ปรากฏตัวแวบๆ ในซีรีส์เรื่องฮอร์โมนส์ กับชื่อฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งในบท “พี่กุ๊งกิ๊ง” ที่เห็นแล้วอยากผูกญาติเป็นน้อง แต่คนจำนวนหนึ่งรู้จักเธอมาแล้วก่อนหน้า จากบทบาทพิธีกรสุดเซ็กซี่ใน Girlfriend รายการเชิงท่องเที่ยวเปรี้ยวซี้ด และถ้ารู้จักเธอดีขึ้นอีกนิด จะพบว่า “อวน-วยา” คือโฮมสไตลิสต์ ผู้แต่งบ้านได้เก๋ไก๋สวยงามจนถึงขั้นยึดเป็นอาชีพ

ในวัยหนึ่ง เราอาจมีความฝันหลายแบบเดินเข้ามาในความคิด วาดหวังกับชีวิตว่าโตขึ้นจะเป็นนู่นนี่นั่น หญิงสาวคนนี้ก็เช่นกัน เนื่องจากฝันในวันเยาว์ช่วงหนึ่ง เธออยากเป็นนักเขียน แต่เมื่อคืนวันเปลี่ยน ฝันนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความเป็นจริง อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความปรารถนาเมื่อครั้งยังเด็ก และสุดท้ายมันได้ย้อนกลับมากวักมือเรียกเธออีกครั้ง คือความต้องการอยากจะมีบ้านสวยๆ...สวยเหมือนในนิตยสารที่เธอได้อ่าน ได้ดู
นับจากจุดสตาร์ท วันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 3 ปี ที่ “อวน-วยา ดุลยบวรกุล” สร้างอาชีพจากความปรารถนาที่อยากจะมีบ้านสวยๆ แล้วต่อยอดจนเป็นงาน “โฮม สไตลิสต์” ชนิดที่ใครได้เห็นการแต่งบ้านแต่งที่พักอันเป็นสไตล์ของเธอ ต้องเรียกใช้บริการงานความคิดสร้างสรรค์ของเธอ...

• ความสนใจในงานออกแบบตกแต่งบ้าน เริ่มดึงดูดคุณตั้งแต่ตอนไหนอย่างไร
ตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ คือมันจะมีวิชาหนึ่งที่เราได้เรียน เหมือนเขาให้ไปหาภาพบ้านสวยๆ มา ถ้าจำไม่ผิดก็คือหนังสือนิตยสารบ้านและสวน เพราะตอนนั้นประมาณ 20 ปีก่อน ยังไม่มีนิตยสารหัวอื่นๆ แล้วพอเราเห็นบ้านสวยๆ มันก็เกิดเป็นแรงบันดาลใจมากเลยว่าอยากมีบ้านสวยๆ เป็นของตัวเองบ้าง เป็นความฝันมาตั้งแต่นั้นเลย
• แสดงว่าเริ่มอยากจะเป็นนักออกแบบตกแต่งบ้านตั้งแต่นั้นเลยใช่ไหมครับ
พูดตามจริง ตอนนั้นรู้แล้วว่าอยากจะมีบ้านสวยๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันเป็นอาชีพได้ ความฝันจริงๆ ณ ขณะนั้นคืออยากเป็นนักเขียน เพราะตอนเด็กชอบดูละครแบบ “วนิดา”, “ปริศนา” หรือ “วนาลี” เราดูแล้วเราสนุก เป็นเด็กเพ้อฝันน่ะ ถึงได้มาเรียนนิเทศศาสตร์ พอเวลาว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็นั่งแต่งเรื่องราวอะไรอย่างนั้นไปด้วย เพราะเราวาดรูปไม่เก่ง ก็จะใช้วิธีเขียนแทน แต่งเรื่องแต่งราวอะไรไปเป็นเล่มๆ เป็นนิทาน
สรุปก็คืออยากเป็นนักเขียน อยากเป็นศิลปิน และเพราะความที่เราวาดภาพไม่เป็น สเกตช์ก็ยังไม่เป็น ฉะนั้น จะเป็นศิลปินด้านไหน ก็คงเป็นด้านนักเขียนละกัน เพราะชอบอ่านหนังสือมาก นิยายที่ชอบก็จะออกแนวโบราณนิดหนึ่ง อย่างเช่น “รามเกียรติ์” นึกออกมั้ย สมัยเราเด็กๆ ไม่ได้มีเซกชันเป็นการ์ตูนของนอกมากมาย มันจะเป็นแบบนิยายไทยๆ ตามที่ห้องสมุดมี หรือมีนิยายจากเมืองนอกที่เขาเอามาแปลบ้าง ส่วนนักเขียนคนโปรดตอนเด็กๆ ไม่มี เพราะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านักเขียนคนนี้ชื่ออะไร แต่ถ้าโตขึ้นมาหน่อย ก็ชอบงานของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ชอบประภาส ชลศรานนท์, นิ้วกลม และวินทร์ เลียววาริณ

• เอาล่ะ ถึงตรงนั้น อยากมีบ้านสวยอย่างหนึ่งล่ะ อยากเป็นนักเขียนอย่างหนึ่งล่ะ สุดท้ายเลือกเรียนนิเทศฯ เหมือนจะมุ่งไปทางนักเขียนเต็มตัวเลย
ตอนแรกที่เลือกนิเทศฯ พูดตรงๆ ไม่ได้กะจะเลือก และเราก็ไม่รู้ว่าคะแนนของเราจะถึงจุฬาฯ หรือเปล่า ตอนนั้นเป็นเอนทรานซ์ระบบเก่า เขาให้เลือกได้ 4 อันดับ เราเลือกนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ อันดับแรกเลย ที่เลือกไปเพราะคิดว่าเผื่อฟลุก เผื่อติด แต่การตัดสินใจเลือกนิเทศฯ ก็มีเหตุผลรองรับ อย่างที่บอกว่าเราอยากเป็นนักเขียน เราชอบเรื่องการเขียนบท อะไรอย่างงี้อยู่แล้ว แต่ถ้าหลุดจากอันดับ 1 ก็คือรัฐศาสตร์ เป็นเรื่องการทูต การติดต่อ การใช้ภาษา และเราก็เป็นเด็กที่ชอบเรื่องภาษา เรื่องการเขียนอยู่แล้ว ก็เลยเลือก

• เข้าจุฬาฯ ได้ ถือว่าเรียนเก่งใช้ได้เลย
เราไม่ได้หัวดีมากนะ พูดจริงๆ เป็นพวกเซื่องซึมอ่ะ เพราะจะมีเพื่อนคนหนึ่งชอบแกล้งเราและเรียกเราว่าเซื่องซึม และเราจะเป็นคนที่ไม่ค่อยทันคน นอกจากไม่ทันแล้ว จะเข้าใจอะไรยาก คือไม่ได้ปราดเปรื่องมาก แต่อาศัยความขยัน อ่านบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ก็จะทำให้ตีตื้นกับคนที่สมองดีกว่าเราได้ แต่ว่าเราก็ไม่ได้เนิร์ดนะ เพราะว่ากิจกรรมในมหา’ลัย เราก็เต็มที่ เวลามีงานประกวดทีไร เราก็จะมักจะได้เป็นตัวแทนไปประกวด คือชอบงานศิลปะ แบบประดิษฐ์นั่นนี่ เช่นประดิษฐ์กระทง แต่งกลอน เรียงความ ซึ่งเรียงความ เราเคยได้รางวัลที่ 1 ของกรุงเทพฯ ด้วยนะ ก็บอกแล้วว่าชอบเขียน ชอบอะไรที่มันเป็นศิลปะค่ะ

• พอเข้านิเทศฯ ได้ นี่เหมือนกับประตูสู่ความฝันในการเป็นนักเขียนเปิดกว้างกว่าเดิมเลยไหม
สนุกมากเลย เพราะคณะนี้ขึ้นชื่อในเรื่องกิจกรรมมาก (ลากเสียงยาว) เหมือนกับเปิดโลกใหม่ให้กับเราเลย เพราะว่าเอนทรานซ์ติดก็เหมือนสู่โลกใหม่ ชีวิตใหม่ กิจกรรมเยอะ คือพูดตรงๆ ว่า ทุกคนต้องทำกิจกรรม เพราะว่าชั้นปีหนึ่งก็ร้อยกว่าคน ก็จะมีทำละครเอย ทั้งโรงเล็ก โรงใหญ่ ละครเวทีประจำปี เทศกาลประจำปี มีกิจกรรมทุกชั้นปี คือเรียนเราก็เรียน แต่ถามว่ามุ่งไปทางไหนมากกว่า เรามุ่งไปกิจกรรม ตามประสาเด็กนิเทศฯ
กิจกรรมสมัยเรียน ถ้าเด่นๆ หน่อยก็จะเล่นละครใหญ่ค่ะ แต่จะเล่นละครโรงเล็กมากกว่า คือมันจะมีเทศกาลละครโรงเล็กน่ะค่ะ ที่ใครก็อยากได้กำกับละครและสร้างละครโชว์ความสามารถของตัวเอง เราก็มีโอกาสไปเล่นให้เพื่อนๆ และพี่ๆ หลายคน แต่ละครโรงใหญ่ เราจะอยู่เบื้องหลังมากกว่า ก็จะดูเรื่องของพีอาร์ เรื่องฉาก เพราะตอนนั้นพูดตรงๆ ว่ากลัวการซ้อมละคร ไม่ชอบกลับบ้านดึก เพราะถ้าซ้อมละคร มันต้องซ้อมหนัก ซึ่งไร้สาระมากเลย (หัวเราะ)

• แล้วเรื่องการเป็นนักเขียนล่ะครับ
เราลืมมันไปเลย...เหมือนกับว่าตอนเด็กเราอยากเป็นนักเขียน หรืออยากเป็นโน่นเป็นนี่ แต่โตขึ้นมา พอเราได้รู้ว่าโลกนี้มันมีอะไรอีกมากมายเลยนะที่มันทำได้และทำเงินให้เราได้ และประกอบกับตอนนั้นมีความฝันที่จะเป็นแอร์โฮสเตสเพิ่มเข้ามา เพียงเพราะว่าอยากไปเที่ยว (หัวเราะ) คือผู้หญิงที่เรียนนิเทศฯ แทบทุกคน พอเรียนจบแล้วก็ไปเป็นแอร์ฯ กันหมด มันจะมีคนพูดแบบนี้อยู่ คือไม่ใช่ว่าเราไม่มีความสามารถนะคะ แต่เพราะเราชอบท่องเที่ยว ชอบเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ก็เลยทำให้เด็กนิเทศฯ หลายคน ไปเป็นแอร์ฯกัน
และก็อย่างที่บอกว่า พอเราโตมาโลกก็เปลี่ยนไป อินเทอร์เน็ตเริ่มเข้ามา ฉะนั้น คนอ่านหนังสือน้อยลง คนเริ่มเสพสื่ออื่นๆ เยอะขึ้น ความฝันของเราก็ละลายเหมือนกัน แต่ก่อนเขียนจดหมายหากัน มันมีความคลาสสิกอยู่ในตัว แต่พอเราโต โลกมันเปลี่ยนไป ความฝันเราก็เปลี่ยนตาม แล้วมันทำให้ชีวิตเราเปลี่ยน เราก็เบนเข็มไปทางอื่นแล้ว ตอนนั้นก็เลยรู้สึกว่าไม่เป็นนักเขียนแล้วก็ได้

• เมื่อเห็นว่าไม่เป็นนักเขียนแล้วก็ได้ หลังจากเรียนจบคุณไปทำอะไรต่อครับ
ช่วงแรกๆ ก็ช่วยที่บ้านทำร้านอาหารก่อน แต่ไม่ได้จริงจัง เพราะเราไม่ได้ชอบทำอาหารแบบคุณแม่ ก็เลยเปิดผับชื่อ Tease Gallery & Bar ด้วยการร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ และรุ่นพี่คือพี่โจอี้ บอย และคุณกิ๊บซี่ (เกิร์ลลี่ เบอร์รี่) อยู่แถวทองหล่อค่ะ ก็มีเราอยู่หน้าร้านตลอดเวลา ดูแลเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์ อีเวนต์ และงานนั้นถือว่าเป็นงานแรกที่เราได้ฝึกตัวเอง เหนื่อยเลย เหนื่อยมาก ได้ทักษะทุกอย่างเลย ทำตั้งแต่พีอาร์ยันเปิดเพลงเอง ทำได้ 3 ปี สนุกมาก แต่ก็เหนื่อยมาก ขณะเดียวกันก็ถือว่าได้ประสบการณ์จากตรงนั้นเยอะ ได้คอนเนกชันเยอะ
หลังจากนั้นก็มีโอกาสมาทำรายการของตัวเอง ที่ช่อง Travel channel Thailand ชื่อรายการ girlfriend ซึ่งอวนเป็นโปรดิวเซอร์เอง เชิญแขกเอง เป็นพิธีกรเอง ตัดต่อเองทุกอย่าง คือธีมรายการจะเป็นเพื่อนสาวสองคนไปเที่ยวด้วยกัน แล้วกิมมิกรายการก็จะเป็นการใส่บิกินี่ คือรายการนี้ก็ดังนะ ไปไหนคนก็ทักอยู่ แต่ทำไปได้ซีซันเดียว ประมาณปี 2010 มันก็สนุกนะเพราะได้เที่ยว แต่จะเหนื่อยตรงตัดต่อ คอนเซ็ปต์ก็คิดเอง ตัดต่อเอง ทำทุกอย่าง ยกเว้นถือกล้องเอง แต่ก็แอบเรื่องมากกับตัวเองนิดหน่อย ก็เลยพอก่อนแล้วกัน พอหยุดรายการก็ยังว่างๆ อยู่ จึงได้ไปทำจิวเวลรีกับเพื่อน แต่ว่าเป็นแบรนด์เล็กๆ ทำกันเอง อันนี้ไม่ได้ไปอะไรกับมันมาก

• แล้วไปค้นพบอาชีพ “โฮมสไตลิสต์” ตอนไหนอย่างไรครับ
มันเป็นช่วงระหว่างกำลังย้ายออกมาอยู่คอนโดคนเดียว พอแต่งคอนโดเสร็จ ด้วยความที่เราเป็นคนชอบแต่งบ้าน เราก็เลยแต่งคอนโดตามที่เราชอบ แล้วบังเอิญมีเพื่อนซึ่งทำงานมาร์เกตติ้งมาคอนโด เขาเห็นการตกแต่งและชอบสไตล์ของเรา เขาก็จ้างเราให้มาแต่งห้องตัวอย่าง ปรากฏว่าได้ค่าจ้างจากการทำตรงนั้นด้วย หลังจากนั้นก็มีการบอกต่อกันไปเรื่อยๆ ปากต่อปาก ทุกคนก็อยากให้เราไปแต่งบ้านให้ ก็มีงานจ้างต่อมาเรื่อยๆ เยอะขึ้นเรื่อยๆ เราก็เปิดเว็บไซต์เลย ชื่อ wayastyle.com เพื่อรวบรวมผลงาน เป็นพอร์ตของเรา ซึ่งนับตั้งแต่งานชิ้นแรกจนถึงทุกวันนี้ ลูกค้าที่เข้ามาเป็นการบอกกันแบบปากต่อปากหมดเลย บางคนที่มาบ้านเรา เห็นแล้วชอบ ก็ให้เราไปตกแต่งให้ กลายเป็นอาชีพไปเลยโดยอัตโนมัติ

• “โฮมสไตลิสต์” คืออะไรยังไง ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยครับ
สำหรับคนที่มาให้เราแต่งบ้าน บางคนคิดว่าเป็นอินทีเรียหรือเปล่า เราก็บอกว่าไม่ใช่นะ เพราะอินทีเรียคือออกแบบตกแต่งภายใน ดูทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องเก้าอี้ โซฟา โต๊ะ ตู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีการใช้สอย บิลท์อินทั้งหมดต้องมีการก่อสร้างเกิดขึ้น แต่สำหรับโฮมสไตลิสต์ ที่อวนทำ คือทำงานต่อจากอินทีเรียอีกทีหนึ่ง พออินทีเรียทำงานของเขาเสร็จ เราก็มาดูเรื่องว่าจะซื้อเก้าอี้แบบไหน พร็อพแบบไหน ตู้ แจกัน รูปภาพหนังสือ ดอกไม้ ต้นไม้ คือทำให้บ้านมีชีวิตขึ้นมาและพร้อมอยู่ เราดูให้แม้กระทั่งเรื่องช้อนส้อมจานชามอะไรแบบนี้ ข้าวของเครื่องใช้ ไปจนถึงดูเรื่องความสวยงาม

• โฮมสไตลิสต์ที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
ต้องมีความครีเอตมากเลยค่ะ แล้วเราต้องเกลี่ยอะไรใหม่ตลอดเวลา บ้านสิบหลัง มันต้องไม่เหมือนกันแล้ว มันต้องเป็น “วยา สไตล์” (waya style) บวกกับคาแรกเตอร์ของเจ้าของบ้านแต่ละคน อันนี้คือหลักการของอวนที่ใช้ตลอดเวลา และสำหรับเรา อาจต้องขอบคุณพรสวรรค์ด้วยอีกอย่างหนึ่ง อย่างเวลาที่ลูกค้านัดเราไปดูสถานที่ พอเห็นห้องเปล่าๆ เราจะเกิดภาพลางๆ แล้วว่ามุมนี้ต้องเป็นอย่างนี้ มุมนี้ต้องเป็นอย่างนั้น อารมณ์ประมาณการเขียนหนังสือของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ คือมันจะลื่นไหลไปเองโดยอัตโนมัติ อย่างเช่นเรื่อง “สี่แผ่นดิน” เหมือนมีคนมาบอกให้ท่านเขียนเลย มันเป็นเซนส์ของศิลปะ ซึ่งอย่างอวนมันจะมีเซนส์ในเรื่องตกแต่ง พอเราเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง เราจะรู้แล้วว่า ห้องนี้ต้องวางตู้แบบนี้ โซฟาต้องวางแบบนี้ คือมันเกิดขึ้นเองอัตโนมัติเลย อธิบายให้คนฟังทั่วไป ก็ไม่เข้าใจ เพราะบางทีมันเป็นเรื่องรสนิยมและเซนส์ด้วย

• การออกแบบแต่ละครั้ง จะคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง
อวนจะแบ่งเป็น 3 เรื่องหลักๆ คือ
เฟอร์นิเจอร์
องค์ประกอบ
และสิ่งอำนวยความสะดวก
อย่างแรกคือ ตู้ เตียง โต๊ะ เก้าอิ้ต่างๆ อย่างที่สอง คือพวกเทียน โคมไฟ ดอกไม้ ต้นไม้ หนังสือ รูปภาพ ปัจจัยต่างๆ กลิ่นต่างๆ ที่เราจัดรูปแบบของตัวเอง อย่างที่สามคือ อะไรก็ตามที่ไม่ใช่สองอย่างแรก เช่น เครื่องเสียง ทีวี ช้อนส้อม หมอน ทุกอย่างที่เราใช้ประโยชน์จากมัน
พอเราจัดเสร็จปุ๊บ ก็มาดูองค์ประกอบรวมว่า หนึ่ง โคมไฟเป็นยังไง การจัดบ้านลงตัวหรือยัง กลิ่นเป็นยังไง หรือแม้กระทั่งเรื่องเพลง พอเราจัดเสร็จ ก็จะชวนเจ้าของบ้านประมาณว่าควรจะเปิดเพลงแบบนี้นะ จุดกลิ่นแบบนี้นะ แล้วก็จะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง ที่ออกมา กลมกลืนกัน ซึ่งมันทำให้ทุกอย่างสวยงาม หากเราฟังกันเงียบๆ แต่ถ้าเราเปิดเพลงแจ๊สสิ เพลงบลูส์สิ เราก็รู้สึกว่าบ้านเราดูแพงขึ้น มันต้องส่งเสริมซึ่งกันและกันทุกองค์ประกอบ
• เหมือนว่าค้นพบสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเองด้วยไหมครับกับงานนี้
คือเราทำแล้วมีความสุข มันเป็นอาชีพที่เราทำแล้วรู้สึกเหมือนไม่ใช่งานอ่ะ เพราะต่อให้คนไม่จ้างเรา เราก็จะทำให้ มันคือความสุขที่เราได้ทำ มันสนุก มีความสุข อยากตื่นมาทำ และท้าทายให้เราอยากรู้ว่าบ้านแต่ละหลัง คอนโดแต่ละที่มันจะออกมาเป็นยังไง เราจึงอยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ
ที่จริง อวนคิดว่าทุกคนใผ่ฝันสิ่งนี้นะ คืออยากจะมีงานที่ทำแล้วเหมือนไม่ใช่งาน เป็นงานที่เรารัก แต่เท่าที่ฟังมาจากหลายคน เขาบอกว่างานที่เรารักจะกลายเป็นงานที่เราไม่รัก (หัวเราะเบาๆ) เพราะฉะนั้น เราก็รู้สึกโชคดีนะ เพราะจะมีกี่คนบนโลกที่ทำงานในสิ่งที่รัก แล้วมีความสุขจริงๆ แล้วทำเงินได้ด้วย อันนี้สำคัญ

• รายได้ดีไหมครับ สำหรับอาชีพนี้
ถามว่าสามารถสร้างรายได้เป็นร้อยล้าน พันล้านมั้ย ก็คงไม่ เพราะว่าเราไม่สามารถไปเปิดสาขาหรือมีตัวแทนได้ เพราะเราต้องทำด้วยตัวเองตั้งแต่ไปซื้อของ สมมติว่าของร้อยชิ้น เราต้องทำมันเอง ของทุกชิ้น จะต้องมีลายนิ้วมืออยู่ในนั้น ทั้งการวาง ทำให้ลงตัว เราต้องเป็นคนจับทุกชิ้น เพราะฉะนั้น ไม่สามารถถ่ายทอดให้ใครได้

• นอกเหนือจากตกแต่งบ้าน อยู่ดีๆ คุณก็ได้ไปเล่นซีรีส์เรื่องฮอร์โมนส์ ตรงนี้มีความเป็นมาอย่างไร
พอดีว่าบ้านเราอยู่ละแวกเดียวกับจีทีเอช แล้วเพื่อนเราเป็นแก๊งเขียนบทให้กับซีรีส์นี้ ซึ่งน้องปิง (เกรียงไกร วชิรธรรมพร) ผู้กำกับ ให้ทางแคสติ้งโทร.มาบอกว่า มีบทบทหนึ่งจะให้เล่น บทนี้เหมาะกับเรามากเลย เป็นตัวสำคัญในเรื่องเลยนะ เราก็ได้ๆ ก็ไปแคสต์ ซึ่งตอนนั้นเราก็ห่างหายจากงานการแสดงมาสมควรนะ พูดตรงๆ ว่าถ้าเป็นที่อื่น เราจะขี้เกียจไป เพราะเราก็ไม่ได้หวังว่าจะมาทางนี้อยู่แล้วไง แต่ชอบการแสดง ไม่งั้นไม่เรียนมา เพราะว่ามันสนุก ได้เป็นตัวนั้นตัวนี้ ได้สวมบทบาทเป็นคนอื่น พอเขาโทร.มา เราก็ไปเลย แต่อารมณ์เราก็ไปแบบขี้เกียจอ่ะ ไปก็ได้ เราก็ไปแคสต์ปกติ แล้วเขาก็โทร.กลับมาบอกว่า ได้นะ ก็ดีใจ เพราะถึงแม้เราจะไม่ใช่นักแสดงที่โด่งดังมากมาย แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่ง เราเคยมีส่วนร่วมกับซีรีส์ที่โด่งดังที่สุดของเมืองไทย
หลังจากตอนที่เราแสดงออกอากาศไป ก็ถูกพูดถึงเยอะ เวลาไปไหน ก็โดนทักว่าพี่กุ๊งกิ๊ง เราก็ดีใจ (หัวเราะ) ยอดติดตามในอินสตาแกรมก็เพิ่มขึ้น ซึ่งการที่คนสนใจ ทำให้เรารู้สึกว่ามีคุณค่าในสังคมมากขึ้น เว็บไซต์ต่างๆ ให้การตอบรับเราดี มีคนพูดถึง แถมมีคนมาทักว่าแสดงธรรมชาติดี ซึ่งจุดนี้ทำให้เราภูมิใจ เพราะว่าเราชอบการแสดง ถึงแม้ว่าจะเป็นการแสดงสั้นๆ แต่ว่าเราทำมันออกมาได้ดีค่ะ ก็ถือว่าเป็นความภูมิใจให้เราแหละ

• มีแพลนในชีวิตถัดจากนี้อย่างไรครับ หรือว่ามองงานโฮมสไตลิสต์ ที่ทำเป็นอาชีพหลักอยู่อย่างไรบ้าง
อวนยินดีนะคะ ถ้าการเป็นโฮมสไตล์ลิสต์ คนแรกของเมืองไทย แล้วจะมีคนอื่นๆ ตามมา เรายินดีเลย คือพูดตรงๆ เลยว่า ไม่ต้องห่วงว่าจะมาแย่งงานเรา เพราะว่าสไตล์ใครสไตล์มันอยู่แล้ว อวนก็ไม่ใช่คนแต่งบ้านเป็นคนเดียวในประเทศไทย ถามว่า ถ้ามีคนอย่างนี้เยอะๆ แล้วกลัวมั้ย เราบอกว่าไม่ค่ะ เพราะแต่ละคนจะมีแนวของตัวเอง ซึ่งถ้ามีใครเกิดขึ้นมาอีก ก็จะเป็นสไตล์ของเขา และอีกอย่างยังมีน้อยในประเทศไทย ฉะนั้น มาร่วมทำให้เมือง ทำให้บ้านมันน่าอยู่กันค่ะ
อวนเชื่อว่ามีคนแต่งบ้านเป็น และอาจจะเก่งกว่าด้วยซ้ำในเมืองไทย แต่เขาไม่ได้ทำเป็นอาชีพเท่านั้นเอง ถ้าเขาทราบ เขาอาจจะทำเป็นอาชีพบ้าง ซึ่งเราก็ยินดี ก็ส่งผลดีให้คนคนนั้น และส่งผลประโยชน์ต่อสังคมด้วย ในฐานะที่เราเป็นคนถือธงนำว่ามาทำอาชีพที่ตกแต่งบ้านกันเถอะ ทำได้ค่ะ

ผู้หญิงก็เหมือนดอกไม้ของโลก
“ถามว่าเป็นเรื่องเสียหายมั้ย คิดว่าไม่ เพราะถ้าเป็นเรื่องเสียหาย น่าจะต้องมีคนเดือดร้อนเยอะ การที่เรามาอวดเรือนร่างหรืออะไรก็ตาม แล้วมันไม่ได้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์มาก ก็ทำไปเถอะ เพราะว่าทุกอย่างมันคือศิลปะหมดนะ แต่อยู่ที่ว่าคนเราจะมองแบบไหน แล้วก็ถ่ายทอดไปแบบไหน อวนเชื่อว่าให้ผู้หญิงสองคนมาถ่ายชุดว่ายน้ำเหมือนกัน นางสาวเอ โพสต์ให้ดูเป็นศิลปะก็ได้ แต่ถ้าอีกคนโพสต์ให้ดูเป็นอนาจารก็ได้ แต่หากเราพูดในแง่ศิลปะ เราเชื่อว่ามันดีด้วยซ้ำ
“ผู้หญิงก็เหมือนเป็นดอกไม้ของโลกใบนี้นะ ฉะนั้น ถ้าอะไรที่มันไม่เยอะเกินไป ส่งผลดีต่องาน ในแง่ภาพลักษณ์ และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน อวนว่ามันเป็นเรื่องที่ดีค่ะ อวนเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนมีความเซ็กซี่อยู่ในตัวแล้ว แต่อยู่ที่ว่าเราจะดึงออกมาในตอนไหน แล้วใช้ในบริบทไหนในสังคม อย่างมาลิลิน มอนโร เป็นต้น คือมันต่อยอดแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนอยู่แล้ว แต่ว่าเราต้องใช้ให้มันพอดีๆ”

โลกที่เปิดกว้าง
กับที่ทางของงานสร้างสรรค์
“ศิลปะการออกแบบในเมืองไทย ถ้าชัดๆ ก็คงเป็นเรื่องแฟชั่น อวนว่าประเทศไทยมีการพัฒนาไปในด้านนี้มากขึ้น เกิดศิลปินกลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น เอาเป็นว่าแบรนด์ไทยในเมืองนอกเริ่มดังมาก เป็นแบรนด์โลกแล้ว อย่าง wathanika ดาราฮอลลีวูดใส่ มันทำให้คนไทยรู้สึกว่าฉันก็ออกแบบได้นะ เพราะอย่างเวลาเห็นในไอจี ก็มีแบรนด์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย นั่นหมายความว่า เมืองไทยเป็นเมืองที่เปิดกว้าง ให้เราได้ครีเอตความคิดสร้างสรรค์ สร้างผลงานและรายได้ให้กับตัวเอง
“อวนว่ามันเป็นเรื่องที่ดี เพราะพอโลกเปิด ก็สามารถหาแรงบันดาลใจได้หลายๆ แหล่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดทีวีหรืออ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว ในมือถือเราสามารถดูอะไรได้หลายอย่าง เพราะฉะนั้น พอเมืองไทยเราไปสู่โลกาภิวัตน์แล้ว โลกเปิด กลุ่มสร้างผลงานต่างๆ ก็มีพื้นที่จะเสนอผลงานของตัวเองมากขึ้น อย่างเราที่สามารถเกิดได้ เพราะว่าเรามีแหล่งที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจกับเรา และมีพื้นที่ที่นำเสนอออกไปด้วยว่า ผลงานเราเป็นยังไง”





เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร และ wayastyle.com
ในวัยหนึ่ง เราอาจมีความฝันหลายแบบเดินเข้ามาในความคิด วาดหวังกับชีวิตว่าโตขึ้นจะเป็นนู่นนี่นั่น หญิงสาวคนนี้ก็เช่นกัน เนื่องจากฝันในวันเยาว์ช่วงหนึ่ง เธออยากเป็นนักเขียน แต่เมื่อคืนวันเปลี่ยน ฝันนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความเป็นจริง อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความปรารถนาเมื่อครั้งยังเด็ก และสุดท้ายมันได้ย้อนกลับมากวักมือเรียกเธออีกครั้ง คือความต้องการอยากจะมีบ้านสวยๆ...สวยเหมือนในนิตยสารที่เธอได้อ่าน ได้ดู
นับจากจุดสตาร์ท วันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 3 ปี ที่ “อวน-วยา ดุลยบวรกุล” สร้างอาชีพจากความปรารถนาที่อยากจะมีบ้านสวยๆ แล้วต่อยอดจนเป็นงาน “โฮม สไตลิสต์” ชนิดที่ใครได้เห็นการแต่งบ้านแต่งที่พักอันเป็นสไตล์ของเธอ ต้องเรียกใช้บริการงานความคิดสร้างสรรค์ของเธอ...
• ความสนใจในงานออกแบบตกแต่งบ้าน เริ่มดึงดูดคุณตั้งแต่ตอนไหนอย่างไร
ตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ คือมันจะมีวิชาหนึ่งที่เราได้เรียน เหมือนเขาให้ไปหาภาพบ้านสวยๆ มา ถ้าจำไม่ผิดก็คือหนังสือนิตยสารบ้านและสวน เพราะตอนนั้นประมาณ 20 ปีก่อน ยังไม่มีนิตยสารหัวอื่นๆ แล้วพอเราเห็นบ้านสวยๆ มันก็เกิดเป็นแรงบันดาลใจมากเลยว่าอยากมีบ้านสวยๆ เป็นของตัวเองบ้าง เป็นความฝันมาตั้งแต่นั้นเลย
• แสดงว่าเริ่มอยากจะเป็นนักออกแบบตกแต่งบ้านตั้งแต่นั้นเลยใช่ไหมครับ
พูดตามจริง ตอนนั้นรู้แล้วว่าอยากจะมีบ้านสวยๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันเป็นอาชีพได้ ความฝันจริงๆ ณ ขณะนั้นคืออยากเป็นนักเขียน เพราะตอนเด็กชอบดูละครแบบ “วนิดา”, “ปริศนา” หรือ “วนาลี” เราดูแล้วเราสนุก เป็นเด็กเพ้อฝันน่ะ ถึงได้มาเรียนนิเทศศาสตร์ พอเวลาว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็นั่งแต่งเรื่องราวอะไรอย่างนั้นไปด้วย เพราะเราวาดรูปไม่เก่ง ก็จะใช้วิธีเขียนแทน แต่งเรื่องแต่งราวอะไรไปเป็นเล่มๆ เป็นนิทาน
สรุปก็คืออยากเป็นนักเขียน อยากเป็นศิลปิน และเพราะความที่เราวาดภาพไม่เป็น สเกตช์ก็ยังไม่เป็น ฉะนั้น จะเป็นศิลปินด้านไหน ก็คงเป็นด้านนักเขียนละกัน เพราะชอบอ่านหนังสือมาก นิยายที่ชอบก็จะออกแนวโบราณนิดหนึ่ง อย่างเช่น “รามเกียรติ์” นึกออกมั้ย สมัยเราเด็กๆ ไม่ได้มีเซกชันเป็นการ์ตูนของนอกมากมาย มันจะเป็นแบบนิยายไทยๆ ตามที่ห้องสมุดมี หรือมีนิยายจากเมืองนอกที่เขาเอามาแปลบ้าง ส่วนนักเขียนคนโปรดตอนเด็กๆ ไม่มี เพราะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านักเขียนคนนี้ชื่ออะไร แต่ถ้าโตขึ้นมาหน่อย ก็ชอบงานของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ชอบประภาส ชลศรานนท์, นิ้วกลม และวินทร์ เลียววาริณ
• เอาล่ะ ถึงตรงนั้น อยากมีบ้านสวยอย่างหนึ่งล่ะ อยากเป็นนักเขียนอย่างหนึ่งล่ะ สุดท้ายเลือกเรียนนิเทศฯ เหมือนจะมุ่งไปทางนักเขียนเต็มตัวเลย
ตอนแรกที่เลือกนิเทศฯ พูดตรงๆ ไม่ได้กะจะเลือก และเราก็ไม่รู้ว่าคะแนนของเราจะถึงจุฬาฯ หรือเปล่า ตอนนั้นเป็นเอนทรานซ์ระบบเก่า เขาให้เลือกได้ 4 อันดับ เราเลือกนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ อันดับแรกเลย ที่เลือกไปเพราะคิดว่าเผื่อฟลุก เผื่อติด แต่การตัดสินใจเลือกนิเทศฯ ก็มีเหตุผลรองรับ อย่างที่บอกว่าเราอยากเป็นนักเขียน เราชอบเรื่องการเขียนบท อะไรอย่างงี้อยู่แล้ว แต่ถ้าหลุดจากอันดับ 1 ก็คือรัฐศาสตร์ เป็นเรื่องการทูต การติดต่อ การใช้ภาษา และเราก็เป็นเด็กที่ชอบเรื่องภาษา เรื่องการเขียนอยู่แล้ว ก็เลยเลือก
• เข้าจุฬาฯ ได้ ถือว่าเรียนเก่งใช้ได้เลย
เราไม่ได้หัวดีมากนะ พูดจริงๆ เป็นพวกเซื่องซึมอ่ะ เพราะจะมีเพื่อนคนหนึ่งชอบแกล้งเราและเรียกเราว่าเซื่องซึม และเราจะเป็นคนที่ไม่ค่อยทันคน นอกจากไม่ทันแล้ว จะเข้าใจอะไรยาก คือไม่ได้ปราดเปรื่องมาก แต่อาศัยความขยัน อ่านบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ก็จะทำให้ตีตื้นกับคนที่สมองดีกว่าเราได้ แต่ว่าเราก็ไม่ได้เนิร์ดนะ เพราะว่ากิจกรรมในมหา’ลัย เราก็เต็มที่ เวลามีงานประกวดทีไร เราก็จะมักจะได้เป็นตัวแทนไปประกวด คือชอบงานศิลปะ แบบประดิษฐ์นั่นนี่ เช่นประดิษฐ์กระทง แต่งกลอน เรียงความ ซึ่งเรียงความ เราเคยได้รางวัลที่ 1 ของกรุงเทพฯ ด้วยนะ ก็บอกแล้วว่าชอบเขียน ชอบอะไรที่มันเป็นศิลปะค่ะ
• พอเข้านิเทศฯ ได้ นี่เหมือนกับประตูสู่ความฝันในการเป็นนักเขียนเปิดกว้างกว่าเดิมเลยไหม
สนุกมากเลย เพราะคณะนี้ขึ้นชื่อในเรื่องกิจกรรมมาก (ลากเสียงยาว) เหมือนกับเปิดโลกใหม่ให้กับเราเลย เพราะว่าเอนทรานซ์ติดก็เหมือนสู่โลกใหม่ ชีวิตใหม่ กิจกรรมเยอะ คือพูดตรงๆ ว่า ทุกคนต้องทำกิจกรรม เพราะว่าชั้นปีหนึ่งก็ร้อยกว่าคน ก็จะมีทำละครเอย ทั้งโรงเล็ก โรงใหญ่ ละครเวทีประจำปี เทศกาลประจำปี มีกิจกรรมทุกชั้นปี คือเรียนเราก็เรียน แต่ถามว่ามุ่งไปทางไหนมากกว่า เรามุ่งไปกิจกรรม ตามประสาเด็กนิเทศฯ
กิจกรรมสมัยเรียน ถ้าเด่นๆ หน่อยก็จะเล่นละครใหญ่ค่ะ แต่จะเล่นละครโรงเล็กมากกว่า คือมันจะมีเทศกาลละครโรงเล็กน่ะค่ะ ที่ใครก็อยากได้กำกับละครและสร้างละครโชว์ความสามารถของตัวเอง เราก็มีโอกาสไปเล่นให้เพื่อนๆ และพี่ๆ หลายคน แต่ละครโรงใหญ่ เราจะอยู่เบื้องหลังมากกว่า ก็จะดูเรื่องของพีอาร์ เรื่องฉาก เพราะตอนนั้นพูดตรงๆ ว่ากลัวการซ้อมละคร ไม่ชอบกลับบ้านดึก เพราะถ้าซ้อมละคร มันต้องซ้อมหนัก ซึ่งไร้สาระมากเลย (หัวเราะ)
• แล้วเรื่องการเป็นนักเขียนล่ะครับ
เราลืมมันไปเลย...เหมือนกับว่าตอนเด็กเราอยากเป็นนักเขียน หรืออยากเป็นโน่นเป็นนี่ แต่โตขึ้นมา พอเราได้รู้ว่าโลกนี้มันมีอะไรอีกมากมายเลยนะที่มันทำได้และทำเงินให้เราได้ และประกอบกับตอนนั้นมีความฝันที่จะเป็นแอร์โฮสเตสเพิ่มเข้ามา เพียงเพราะว่าอยากไปเที่ยว (หัวเราะ) คือผู้หญิงที่เรียนนิเทศฯ แทบทุกคน พอเรียนจบแล้วก็ไปเป็นแอร์ฯ กันหมด มันจะมีคนพูดแบบนี้อยู่ คือไม่ใช่ว่าเราไม่มีความสามารถนะคะ แต่เพราะเราชอบท่องเที่ยว ชอบเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ก็เลยทำให้เด็กนิเทศฯ หลายคน ไปเป็นแอร์ฯกัน
และก็อย่างที่บอกว่า พอเราโตมาโลกก็เปลี่ยนไป อินเทอร์เน็ตเริ่มเข้ามา ฉะนั้น คนอ่านหนังสือน้อยลง คนเริ่มเสพสื่ออื่นๆ เยอะขึ้น ความฝันของเราก็ละลายเหมือนกัน แต่ก่อนเขียนจดหมายหากัน มันมีความคลาสสิกอยู่ในตัว แต่พอเราโต โลกมันเปลี่ยนไป ความฝันเราก็เปลี่ยนตาม แล้วมันทำให้ชีวิตเราเปลี่ยน เราก็เบนเข็มไปทางอื่นแล้ว ตอนนั้นก็เลยรู้สึกว่าไม่เป็นนักเขียนแล้วก็ได้
• เมื่อเห็นว่าไม่เป็นนักเขียนแล้วก็ได้ หลังจากเรียนจบคุณไปทำอะไรต่อครับ
ช่วงแรกๆ ก็ช่วยที่บ้านทำร้านอาหารก่อน แต่ไม่ได้จริงจัง เพราะเราไม่ได้ชอบทำอาหารแบบคุณแม่ ก็เลยเปิดผับชื่อ Tease Gallery & Bar ด้วยการร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ และรุ่นพี่คือพี่โจอี้ บอย และคุณกิ๊บซี่ (เกิร์ลลี่ เบอร์รี่) อยู่แถวทองหล่อค่ะ ก็มีเราอยู่หน้าร้านตลอดเวลา ดูแลเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์ อีเวนต์ และงานนั้นถือว่าเป็นงานแรกที่เราได้ฝึกตัวเอง เหนื่อยเลย เหนื่อยมาก ได้ทักษะทุกอย่างเลย ทำตั้งแต่พีอาร์ยันเปิดเพลงเอง ทำได้ 3 ปี สนุกมาก แต่ก็เหนื่อยมาก ขณะเดียวกันก็ถือว่าได้ประสบการณ์จากตรงนั้นเยอะ ได้คอนเนกชันเยอะ
หลังจากนั้นก็มีโอกาสมาทำรายการของตัวเอง ที่ช่อง Travel channel Thailand ชื่อรายการ girlfriend ซึ่งอวนเป็นโปรดิวเซอร์เอง เชิญแขกเอง เป็นพิธีกรเอง ตัดต่อเองทุกอย่าง คือธีมรายการจะเป็นเพื่อนสาวสองคนไปเที่ยวด้วยกัน แล้วกิมมิกรายการก็จะเป็นการใส่บิกินี่ คือรายการนี้ก็ดังนะ ไปไหนคนก็ทักอยู่ แต่ทำไปได้ซีซันเดียว ประมาณปี 2010 มันก็สนุกนะเพราะได้เที่ยว แต่จะเหนื่อยตรงตัดต่อ คอนเซ็ปต์ก็คิดเอง ตัดต่อเอง ทำทุกอย่าง ยกเว้นถือกล้องเอง แต่ก็แอบเรื่องมากกับตัวเองนิดหน่อย ก็เลยพอก่อนแล้วกัน พอหยุดรายการก็ยังว่างๆ อยู่ จึงได้ไปทำจิวเวลรีกับเพื่อน แต่ว่าเป็นแบรนด์เล็กๆ ทำกันเอง อันนี้ไม่ได้ไปอะไรกับมันมาก
• แล้วไปค้นพบอาชีพ “โฮมสไตลิสต์” ตอนไหนอย่างไรครับ
มันเป็นช่วงระหว่างกำลังย้ายออกมาอยู่คอนโดคนเดียว พอแต่งคอนโดเสร็จ ด้วยความที่เราเป็นคนชอบแต่งบ้าน เราก็เลยแต่งคอนโดตามที่เราชอบ แล้วบังเอิญมีเพื่อนซึ่งทำงานมาร์เกตติ้งมาคอนโด เขาเห็นการตกแต่งและชอบสไตล์ของเรา เขาก็จ้างเราให้มาแต่งห้องตัวอย่าง ปรากฏว่าได้ค่าจ้างจากการทำตรงนั้นด้วย หลังจากนั้นก็มีการบอกต่อกันไปเรื่อยๆ ปากต่อปาก ทุกคนก็อยากให้เราไปแต่งบ้านให้ ก็มีงานจ้างต่อมาเรื่อยๆ เยอะขึ้นเรื่อยๆ เราก็เปิดเว็บไซต์เลย ชื่อ wayastyle.com เพื่อรวบรวมผลงาน เป็นพอร์ตของเรา ซึ่งนับตั้งแต่งานชิ้นแรกจนถึงทุกวันนี้ ลูกค้าที่เข้ามาเป็นการบอกกันแบบปากต่อปากหมดเลย บางคนที่มาบ้านเรา เห็นแล้วชอบ ก็ให้เราไปตกแต่งให้ กลายเป็นอาชีพไปเลยโดยอัตโนมัติ
• “โฮมสไตลิสต์” คืออะไรยังไง ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยครับ
สำหรับคนที่มาให้เราแต่งบ้าน บางคนคิดว่าเป็นอินทีเรียหรือเปล่า เราก็บอกว่าไม่ใช่นะ เพราะอินทีเรียคือออกแบบตกแต่งภายใน ดูทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องเก้าอี้ โซฟา โต๊ะ ตู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีการใช้สอย บิลท์อินทั้งหมดต้องมีการก่อสร้างเกิดขึ้น แต่สำหรับโฮมสไตลิสต์ ที่อวนทำ คือทำงานต่อจากอินทีเรียอีกทีหนึ่ง พออินทีเรียทำงานของเขาเสร็จ เราก็มาดูเรื่องว่าจะซื้อเก้าอี้แบบไหน พร็อพแบบไหน ตู้ แจกัน รูปภาพหนังสือ ดอกไม้ ต้นไม้ คือทำให้บ้านมีชีวิตขึ้นมาและพร้อมอยู่ เราดูให้แม้กระทั่งเรื่องช้อนส้อมจานชามอะไรแบบนี้ ข้าวของเครื่องใช้ ไปจนถึงดูเรื่องความสวยงาม
• โฮมสไตลิสต์ที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
ต้องมีความครีเอตมากเลยค่ะ แล้วเราต้องเกลี่ยอะไรใหม่ตลอดเวลา บ้านสิบหลัง มันต้องไม่เหมือนกันแล้ว มันต้องเป็น “วยา สไตล์” (waya style) บวกกับคาแรกเตอร์ของเจ้าของบ้านแต่ละคน อันนี้คือหลักการของอวนที่ใช้ตลอดเวลา และสำหรับเรา อาจต้องขอบคุณพรสวรรค์ด้วยอีกอย่างหนึ่ง อย่างเวลาที่ลูกค้านัดเราไปดูสถานที่ พอเห็นห้องเปล่าๆ เราจะเกิดภาพลางๆ แล้วว่ามุมนี้ต้องเป็นอย่างนี้ มุมนี้ต้องเป็นอย่างนั้น อารมณ์ประมาณการเขียนหนังสือของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ คือมันจะลื่นไหลไปเองโดยอัตโนมัติ อย่างเช่นเรื่อง “สี่แผ่นดิน” เหมือนมีคนมาบอกให้ท่านเขียนเลย มันเป็นเซนส์ของศิลปะ ซึ่งอย่างอวนมันจะมีเซนส์ในเรื่องตกแต่ง พอเราเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง เราจะรู้แล้วว่า ห้องนี้ต้องวางตู้แบบนี้ โซฟาต้องวางแบบนี้ คือมันเกิดขึ้นเองอัตโนมัติเลย อธิบายให้คนฟังทั่วไป ก็ไม่เข้าใจ เพราะบางทีมันเป็นเรื่องรสนิยมและเซนส์ด้วย
• การออกแบบแต่ละครั้ง จะคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง
อวนจะแบ่งเป็น 3 เรื่องหลักๆ คือ
เฟอร์นิเจอร์
องค์ประกอบ
และสิ่งอำนวยความสะดวก
อย่างแรกคือ ตู้ เตียง โต๊ะ เก้าอิ้ต่างๆ อย่างที่สอง คือพวกเทียน โคมไฟ ดอกไม้ ต้นไม้ หนังสือ รูปภาพ ปัจจัยต่างๆ กลิ่นต่างๆ ที่เราจัดรูปแบบของตัวเอง อย่างที่สามคือ อะไรก็ตามที่ไม่ใช่สองอย่างแรก เช่น เครื่องเสียง ทีวี ช้อนส้อม หมอน ทุกอย่างที่เราใช้ประโยชน์จากมัน
พอเราจัดเสร็จปุ๊บ ก็มาดูองค์ประกอบรวมว่า หนึ่ง โคมไฟเป็นยังไง การจัดบ้านลงตัวหรือยัง กลิ่นเป็นยังไง หรือแม้กระทั่งเรื่องเพลง พอเราจัดเสร็จ ก็จะชวนเจ้าของบ้านประมาณว่าควรจะเปิดเพลงแบบนี้นะ จุดกลิ่นแบบนี้นะ แล้วก็จะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง ที่ออกมา กลมกลืนกัน ซึ่งมันทำให้ทุกอย่างสวยงาม หากเราฟังกันเงียบๆ แต่ถ้าเราเปิดเพลงแจ๊สสิ เพลงบลูส์สิ เราก็รู้สึกว่าบ้านเราดูแพงขึ้น มันต้องส่งเสริมซึ่งกันและกันทุกองค์ประกอบ
• เหมือนว่าค้นพบสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเองด้วยไหมครับกับงานนี้
คือเราทำแล้วมีความสุข มันเป็นอาชีพที่เราทำแล้วรู้สึกเหมือนไม่ใช่งานอ่ะ เพราะต่อให้คนไม่จ้างเรา เราก็จะทำให้ มันคือความสุขที่เราได้ทำ มันสนุก มีความสุข อยากตื่นมาทำ และท้าทายให้เราอยากรู้ว่าบ้านแต่ละหลัง คอนโดแต่ละที่มันจะออกมาเป็นยังไง เราจึงอยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ
ที่จริง อวนคิดว่าทุกคนใผ่ฝันสิ่งนี้นะ คืออยากจะมีงานที่ทำแล้วเหมือนไม่ใช่งาน เป็นงานที่เรารัก แต่เท่าที่ฟังมาจากหลายคน เขาบอกว่างานที่เรารักจะกลายเป็นงานที่เราไม่รัก (หัวเราะเบาๆ) เพราะฉะนั้น เราก็รู้สึกโชคดีนะ เพราะจะมีกี่คนบนโลกที่ทำงานในสิ่งที่รัก แล้วมีความสุขจริงๆ แล้วทำเงินได้ด้วย อันนี้สำคัญ
• รายได้ดีไหมครับ สำหรับอาชีพนี้
ถามว่าสามารถสร้างรายได้เป็นร้อยล้าน พันล้านมั้ย ก็คงไม่ เพราะว่าเราไม่สามารถไปเปิดสาขาหรือมีตัวแทนได้ เพราะเราต้องทำด้วยตัวเองตั้งแต่ไปซื้อของ สมมติว่าของร้อยชิ้น เราต้องทำมันเอง ของทุกชิ้น จะต้องมีลายนิ้วมืออยู่ในนั้น ทั้งการวาง ทำให้ลงตัว เราต้องเป็นคนจับทุกชิ้น เพราะฉะนั้น ไม่สามารถถ่ายทอดให้ใครได้
• นอกเหนือจากตกแต่งบ้าน อยู่ดีๆ คุณก็ได้ไปเล่นซีรีส์เรื่องฮอร์โมนส์ ตรงนี้มีความเป็นมาอย่างไร
พอดีว่าบ้านเราอยู่ละแวกเดียวกับจีทีเอช แล้วเพื่อนเราเป็นแก๊งเขียนบทให้กับซีรีส์นี้ ซึ่งน้องปิง (เกรียงไกร วชิรธรรมพร) ผู้กำกับ ให้ทางแคสติ้งโทร.มาบอกว่า มีบทบทหนึ่งจะให้เล่น บทนี้เหมาะกับเรามากเลย เป็นตัวสำคัญในเรื่องเลยนะ เราก็ได้ๆ ก็ไปแคสต์ ซึ่งตอนนั้นเราก็ห่างหายจากงานการแสดงมาสมควรนะ พูดตรงๆ ว่าถ้าเป็นที่อื่น เราจะขี้เกียจไป เพราะเราก็ไม่ได้หวังว่าจะมาทางนี้อยู่แล้วไง แต่ชอบการแสดง ไม่งั้นไม่เรียนมา เพราะว่ามันสนุก ได้เป็นตัวนั้นตัวนี้ ได้สวมบทบาทเป็นคนอื่น พอเขาโทร.มา เราก็ไปเลย แต่อารมณ์เราก็ไปแบบขี้เกียจอ่ะ ไปก็ได้ เราก็ไปแคสต์ปกติ แล้วเขาก็โทร.กลับมาบอกว่า ได้นะ ก็ดีใจ เพราะถึงแม้เราจะไม่ใช่นักแสดงที่โด่งดังมากมาย แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่ง เราเคยมีส่วนร่วมกับซีรีส์ที่โด่งดังที่สุดของเมืองไทย
หลังจากตอนที่เราแสดงออกอากาศไป ก็ถูกพูดถึงเยอะ เวลาไปไหน ก็โดนทักว่าพี่กุ๊งกิ๊ง เราก็ดีใจ (หัวเราะ) ยอดติดตามในอินสตาแกรมก็เพิ่มขึ้น ซึ่งการที่คนสนใจ ทำให้เรารู้สึกว่ามีคุณค่าในสังคมมากขึ้น เว็บไซต์ต่างๆ ให้การตอบรับเราดี มีคนพูดถึง แถมมีคนมาทักว่าแสดงธรรมชาติดี ซึ่งจุดนี้ทำให้เราภูมิใจ เพราะว่าเราชอบการแสดง ถึงแม้ว่าจะเป็นการแสดงสั้นๆ แต่ว่าเราทำมันออกมาได้ดีค่ะ ก็ถือว่าเป็นความภูมิใจให้เราแหละ
• มีแพลนในชีวิตถัดจากนี้อย่างไรครับ หรือว่ามองงานโฮมสไตลิสต์ ที่ทำเป็นอาชีพหลักอยู่อย่างไรบ้าง
อวนยินดีนะคะ ถ้าการเป็นโฮมสไตล์ลิสต์ คนแรกของเมืองไทย แล้วจะมีคนอื่นๆ ตามมา เรายินดีเลย คือพูดตรงๆ เลยว่า ไม่ต้องห่วงว่าจะมาแย่งงานเรา เพราะว่าสไตล์ใครสไตล์มันอยู่แล้ว อวนก็ไม่ใช่คนแต่งบ้านเป็นคนเดียวในประเทศไทย ถามว่า ถ้ามีคนอย่างนี้เยอะๆ แล้วกลัวมั้ย เราบอกว่าไม่ค่ะ เพราะแต่ละคนจะมีแนวของตัวเอง ซึ่งถ้ามีใครเกิดขึ้นมาอีก ก็จะเป็นสไตล์ของเขา และอีกอย่างยังมีน้อยในประเทศไทย ฉะนั้น มาร่วมทำให้เมือง ทำให้บ้านมันน่าอยู่กันค่ะ
อวนเชื่อว่ามีคนแต่งบ้านเป็น และอาจจะเก่งกว่าด้วยซ้ำในเมืองไทย แต่เขาไม่ได้ทำเป็นอาชีพเท่านั้นเอง ถ้าเขาทราบ เขาอาจจะทำเป็นอาชีพบ้าง ซึ่งเราก็ยินดี ก็ส่งผลดีให้คนคนนั้น และส่งผลประโยชน์ต่อสังคมด้วย ในฐานะที่เราเป็นคนถือธงนำว่ามาทำอาชีพที่ตกแต่งบ้านกันเถอะ ทำได้ค่ะ
ผู้หญิงก็เหมือนดอกไม้ของโลก
“ถามว่าเป็นเรื่องเสียหายมั้ย คิดว่าไม่ เพราะถ้าเป็นเรื่องเสียหาย น่าจะต้องมีคนเดือดร้อนเยอะ การที่เรามาอวดเรือนร่างหรืออะไรก็ตาม แล้วมันไม่ได้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์มาก ก็ทำไปเถอะ เพราะว่าทุกอย่างมันคือศิลปะหมดนะ แต่อยู่ที่ว่าคนเราจะมองแบบไหน แล้วก็ถ่ายทอดไปแบบไหน อวนเชื่อว่าให้ผู้หญิงสองคนมาถ่ายชุดว่ายน้ำเหมือนกัน นางสาวเอ โพสต์ให้ดูเป็นศิลปะก็ได้ แต่ถ้าอีกคนโพสต์ให้ดูเป็นอนาจารก็ได้ แต่หากเราพูดในแง่ศิลปะ เราเชื่อว่ามันดีด้วยซ้ำ
“ผู้หญิงก็เหมือนเป็นดอกไม้ของโลกใบนี้นะ ฉะนั้น ถ้าอะไรที่มันไม่เยอะเกินไป ส่งผลดีต่องาน ในแง่ภาพลักษณ์ และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน อวนว่ามันเป็นเรื่องที่ดีค่ะ อวนเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนมีความเซ็กซี่อยู่ในตัวแล้ว แต่อยู่ที่ว่าเราจะดึงออกมาในตอนไหน แล้วใช้ในบริบทไหนในสังคม อย่างมาลิลิน มอนโร เป็นต้น คือมันต่อยอดแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนอยู่แล้ว แต่ว่าเราต้องใช้ให้มันพอดีๆ”
โลกที่เปิดกว้าง
กับที่ทางของงานสร้างสรรค์
“ศิลปะการออกแบบในเมืองไทย ถ้าชัดๆ ก็คงเป็นเรื่องแฟชั่น อวนว่าประเทศไทยมีการพัฒนาไปในด้านนี้มากขึ้น เกิดศิลปินกลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น เอาเป็นว่าแบรนด์ไทยในเมืองนอกเริ่มดังมาก เป็นแบรนด์โลกแล้ว อย่าง wathanika ดาราฮอลลีวูดใส่ มันทำให้คนไทยรู้สึกว่าฉันก็ออกแบบได้นะ เพราะอย่างเวลาเห็นในไอจี ก็มีแบรนด์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย นั่นหมายความว่า เมืองไทยเป็นเมืองที่เปิดกว้าง ให้เราได้ครีเอตความคิดสร้างสรรค์ สร้างผลงานและรายได้ให้กับตัวเอง
“อวนว่ามันเป็นเรื่องที่ดี เพราะพอโลกเปิด ก็สามารถหาแรงบันดาลใจได้หลายๆ แหล่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดทีวีหรืออ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว ในมือถือเราสามารถดูอะไรได้หลายอย่าง เพราะฉะนั้น พอเมืองไทยเราไปสู่โลกาภิวัตน์แล้ว โลกเปิด กลุ่มสร้างผลงานต่างๆ ก็มีพื้นที่จะเสนอผลงานของตัวเองมากขึ้น อย่างเราที่สามารถเกิดได้ เพราะว่าเรามีแหล่งที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจกับเรา และมีพื้นที่ที่นำเสนอออกไปด้วยว่า ผลงานเราเป็นยังไง”
ชื่อ : วยา ดุลยบวรกุล ชื่อเล่น : อวน วันเกิด : 5 พฤษภาคม 2527 ส่วนสูง : 163 น้ำหนัก : 48 การศึกษา : นิเทศศาสตรบัณฑิต สาขาสื่อสารการแสดง และนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประชาสัมพันธ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานอดิเรก : ฟังเพลง, หาของแต่งบ้าน ผลงาน : ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ซีซัน 3 รับบท พี่กุ๊งกิ๊ง |
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร และ wayastyle.com




