"พลตรีวีรชน" รายงานประชุมสุดยอดอาเซียน เตรียมออกปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ กำหนดทิศทางอาเซียน10-20 ปีข้างหน้า ขณะนายกฯ ไทยเน้นย้ำประเทศไทยเข้มแข็งเพื่อนบ้านต้องเข็มแข็ง ความเจริญรุ่งเรืองต้องตั้งอยู่บนความไม่เดือนร้อนของใคร ยกภูมิภาคอาเซียนเนื้อหอมมหาอำนาจรุมตอม พร้อมหารือมาเลเซีย ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แก้ปัญหาภาคใต้ร่วมกัน
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รายงานการเข้าร่วมการประชุม "Asean Summit 2015" ของนายกรัฐมนตรี ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ผ่านยูทิวบ์ "ทำเนียบรัฐบาล" ว่า ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 27 ระหว่างวันที่ 21-22 พ.ย.นี้ เป็นการประชุมมีความสำคัญเพราะภายในสิ้นปีนี้ วันที่ 31 ธันวาคม จะประกาศเป็นประชาคมอาเซียนอย่างเป็นทางการ โดยมีกรอบทำงานอยู่สามเสาหลักคือ การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นกรอบในการทำงานกรอบในความร่วมมือของประเทศอาเซียน
พลตรีวีรชน กล่าวต่อว่า ในการประชุมครั้งนี้สิ่งที่สำคุญจะเกิดขึ้นภายในการประชุมก็คือ ร่างปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางว่า 10-20 ปีข้างหน้าอาเซียนจะมีทิศทางในการร่วมมือกันอย่างไรบ้าง นอกหรือจากความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในอาเซียนคราวนี้จะเห็นได้ว่าประชาคมอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้นจะประกอบไปด้วยประชากรเกือบ 600 ล้านคน เป็นภูมิภาคที่เนื้อหอม ห้วงเวลาที่ผ่านมาประเทศมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น รวมถึง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รัสเซียและอื่นๆ อีกหลายประเทศ กำลังจับตามองอาเซียนและประเทศเหล่านั้นก็ได้เข้าร่วมประชุมกับอาเซียนในครั้งนี้ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่านอกเหนือจากการกำหนดทิศทางในการทำงานของอาเซียนระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกันแล้ว ยังเป็นกรอบในการทำงานระหว่างอาเซียนกับประเทศนอกภูมิภาค
พลตรีวีรชน กล่าวต่ออีกว่า ยังมีอีกหลายประเด็นหลายประเด็นที่จะเป็นการหารืออาเซียนกับประเทศนอกภูมิภาคที่กล่าวไปแล้ว โดยนายกฯ ได้กล่าวเสมอมาว่าอาเซียนต่อไปนี้ต้องเข้มแข็ง ไทยจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของการนำพาอาเซียนให้เข้มแข็ง ไทยจะต้องช่วยบอกผู้นำอาเซียนทุกคนว่าเราจะต้องก้าวไปด้วยกัน เราจะไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลังความเจริญรุ่งเรืองที่เกิดขึ้นจะต้องไม่อยู่บนความเดือดร้อนของใคร จะต้องไม่เป็นภาระให้ใครดังนั้นในโอกาศนี้ประเทศไทยจะมีบทบาทอีกครั้งนึงในการร่วมสร้างความเข้มแข็งให้กับอาเซียน ต้องเรียนอีกครั้งนึงว่าเป็นก้าวครั้งสำคัญของอาเซียน
พลตรีวีรชน กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนนโยบายของประเทศไทยนายกฯ ได้เน้นย้ำว่า ประเทศไทยจะแข็งแรงเพื่อนบ้านต้องแข็งแรง เมื่อเพื่อนบ้านแข็งแรงก็จะทำให้อาเซียนแข็งแรงซึ่งเป็นนโยบายหลักของนายกฯ โดยภายในบ่ายที่ผ่านมา ก่อนที่จะเข้าประชุมอาเซียนอย่างเป็นทางการ นายกฯได้เข้าประชุมหารือร่วมกับทีมไทยแลนด์ซึ่งอยู่ในประเทศมาเลเซีย ในโอกาสนี้ได้มีการพบปะหารือเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่รวมขับเคลื่อนไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม แล้วก็ความร่วมมือทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ในส่วนของการเมืองนายกฯ ได้เน้นย้ำว่าจะต้องให้ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซียมีความเป็นพลวัตมากขึ้น จะต้องมีการขับเคลื่อนความร่วมมือในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เพิ่มพูนการแลกเปลี่ยนการเยือนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างทั้งสองประเทศทำให้ความสัมพันธ์ที่มีกันอย่างช้านานที่ผ่านมา กลับกลายเป็นความสัมพันธ์ที่จะพาให้ทุกคนก้าวหน้าร่วมกันจะทำให้ไทยและมาเลเซียก้าวหน้าร่วมกันไปอีก
พลตรีวีรชน กล่าวต่ออีกว่า เราได้คุยกันถึงเรื่องการเมือง เราได้คุยเรื่องของความมั่นคง ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกับไทยเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร จึงมีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศไทย ในโอกาสนี้นายกฯ ได้ให้นโยบายว่าเราจะต้องมีความร่วมมือกับมาเลเซียในการที่จะสร้างความมั่นคงร่วมกัน นอกจากนั้นยังมีการพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจจะต้องมีการหาศักยภาพของตัวเองแล้วก็หาศักยภาพของมาเลเซียว่ามีความร่วมมือแบบไหนบ้าง ในรูปแบบใดบ้าง ที่จะสามารถร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์ นายกฯ เน้นย้ำว่าเราจะต้องมีความเป็นหุ้นส่วนจะต้องมีความเป็นพันธมิตรกันในเรื่องของการที่จะร่วมมือต่อไปภายในอนาคต การแข่งขันจะต้องลดน้อยลงสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจความไว้วางใจระหว่างกัน
พลตรีวีรชน กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนั้นยังมีการพูดถึงเรื่องการศึกษามาเลเซียเป็นประเทศหนึ่งมีความประสบความสำเร็จในห้วงหลายที่ผ่านมา ในเรื่องของการพัฒนาทางด้านการศึกษา เราก็คงจะต้องเรียนรู้จากมาเลเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาในฐานะที่เป็นประเทศมุสลิมแต่มีการดำเนินการในลักษณะเป็นมุสลิมสายกลางทำให้ประเทศมาเลเซียก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นหลายสิ่งหลายอย่างจะสามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงหรือการแก้ไขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญต้องได้รับความร่วมมือกับมาเลเซียในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
พลตรีวีรชน กล่าวต่ออีกว่า นอกเหนือจากเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การทหาร ความมั่นงคง กองทัพของทั้งสองประเทศที่ผ่านมามีการฝึกมีการอบรมมีการแลกเปลี่ยนกันอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ปัญหาความมั่นคงที่มีลักษณะของปัญหาข้ามชาติมากขึ้น ทั้งสองประเทศจะต้องมีความร่วมมือแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นมีการพัฒนาเรื่องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง ในการที่ทำให้สองประเทศรับมือกับภัยคุกคามในลักษณะของภัยข้ามชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต และในวันที่ 21-22 พ.ย. จะมีรายละเอียดมากมายในเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ในกรุงกัวลาลัมเปอร์แห่งนี้