xs
xsm
sm
md
lg

“จ๊อด 8 ริ้ว” ผู้เฆี่ยนตีสังคมด้วยการ์ตูน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

จาก “เครื่องปราบเด็กแว้น” ไปจนถึง “เอานมมาแลกไลค์” และอะไรต่อมิอะไรอีกหลากหลายมากประเด็นทางสังคม ที่ “จ๊อด 8 ริ้ว” หยิบมาบอกเล่ากล่าวถึงผ่านเส้นสายลายการ์ตูนสุดเฟี้ยว บวกกับมุกตลกลีลายียวนกวนโอ๊ยและเหน็บแนมแสบๆ คันๆ ทั้งหมดนั้นส่งผลให้ประชากรออนไลน์สมัครใจเป็นลูกเพจมากกว่าหนึ่งล้านคน...

หลังจากเรียนจบและเคว้งคว้างอยู่สักพัก เด็กหนุ่มเมืองแปดริ้วก็หอบหิ้วความฝันเข้าเมืองใหญ่ด้วยการชักชวนของรุ่นพี่ ก่อนที่จะพบว่า การเขียนการ์ตูนลงสื่อโซเชียล เป็นการสื่อสารที่ทำให้เขามีความสุข แม้จะบอกเล่าเรื่องราวน่าทุกข์ชวนปวดหัวในสังคม แต่ด้วยอารมณ์ขันที่แพรวพราว ก็ส่งให้เรื่องที่เล่ากลายเป็นเรื่องตลก และตลกร้ายเจ็บจี๊ดกรีดใจ

จะว่าไป “จ๊อด 8 ริ้ว” ชวนให้คิดถึงฉายาบรรดาคนในวงนักเลงที่มักจะใช้คำสร้อยห้อยท้ายชื่อแสดงความอหังการ์ในถิ่นฐานบ้านครอง แต่ถ้า “จ๊อด 8 ริ้ว” จะเป็นนักเลง เขาก็คงเป็นนักเลงการ์ตูนที่เพียบพูนด้วยความเป็นมิตร เพียงแต่เป็นมิตรที่ชอบ “กัดนิดๆ” ชอบ “จิกหน่อยๆ” พอหอมปากหอมคอและพอให้ได้ขำ

อ้อ...เราเกือบลืมบอกไป ชื่อจริง นามสกุลจริง ตามบัตรประชาชนของเขาคือ “อมรลาภ พรหมสุวรรณ”...

 ทำไมต้อง "จ๊อด 8 ริ้ว" ชื่อฉายานี้ เราไปได้อย่างไรมา

คือผมชื่อเล่นว่า “จ๊อด” ครับ แล้วบ้านผมอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเมืองแปดริ้ว สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ แต่ละคนก็จะมีชื่อที่ตั้งจากชื่อเล่นแล้วก็ตามด้วยถิ่นฐาน (หัวเราะ) ผมก็เลยได้ “จ๊อด แปดริ้ว” มาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วผมชอบชื่อนี้ ก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อเพจเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่13 กันยายน ปี 2012 ครับ

 ก่อนหน้าที่จะเริ่มวาดการ์ตูน เราทำงานเกี่ยวกับอะไร ที่ไหน อย่างไร

คือผมรักชอบเรื่องการวาดรูปมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พูดง่ายๆ คือพอจับปากกาได้ก็ชอบวาดเรื่อยมา ตอนเรียนก็เลยเลือกเข้าเรียนคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาศิลปกรรม ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ แต่พอเรียนจบมา ก็ไม่รู้จะไปทำงานทางไหนดี เคว้งคว้างมาก (หัวเราะ) พอดีมีรุ่นพี่เขาเอาผลงานที่ผมวาดไว้เล่นๆ ไปเสนอให้ เลยจับพลัดจับผลูได้มาทำงานที่กรุงเทพฯ จากนั้นก็ทำงานมาเรื่อยๆ จนหัวหน้าแนะนำให้ผมเปิดเพจการ์ตูนดู ผมก็เริ่มวาดการ์ตูนลงเพจตั้งแต่นั้นมา

 จุดเริ่มแรกคือเกิดจากความสนุก

ครับ...เพราะที่จริงแล้วผมเป็นคนชอบวาดรูปล้อเลียนคนอื่นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ทีแรกก็เริ่มจากวาดเพื่อนในห้อง วาดรูปอาจารย์ (หัวเราะ) แบบวาดเล่นขำๆ แต่พอผมได้มาทำงานอยู่กรุงเทพฯ ก็ได้เห็นอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เลยลองเอาเรื่องที่เคยเจอในชีวิตมาวาดล้อเลียนดู ปรากฏว่าคนกดไลค์เยอะมากและยอดแชร์เยอะมาก ก็เลยวาดแบบนี้มาเรื่อยๆ คือมันรู้สึกอยากจะแสดงความคิดของเราออกไป แต่ผมอยากจะสื่อผ่านการ์ตูนแค่นั้นเอง

• แต่จากการ์ตูนของเราเหมือนเรามองปรากฏการณ์ทางสังคมเป็นเหมือนเรื่องตลก เพียงแต่มันตลกร้าย อะไรทำให้เรามองแบบนั้น

คือผมไม่อยากให้คนซีเรียสกับเรื่องนั้นๆ มากนัก เลยวาดออกมาให้มันดูตลก แต่ในเรื่องราวที่มันดูตลกนั่นแหละ มันจะสะท้อนอะไรบางอย่างถึงผู้อ่าน ทำให้เขาได้คิดอีกแบบหนึ่ง ซึ่งผลตอบรับช่วงแรกๆ ค่อนข้างดีมากเลยครับ ผมดูเหมือนจะเป็นหน้าใหม่ในวงการเลย ก็มีสื่อเยอะแยะมากมายให้การสนับสนุน พอช่วงหลังๆ คนเริ่มจะไลค์กันเยอะมากๆ กลุ่มที่ดูการ์ตูนเริ่มมีความคิดที่หลากหลายมาก จึงโดนโจมตีบ่อย แล้วเพจอื่นๆ ก็มีขึ้นมาเยอะมาก ตอนนี้เลยมีคู่แข่งมากเหมือนกัน

 จากความคิดสนุกๆ ส่วนตัวก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในแง่บวกและแง่ลบเหมือนกัน

มีครับ อย่างแง่บวกก็จะมีกลุ่มแฟนเพจที่ให้กำลังใจอยู่มาก แต่ส่วนในแง่ลบก็มีบ้างเหมือนกัน คือกลุ่มคนไม่เห็นด้วยกับเรื่องราวที่ผมหยิบเอามานำเสนอ ก็เลยถูกโจมตีอยู่บ้างครับ

 มันเริ่มไม่สนุกแล้วหรือเวลามีคนโจมตี มองผลงานเราว่าค่อนไปในทางยุยงส่งเสริมมากยิ่งขึ้น

คือตอนนี้ การวาดการ์ตูนลงเพจเฟซบุ๊กมันเป็นอาชีพหลักของผมไปแล้วครับ สิ่งที่ผมทำได้คือวาดการ์ตูนออกมาให้ดีที่สุดครับ ผมก็เลยทำ คือส่วนตัวผลงานสะท้อนแง่มุมอีกด้าน มันจะมีประโยชน์หรือโทษ มันอยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคน

ใครมองเป็นลบก็คือลบ แต่ถ้าใครมองแล้วสามารถสะท้อนกลับไปใช้พัฒนาตัวเองจากข้อผิดพลาดจากสังคมได้ ก็นับว่าดีมากเลยครับ นั่นคือการ์ตูนผมประสบความสำเร็จแล้ว

 ถ้าถามถึงมุมมองในฐานะคนคนหนึ่งที่อยู่บนสังคม เราอยากให้สังคมเป็นอย่างไร มองอย่างไร และควรจะคิดเห็นเรื่องราวที่พบเจอในชีวิตประจำวันอย่างไร

อยากให้สังคมเป็นอย่างไร มองอย่างไร และควรจะคิดเห็นเรื่องราวที่พบเจอในชีวิตประจำวันอย่างไร ส่วนตัวผมอยากให้คนในสังคมคิดถึงแก่ส่วนรวมก่อน เพราะทุกคนจะได้มีความเกรงใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ถ้าเราเจอเรื่องอะไรแย่ก็มองเป็นเรื่องตลกซะ ไว้ไปเล่าให้เพื่อนในออฟฟิศหรือคนที่บ้านฟัง (หัวเราะ) ชีวิตจะได้มีความสุขมากขึ้นครับ

 ทราบมาว่าตอนนี้คุณมีผลงานทางหนังสือด้วย อยากให้ช่วยเล่าว่ามันเริ่มแตกกิ่งก้านได้อย่างไร

ตอนช่วงแรกๆ ก็เริ่มมีสำนักพิมพ์ติดต่อมาให้ไปออกรวมเล่มอยู่เหมือนกันครับ สุดท้ายก็ได้ออกหนังสือกับสำนักพิมพ์ To share ตอนนี้ก็ได้มีหนังสือการ์ตูนออกมา 3 เล่มแล้วครับ

 ผลงานในส่วนของเพจเฟซบุ๊กกับส่วนของหนังสือเล่ม มีความเหมือนหรือแตกต่างกันบ้างไหม

แตกต่างมากครับ ที่ผมวาดลงเพจเฟซบุ๊กส่วนใหญ่จะวาดโดยอิงตามกระแสสังคม แต่พอวาดเป็นหนังสือแล้วเราต้องสื่อให้มันร่วมสมัย อ่านได้ทุกเวลา จึงต้องคิดใหม่ทั้งหมดเลยครับ ต้องมีบรรทัดฐานมากขึ้น ไม่เสนอเรื่องราวที่กระทบหรือผลประโยชน์กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ต้องคิดถึงเยาวชนมากขึ้น เพราะการผันมาทำหนังสือออกสู่สาธารณชนในวงกว้างมากขึ้น ต้องมีความระมัดระวังเรื่องราวหรือมีลิมิตบ้าง เนื่องจากเราไม่สามารถคัดกรองอายุผู้อ่านได้ ผมก็ต้องลดคำพูดที่หยาบคายลงมา ทั้งภาพที่ดูไม่เหมาะสมกับเยาวชน คำเตือนต่อเยาวชน ว่าสิ่งนี้ดีหรือไม่ดี ไม่ควรทำตามนะ คือต้องบอกหมดทุกอย่างเลยครับ เพราะผู้ใหญ่กลัวเด็กจะคิดกันไม่ได้

• อย่างนี้สิ่งที่มุ่งหวังที่ต้องการจะสื่อแง่มุมอีกด้านตอนนี้เป็นอย่างไร เปลี่ยนไปหรือไม่ จุดประสงค์มีเพิ่มเติมขึ้นหรือเปล่า

คือผมจะชอบเอาเรื่องแย่ๆ ของสังคมเอามาสื่อแบบล้อเลียนเหตุการณ์ เหมือนว่าย้ำมันลงไปว่าทำแบบนี้แล้วมันจะเกิดผลเสียอย่างไร จะได้สะท้อนไปยังผู้อ่านได้ แต่ถ้าใครอยากทำตัวแย่ๆ ตามการ์ตูนที่ผมวาด ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงครับ

แต่สิ่งที่ผมวาดมาทั้งหมด ผมมีเจตนาที่ดีต่อสังคมมากๆ ครับ ก็อยากจะฝากถึงการมอง การคิด อยากให้ใช้สติเสพสื่อ แล้วคิดก่อนที่จะแสดงความเห็นครับ ทุกความเห็นไม่มีถูกหรือผิด เพราะทุกมุมไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ก็มีทั้งด้านดีและไม่ดี









เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : เพจเฟซบุ๊ก 'Jod 8riew'

กำลังโหลดความคิดเห็น