.ศ.2012 เบลล์ไปเรียนปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษค่ะ ซึ่งเขาก็จะให้เอ็กซเรย์ปอด ตรวจสุขภาพปกติ ก็ไม่มีอะไร ปอดสวยงาม จนไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษได้ประมาณ 9 เดือน ประมาณ ปีค.ศ.2013 ตั้งแต่ต้นปีมา เราก็เริ่มไอ ตอนแรกก็คิดว่าคงเป็นเพราะอากาศที่นั่น คงไม่เป็นอะไร อาการก็เหมือนทั่วไปที่ทุกคนเป็นกันอยู่แล้ว แต่จะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยนะคะ อย่างผมร่วง ประจำเดือนไม่มา น้ำหนักเริ่มลง มีเหงื่อออกที่หลังตอนกลางคืน ไอเยอะขึ้นเรื่อยๆ กินยาก็ไม่หาย แต่เราก็ยังคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก เราก็เลยกินยาที่เตรียมไปจากบ้านแต่กินยาเท่าไหร่ก็ไม่หายจนกระทั่งประมาณเดือนเมษายน เราก็เริ่มเป็นลมซึ่งมันเริ่มหนักมาก เราเลยคิดว่ามันต้องมีความผิดปกติแน่ๆ เราก็เลยแบบตัดสินใจว่าขอกลับบ้าน
พอไปตรวจปุ๊บก็เจอก้อนเนื้อก้อนใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร ที่ขั้วปอดซึ่งไปเบียดทับหลอดลม ทำให้หลอดลมมีช่องเหลือแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เราหายใจไม่ค่อยออก เป็นลม เหนื่อยง่าย กินอะไรก็เหนื่อย แค่นั่งเฉยๆ หัวใจยังเต้น 130 ครั้งต่อนาที เหมือนคนกำลังวิ่งมาราธอนอยู่เลย แล้วก็ไอหนักมาก กินอะไรก็ไม่ลง น้ำหนักก็ลด ท้องเสียด้วย ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ว่าคือก้อนอะไร และเราเป็นโรคอะไร แต่คุณหมอก็ประเมินไว้แล้วว่าไม่น่ารอด ไม่น่าอยู่เกิน 6 เดือน เพราะเราเป็นหนักมากจริงๆ จากนั้นเราก็ย้ายไปหาคุณหมอเฉพาะทางซึ่งเป็นคุณหมอโรคเลือดไม่ใช่หมอมะเร็งทั่วไปนะคะ เรียกว่าหมออายุรกรรมโรคเลือด เพราะมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นหนึ่งในมะเร็งเม็ดเลือด เราโดนจับทำแล็ปทุกอย่างเลยตอนนั้น แม้กระทั่งตรวจเอดส์ เพื่อเช็คให้ชัวร์ว่าเราเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจริงๆ ใช่ไหม
• วินาทีนั้นที่ได้ยินว่าจะอยู่ไม่เกิน 6 เดือนเรารู้สึกอย่างไร กลัวตายไหม??
พอตรวจไปเรื่อยๆ จนรู้ผลว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เบลล์ไม่ได้กลัวตายนะคะ แต่กลัวไม่ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำก่อนตาย เพราะมันเป็นหน้าที่ เป็นภาระของเรา อย่างเรื่องเรียนเราก็เรียนมาตั้งนาน เสียเงินก็เยอะ อยู่ดีๆ จะมาตายก่อนเรียนจบได้ยังไง
ตอนนั้นพอหมอบอกว่าจะอยู่ไม่เกิน 6 เดือน เราก็จะคิดถึงเรื่องต่างๆ ที่เรายังไม่ได้สะสาง พอเรารู้แล้วเราก็เลยไม่ได้ฟูมฟายอะไรนะคะเพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ซึ่งเบลล์มีเวลาแค่ไม่กี่วันเพื่อที่จะเคลียร์ทุกอย่าง มีเรื่องให้ทำเยอะมาก จนไม่ได้มีเวลามานั่งคิดหรือว่าดราม่าเลย (หัวเราะ) อย่างเรื่องการเรียน เรารู้สึกเป็นห่วงมาก เพราะเหลือแค่สองตัว เราก็จะจบแล้ว ตอนนั้นเราก็ขอคุณหมอบินกลับไปสอบซึ่งพ่อก็ด่าว่าเอาชีวิตไว้ก่อนไหม (หัวเราะ) หรือจะเป็นงานร้านอาหารที่เราไปช่วยป้าที่อังกฤษ เรื่องงานกลุ่มที่จะต้องส่ง ไหนจะเรื่องธุรกรรมของตัวเอง ซึ่งเบลล์จะชอบวางแผนตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอะไรที่ต้องเคลียร์ก็ต้องรีบเคลียร์ไว้ก่อนเพราะไม่อยากให้คนที่อยู่มาเดือดร้อนทีหลัง
• คุณหมอบอกไหมคะว่าสาเหตุมาจากอะไร แล้วก่อนหน้านี้เราใช้ชีวิตอย่างไรคะ
หลักๆ ที่เบลล์ไปฟังบรรยายเรื่องมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมา หนึ่งเลยจะเกิดจากสารเคมี ซึ่งตัวเบลล์จะชอบย้อมสีผมหนักๆ มาตลอด 7-8 ปี แล้วก็พฤติกรรมที่ชอบกินปิ้งย่าง ปิ้งย่างก็กินมาตั้งแต่ม.ต้น จนกระทั่งทำงานก็ยังกินต่อเนื่องมาเป็น 10 ปี เดือนหนึ่งกินหลายครั้งมาก ก่อนหน้านี้เบลล์จะใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงไม่ห่วงร่างเลย จะกินน้ำน้อยมากเพราะว่าเดินทางบ่อยเลยไม่อยากเข้าห้องน้ำ แล้วก็เป็นคนที่นอนน้อยมาก นอนวันละ 3-4 ชั่วโมง มาเกือบ 10 ปี อย่างทำงานก็เลิกดึก ยิ่งถ้าเป็นวันศุกร์นี่จะหนักเลย จะเป็น Friday night ปาร์ตี้เกือบเช้า เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้พักไปนั่นไปนี่ต่อ ใช้ชีวิตสุดมาตลอด ไม่เคยสนใจเรื่องสุขภาพ และก็ไม่ชอบออกกำลังกายด้วยค่ะเลยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลงเรื่อยๆ
• พอรู้ว่าเป็นโรคมะเร็งแล้ว เราเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราไปเลยเปล่า เราใช้วิธีการรักษาอย่างไรบ้างคะ
เปลี่ยนค่ะ (ตอบเร็ว) เปลี่ยนเยอะเหมือนกันนะเพราะว่าจากเดิมที่เราเป็นคนลุยๆ ต้องห้ามทำอะไรเยอะมากเพราะร่างกายไม่ไหวด้วย ส่วนการกินสิ่งที่เราชอบโดนงดหมดเลย ปิ้งย่างกินไม่ได้เลยค่ะ ของทอดเราก็ชอบก็โดนงดไปก่อนเพราะว่ากินแล้วยิ่งเจ็บคอและทำให้ร้อนในมากขึ้น ก็ต้องเปลี่ยนไปกินแบบต้มๆ แบบจืดๆ อะไรอย่างนี้แทนค่ะ
มันเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรามากนะ อย่างบางทีเราคิดว่าไม่เป็นอะไรหรอกเราทนได้แต่จริงๆ มันไม่ใช่คือห้ามทน เวลาที่เราเจ็บมือมากๆ เจ็บเส้นเลือดมากๆ คือพฤติกรรมมันไม่ได้แปลว่าให้เราทนนะ มันแปลว่าให้เราบอกเพราะมันเป็นสัญญาณของร่างกายว่าร่างกายไม่ไหวแล้ว อย่างแต่ก่อนเราก็จะทนได้ไม่เป็นไร แล้วก็ใช้ชีวิตแบบไปเที่ยวก่อนค่อยกลับมาไม่สบายช่างมัน ตอนนี้เราต้องเปลี่ยนจากขาลุยมาเป็นคุณหนูเลย เหมือนกลายเป็นว่าเราใส่ใจร่างกายตัวเองมากขึ้น (ยิ้ม)
พอรู้ว่าเป็นปุ๊บ เบลล์ก็หาหมอเฉพาะทางเลยค่ะ แต่ที่เบลล์เคยไปหาข้อมูลมาเห็นว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองรักษาง่ายมากแล้วมีโอกาสหายขาดสูงมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์เลยนะคะ ตอนนั้นเบลล์เป็นที่ปอดซึ่งคนเป็นกันเยอะมาก ตอนเริ่มแรกเบลล์ระยะที่สองเองค่ะ ซึ่งเบลล์ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าวัยรุ่นเป็นเยอะมาก เป็นโรคที่วัยรุ่นต้องระวังมากๆ เลยนะคะ เพราะบางคนยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร บางคนยังเข้าใจว่าเป็นมะเร็งปอดแล้วลามไปเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแต่จริงๆ มันไม่ใช่ค่ะเพราะถ้าคุณเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั่นคือคุณเป็นมะเร็งอีกประเภทหนึ่ง บางคนยังไม่เข้าใจ และที่น่าน่าเศร้าไปกว่านั้นคือเวลาคนที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองส่วนใหญ่จะเป็นที่ขั้วปอดหรือไม่ก็แถวๆ คอแต่เราดันเป็นที่ในห้องหัวใจอีกที่
• มะเร็งในหัวใจ ??
ใช่ค่ะ ตอนนั้นที่เรารักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองในปอดก็เริ่มดีขึ้น เราก็เริ่มลันล้า ช่วงนั้นก็ไปเที่ยวปกติ กลับมาพอดียาหมดเราก็ไปต่อยา ซึ่งหมอก็ขอเอ็กซเรย์ เราก็ไม่มีปัญหาเพราะยังไงตรวจสุขภาพเราก็ต้องเอ็กซเรย์อยู่แล้ว ปรากฏว่าเอ็กซเรย์ไปปอดเราใสสะอาดไม่เป็นอะไรแต่ดันไปมีปัญหาในหัวใจ คือหัวใจโตมาก โตจนไปเบียดปอด มีน้ำล้อม 3 เซนติเมตร ตอนนั้นเลยต้องแอดมิดทันทีเพราะว่ามันอันตรายมาก ผลสรุปตรวจออกมาก็เจอก้อนเนื้อในหัวใจใหญ่ประมาณ 5 เซนติเมตรไปอุดอยู่ที่หัวใจห้องล่างขวา เป็นชิ้นเนื้อมะเร็งชนิดเดียวกันแต่เป็นในหัวใจ ซึ่งหมอก็เลยตกใจเพราะถ้าหลุดออกมาจะไปอุดหัวใจอุดปอดตาย หมอไม่เชื่อเลยไปตามศาสตราจารย์อาจารย์หมอมาอีกทีหนึ่ง มีหมอเฉพาะทางทั้งสามคนมาเช็ค
ปรากฎว่ามีก้อนเนื้อในหัวใจจริงๆ อยู่ที่หัวใจห้องล่างเป็นห้องหัวใจที่ต่อกับหลอดเลือดดำเข้าปอด หมอก็กลัวว่าไม่รู้ว่าเป็นก้อนอะไรก็กลัวอุดเข้าไปถ้าอุดเข้าไปคือก็ตายได้ทันที ตอนนั้นเป็นอีกครั้งที่เราคิดว่าเรามีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ หมอบอกว่าไม่เคยเจอมาก่อนในประเทศไทยซึ่งเบลล์ก็ไม่เชื่อแต่ก็ไม่เชิงรายแรกนะคะแต่จะเป็นไม่กี่รายในโลกที่หายเพราะส่วนใหญ่ก็จะมีแค่ข้างๆ หัวใจส่วนเบลล์มันอยู่ข้างในห้องหัวใจ
ตอนนั้นมันคือนอกตำราไปแล้วในเมื่อมันนอกตำรา หมอก็ต้องเล่นนอกตำราเหมือนกัน เหมือนดวลปืนคนละนัด หมอก็สุ่มยิงเลย สุ่มยิงยา โดยเลือกยาที่คิดว่าร่างกายเราจะตอบสนองและทำให้โรคสงบมากที่สุด ณ ตอนนั้น หมอพูดตามตรงเลยว่ามันยาก เพราะหมอก็ไม่รู้ว่าจะเอายังไงเพราะว่าที่เรียนมาทั้งหมด หรือไปประชุมมาทั่วโลกมันก็ไม่ได้มีเคสแบบนี้ ไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่ไม่เจอประเทศจีนก็ไม่เคยเจอเหมือนกัน คุณพ่อเบลล์ลงทุนออกค่าตั๋วให้หมอไปประเทศจีนเพื่อดูว่ามียารักษาไหมแต่ทางนั้นก็บอกว่ารักษาไม่ได้ ซึ่งเบลล์ก็เคยคุยกับคุณหมอที่อเมริกาเขาก็ว่ายังไม่เคยเจอใครที่รอดเลย คือคุณหมอจะบินไปประชุมที่เมืองนอกบ่อยๆ คอยอัพเดทโรค เราก็เลยบอกหมอว่า ไม่เป็นไรถ้าผลออกมาเป็นยังไงไม่ว่ากันเพราะตอนนี้ก็มีชีวิตเกิน 6 เดือนแล้ว ที่เหลือเป็นกำไรแล้ว (ยิ้ม)
เบลล์รักษากับ ผศ.นพ.นพดล ศิริธนารัตนกุล (หัวหน้าภาควิชา โลหิตวิทยา รพ.ศิริราช) ค่ะ ตอนนั้นคือคุณหมอจัดเซทใหญ่มาก ใหญ่มากจริงๆ เพราะว่าให้ยาพร้อมกัน 4-5 ตัว เลยค่ะ (ยิ้ม)
• ตอนนี้อาการโรคมะเร็งของเบลล์เป็นอย่างไรบ้างคะ เห็นว่าโรคสงบลงแล้วใช่ไหม
ใช่ค่ะ (ยิ้ม) โรคสงบลงแล้ว ถ้าจะใช้คำว่าหายขาดต้องโรคสงบประมาณ 5 ปีขึ้นไปค่ะ โรคสงบในที่นี้คุณหมอบอกว่าไม่เห็นว่ามีเชื้อมะเร็งในร่างกายแล้วแต่ไม่เห็นก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มี ทุกคนจะมีเชื้อมะเร็งเหมือนกันหมดแต่เมื่อไหร่ที่ร่างกายอ่อนแอมันจะก่อม้อบขึ้นมา คือโอกาสที่จะกลับมาเป็นมันมีอีกแน่ๆ ตอนนี้ก้อนในหัวใจก็หายไปแล้ว ก้อนที่ปอดก็เล็กลงมากและสงบแล้วเช่นกันค่ะ
• นอกจากเรื่องของการรักษาทางร่างกายแล้วสภาพจิตใจเราต้องรักษาอย่างไรบ้างคะ ต้องคิดบวกมากขึ้นหรือเปล่า
คือเบลล์ว่ากำลังใจมาจากคนรอบข้างนะคะ แต่ทุกอย่างไม่ได้อยู่ที่คนอื่นมันมันอยู่ที่เราซะมากกว่าสำหรับเบลล์ไม่ใช้คำว่ากำลังใจนะแต่จะใช้คำว่าทัศนคติมากกว่า เพราะสิ่งแรกเลยคือคุณต้องเปลี่ยนความคิดก่อน เปลี่ยนความคิดว่าเราอยู่ในสภาพร่างกายแบบนี้เราทำอะไรได้บ้าง แล้วเรามีหน้าที่อะไร หน้าที่ของเราคือกินสู้มัน ถ่ายให้ออก หน้าที่ของเราคือการเป็นคนป่วยที่แข็งแรงเพื่อที่จะได้รับยารอบต่อๆ ไปได้อย่าทำตัวติดเชื้อนี่คือหน้าที่ของเรา เราเชื่อว่าเราจะต้องหายเชื่อว่าเราจะต้องมีสุขภาพดี มีชีวิตที่ดีขึ้น
มันมากกว่าคำว่าคิดบวก เพราะว่ามันทำให้เราปรับวิถีการคิด การดำเนินชีวิต มันเป็นข้อดี มันทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น ความสุขก็เพิ่มขึ้นพอป่วยแล้วความสุขมันเกิดขึ้นง่ายมากแลย แค่แม่ทำกับข้าวให้กินก็สุขแล้ว หรืออย่างตื่นมาแล้วขับถ่ายออกก็ดีใจมากแล้ว เหมือนต่อมความสุขมันตื้นมากมันทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ตื่นลืมตาขึ้นมาคือฉันไม่ตายก็มีความสุขแล้ว คนเป็นมะเร็งมีแค่นี้จริงๆ อย่าไปคาดหวังว่าอยู่ดีๆ ตื่นเช้ามามะเร็งหายไปมันอยู่ที่ทัศนคติของเรามากกว่ามันจะทำให้มีความอดทนต่อความเจ็บปวดมากขึ้น มีความสุขกับสิ่งรอบข้างได้ง่ายขึ้น เบลล์ว่าเบลล์นิสัยดีขึ้นนะ แต่ก่อนนี้เหวี่ยงวีนตลอด (หัวเราะ) ปกติชีวิตเราต้องเป๊ะมากทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือว่าจะเป็นในเรื่องในชีวิตทำงานต้องไปตามแบบแผนแต่ก่อน 5 นาทีไม่ว่าใครมาสายจะเป็นเพื่อน เป็นแฟน เราเหวี่ยง อารมณ์เสียใส่หมด แต่ตอนนี้รอหมอ 5ชั่วโมงก็รอได้ค่ะ (หัวเราะ)
• เอาจริงๆ พอเบลล่ารู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งแล้ว เราเคยคิดโทษโชคชะตาของตัวเองบ้างไหม ว่าชีวิตทำไมต้องเป็นแบบนี้
เคยคิดนะคะ เบลล์ว่าทุกคนที่เป็นต้องเคยคิดอยู่แล้วล่ะ ประมาณว่าทุกคนก็ใช้ชีวิตเหมือนฉันทำไมคนอื่นไม่เป็นเลย เบลล์จะเริ่มเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่น แต่คิดแค่แปบเดียวว่าทำไมต้องเป็นเรา แต่เพื่อนเบลล์ก็จะก็บอกให้เราขำๆ นะคะว่าถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่รอดนะเป็นเราดีแล้วอะไรประมาณนี้ (หัวเราะ) คือเหมือนว่าเขาเลือกมาแล้วว่าอาจจะต้องเป็นเราเพราะว่าเราเป็นคนที่ผ่านได้ เบลล์จะมองว่ามันเป็นเหมือนโจทย์ชีวิตและพยายามสนุกกับมันมากกว่าค่ะ
• ท้ายนี้อยากบอกกับคนที่เขาเป็นมะเร็งที่กำลังท้อแท้กับชีวิตอย่างไรบ้าง
เบลล์ว่าสำคัญกว่ากำลังใจ คือคุณต้องมีทัศนคติเป็นของตัวเองก่อน เราต้องยอมรับก่อนนะว่าเราป่วย ตอนนี้เราเจ็บ สำหรับคนอื่นเบลล์ไม่รู้นะ สำหรับเบลล์ เบลล์ว่ามันเป็นช่วงเวลาของการพักร้อนเพราะชีวิตเบลล์ยุ่งมาก เบลล์ไม่มีเวลาทำในสิ่งที่เบลล์ชอบหรือว่าสิ่งที่อยากจะทำเลยแม้กระทั่งเก็บตู้เสื้อผ้า ได้มานั่งกินไข่เจียวของแม่ คือปกติก็ยัดๆ ไม่มีเวลา ก็กลายเป็นว่าชีวิตเรามันละเมียดละไมมากขึ้น มีเวลากับตัวเอง ไม่ต้องรีบ เบลล์คิดว่ามันเป็นช่วงเวลาเบรกที่ดีของชีวิต มันทำให้เราได้คิดทบทวน (ยิ้ม)
อีกอย่างที่เบลล์ยึดมาตลอดเลยคือ สติ ถ้าอะไรยังไม่เกิดเรายังไม่ต้องไปกังวล หรือสิ่งที่มันเกิดมาแล้วมันไปผ่านแล้วมันแก้ไขอดีตไม่ได้ ก็ปล่อยมันไป คือเราต้องมีสติกับปัจจุบันดีกว่า ทุกวันนี้คุณยังกินได้ ขับถ่ายได้ เดินได้ พูดได้ มันก็โอเคแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงอนาคต คิดถึงแต่ปัจจุบันวันต่อวัน ณ เวลานี้ตอนนี้เท่านั้น เบลล์ว่าสติสำคัญที่สุดจริงๆ นะคะ (ยิ้ม) เอาจริงๆ นะโรคมะเร็งไม่ใช่เรื่องน่าอายและมันสามารถเกิดกับใครก็ได้ ซึ่งมะเร็งก็เป็นโรคชนิดหนึ่งที่สามารถเป็นได้ก็หายได้เหมือนกัน (ยิ้ม)
รู้ไว้ใช่ว่า...เกี่ยวกับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : ศิวกร เสนสอน
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทยและFacebook เรื่องจริงกะเบลล์ JingaBell
มีคนหลายคนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่อายุยังน้อย
เบลล่าก็เป็นหนึ่งในนั้น
เธอเริ่มป่วยด้วยโรคดังกล่าวตั้งแต่อายุเพียง 26 ปี และหมอหลายสำนักต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอไม่น่ารอด มิหนำซ้ำยังเคราะห์ร้ายไปกว่านั้นเพราะจากการตรวจ พบว่าเธอมีก้อนเนื้อในหัวใจห้องล่างขวา หรือที่พูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่า “มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในหัวใจ” ซึ่งในประเทศไทยนั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีใครเคยเป็นเลยด้วยซ้ำ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เธอทำการรักษามาแล้วอย่างเข้มข้น ทั้งการให้คีโม 26 ครั้ง ฉายแสง 18 ครั้ง เข้า ICU 1 ครั้ง CCU 2 ครั้ง ผ่าตัดใหญ่อีก 2 ครั้ง และผ่าตัดเล็กอีกนับไม่ถ้วน ณ ตอนนี้ เบลล่าสามารถต่อสู้กับโรคร้ายดังกล่าวจนเรียกได้ว่าโรคสงบลงแล้ว
ในวันที่โรคมะเร็งกำลังคุกคามข่มขวัญผู้คนอย่างที่เป็นอยู่ในยุคปัจจุบัน เราเชื่อว่าเรื่องราวของเธอจะเป็นตัวอย่างดีๆ ที่สามารถเป็นได้ทั้งกำลังใจและวิทยาทานให้กับหลายๆ คนได้ดีไม่น้อย
• ค้นพบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
ตอนนั้นประมาณปี ค.ศ.2012 เบลล์ไปเรียนปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษค่ะ ซึ่งเขาก็จะให้เอ็กซเรย์ปอด ตรวจสุขภาพปกติ ก็ไม่มีอะไร ปอดสวยงาม จนไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษได้ประมาณ 9 เดือน ประมาณ ปีค.ศ.2013 ตั้งแต่ต้นปีมา เราก็เริ่มไอ ตอนแรกก็คิดว่าคงเป็นเพราะอากาศที่นั่น คงไม่เป็นอะไร อาการก็เหมือนทั่วไปที่ทุกคนเป็นกันอยู่แล้ว แต่จะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยนะคะ อย่างผมร่วง ประจำเดือนไม่มา น้ำหนักเริ่มลง มีเหงื่อออกที่หลังตอนกลางคืน ไอเยอะขึ้นเรื่อยๆ กินยาก็ไม่หาย แต่เราก็ยังคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก เราก็เลยกินยาที่เตรียมไปจากบ้านแต่กินยาเท่าไหร่ก็ไม่หายจนกระทั่งประมาณเดือนเมษายน เราก็เริ่มเป็นลมซึ่งมันเริ่มหนักมาก เราเลยคิดว่ามันต้องมีความผิดปกติแน่ๆ เราก็เลยแบบตัดสินใจว่าขอกลับบ้าน
พอไปตรวจปุ๊บก็เจอก้อนเนื้อก้อนใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร ที่ขั้วปอดซึ่งไปเบียดทับหลอดลม ทำให้หลอดลมมีช่องเหลือแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เราหายใจไม่ค่อยออก เป็นลม เหนื่อยง่าย กินอะไรก็เหนื่อย แค่นั่งเฉยๆ หัวใจยังเต้น 130 ครั้งต่อนาที เหมือนคนกำลังวิ่งมาราธอนอยู่เลย แล้วก็ไอหนักมาก กินอะไรก็ไม่ลง น้ำหนักก็ลด ท้องเสียด้วย ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ว่าคือก้อนอะไร และเราเป็นโรคอะไร แต่คุณหมอก็ประเมินไว้แล้วว่าไม่น่ารอด ไม่น่าอยู่เกิน 6 เดือน เพราะเราเป็นหนักมากจริงๆ จากนั้นเราก็ย้ายไปหาคุณหมอเฉพาะทางซึ่งเป็นคุณหมอโรคเลือดไม่ใช่หมอมะเร็งทั่วไปนะคะ เรียกว่าหมออายุรกรรมโรคเลือด เพราะมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นหนึ่งในมะเร็งเม็ดเลือด เราโดนจับทำแล็ปทุกอย่างเลยตอนนั้น แม้กระทั่งตรวจเอดส์ เพื่อเช็คให้ชัวร์ว่าเราเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจริงๆ ใช่ไหม
• วินาทีนั้นที่ได้ยินว่าจะอยู่ไม่เกิน 6 เดือนเรารู้สึกอย่างไร กลัวตายไหม??
พอตรวจไปเรื่อยๆ จนรู้ผลว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เบลล์ไม่ได้กลัวตายนะคะ แต่กลัวไม่ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำก่อนตาย เพราะมันเป็นหน้าที่ เป็นภาระของเรา อย่างเรื่องเรียนเราก็เรียนมาตั้งนาน เสียเงินก็เยอะ อยู่ดีๆ จะมาตายก่อนเรียนจบได้ยังไง
ตอนนั้นพอหมอบอกว่าจะอยู่ไม่เกิน 6 เดือน เราก็จะคิดถึงเรื่องต่างๆ ที่เรายังไม่ได้สะสาง พอเรารู้แล้วเราก็เลยไม่ได้ฟูมฟายอะไรนะคะเพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ซึ่งเบลล์มีเวลาแค่ไม่กี่วันเพื่อที่จะเคลียร์ทุกอย่าง มีเรื่องให้ทำเยอะมาก จนไม่ได้มีเวลามานั่งคิดหรือว่าดราม่าเลย (หัวเราะ) อย่างเรื่องการเรียน เรารู้สึกเป็นห่วงมาก เพราะเหลือแค่สองตัว เราก็จะจบแล้ว ตอนนั้นเราก็ขอคุณหมอบินกลับไปสอบซึ่งพ่อก็ด่าว่าเอาชีวิตไว้ก่อนไหม (หัวเราะ) หรือจะเป็นงานร้านอาหารที่เราไปช่วยป้าที่อังกฤษ เรื่องงานกลุ่มที่จะต้องส่ง ไหนจะเรื่องธุรกรรมของตัวเอง ซึ่งเบลล์จะชอบวางแผนตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอะไรที่ต้องเคลียร์ก็ต้องรีบเคลียร์ไว้ก่อนเพราะไม่อยากให้คนที่อยู่มาเดือดร้อนทีหลัง
• คุณหมอบอกไหมคะว่าสาเหตุมาจากอะไร แล้วก่อนหน้านี้เราใช้ชีวิตอย่างไรคะ
หลักๆ ที่เบลล์ไปฟังบรรยายเรื่องมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมา หนึ่งเลยจะเกิดจากสารเคมี ซึ่งตัวเบลล์จะชอบย้อมสีผมหนักๆ มาตลอด 7-8 ปี แล้วก็พฤติกรรมที่ชอบกินปิ้งย่าง ปิ้งย่างก็กินมาตั้งแต่ม.ต้น จนกระทั่งทำงานก็ยังกินต่อเนื่องมาเป็น 10 ปี เดือนหนึ่งกินหลายครั้งมาก ก่อนหน้านี้เบลล์จะใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงไม่ห่วงร่างเลย จะกินน้ำน้อยมากเพราะว่าเดินทางบ่อยเลยไม่อยากเข้าห้องน้ำ แล้วก็เป็นคนที่นอนน้อยมาก นอนวันละ 3-4 ชั่วโมง มาเกือบ 10 ปี อย่างทำงานก็เลิกดึก ยิ่งถ้าเป็นวันศุกร์นี่จะหนักเลย จะเป็น Friday night ปาร์ตี้เกือบเช้า เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้พักไปนั่นไปนี่ต่อ ใช้ชีวิตสุดมาตลอด ไม่เคยสนใจเรื่องสุขภาพ และก็ไม่ชอบออกกำลังกายด้วยค่ะเลยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลงเรื่อยๆ
• พอรู้ว่าเป็นโรคมะเร็งแล้ว เราเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราไปเลยเปล่า เราใช้วิธีการรักษาอย่างไรบ้างคะ
เปลี่ยนค่ะ (ตอบเร็ว) เปลี่ยนเยอะเหมือนกันนะเพราะว่าจากเดิมที่เราเป็นคนลุยๆ ต้องห้ามทำอะไรเยอะมากเพราะร่างกายไม่ไหวด้วย ส่วนการกินสิ่งที่เราชอบโดนงดหมดเลย ปิ้งย่างกินไม่ได้เลยค่ะ ของทอดเราก็ชอบก็โดนงดไปก่อนเพราะว่ากินแล้วยิ่งเจ็บคอและทำให้ร้อนในมากขึ้น ก็ต้องเปลี่ยนไปกินแบบต้มๆ แบบจืดๆ อะไรอย่างนี้แทนค่ะ
มันเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรามากนะ อย่างบางทีเราคิดว่าไม่เป็นอะไรหรอกเราทนได้แต่จริงๆ มันไม่ใช่คือห้ามทน เวลาที่เราเจ็บมือมากๆ เจ็บเส้นเลือดมากๆ คือพฤติกรรมมันไม่ได้แปลว่าให้เราทนนะ มันแปลว่าให้เราบอกเพราะมันเป็นสัญญาณของร่างกายว่าร่างกายไม่ไหวแล้ว อย่างแต่ก่อนเราก็จะทนได้ไม่เป็นไร แล้วก็ใช้ชีวิตแบบไปเที่ยวก่อนค่อยกลับมาไม่สบายช่างมัน ตอนนี้เราต้องเปลี่ยนจากขาลุยมาเป็นคุณหนูเลย เหมือนกลายเป็นว่าเราใส่ใจร่างกายตัวเองมากขึ้น (ยิ้ม)
พอรู้ว่าเป็นปุ๊บ เบลล์ก็หาหมอเฉพาะทางเลยค่ะ แต่ที่เบลล์เคยไปหาข้อมูลมาเห็นว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองรักษาง่ายมากแล้วมีโอกาสหายขาดสูงมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์เลยนะคะ ตอนนั้นเบลล์เป็นที่ปอดซึ่งคนเป็นกันเยอะมาก ตอนเริ่มแรกเบลล์ระยะที่สองเองค่ะ ซึ่งเบลล์ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าวัยรุ่นเป็นเยอะมาก เป็นโรคที่วัยรุ่นต้องระวังมากๆ เลยนะคะ เพราะบางคนยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร บางคนยังเข้าใจว่าเป็นมะเร็งปอดแล้วลามไปเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแต่จริงๆ มันไม่ใช่ค่ะเพราะถ้าคุณเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั่นคือคุณเป็นมะเร็งอีกประเภทหนึ่ง บางคนยังไม่เข้าใจ และที่น่าน่าเศร้าไปกว่านั้นคือเวลาคนที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองส่วนใหญ่จะเป็นที่ขั้วปอดหรือไม่ก็แถวๆ คอแต่เราดันเป็นที่ในห้องหัวใจอีกที่
• มะเร็งในหัวใจ ??
ใช่ค่ะ ตอนนั้นที่เรารักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองในปอดก็เริ่มดีขึ้น เราก็เริ่มลันล้า ช่วงนั้นก็ไปเที่ยวปกติ กลับมาพอดียาหมดเราก็ไปต่อยา ซึ่งหมอก็ขอเอ็กซเรย์ เราก็ไม่มีปัญหาเพราะยังไงตรวจสุขภาพเราก็ต้องเอ็กซเรย์อยู่แล้ว ปรากฏว่าเอ็กซเรย์ไปปอดเราใสสะอาดไม่เป็นอะไรแต่ดันไปมีปัญหาในหัวใจ คือหัวใจโตมาก โตจนไปเบียดปอด มีน้ำล้อม 3 เซนติเมตร ตอนนั้นเลยต้องแอดมิดทันทีเพราะว่ามันอันตรายมาก ผลสรุปตรวจออกมาก็เจอก้อนเนื้อในหัวใจใหญ่ประมาณ 5 เซนติเมตรไปอุดอยู่ที่หัวใจห้องล่างขวา เป็นชิ้นเนื้อมะเร็งชนิดเดียวกันแต่เป็นในหัวใจ ซึ่งหมอก็เลยตกใจเพราะถ้าหลุดออกมาจะไปอุดหัวใจอุดปอดตาย หมอไม่เชื่อเลยไปตามศาสตราจารย์อาจารย์หมอมาอีกทีหนึ่ง มีหมอเฉพาะทางทั้งสามคนมาเช็ค
ปรากฎว่ามีก้อนเนื้อในหัวใจจริงๆ อยู่ที่หัวใจห้องล่างเป็นห้องหัวใจที่ต่อกับหลอดเลือดดำเข้าปอด หมอก็กลัวว่าไม่รู้ว่าเป็นก้อนอะไรก็กลัวอุดเข้าไปถ้าอุดเข้าไปคือก็ตายได้ทันที ตอนนั้นเป็นอีกครั้งที่เราคิดว่าเรามีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ หมอบอกว่าไม่เคยเจอมาก่อนในประเทศไทยซึ่งเบลล์ก็ไม่เชื่อแต่ก็ไม่เชิงรายแรกนะคะแต่จะเป็นไม่กี่รายในโลกที่หายเพราะส่วนใหญ่ก็จะมีแค่ข้างๆ หัวใจส่วนเบลล์มันอยู่ข้างในห้องหัวใจ
ตอนนั้นมันคือนอกตำราไปแล้วในเมื่อมันนอกตำรา หมอก็ต้องเล่นนอกตำราเหมือนกัน เหมือนดวลปืนคนละนัด หมอก็สุ่มยิงเลย สุ่มยิงยา โดยเลือกยาที่คิดว่าร่างกายเราจะตอบสนองและทำให้โรคสงบมากที่สุด ณ ตอนนั้น หมอพูดตามตรงเลยว่ามันยาก เพราะหมอก็ไม่รู้ว่าจะเอายังไงเพราะว่าที่เรียนมาทั้งหมด หรือไปประชุมมาทั่วโลกมันก็ไม่ได้มีเคสแบบนี้ ไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่ไม่เจอประเทศจีนก็ไม่เคยเจอเหมือนกัน คุณพ่อเบลล์ลงทุนออกค่าตั๋วให้หมอไปประเทศจีนเพื่อดูว่ามียารักษาไหมแต่ทางนั้นก็บอกว่ารักษาไม่ได้ ซึ่งเบลล์ก็เคยคุยกับคุณหมอที่อเมริกาเขาก็ว่ายังไม่เคยเจอใครที่รอดเลย คือคุณหมอจะบินไปประชุมที่เมืองนอกบ่อยๆ คอยอัพเดทโรค เราก็เลยบอกหมอว่า ไม่เป็นไรถ้าผลออกมาเป็นยังไงไม่ว่ากันเพราะตอนนี้ก็มีชีวิตเกิน 6 เดือนแล้ว ที่เหลือเป็นกำไรแล้ว (ยิ้ม)
เบลล์รักษากับ ผศ.นพ.นพดล ศิริธนารัตนกุล (หัวหน้าภาควิชา โลหิตวิทยา รพ.ศิริราช) ค่ะ ตอนนั้นคือคุณหมอจัดเซทใหญ่มาก ใหญ่มากจริงๆ เพราะว่าให้ยาพร้อมกัน 4-5 ตัว เลยค่ะ (ยิ้ม)
• ตอนนี้อาการโรคมะเร็งของเบลล์เป็นอย่างไรบ้างคะ เห็นว่าโรคสงบลงแล้วใช่ไหม
ใช่ค่ะ (ยิ้ม) โรคสงบลงแล้ว ถ้าจะใช้คำว่าหายขาดต้องโรคสงบประมาณ 5 ปีขึ้นไปค่ะ โรคสงบในที่นี้คุณหมอบอกว่าไม่เห็นว่ามีเชื้อมะเร็งในร่างกายแล้วแต่ไม่เห็นก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มี ทุกคนจะมีเชื้อมะเร็งเหมือนกันหมดแต่เมื่อไหร่ที่ร่างกายอ่อนแอมันจะก่อม้อบขึ้นมา คือโอกาสที่จะกลับมาเป็นมันมีอีกแน่ๆ ตอนนี้ก้อนในหัวใจก็หายไปแล้ว ก้อนที่ปอดก็เล็กลงมากและสงบแล้วเช่นกันค่ะ
• นอกจากเรื่องของการรักษาทางร่างกายแล้วสภาพจิตใจเราต้องรักษาอย่างไรบ้างคะ ต้องคิดบวกมากขึ้นหรือเปล่า
คือเบลล์ว่ากำลังใจมาจากคนรอบข้างนะคะ แต่ทุกอย่างไม่ได้อยู่ที่คนอื่นมันมันอยู่ที่เราซะมากกว่าสำหรับเบลล์ไม่ใช้คำว่ากำลังใจนะแต่จะใช้คำว่าทัศนคติมากกว่า เพราะสิ่งแรกเลยคือคุณต้องเปลี่ยนความคิดก่อน เปลี่ยนความคิดว่าเราอยู่ในสภาพร่างกายแบบนี้เราทำอะไรได้บ้าง แล้วเรามีหน้าที่อะไร หน้าที่ของเราคือกินสู้มัน ถ่ายให้ออก หน้าที่ของเราคือการเป็นคนป่วยที่แข็งแรงเพื่อที่จะได้รับยารอบต่อๆ ไปได้อย่าทำตัวติดเชื้อนี่คือหน้าที่ของเรา เราเชื่อว่าเราจะต้องหายเชื่อว่าเราจะต้องมีสุขภาพดี มีชีวิตที่ดีขึ้น
มันมากกว่าคำว่าคิดบวก เพราะว่ามันทำให้เราปรับวิถีการคิด การดำเนินชีวิต มันเป็นข้อดี มันทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น ความสุขก็เพิ่มขึ้นพอป่วยแล้วความสุขมันเกิดขึ้นง่ายมากแลย แค่แม่ทำกับข้าวให้กินก็สุขแล้ว หรืออย่างตื่นมาแล้วขับถ่ายออกก็ดีใจมากแล้ว เหมือนต่อมความสุขมันตื้นมากมันทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ตื่นลืมตาขึ้นมาคือฉันไม่ตายก็มีความสุขแล้ว คนเป็นมะเร็งมีแค่นี้จริงๆ อย่าไปคาดหวังว่าอยู่ดีๆ ตื่นเช้ามามะเร็งหายไปมันอยู่ที่ทัศนคติของเรามากกว่ามันจะทำให้มีความอดทนต่อความเจ็บปวดมากขึ้น มีความสุขกับสิ่งรอบข้างได้ง่ายขึ้น เบลล์ว่าเบลล์นิสัยดีขึ้นนะ แต่ก่อนนี้เหวี่ยงวีนตลอด (หัวเราะ) ปกติชีวิตเราต้องเป๊ะมากทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือว่าจะเป็นในเรื่องในชีวิตทำงานต้องไปตามแบบแผนแต่ก่อน 5 นาทีไม่ว่าใครมาสายจะเป็นเพื่อน เป็นแฟน เราเหวี่ยง อารมณ์เสียใส่หมด แต่ตอนนี้รอหมอ 5ชั่วโมงก็รอได้ค่ะ (หัวเราะ)
• เอาจริงๆ พอเบลล่ารู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งแล้ว เราเคยคิดโทษโชคชะตาของตัวเองบ้างไหม ว่าชีวิตทำไมต้องเป็นแบบนี้
เคยคิดนะคะ เบลล์ว่าทุกคนที่เป็นต้องเคยคิดอยู่แล้วล่ะ ประมาณว่าทุกคนก็ใช้ชีวิตเหมือนฉันทำไมคนอื่นไม่เป็นเลย เบลล์จะเริ่มเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่น แต่คิดแค่แปบเดียวว่าทำไมต้องเป็นเรา แต่เพื่อนเบลล์ก็จะก็บอกให้เราขำๆ นะคะว่าถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่รอดนะเป็นเราดีแล้วอะไรประมาณนี้ (หัวเราะ) คือเหมือนว่าเขาเลือกมาแล้วว่าอาจจะต้องเป็นเราเพราะว่าเราเป็นคนที่ผ่านได้ เบลล์จะมองว่ามันเป็นเหมือนโจทย์ชีวิตและพยายามสนุกกับมันมากกว่าค่ะ
• ท้ายนี้อยากบอกกับคนที่เขาเป็นมะเร็งที่กำลังท้อแท้กับชีวิตอย่างไรบ้าง
เบลล์ว่าสำคัญกว่ากำลังใจ คือคุณต้องมีทัศนคติเป็นของตัวเองก่อน เราต้องยอมรับก่อนนะว่าเราป่วย ตอนนี้เราเจ็บ สำหรับคนอื่นเบลล์ไม่รู้นะ สำหรับเบลล์ เบลล์ว่ามันเป็นช่วงเวลาของการพักร้อนเพราะชีวิตเบลล์ยุ่งมาก เบลล์ไม่มีเวลาทำในสิ่งที่เบลล์ชอบหรือว่าสิ่งที่อยากจะทำเลยแม้กระทั่งเก็บตู้เสื้อผ้า ได้มานั่งกินไข่เจียวของแม่ คือปกติก็ยัดๆ ไม่มีเวลา ก็กลายเป็นว่าชีวิตเรามันละเมียดละไมมากขึ้น มีเวลากับตัวเอง ไม่ต้องรีบ เบลล์คิดว่ามันเป็นช่วงเวลาเบรกที่ดีของชีวิต มันทำให้เราได้คิดทบทวน (ยิ้ม)
อีกอย่างที่เบลล์ยึดมาตลอดเลยคือ สติ ถ้าอะไรยังไม่เกิดเรายังไม่ต้องไปกังวล หรือสิ่งที่มันเกิดมาแล้วมันไปผ่านแล้วมันแก้ไขอดีตไม่ได้ ก็ปล่อยมันไป คือเราต้องมีสติกับปัจจุบันดีกว่า ทุกวันนี้คุณยังกินได้ ขับถ่ายได้ เดินได้ พูดได้ มันก็โอเคแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงอนาคต คิดถึงแต่ปัจจุบันวันต่อวัน ณ เวลานี้ตอนนี้เท่านั้น เบลล์ว่าสติสำคัญที่สุดจริงๆ นะคะ (ยิ้ม) เอาจริงๆ นะโรคมะเร็งไม่ใช่เรื่องน่าอายและมันสามารถเกิดกับใครก็ได้ ซึ่งมะเร็งก็เป็นโรคชนิดหนึ่งที่สามารถเป็นได้ก็หายได้เหมือนกัน (ยิ้ม)
Profie ชื่อ : ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ ชื่อเล่น : เบลล่า วันเกิด : 8 พฤศจิกายน 2529 อายุ : 29 ปี การศึกษา : ปริญญาโท อาชีพ : นักการตลาด |
รู้ไว้ใช่ว่า...เกี่ยวกับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ท่านใดมีความประสงค์ร่วมบริจาคเงินสมทบทุน ศิริราชมูลนิธิสามารถทำได้ดังนี้ ขั้นตอนการบริจาคเงินสมทบทุน ศิริราชมูลนิธิ กองทุนวิจัยโลหิตวิทยา D2147 1.โอนเงินเข้าบัญชีโดยระบุว่าเพื่อกองทุนไหน กองทุนวิจัยโลหิตวิทยา D2147 2.ส่งข้อมูลการโอนเงิน ชื่อ นามสกุล เข้าที่ ศิริราชมูลนิธิ แฟกซ์ 02-419-7687, 02-419-7658 กด 9 หรือ E-Mail : donate_siriraj@hotmail.com 3.ทางมูลนิธิจะดำเนินการออกใบขอบคุณผู้อุปการะและสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ เลขที่บัญชี ธนาคารไทยพานิชย์สาขาศิริราช บัญชีกระแส เลขที่ 016-3-00049-4 ธนาคารกสิกรไทยสาขาศิริราช บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 638-2-13545-6 ธนาคารทหารไทยสาขาศิริราช บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 085-2-08995-2 ธนาคารกรุงไทยสาขาปิ่นเกล้า บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 031-0-04905-9 ธนาคารกรุงเทพสาขารพ.ศิริราช บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 901-7-00988-8 ธนาคารกรุงศรีอยุธยาสาขาอรุณอมรินทร์ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 157-1-08108-3 ธนาคารออมสินสาขาศิริราช บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 020-02404205-1 |
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : ศิวกร เสนสอน
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากชมรมโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแห่งประเทศไทยและFacebook เรื่องจริงกะเบลล์ JingaBell