จากกลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ฝักใฝ่ในดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อค และรวมตัวกันในนาม “สมเกียรติ” โดยมีเพลง ‘ช่างมัน’ เป็นใบเบิกทางให้นักฟังเพลงไทยได้รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น
ถึงแม้จะมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ Coke Music Award ประจำปี 2010 แต่สำหรับพวกเขา นั่นเสมือนเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ก่อนค่อยๆ สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจนมีผลงานอัลบัมชุดแรก ในชื่อ “__Sara” ที่หนึ่งเพลงในนั้นอย่าง “ช่างมัน” ได้ถูกคัดเลือกเข้าไปมีส่วนร่วมในการประกอบให้กับซีรี่ส์ยอดนิยมเรื่อง “ฮอร์โมนส์” ซีซั่นล่าสุด และเท่ากับเป็นการจุดพลุครั้งใหญ่ให้ชื่อของพวกเขาเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ทั้ง โบ๊ท-คนาวิน เชื้อแถว (ร้องนำ), บอส-ภูริช พันธุ์สุข (กีตาร์), นนท์-ธนญ แสงเล็ก (กีตาร์), นัท-ณัฐ เบญจรงค์รัตน์ (เบส) และ ยิ้ม-ประวิทย์ ฮันสเตน (กลองชุด)
อยากให้ช่วยย้อนถึงการเริ่มต้นของวงหน่อยครับ เพราะเชื่อว่า หลายๆ คน อาจจะยังไม่รู้จักวงเท่าไหร่
นนท์ : ผมและบอสเจอกันที่ห้องน้ำ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักกันเลยนะ คือเราคิดว่าเปิดเทอมแล้วมีเพื่อนก่อนก็ดี จะได้รู้จักกัน เพราะชอบแนวดนตรีคล้ายๆ กัน เขาก็เลยชวนตั้งเป็นวง จนกระทั่งต่อมาได้เจอโบ๊ทที่นั่งร้องเพลงอิกคิวซังอยู่ (หัวเราะ) ด้วยความที่เราชอบแนวเพลงอัลเทอร์เนทีฟ ร็อก และอินดี้ ทั้งฝั่งอังกฤษและอเมริกา เช่น The Stroke, Arctic Monkey แล้วโบ๊ทก็ชอบ Suede ด้วย ก็ชอบคล้ายๆ กัน จากนั้นเราก็ไปรวมพลกันบ้านของยิ้ม บริเวณหน้ามหาวิทยาลัย ซึ่งจริงๆ ยิ้มเป็นมือกลองคนแรก แต่ยิ้มติดภารกิจส่วนตัว เราก็เลยดึงโซ่ (แทนนวิช ทวิชศรี : กลองชุดตอนประกวด) เข้ามาแทน
บอส : คือรวมกันมาตั้งแต่นั้น เพราะว่าจะมีวิชาหนึ่งที่ให้นักศึกษารวมวง โดยมีพี่เช่ The Richman Toy (อัคราวิชญ์ พิริโยดม) เป็นอาจารย์ แต่ตอนรวมวง เราคิดว่าไหนๆ ก็รวมแล้ว เราก็จริงจังเลยแล้วกัน เพราะบางวงเขาจะรวมเพื่อเรียน พอเรียนจบก็แยกย้าย แต่เราตั้งเป็นวงเลย
โบ๊ท : ตอนนั้นเราก็ไปหาร้านเล่นครับ แล้วก็เล่นไปเรื่อยๆ แต่ระหว่างนั้นก็ทำเพลงไปด้วย
นนท์ : แล้วการไปเล่นตามร้านหรือตามผับ มันทำให้เราค่อยๆ เรียนรู้จากคนที่มาฟังว่าเขาต้องการอะไร เราก็เก็บตรงนั้นมาเพื่อใช้กับวง ดูว่าคนในร้านเขาชอบแบบไหน ทำไมคนถึงชอบแนวนี้ ก็ศึกษาและนำมาปรับเป็นของเราและขอเขาเล่นตามลำดับ และช่วงที่เล่นตามร้าน เราก็ส่งเดโมไปที่ค่ายสมอลส์รูมด้วย ส่งไป 2 ปีประมาณ 50 เพลงได้ คือทำเดโมมาตลอด เราคิดว่าไม่เสียหายนะครับเพราะมันเป็นการฝึกฝนไปด้วยในตัว
หลังจากสั่งสมประสบการณ์พอสมควรแล้ว คิดยังไงหรือมั่นใจอะไรจึงเข้าไปร่วมประกวดเวทีโค้ก มิวสิก อวอร์ด
ยิ้ม : แรงจูงใจใช่ไหมครับ ง่ายๆ เลยคืออยากไปเที่ยวญี่ปุ่นครับ และได้ร่วมงานกับค่าย เพราะว่าเราเล่นดนตรีกลางคืนก็อยากจะไปเล่นกับวงอื่นบ้าง ได้กินปูอลาสก้าด้วย ถึงขั้นเสิร์ชหาภาพดูในกูเกิ้ลเลยว่า ปูอลาสก้าหน้าตาเป็นยังไง (หัวเราะ)
โบ๊ท : จริงๆ ไม่ถึงขั้นพร้อมไม่พร้อมนะครับ เราแค่รู้สึกว่า เฮ้ย อยากไปว่ะ แต่ไม่ใช่แบบว่าตอนนี้เราเก่งแล้ว คือมันพลุ่งพล่านน่ะครับ คือเป็นอารมณ์อยากมากกว่า อีกอย่างมันเป็นเวทีที่น่าภูมิใจด้วย เพราะเราก็เพิ่งรู้วันแข่งรอบชิงด้วยว่าโมเดิร์นด็อกก็เคยผ่านเวทีนี้มาด้วย แล้วเวทีประกวดนี้มันก็หายไปเป็น 20 ปี ถ้าเป็นรุ่นพวกผมจริงๆ จะโตมากับ Hot Wave Music Award
ตอนที่ได้แชมป์ เขาให้เหตุผลอย่างไรครับว่าเพราะอะไรเราถึงได้
บอส : เขาบอกมาว่ามีแนวทางของตัวเองและมีความคิดสร้างสรรค์ แล้วก็เล่นเป็นทีมเวิร์กดี นอกจากนั้นยังมีการคัฟเวอร์เพลงให้คนได้ฟังในแบบที่ไม่ค่อยได้ฟังกันในยุคนั้น ซึ่งก็คล้ายๆ กับโมเดิร์นด็อกที่ทำในการประกวดเหมือนกัน รวมๆ แล้วเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ครับ และเวทีประกวดเขาก็ให้ความสำคัญกับจุดนั้น ซึ่งเราก็คงจะตอบโจทย์ของเขาพอดี
หลังจากได้แชมป์ แล้วไปยังไงกันต่อ
โบ๊ท : พอเรียนจบ ก็เริ่มส่งเดโมจริงจังเลย ไล่ส่งไปทีละ 8 เพลงบ้าง 5 เพลงบ้าง แต่ก็ไม่ผ่านสักที จนกระทั่งมาถึงเพลง ‘อาย’ และ ‘คนที่ยังไม่พร้อม’ ซึ่งเพลงหลังนี่ส่งก่อนเพลงอาย แต่พี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมป์โพธิวัฒน์ : ผู้บริหารค่ายสมอลล์รูม) ปังอายมากกว่า ทางค่ายเขาเห็นว่ามันซิ่งและมีสไตล์ดี จึงตกลงที่จะเอาอายเป็นซิงเกิลแรก แล้วตอนนั้นมันเป็นจังหวะที่วงมีการเปลี่ยนแปลง ก็คือ “ยิ้ม” กลับมา เพราะโซ่ติดภารกิจอื่น จากนั้นก็เริ่มมีการวางแผนอัลบัม เพราะเราคิดว่าต้องโตกว่านี้ได้แล้วและอยากจะออกอัลบัม ซึ่งก่อนหน้านี้ เราจะออกเป็นซิงเกิล มีเอ็มวีสัก 4-5 ตัวแล้ว แต่ความรู้สึกมันก็ไม่เท่ากับการมีแผ่น เหมือนได้ใบปริญญา
บอส : เราทำงาน เราก็อยากให้ทุกเพลงเป็นซิงเกิลได้หมด ไม่ใช่ว่าออกอัลบัมมาแล้ว ฟังเพราะอยู่แค่ 2 เพลง แต่เราอยากทำให้ทุกเพลงมันดี แล้วเป็นอัลบัมแรกด้วย ทุกเพลงต้องบอกความเป็นตัวตนของเราได้ครบถ้วน ส่วนกระแสตอบรับก็มีคนชอบมาก ซึ่งทำให้รู้สึกดีมากเช่นกันครับ เพราะมันเป็นงานที่เราตั้งใจทำ มันคือสมุดบันทึกการเดินทางของเรา เป็นทุกอย่างทุกเรื่องราว เราตีออกมาเป็นบทเพลง เมื่อคนฟังชอบ เราก็ดีใจ
อย่างที่รู้ว่า เพลง ‘ช่างมัน’ ก็ได้เป็นซิงเกิลฮิตประจำปีนี้ด้วยจากการประกอบในซีรี่ส์ฮอร์โมนส์ซีซั่นล่าสุด
ยิ้ม : ตอนแรกนั้น ทางทีมเขียนบทเขาติดต่อมาทางสตาฟฟ์ครับ เขาฟังแล้วเขาชอบ ก็ขอบคุณทีมงานทางนั้นที่เลือกเพลงเราและนำพาอารมณ์ของเพลงให้สอดรับกับซีรี่ส์ตอนนั้นได้ยอดเยี่ยม ซึ่งตอนแรกเขาไม่บอกนะครับว่าจะโผล่มาตอนไหน แต่แค่บอกว่าจะอยู่ในตัวบทลักษณะยังไง และจะมาตอนหนึ่งนะ มีการคัฟเวอร์ด้วย
นนท์ : หลังจากออกอากาศไป คนก็หันมาฟังมากขึ้นจนวิวเพิ่มขึ้น และมีการคัฟเวอร์ต่ออีกมากมาย มีคนที่ได้รู้จักเราเพิ่มและอินเพลงอื่นๆ ด้วย เพราะเพลง “ช่างมัน” คือธีมหลักของอัลบัมนี้อยู่แล้ว พอเจอธีม ก็ลงล็อกเลยครับ
สมมุติว่าวันนั้นเราไม่ได้แชมป์ คิดว่าตอนนี้จะเป็นยังไง
โบ๊ท : ก็เหมือนเดิมครับ ยังคงจะส่งเดโม่ต่อไป หรืออาจจะได้ออกอัลบัมเร็วขึ้นก็ได้ อาจจะไม่ต้องไปประกวด (หัวเราะ) ก็คงอาจจะเป็นเหมือนทุกวันนี้ล่ะครับ แต่เวลาในการสร้างประสบการณ์อาจจะต่างออกไป แต่ยังไงก็ต้องทำเพลงและเล่นดนตรีต่อไป เพราะไม่ใช่ว่าเราจะพลาดแล้วพลาดเลย มันยังมีอะไรให้ท้าทายอยู่ดี ไม่ได้ห่วงว่าเราได้แชมป์มาแล้วจะเอารางวัลตรงนั้นไปข่ม เราไม่คิดว่าทุกคนจะต้องไปในรูปแบบเดียวกัน ทุกคนอาจจะมีทางเดินเป็นคนของตัวเอง เดินมันต่อไป แวะซอยนี่นั่นบ้าง ชมนกชมไม้ไปเรื่อย
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วรวิทยฺ์ พาณิชนันท์
ถึงแม้จะมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ Coke Music Award ประจำปี 2010 แต่สำหรับพวกเขา นั่นเสมือนเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ก่อนค่อยๆ สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจนมีผลงานอัลบัมชุดแรก ในชื่อ “__Sara” ที่หนึ่งเพลงในนั้นอย่าง “ช่างมัน” ได้ถูกคัดเลือกเข้าไปมีส่วนร่วมในการประกอบให้กับซีรี่ส์ยอดนิยมเรื่อง “ฮอร์โมนส์” ซีซั่นล่าสุด และเท่ากับเป็นการจุดพลุครั้งใหญ่ให้ชื่อของพวกเขาเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ทั้ง โบ๊ท-คนาวิน เชื้อแถว (ร้องนำ), บอส-ภูริช พันธุ์สุข (กีตาร์), นนท์-ธนญ แสงเล็ก (กีตาร์), นัท-ณัฐ เบญจรงค์รัตน์ (เบส) และ ยิ้ม-ประวิทย์ ฮันสเตน (กลองชุด)
อยากให้ช่วยย้อนถึงการเริ่มต้นของวงหน่อยครับ เพราะเชื่อว่า หลายๆ คน อาจจะยังไม่รู้จักวงเท่าไหร่
นนท์ : ผมและบอสเจอกันที่ห้องน้ำ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักกันเลยนะ คือเราคิดว่าเปิดเทอมแล้วมีเพื่อนก่อนก็ดี จะได้รู้จักกัน เพราะชอบแนวดนตรีคล้ายๆ กัน เขาก็เลยชวนตั้งเป็นวง จนกระทั่งต่อมาได้เจอโบ๊ทที่นั่งร้องเพลงอิกคิวซังอยู่ (หัวเราะ) ด้วยความที่เราชอบแนวเพลงอัลเทอร์เนทีฟ ร็อก และอินดี้ ทั้งฝั่งอังกฤษและอเมริกา เช่น The Stroke, Arctic Monkey แล้วโบ๊ทก็ชอบ Suede ด้วย ก็ชอบคล้ายๆ กัน จากนั้นเราก็ไปรวมพลกันบ้านของยิ้ม บริเวณหน้ามหาวิทยาลัย ซึ่งจริงๆ ยิ้มเป็นมือกลองคนแรก แต่ยิ้มติดภารกิจส่วนตัว เราก็เลยดึงโซ่ (แทนนวิช ทวิชศรี : กลองชุดตอนประกวด) เข้ามาแทน
บอส : คือรวมกันมาตั้งแต่นั้น เพราะว่าจะมีวิชาหนึ่งที่ให้นักศึกษารวมวง โดยมีพี่เช่ The Richman Toy (อัคราวิชญ์ พิริโยดม) เป็นอาจารย์ แต่ตอนรวมวง เราคิดว่าไหนๆ ก็รวมแล้ว เราก็จริงจังเลยแล้วกัน เพราะบางวงเขาจะรวมเพื่อเรียน พอเรียนจบก็แยกย้าย แต่เราตั้งเป็นวงเลย
โบ๊ท : ตอนนั้นเราก็ไปหาร้านเล่นครับ แล้วก็เล่นไปเรื่อยๆ แต่ระหว่างนั้นก็ทำเพลงไปด้วย
นนท์ : แล้วการไปเล่นตามร้านหรือตามผับ มันทำให้เราค่อยๆ เรียนรู้จากคนที่มาฟังว่าเขาต้องการอะไร เราก็เก็บตรงนั้นมาเพื่อใช้กับวง ดูว่าคนในร้านเขาชอบแบบไหน ทำไมคนถึงชอบแนวนี้ ก็ศึกษาและนำมาปรับเป็นของเราและขอเขาเล่นตามลำดับ และช่วงที่เล่นตามร้าน เราก็ส่งเดโมไปที่ค่ายสมอลส์รูมด้วย ส่งไป 2 ปีประมาณ 50 เพลงได้ คือทำเดโมมาตลอด เราคิดว่าไม่เสียหายนะครับเพราะมันเป็นการฝึกฝนไปด้วยในตัว
หลังจากสั่งสมประสบการณ์พอสมควรแล้ว คิดยังไงหรือมั่นใจอะไรจึงเข้าไปร่วมประกวดเวทีโค้ก มิวสิก อวอร์ด
ยิ้ม : แรงจูงใจใช่ไหมครับ ง่ายๆ เลยคืออยากไปเที่ยวญี่ปุ่นครับ และได้ร่วมงานกับค่าย เพราะว่าเราเล่นดนตรีกลางคืนก็อยากจะไปเล่นกับวงอื่นบ้าง ได้กินปูอลาสก้าด้วย ถึงขั้นเสิร์ชหาภาพดูในกูเกิ้ลเลยว่า ปูอลาสก้าหน้าตาเป็นยังไง (หัวเราะ)
โบ๊ท : จริงๆ ไม่ถึงขั้นพร้อมไม่พร้อมนะครับ เราแค่รู้สึกว่า เฮ้ย อยากไปว่ะ แต่ไม่ใช่แบบว่าตอนนี้เราเก่งแล้ว คือมันพลุ่งพล่านน่ะครับ คือเป็นอารมณ์อยากมากกว่า อีกอย่างมันเป็นเวทีที่น่าภูมิใจด้วย เพราะเราก็เพิ่งรู้วันแข่งรอบชิงด้วยว่าโมเดิร์นด็อกก็เคยผ่านเวทีนี้มาด้วย แล้วเวทีประกวดนี้มันก็หายไปเป็น 20 ปี ถ้าเป็นรุ่นพวกผมจริงๆ จะโตมากับ Hot Wave Music Award
ตอนที่ได้แชมป์ เขาให้เหตุผลอย่างไรครับว่าเพราะอะไรเราถึงได้
บอส : เขาบอกมาว่ามีแนวทางของตัวเองและมีความคิดสร้างสรรค์ แล้วก็เล่นเป็นทีมเวิร์กดี นอกจากนั้นยังมีการคัฟเวอร์เพลงให้คนได้ฟังในแบบที่ไม่ค่อยได้ฟังกันในยุคนั้น ซึ่งก็คล้ายๆ กับโมเดิร์นด็อกที่ทำในการประกวดเหมือนกัน รวมๆ แล้วเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ครับ และเวทีประกวดเขาก็ให้ความสำคัญกับจุดนั้น ซึ่งเราก็คงจะตอบโจทย์ของเขาพอดี
หลังจากได้แชมป์ แล้วไปยังไงกันต่อ
โบ๊ท : พอเรียนจบ ก็เริ่มส่งเดโมจริงจังเลย ไล่ส่งไปทีละ 8 เพลงบ้าง 5 เพลงบ้าง แต่ก็ไม่ผ่านสักที จนกระทั่งมาถึงเพลง ‘อาย’ และ ‘คนที่ยังไม่พร้อม’ ซึ่งเพลงหลังนี่ส่งก่อนเพลงอาย แต่พี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมป์โพธิวัฒน์ : ผู้บริหารค่ายสมอลล์รูม) ปังอายมากกว่า ทางค่ายเขาเห็นว่ามันซิ่งและมีสไตล์ดี จึงตกลงที่จะเอาอายเป็นซิงเกิลแรก แล้วตอนนั้นมันเป็นจังหวะที่วงมีการเปลี่ยนแปลง ก็คือ “ยิ้ม” กลับมา เพราะโซ่ติดภารกิจอื่น จากนั้นก็เริ่มมีการวางแผนอัลบัม เพราะเราคิดว่าต้องโตกว่านี้ได้แล้วและอยากจะออกอัลบัม ซึ่งก่อนหน้านี้ เราจะออกเป็นซิงเกิล มีเอ็มวีสัก 4-5 ตัวแล้ว แต่ความรู้สึกมันก็ไม่เท่ากับการมีแผ่น เหมือนได้ใบปริญญา
บอส : เราทำงาน เราก็อยากให้ทุกเพลงเป็นซิงเกิลได้หมด ไม่ใช่ว่าออกอัลบัมมาแล้ว ฟังเพราะอยู่แค่ 2 เพลง แต่เราอยากทำให้ทุกเพลงมันดี แล้วเป็นอัลบัมแรกด้วย ทุกเพลงต้องบอกความเป็นตัวตนของเราได้ครบถ้วน ส่วนกระแสตอบรับก็มีคนชอบมาก ซึ่งทำให้รู้สึกดีมากเช่นกันครับ เพราะมันเป็นงานที่เราตั้งใจทำ มันคือสมุดบันทึกการเดินทางของเรา เป็นทุกอย่างทุกเรื่องราว เราตีออกมาเป็นบทเพลง เมื่อคนฟังชอบ เราก็ดีใจ
อย่างที่รู้ว่า เพลง ‘ช่างมัน’ ก็ได้เป็นซิงเกิลฮิตประจำปีนี้ด้วยจากการประกอบในซีรี่ส์ฮอร์โมนส์ซีซั่นล่าสุด
ยิ้ม : ตอนแรกนั้น ทางทีมเขียนบทเขาติดต่อมาทางสตาฟฟ์ครับ เขาฟังแล้วเขาชอบ ก็ขอบคุณทีมงานทางนั้นที่เลือกเพลงเราและนำพาอารมณ์ของเพลงให้สอดรับกับซีรี่ส์ตอนนั้นได้ยอดเยี่ยม ซึ่งตอนแรกเขาไม่บอกนะครับว่าจะโผล่มาตอนไหน แต่แค่บอกว่าจะอยู่ในตัวบทลักษณะยังไง และจะมาตอนหนึ่งนะ มีการคัฟเวอร์ด้วย
นนท์ : หลังจากออกอากาศไป คนก็หันมาฟังมากขึ้นจนวิวเพิ่มขึ้น และมีการคัฟเวอร์ต่ออีกมากมาย มีคนที่ได้รู้จักเราเพิ่มและอินเพลงอื่นๆ ด้วย เพราะเพลง “ช่างมัน” คือธีมหลักของอัลบัมนี้อยู่แล้ว พอเจอธีม ก็ลงล็อกเลยครับ
สมมุติว่าวันนั้นเราไม่ได้แชมป์ คิดว่าตอนนี้จะเป็นยังไง
โบ๊ท : ก็เหมือนเดิมครับ ยังคงจะส่งเดโม่ต่อไป หรืออาจจะได้ออกอัลบัมเร็วขึ้นก็ได้ อาจจะไม่ต้องไปประกวด (หัวเราะ) ก็คงอาจจะเป็นเหมือนทุกวันนี้ล่ะครับ แต่เวลาในการสร้างประสบการณ์อาจจะต่างออกไป แต่ยังไงก็ต้องทำเพลงและเล่นดนตรีต่อไป เพราะไม่ใช่ว่าเราจะพลาดแล้วพลาดเลย มันยังมีอะไรให้ท้าทายอยู่ดี ไม่ได้ห่วงว่าเราได้แชมป์มาแล้วจะเอารางวัลตรงนั้นไปข่ม เราไม่คิดว่าทุกคนจะต้องไปในรูปแบบเดียวกัน ทุกคนอาจจะมีทางเดินเป็นคนของตัวเอง เดินมันต่อไป แวะซอยนี่นั่นบ้าง ชมนกชมไม้ไปเรื่อย
Profile วงสมเกียรติเกิดจากการรวมตัวตั้งวงเล่นดนตรีโดยเริ่มจาก นนท์, โบ๊ท, บอส เรียนอยู่ที่เดียวกัน ต่อมาได้ “นัท” และ “ยิ้ม” ตามมาสมทบจนเกิดเป็นวงที่ร่วมเล่นดนตรีกันอย่างจริงจัง เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการออกไปเล่นตามผับ ตามร้านต่าง ๆ จนมีโอกาสได้เข้าร่วมประกวดวงดนตรีตามเวทีต่างๆ และด้วยฝีไม้ลายมือในการแสดงสดทั้งการร้องและการเล่นที่มีความหลากหลายนั่นเอง ได้ทำให้ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดวงดนตรีเวที Coke Music Award 2010 ซึ่งนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของวง “สมเกียรติ” ต่อมา ทางวงได้พบกับรุ่ง-รุ่งโรจน์ อุปถัมป์โพธิวัฒน์ และเชาว์-เชาวเลข สร่างทุกข์ 2 ผู้บริหารค่ายเพลงสมอลล์รูม (ณ ขณะนั้น) จึงชวนกันไปส่ง Demo เพลงให้กับทางค่าย และใช้เวลาอยู่กับการผลิตผลงานดนตรีเป็นเวลากว่า 2 ปี จึงได้ออกมาเป็นดนตรีที่มีกลิ่นอายของยุคสมัยใหม่และมีเมโลดี้สำเนียงการร้องที่เป็นเอกลักษณ์ เพิ่มด้วยจังหวะและ Rhythm ที่มีความสนุกชวนให้เต้น จึงออกมาเป็นอย่า่งที่เห็น ด้านผลงาน สมเกียรติ เปิดตัวด้วยซิงเกิล "เรือชูชีพ" ซึ่งเป็นเพลงคัฟเวอร์ ที่นำมาจากวง เดธ ออฟ อะ เซลส์แมน (Death of a Salesman) ก่อนทื่ 2 ซิงเกิลอย่างเป็นทางการของวง คือ "อาย" และ "คนที่ยังไม่พร้อม" จะเผยแพร่ในเวลาต่อมา เดือนพฤษจิกายน 2015 วงสมเกียรติก็ได้มีผลงานชุดแรก ชื่อว่า "__Sara" และมีเพลง "ช่างมัน" เป็นซิงเกิลเปิดตัว ซึ่งได้รับความนิยมจากการเป็นหนึ่งในเพลงประกอบของ ซีรี่ย์ "ฮอร์โมนส์ 3 เดอะ ไฟนอล ซีซั่น" นั่นเอง |
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วรวิทยฺ์ พาณิชนันท์