ชีวิตของเธอยิ่งกว่าคำว่า “ทรหด” จะอธิบายได้หมดจดครบถ้วน “เอรี่” โสเภณีสัญชาติไทยผู้ช่วยให้ชายหลายประเทศข้ามพ้นเขตของความเหงาเปลี่ยว จากไทยถึงฮ่องกงและญี่ปุ่น จากสิงคโปร์สู่บาห์เรน เธอตระเวนไปมาแล้วทั้งหมด ก่อนจดบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นผ่านตัวหนังสือ “ฉันคือเอรี่ฯ” เล่าเรื่องสตรีขายตัว ที่ได้รับรางวัล!
“โสเภณี”, “อีตัว”, “หญิงขายบริการ” หรือแม้กระทั่ง “กะหรี่” ฯลฯ สรรพนามเหล่านี้เป็นดั่งคำแสลงที่ระแคงระคายรูหัวใจของสังคมเสมอมา แต่ก็มักเป็นอะไรที่ถูกพูดถึงแบบขมุบขมิบปาก อย่าว่าแต่คนที่มีศีลอยู่ในปากมีสากอยู่ในมือ แม้ใครต่อใครที่เคยประกอบอาชีพนี้มา ก็ยังอยากจะปิดหูปิดตา ปิดความทรงจำเกี่ยวกับงานการนั้น แต่นั่นอาจไม่ใช่สำหรับผู้หญิงคนนี้ “ธนัดดา สว่างเดือน” ผู้ขับเคลื่อนวันเวลากว่าครึ่งชีวิตบนเส้นทางสายนางงามตู้กระจก
ตลอดระยะเวลามากกว่า 20 ปีกับการพลีกายให้ชายเชยเพื่อแลกกับเงิน ปฐมบทแห่งชีวิตโสเภณีของ “เอรี่ ธนัดดา” ก็คงไม่ต่างไปจากนิยายชีวิตของอิสตรีขายตัวจำนวนไม่น้อยที่ถูกความจำเป็นกระทุ้งส่งให้ลงไปในโลกแห่งการขายเรือนร่าง อย่างไรก็ดี จากจุดที่คิดว่าจะอยู่เพียงครู่คราว โลกลึกลับใบนั้นกลับเหมือนค่อยๆ กลืนกินชีวิตของเธอเข้าไปทีละนิดจนเกือบจะปิดประตูทางออก
...นี่ไม่ใช่เรื่องราวของหญิงสาวกับการผจญภัยทางเพศ
...นี่ไม่ใช่คำแก้ต่างของคนขายตัว
และนี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง หากคิดว่าสิ่งที่กำลังเล่า ควรถือเอาเป็นแนวทาง
หากแต่คือประสบการณ์ที่กลั่นออกมาจากชีวิตของอดีตหญิงขายบริการคนหนึ่งซึ่งมหัศจรรย์ราวกับ “นิยายน้ำเน่า” เรื่องหนึ่ง
“ฉันคือเอรี่ ประสบการณ์ข้ามแดน”...
เปิดประตูสู่ “ตู้กระจก”
เป็น “นางงาม” ในโลกสีเทา
“ตอนแรกนั้น เพื่อนคนหนึ่งชวนไปทำงานที่พัทยา เขาบอกว่าไปเป็นบาร์เทนดี้ ทำหน้าที่ชงเหล้าให้ลูกค้า ได้เงินเดือน 5,000 บาท เราก็คิดในใจว่าได้เยอะดี เพราะตอนทำงานห้าง เราก็ได้แค่เดือนละ 3,500 บาท ซึ่งปี พ.ศ.2527 นั้น เงินห้าพันถือว่าเยอะมาก เราก็นั่งรถตู้ไปเลย”
โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ปลายทางข้างหน้ามีอะไรรออยู่ แต่เมื่อเห็นโอกาสแห่งชีวิตที่คิดว่าจะช่วยให้ลืมตาอ้าปากได้ สาวน้อยลูกหนึ่งจึงตัดสินใจออกเดินทางไปเสี่ยงดวง...
“เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคืองานขายบริการ เพื่อนบอกลักษณะงานแค่ว่า เราต้องนั่งรอในตู้กระจก พอมีแขกเรียก เขาก็จะพาเราไปชงเหล้า ตอนนั้นเรารู้แค่นั้น และ 4 วันผ่านไป เราก็ยังไม่ได้แขกเลย ใจนึกอยากกลับกรุงเทพฯ แล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว แต่ถึงจะอยากกลับ ก็ยังกลับไม่ได้ เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินแค่ 4 บาท เราก็ตั้งใจว่าถ้าได้ทิปสัก 200-300 บาท พอเป็นค่ารถทัวร์กลับบ้าน เราจะไม่อยู่แล้ว
“จนกระทั่งเจ้าของบาร์หาแขกมาให้ เป็นคนไทยทำไกด์ทัวร์ญี่ปุ่น เขาก็พาเราไปที่ต่างๆ กินเหล้า แทงสนุ้กเกอร์อะไรไป เราก็สงสัยว่าจะมาทำไม ไม่ได้ไปชงเหล้าในบาร์ เสร็จแล้วก็พาเราไปโรงแรม เราก็เริ่มรู้แล้ว เขาให้เราไปอาบน้ำแล้วจะมีเซ็กซ์กัน เราก็เริ่มรู้แล้วว่าเราไม่ได้ทำแบบนี้นะ ก็ร้องไห้ใหญ่เลย ขอเขากลับบ้าน อ้อนวอนเขาว่าอย่าทำหนูเลย อีกอย่าง เราไม่เคยนอนกับผู้ชายคนไหนนอกจากแฟน ตอนนั้นเราคลอดลูกได้ 4 เดือน จังหวะที่น้ำนมมันไหลพอดี เสื้อเราเปียกน้ำนมชุ่มเลย เขาก็ถามว่าเธอเพิ่งคลอดลูกเหรอ เราก็ตอบว่าใช่ เขาก็ไม่ยุ่งกับเราเลย แต่ให้เงินเรา 4,000 บาท ตื่นเช้ามา เรามานั่งมองเงิน 4,000 บาท ก็รู้สึกว่าทำไมเงินมันเยอะขนาดนี้ ทำไมได้ง่ายขนาดนี้ แสดงว่าคนอื่นก็ได้แบบเดียวกับเรา ด้วยการนอนกับผู้ชายหนึ่งครั้ง เราก็คิดว่าถ้าอยู่ต่อล่ะ เราน่าจะมีเงินกลับไปเลี้ยงดูลูกเราแน่ จึงเปลี่ยนใจ ไม่กลับกรุงเทพฯ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เราขายบริการ”
คิดถึงสภาพที่บ้าน และดวงตาของลูกน้อยที่คอยรอ...แม่คนหนึ่งจึงยินยอมที่จะก้าวข้ามเส้นกั้นบางอย่าง ภาพชีวิตครอบครัวที่แสนสุข ลูกกับแม่ ผุดพรายในความคิด ฝันให้มันแตกต่างไปจากภาพในอดีต กับชีวิตวัยเด็กของเธอซึ่งเจอมา
“เดี๋ยวนี้ เวลาที่เราเห็นคนแชร์โพสต์กันว่า บ้านคนนี้ยากจน บ้านคนนั้นยากจน แต่จากที่เรามอง บางที เขายังมีตู้เย็น มีทีวี มีเครื่องใช้ไฟฟ้านะ แต่ความจนของเราคือแม้แต่เงินจะไปโรงเรียนยังไม่มีเลย สิ่งเหล่านี้มันทำให้เราสะสมเป็นความเก็บกดเรื่อยมา และที่สำคัญ ครอบครัวเราก็ไม่อบอุ่น พ่อมีเมีย 2 คน คือแม่ของเราและเมียน้อย พ่อพาเมียน้อยมาอยู่ในบ้านด้วย มานอนรวมกับแม่ ครอบครัวเราเป็นอย่างนั้น ซึ่งเรารู้สึกว่ามันไม่ได้อบอุ่นเลย เรามีพี่ชายคนหนึ่ง เวลาเราทำผิด พี่ชายจะซ้อมและตบตีเรา บางทีก็เตะ กระทืบเราติดข้างฝาก็มี
“เหตุผลที่โดนซ้อมโดนตี ก็คงเพราะเขามองเราว่าแรด เนื่องจากเราชอบแต่งตัว บางทีก็กางเกงขาสั้น ตามประสาผู้หญิง แต่ในความเป็นจริง เราไม่เคยทำอะไรผิดเลย แต่พี่ชายเขามองเราว่าเราคงไปเสียตัวมาแล้วแน่ๆ ก็ตบตีทำร้ายร่างกายเรา หรือบางที แม่ตีเราแล้วก็ส่งให้พี่ชายตีต่ออีก เราอยู่กับความกดดันและการถูกทำร้ายร่างกายมาตลอด จนกระทั่งถึงจุดที่ไม่ไหวแล้ว ทีนี้ล่ะ เราอยากจะไปเที่ยวแล้วเรารู้ว่าต้องโดนตีแน่ๆ เราก็คิดว่า ช่างมัน กลับมาโดนตีช่างมัน เราก็จะคิดแบบนี้แล้ว เรายอมเจ็บตัวที่จะโดน ขอให้ไปสนุก ซึ่งเราก็จะมีความคิดแบบนี้ ก็เริ่มเตลิดไปติดเพื่อนติดฝูงเรื่อยเปื่อย เพราะเวลาเราเจอเพื่อน เราสนุกเลย แต่เราก็ไม่เคยกินเหล้าเสพยานะ ก็แค่สนุกตามประสาเด็กๆ แค่นั้นเอง ขอให้ฉันได้ไปปลดปล่อยตัวเองจากโลกความจริง เราทำใจแล้วว่าจะต้องโดนตีแบบนี้นะ แล้วก็โดนจริงๆ มันเลยกลายเป็นความชาชิน รับได้ ไปสนุกก่อน แล้วโดนตีทีหลัง”
วันคืนแห่งวัยรุ่นที่โลดแล่นอยู่บนความเริงรื่นเพื่อหลบหนีจากความขมขื่นในครอบครัว ถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อเด็กสาวพบว่าตนเองตั้งครรภ์...
“ตอนนั้นเราเรียนจบ ม.3 กำลังจะเข้า ปวช. ปรากฏว่าไปพลาด ท้อง...ที่พลาดก็เพราะเราไม่รู้จักเรื่องการป้องกัน ครั้งแรก ครั้งเดียว แล้วท้องเลย ญาติพี่น้องก็ทั้งด่าทั้งประณามเรา เกือบฆ่ากันตาย ตอนนั้นเราคิดว่าจะไปทำแท้ง แต่ก็ไม่ได้ทำ แต่ที่สำคัญเลย หมอบอกว่าเราติดซิฟิลิสด้วย มันคือโรคที่แฟนเราไปเที่ยวบริการมาแล้วมาติดเราต่อ เราก็ต้องรอจนคลอดลูกแล้วจึงไปรักษา แต่ลูกเราก็ติดเชื้อนี้ไปด้วยแล้ว แถมกินนมเราไม่ได้ เพราะเรายังอยู่ในช่วงรักษา เราก็ต้องหาเงินมาซื้อนมให้ลูก ก็ไปทำงานรับจ้าง เสิร์ฟอาหาร ล้างจาน ที่ร้านข้าวมันไก่ แล้วก็ขายขนมครก วันหนึ่งรายได้ร้อยกว่าบาท มันไม่พอ จนกระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งชวนไปทำงานที่พัทยา เขาบอกว่าไปเป็นบาร์เทนดี้...”
จากหมุดหมายในงานชงเหล้า ความเป็นจริงผลักหญิงสาวเข้าสู่โลกชงรัก เป็น “นางงามในตู้กระจก” ด้วยความหวังว่าจะเก็บเงินสักก้อน กลับไปสร้างชีวิตที่ดีกับลูกที่บ้าน แม้ใครคนนั้นที่เป็นพ่อของลูก จะหลุดหายไปจากวงโคจรของชีวิตแล้วก็ตาม
“การทำงานนั้นมันมีความอายแน่นอน ลึกๆ เราอับอายนะ แต่เราก็ทน แรกๆ ก็มีร้องไห้ นอนกับผู้ชาย 3-4 คนแรก ก็ร้องไห้อยู่ หลังจากได้เงินก็รู้สึกทุกข์ทรมาน ไม่อยากทำๆ จนกระทั่งเริ่มชาชินและกลายเป็นเรื่องปกติในที่สุด คิดว่ามันเป็นงาน คิดแบบนั้นไป ทำใจเป็นหุ่นยนต์ อัตโนมัติ จ่ายเงินปุ๊บ ขึ้นเตียงทำงาน ความอายมันไม่มีแล้ว มันเป็นหุ่นยนต์ ก็ยังคิดถึงครอบครัว เราอยากมีเงินเลี้ยงลูก เลี้ยงพี่น้องเรา อยากให้ครอบครัวเรามีความสุข ก็นึกเห็นภาพตลอดนะว่า ถ้าเราช่วยแม่ ช่วยครอบครัว ทุกคนจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก
“แต่มันก็มีความรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ ในใจทุกครั้งที่บอกตัวเองว่าไม่อยากทำ แต่ว่าอยากได้เงิน ก็ต้องทนทำเพื่อให้ได้เงิน ถามว่าอายมั้ย ความอายมันหายไปหมดแล้ว และมันก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ตรงที่เราไม่เคยทำงานกับคนไทยเลย เราถึงไม่อายมาก เพราะว่าเราไม่ได้ใช้ภาษาไทย เป็นลูกค้าต่างชาติตลอด คุณจะพูดอะไรก็พูดไป ฉันไม่รู้เรื่องหรอก ก็คือตัดปัญหาตรงนี้ไป”
มหากาพย์บนกลีบชีวิต
“โสเภณีอินเตอร์”
คืนและวันผ่านพ้น บนเตียงนอนและหมอนฟูก ประมาณ 8 เดือน นับแต่สาวน้อยคล้อยเคลื่อนสู่งานขายบริการ เรือนร่างที่เริ่มสะพรั่งเต็มสาว ราวกับความหวังที่สะพรั่งอยู่กลางใจ นำไปสู่การตัดสินใจครั้งใหม่ที่แม้แต่เธอเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน...
• ทำงานมานานถึง 8 เดือน น่าจะมีเงินเก็บพอสมควรที่จะกลับบ้านได้ ตอนนั้นทำไมถึงยังอยู่
ก็กลับมานะ มาทำงานดีๆ อยู่พักหนึ่ง แต่มีเงินเก็บมาด้วยไหม ไม่มีเลย เพราะตอนทำงานที่พัทยา เราก็ส่งเงินให้แม่ทุกเดือน เงินเก็บก็จึงไม่มี พอทำอยู่ได้ 8 เดือน เพื่อนๆ ด้วยกันเขาก็ไปทำที่ต่างประเทศกันหมด พอไม่มีเพื่อน เราก็ไม่อยากอยู่ต่อ ไม่อยากทำแล้ว ไม่อยากขายตัวแล้ว ก็รับจ้างล้างจาน ไปขายขนมครก เรื่อยเปื่อย ก็มาเกิดความคิดอีกว่า เมื่อก่อน เราหาเงินได้หลายพันบาท ทำไมเราต้องมาทนทำอย่างงี้ เพื่ออะไร เพื่อศักดิ์ศรีหรือ เราคิดแบบนี้เลยนะ ถ้าเราไม่ทำ เราไม่มีเงินนะ ก็เลยต้องกลับไปอีกรอบ เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่า ศักดิ์ศรีมันทำให้เราไม่มีกิน เราต้องการความสุขสบาย แต่ไม่ถึงกับต้องสบายมาก แค่มีกินมีใช้ เราก็เลยไปต่างประเทศครั้งแรก คือฮ่องกง มีคนติดต่อให้ไป”
• งานที่ฮ่องกงกับที่เมืองไทย แตกต่างกันอย่างไรบ้าง
รับศึกหนักมาก...(ลากเสียง) วันหนึ่งเรารับลูกค้า 40-50 คนเลยนะ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ารับไปได้ยังไง เงื่อนไขตอนแรก เขาจะไม่บอกเราชัดเจน เขาจะบอกแค่ว่าไปทำงานนะ ได้เท่านี้ๆ นะ ใช้หนี้ 150 คนนะ แต่เมื่อไปถึง ถึงได้รู้ว่าเขาต้องใช้ 3-4 วันกว่าจะหมด ฉะนั้น ภายใน 14 วันที่เรามีวีซ่า ถ้าเราใช้หนี้ไม่หมดใน 150 คน นั่นหมายถึงเราเสียตัวฟรีนะ เราไม่ได้อะไรเลย เพราะว่าเราใช้หนี้ เราจะไม่ได้สักบาทเลย หนี้ที่ว่านั้นก็คือค่าใช้จ่ายต่างๆ ค่านายหน้า ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าอาหารการกิน แต่ถ้าผ่าน 150 คนไป คนที่ 151 จะต้องนำมาหารสามอีก เราไม่ได้คนเดียวเต็มๆ นะ ซึ่งเอาเปรียบเรามากๆ แต่เมื่อไปแล้วก็ต้องทำ จะให้กลับบ้านมือเปล่าก็คงไม่ใช่
พอทำไปสักพัก เราไม่อยากได้เงินแล้ว เพราะรู้สึกว่าเราไม่ไหวแล้ว แต่กลับบ้านไม่ได้ เพราะพาสปอร์ตกับตั๋วเครื่องบินอยู่กับเถ้าแก่ สุดท้ายก็หนีกลับ วันนั้น เราเดินเข้าไปหาตำรวจเลย แล้วบอกว่า “ช่วยจับที ฉันอยากกลับบ้าน” แต่ตำรวจก็ไม่ยอมจับเรา เพราะเขาจับไม่ได้ ตำรวจที่จะจับเราได้คือพวก CID ซึ่งเป็นพวกฝรั่งที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นตำรวจ พวกนี้แหละจะมีหน้าที่จับผู้หญิงขายบริการที่ฮ่องกง ส่วนตำรวจที่เราเดินเข้าไปหา เขาก็บอกว่าจับไม่ได้หรอก แต่เราก็ขอร้อง “ช่วยหน่อยเถอะ” จนในที่สุด เขาก็ยอมที่จะเดินเรื่องให้เรา ส่งกลับเมืองไทยวันนั้นเลย
• แล้วเรื่องเงินเรื่องรายได้จากงานที่เคยทำมา สูญไปหมดเลยใช่ไหม
ตอนแรกก็คิดนะว่ามันต้องโกงเงินเราแน่ๆ คิดว่าเถ้าแก่ต้องทำอย่างงั้น ตามล้างตามฆ่าเราแน่ๆ แต่กลับกลายเป็นว่า พอเรากลับมาเมืองไทยแล้วติดต่อเขาปุ๊บ เขาโอนเงินทุกบาททุกสตางค์ให้เราหมดเลย เราทำได้เท่าไหร่ เขาให้หมด ไม่โกงเราเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกมากที่เขาก็ยังมีมนุษยธรรม เราก็นึกขอบคุณเถ้าแก่คนนี้นะ เขาคงคิดว่าเราถูกตำรวจจับ ทั้งที่จริงๆ เราวิ่งเข้าหาตำรวจเอง (หัวเราะ) เพราะเราไม่ไหวไง พอเขาส่งเงินมา เขาก็บอกว่ากลับมาอีกได้นะ ตอนนั้นได้เงินมาประมาณ 80,000 บาท เป็นเงินเยอะก้อนแรกในชีวิตที่เราไม่เคยมีมาก่อนนะ อายุตอนนั้นก็ 18 ปี ก็ให้พ่อให้แม่ แต่อยู่เมืองไทยได้สิบกว่าวัน เราก็ดิ้นรนไปญี่ปุ่น อารมณ์แบบวัยรุ่นไม่เคยเจอแสงสี เขาเรียกว่าใจแตก แต่เราเริ่มอยากเรียนรู้โลกกว้างแล้ว เราอยากที่จะไปที่นั่นที่นี่ เริ่มไม่กลัวอะไรแล้ว จะพาไปไหนก็ช่าง เรารู้อย่างเดียวว่าสุดท้ายก็พาไปขายตัว มันคงไม่มีอะไรที่เลวร้ายกว่านี้แล้วล่ะ ดีกว่าหลอกไปฆ่า
• จากฮ่องกง ไปญี่ปุ่น ชีวิตมีพัฒนาการอย่างไรต่อไปบ้าง
อยู่ญี่ปุ่นได้ 4 ปี ชีวิตเหลวแหลกเละเทะมากชีวิต แรกๆ ก็ดี แต่พออยู่ไป ก็ไม่ดี เพราะเราไปติดยานอนหลับ คือยาโดมิคุม ยาชนิดนี้คือยาที่ผู้หญิงไทยในญี่ปุ่นส่วนใหญ่กิน กินเข้าไปแล้วมันจะเบลอและจำอะไรไม่ได้ แต่จะทำให้เรากล้า สมมุติว่า เราจะออกไปจับลูกค้า เราไม่กล้าไป แล้วไม่รู้จะพูดยังไง แต่พอกินยาตัวนี้ไป ความหน้าด้านจะเข้ามาทันที เราจะเดินเข้าหาลูกค้า เราจะทำทุกสิ่งอย่างให้ลูกค้าพาเราไปให้ได้ หลังจากนั้น พอลูกค้าพาเราไป ตื่นเช้ามา เราจะจำอะไรไม่ได้แล้วว่าเมื่อคืนไปไหนมา แขกมากี่คน รู้อย่างเดียวว่าฉันเปิดกระเป๋าสตังค์มา ฉันเจอตังค์ พอแล้ว
พอเราเริ่มกินยาตัวนี้ไปเรื่อยๆ ตอนหลังต่อให้เรากล้าทำงาน เราก็ต้องกิน เพราะว่าเราติดมัน ถ้าเราไม่กิน ก็จะอยู่ไม่ได้ ถึงไม่มี ก็ต้องหาให้ได้ ก็จะมีคนไทยเอายาตัวนี้มาขายเยอะ เราก็ยืนข้างถนน เบลอยากัน ส่วนมากจะกินยากัน ทีนี้ ผู้หญิงที่ไปจับลูกค้า แม้แต่ตัวเราเองก็ถูกลูกค้าที่ไม่ดี อย่างพวกยากูซ่า พาเราไปทำร้ายบ้าง ตบตีบ้าง เอาเงินเราไป ค่าตัวก็ไม่ได้ เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เพราะเราเมายา บางทีเราก็ตื่นมาพบว่าที่นี่ที่ไหน ถึงขนาดนั้น เงินในกระเป๋าหมดแล้ว ไม่มี พวกนั้นเอาไปหมดเลย
จนกระทั่งจับพลัดจับผลูไปอยู่กับแกงค์ยากูซ่าที่ตัวใหญ่พอสมควรในชินจูกุ ชีวิตก็เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม เริ่มรู้ว่าเขาค้ายา มันเป็นกงกรรมที่เราต้องไปอยู่ในนั้น เพราะว่าวนอยู่ในนั้น 2 ปี กว่าจะหลุดออกมาได้ เราถูกทำร้าย ตบตีสารพัด ซึ่งมันเยอะมาก แล้วก็ไม่รู้ว่ารอดมาได้ไง เพราะเราไม่อยากอยู่กับแกงค์ไง เราเลยหนีออกมา พอถูกจับได้ เขาก็ซ้อมเราประมาณว่าเราไปรู้ความลับเขาแล้ว เขาไม่ปล่อยเรา ทุบตีแล้วพาเราไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งเดี๋ยวนี้ เราเสิร์ชกูเกิ้ล เรายังเจอหน้าเขาด้วยนะ เขาเป็นเจ้าพ่อเบอร์ 5 ในชินจูกุ อยู่แกงค์ยามางุจิ เป็นแกงค์ดังในญี่ปุ่น มีเครือข่ายทั่วประเทศเลย บางทีชีวิตก็ตลกนะ เหมือนละครน้ำเน่าเลย
• ความเป็นอยู่ตอนอยู่ในแกงค์ยากูซ่า เป็นอย่างไรบ้าง
ก็เปรียบเสมือนคุณหนูคนนึง แต่จริงๆ เราเหมือนถูกหลอกใช้งาน เขาสวมหัวโขนให้เรา เขาก็เปรียบเราเหมือนลูก เวลาไปไหนก็มีคนมาโค้งคำนับ มันทำให้เราหลงระเริง และทำให้รู้สึกว่าฉันหลงตัวเองมากเลย เราหลงและกร่างมากเลยในตอนนั้น มันเป็นชีวิตที่หรูหราใหญ่โตมากเลย ตอนที่อยู่ชินจุกุ ไม่มีใครกล้ายุ่งกับเรา เพราะทุกคนรู้จักเจ้าพ่อยากูซ่าคนนี้ ขณะเดียวกัน เราก็โดนสวมหัวโขนให้เป็นมาม่าซัง พาผู้หญิงมาทำงานในร้านของเขา
ตอนนั้นอายุเรา 20-21 แล้ว รู้สึกว่าเราหลงมากเลย หลงไปกับหัวโขนอันนั้น ตอนเวลาเราทำผิด เพื่อนก็รับกรรมเยอะแยะ แล้วเพื่อนเราที่มาทำงาน จะต้องถูกฉีดยา มีเซ็กส์ และถูกอะไรเยอะมากเลย เรามาคิดทีหลังว่ามันบาปนะ นั่นคือเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้เราเริ่มไม่อยากอยู่กับเขาแล้ว เราก็เลยหนีออกมา พอเราหนีออกมา ก็ถูกตามล่า และโดนจับได้ ก็ถูกทุบตี ตบ และจะฆ่าเราให้ได้ คือวันนั้น เราได้รู้เลยว่า คนเราก่อนจะตายมันทุกข์ทรมานขนาดไหน เขาหิ้วปีกเราไป เรารู้ตลอดเวลาเลยว่าจะเอาไปทิ้งภูเขาแน่ๆ เหมือนกับผู้หญิงไทยหลายคนที่ถูกเอาไปทิ้ง ทิ้งเขา ทิ้งทะเล ถูกฆ่าตาย แล้วหายสาบสูญไปไร้ร่องรอย เรารู้ว่าเรากำลังเป็นอย่างนั้น แต่สุดท้าย เราก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาพาเราไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ให้เลือด ให้น้ำเกลือเรา เราถึงรอดมาได้ สาหัสมาก
• แล้วหลุดจากตรงนั้นมาได้อย่างไร
ก็อยู่มาวันหนึ่ง หัวหน้าแกงค์คนนั้นเขาบอกกับเราว่า เธอต้องออกไปจากที่นี่นะ ฉันอาจจะต้องไปติดคุกแล้ว เพราะเขาไปฆ่าคนตาย เนื่องจากเขาใช้ลูกน้องไปเก็บคนอีกแกงค์ แต่ไม่สำเร็จ เขาจึงทำเองและเกรงว่าจะถูกจับได้ หัวหน้ายากูซ่าคนนี้ก็ให้เงินเรามาประมาณ 3 แสนบาทไทย แล้วบอกเราว่ากลับบ้านไป อย่าอยู่ที่นี่ ถ้าไม่มีฉัน เธอจะอยู่ไม่ได้ เราก็ร้องไห้เสียใจ เพราะเริ่มที่จะรักเขาเหมือนพ่อคนหนึ่ง พอเขาติดคุก เราก็เป็นอิสระ แต่ยังไม่ได้กลับเมืองไทย จนกระทั่งได้เจอผู้ชายคนหนึ่งที่ซื้อบริการเรา สุดท้ายก็มาแต่งงานกัน เขาชื่อชินยะ
พอเราเจอผู้ชายคนนี้ ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนอีก เราเลิกขายบริการ เพราะเรามีความรักกับเขา เรารู้สึกว่าเขาไม่อยากให้เราขายตัวอีก และเราก็ไม่อยากขายแล้ว แรกๆ เราอยู่ไป เราหลง เพราะผู้ชายคนนี้อายุน้อย มีรถเก๋ง แค่นี้เองในความคิดของเด็กๆ แบบเราตอนนั้น แต่ก็เห็นว่าเขาเป็นคนดี เราก็เริ่มรักเขานะ ไม่ขายตัวแล้ว ก็ทำอาหารไทยแล้วปั่นจักรยานไปเร่ขาย ไปเดินสมัครงานแถวไชน่าทาวน์ในโยโกฮาม่า ไปเป็นเด็กล้างจาน ทำทุกสิ่งทุกอย่าง เช็ดโต๊ะเสิร์ฟอาหาร แล้วมันไปถึงจุดๆ หนึ่ง หลายเดือนผ่านไป เรารู้สึกว่า เงินไม่พอใช้ เราก็กลับไปอีก ไปขายบริการ แอบไปทำโดยที่ไม่ให้แฟนรู้ เพราะเราไม่อยากให้แฟนเสียใจ จนกระทั่งโดนตำรวจจับ ทีนี้เรื่องเลยแดง เราติดคุกประมาณสามอาทิตย์กว่า ก็ถูกส่งตัวกลับเมืองไทย
• ฟังว่า นอกจากฮ่องกง และญี่ปุ่น คุณยังเดินทางไปทำงานในประเทศอื่นๆ ด้วย
ก็มีไปสิงคโปร์ ค่าใช้จ่ายไม่มาก แค่รับลูกค้า 80 คนก็ใช้หนี้หมด ทำงานวันละ 10 กว่าคน และได้เงินเยอะกว่า แต่พอไปถึง มันทรมานกว่าฮ่องกงอีกนะ เพราะมันเป็นเหมือนซ่อง เราถูกส่งไปทำงานหลายจุดมาก เหมือนตัวทดลองที่เบื้องบนส่งเราไป ที่หนึ่งซึ่งจำได้ เป็นโรงงานใหญ่ๆ มีคนต่างชาติไปทำกัน เถ้าแก่ก็ไปกางเต็นท์ในป่า เพื่อให้เราไปรับแขกพวกนี้ แล้วจะมีผ้าห่มมาขึงๆ แบ่งเป็นแต่ละห้อง ซึ่งมีแค่ 5-6 คน เฉลี่ยวันหนึ่งเราจะรับแขกประมาณ 20-30 คน ภายใน 2-3 วัน เราจะเก็บได้เกือบหมด กับผู้หญิง 5 คน เราก็ทำงานตรงนั้น ใช้เวลาแค่ 15 นาทีต่อคน เรียบร้อย คนต่อไปเข้ามา สุดท้าย เราก็รู้สึกว่าเรารับสภาพนั้นไม่ได้
จากนั้น ก็กลับมาทำที่เกย์ลัง (Geylang ย่านโคมแดงที่ขึ้นชื่อของสิงคโปร์) เถ้าแก่ก็ตระเวนพาเราไปขายตัว ไปจับแขกในดิสโก้ เหมือนเราเป็นสัตว์ประหลาดหรืออะไรสักอย่าง ตอนนั้นเรารู้แล้วว่าตัวเราเริ่มไม่มีคุณค่าแล้วนะ เหมือนถูกพาไปเพื่อให้ได้เงิน ที่เกย์ลังจะมีซ่องซึ่งมีผู้หญิงเป็นพันคนเลย มีทั้งถูกและผิดกฎหมาย พวกถูกกฎหมายก็เป็นพวกที่มีการ์ดขาว มีสัญญา 2 ปี แต่คนพวกนี้เขาเสียภาษีให้รัฐบาลสิงคโปร์ ในกรณีที่ถูกทำร้ายร่างกาย เขาสามารถแจ้งความได้ แต่พวกเราเป็นพวกเถื่อน เรามีพวกมาเฟียคุ้มครอง เราจะไปร้องทุกข์ไม่ได้
เราไปทำงานที่นั่นได้ 10 กว่าวัน ใกล้จะครบกำหนดแล้วดันโดนตำรวจจับ เราถูกส่งไปติดคุกใต้ดิน คือผู้หญิงไทยที่มาขายบริการที่นี่ เมื่อโดนจับแล้วจะต้องถูกนำมาที่นี่ ในนั้น มันเป็นคุกนานาชาติ ทรมานกว่าคุกไทยอีก นอนสบายก็จริง แต่มันจะเป็นท่อแอร์ แอร์จะเย็นไปหมดเลย เราหนาว ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีอะไรเลย เราจะนอนติดกับพื้น นั่งขดตัวกันประมาณ 3 อาทิตย์ อายุเราตอนนั้น 28-29 แล้ว คือทุกข์ทรมานมาก สุดท้ายเขาก็ส่งเรากลับเมืองไทย ซึ่งพอมาคิดอีกที เราขอบคุณคุกสิงคโปร์นะที่ทำให้เราเข็ด เขาโหดร้ายกับผู้หญิงเพื่อไม่ให้ผู้หญิงกลับมาอีก วันที่เราถูกปล่อยตัว เจ้าหน้าที่ก็บอกกับเราดีๆ ว่าไปแล้วอย่ากลับมานะ ถ้ากลับมาอีก หนักกว่าเดิมแน่นอน เราก็เลยไม่อยากกลับไปอีก
• ชีวิตและการค้าขายเนื้อหนังมังสา น่าจะยุติลงตรงจุดนั้น แล้วเป็นอย่างไรถึงได้ไปบาร์หเรนอีก
เป็นช่วงหลังจากเรามีแฟนเป็นคนไทย ตอนนั้นเราเปลี่ยนชีวิตเลยนะ ไปขายเสื้อผ้า ขายเบเกอรี่ เป็นแบรนด์ตัวเอง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยอะไรหลายอย่าง ทั้งเรื่องฟองสบู่แตก (ช่วงปี พ.ศ.2540) 6-7 ปีผ่านไป แฟนเราไปติดผู้หญิงใหม่ เรารู้สึกเริ่มบ้าแล้ว ตอนนั้นอายุ 36-37 กลับมาบ้าน หมดตัว ไม่มีเงินซักบาท แต่ก็ทำขนมใส่ตะกร้าไปขายที่สถานีรถไฟใต้ดิน แถวสถานีรัชดา ขายไปร้องไห้ไปทุกวันเลย ก็คิดว่าทำไมชั้นต้องเป็นอย่างงี้ ทำไมมันตกต่ำย่ำแย่อย่างงี้ แต่ก็ขายจนกระทั่งเริ่มดีขึ้น เริ่มไปได้สวยและมีออเดอร์เข้ามาแล้ว แต่สถานีรถไฟใต้ดินบอกว่าห้ามขาย ไม่ให้มาตั้งแผง พอไม่มีที่ค้าขาย เราก็ไปสมัครงานเป็นพนักงานรูมเมท ทำความสะอาดห้อง จากนั้นก็ย้ายมาทำโรงแรม เกือบ 2 ปี ย้ายเกือบ 10 โรงแรม ก็กลับไปขายตัวอีก
ตอนนั้นก็ 39 แล้ว ไปสมัครงานก็ไม่มีใครรับเราทำงานเพราะอายุเรามาก เราก็เลยเอาบัตรประชาชนไปทำปลอม เปลี่ยนวันเดือนปีเกิดเหลืออายุเป็น 29-30 มันทำให้เราได้เห็นอะไรบางอย่างว่า คนเราไม่ได้มองแค่ศักยภาพรูปร่างหน้าตาเท่านั้น แต่เขามองว่าคุณอายุมากทำงานไม่ได้ และสุดท้าย เราก็ได้ไปทำงานในบาร์ญี่ปุ่น ก็แตะไต่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีคนพาไปทำที่บาห์เรน
ช่วงนั้นประมาณปี ค.ศ.2009-2010 เริ่มคิดอะไรได้หลายอย่าง เราไม่ได้ขายตัวอย่างเดียว แต่จะถามแขกว่าคุณต้องการรูมเมทหรือต้องการทำความสะอาดห้องมั้ย เพื่อที่ให้มีรายได้เข้ามาเพิ่ม เพราะว่าเราอายุมากแล้วขายไม่ค่อยดี เราก็ทำหลายอย่าง ปล่อยเงินกู้ พาคนมาค้าบริการ ทำหลายอย่าง ซึ่งทำยังไงก็ได้ที่ไม่ต้องขายตัว ให้มีรายได้เข้ามา แต่ก็โดนจับติดคุกตั้งแต่ปีแรกที่ไป โดนจับเข้าไปติดคุก ความจริงที่เราเห็นในคุกคือ ผู้หญิงที่กลับไปจากบาห์เรน ล้วนแล้วแต่หมดตัวด้วยกันทุกคน เราเองก็เหมือนกัน ติดคุกครั้งนั้น แล้วก็มีติดอีกรอบ หมดตัวกลับมาอีก แถมยืมเงินเพื่อน 20,000 เป็นค่าตั๋วเครื่องบินกลับมาเมืองไทย ตอนนั้นอายุ 41 แล้ว จะเดินสมัครงานตามโรงแรมก็คงไม่ได้แล้ว พี่สาวคนหนึ่งก็มาชวนว่า ไปเขียนหนังสือมั้ย ลองดู...
ปิดม่าน “นางบังเงา”
เป็นผีเสื้อที่โบยบินในสวนอักษร
กว่าค่อนชีวิต กับการโลดโผนโจนทะยานบนเส้นทางแห่งการสร้างความผ่อนคลายให้แก่ชายนับไม่ถ้วน “เอรี่” ได้รับการชักชวนจากใครบางคนบนถนนหนังสือ เพื่อบอกกล่าวเล่าสื่อถึงเรื่องราวที่ผ่านพบ จนก่อเกิดเป็นงานเขียน ‘ฉันคือเอรี่ ประสบการณ์ข้ามแดน’ รวมเรื่องสั้นที่สร้างความรู้สึกประหลาดมหัศจรรย์ให้กับเจ้าของเรื่องอย่างถึงที่สุด เพราะงานชุดนี้ ดีงามถึงขั้นได้รับการประดับเกียรติยศในฐานะเรื่องดีเด่น จากเวทีประกวดรางวัล “ชมนาด” ประจำปี พ.ศ.2554 ซึ่งรางวัลนี้ก็มีเป้าหมายในการมุ่งเน้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพของนักเขียนหญิงไทยโดยเฉพาะ
...“เป็นกะหรี่จะเอาอะไรมาสอนคนอื่นเขา?”
หนึ่งในคำปรามาสและสบประมาทที่ตบฉาดเข้าขั้วหัวใจเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ตัวอักษรของเธอเริ่มแนะนำทำความรู้จักกับนักอ่านยุคแรกๆ และได้รับรางวัล
“คือเขาดูถูกความคิดเรา ดูถูกภาพลักษณ์และสิ่งที่เราเป็น กดให้เราต่ำ เขามองว่าผู้หญิงขายบริการจะมีอะไรมาสอน แต่จริงๆ เราอยากตีแผ่ให้คนรู้ว่ามันเจ็บปวดนะ มันทุกข์ทรมานนะ อย่าเข้ามาเลย คือเราอาจจะไม่สามารถดึงคนที่ทำอยู่แล้วให้เขาเลิกได้ แต่เราอยากบอกกับคนที่กำลังคิดจะทำ ไม่ให้เขาทำ และเรื่องราวที่เราเขียน มันตลกมากมาย ได้ไปถึงงานสัปดาห์หนังสือโลกที่เมืองนอก ได้รับเชิญไปที่เมืองแฟรงค์เฟิร์ต ไปขายลิขสิทธิ์ที่นู่น มันทำให้รู้สึกว่า สิ่งที่เราทำมันถูกต้องแล้ว คือตีแผ่ และบอกหลายๆ คนว่า อย่าเข้ามาๆ”
มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่า ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่ในโลกของการขายบริการทางเพศ อันรับรู้กันว่าเป็นโลกที่โลกมักไม่ยอมรับ และการเดินทางมาถึงของรางวัลดังกล่าว ก็ทำให้ผู้หญิงที่ผ่านพ้นวัยสาวมากับโลกที่โชกชุ่มด้วยเรื่องเพศ ประหวั่นพรั่นพรึงต่อการเปิดเผยตัว
“เราไม่อยากให้ใครเห็นหน้าเรา เพราะเราเคยทำสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับมาก่อน แต่เราจำคำของท่านพระไพศาล วิสาโล ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินรางวัล ท่านกล่าวว่าทำไมถึงไม่ยอมรับความจริงว่าโลกเรามันเป็นอย่างนี้ นี่คือเรื่องจริงของผู้หญิงขายบริการ ไปบิดเบือนทำไม แล้ว เรื่องมันก็ดิบด้วย ท่านบอกว่า ดูจากสำนวนการเขียนแล้ว เหมือนกับว่าเราซื่อ เราไม่มีสำนวน หรือทักษะอะไรเลย ท่านก็เลยคิดว่าเราเขียนจากใจจริงเลย เราฟังแล้วก็ซาบซึ้งมากนะ กรรมการทุกคนก็เลยฟังท่าน แล้วก็ลงความเห็นให้เราได้รับรางวัลที่หนึ่ง วันนั้นถือเป็นวันเปลี่ยนชีวิตเลยนะ นักข่าวมาสัมภาษณ์ เชิญไปออกทีวี นี่มันอะไร รับมือไม่ทัน วันๆ ไม่ต้องทำอะไร เดินสายออกสัมภาษณ์อย่างเดียว เป็นปีๆ เลย”
“หลังจากนั้น เราได้พบกับคุณลุงอาจินต์ ปัญจพรรค์ (นักประพันธ์เจ้าของผลงานหลายเรื่อง เช่น “เหมืองแร่”) บังเอิญท่านได้อ่านหนังสือของเรา แล้วคุณลุงก็เรียกเราไปพบ คุณลุงบอกว่า เธออย่าหยุดเขียนนะ ต้องเขียนต่อไปนะ มันทำให้เรามีกำลังใจที่จะเขียนต่อไป จนกระทั่งเรามาเขียนเล่ม 2 ในช่วงเวลานั้น พระองค์ภา (พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา) ก็ได้อ่านหนังสือของเรา และเราก็ได้เข้าเฝ้าท่าน เท่านั้น เราคิดว่าคุ้มค่าแล้ว สิ่งที่สูงสุดคือเราได้เข้าเฝ้าพระองค์ภา"
“เรารู้สึกว่าเราพอแล้ว เมื่อก่อนอยากได้บ้าน อยากได้รถ มีความทะเยอทะยาน แต่ตอนนี้ไม่อยากได้อะไรแล้ว เรารู้สึกว่าชีวิตฉันมาไกลแล้ว เขียนหนังสือ ก็ยังอยากเขียนเรื่องแบบนี้ไปเรื่อยๆ ยังมีเรื่องราวจากสิ่งแบบนี้อยู่ ผู้หญิงเหล่านี้ก็ยังโดนกระทำอยู่ เมื่อก่อนเราไม่เคยคิดเลยนะว่าศักดิ์ศรีมันอยู่ตรงไหน แค่ได้เงินก็จบ คิดแค่นั้นเอง
“มองย้อนกลับไป ตอนกลับมาที่พัทยา เราเห็นผู้หญิงที่ใส่ขาสั้น นมปลิ้น เดินกับฝรั่ง เราเห็นแล้วน้ำตาไหลเลยนะ เพราะเรารู้สึกเลยว่าเราเป็นอย่างนี้เลยนะ แต่ตอนนี้ เราไม่มีวันที่จะกลับไปเป็นแบบนั้นแล้ว ทุกวันนี้ก็อยู่ได้ด้วยเงินหลักพันถึงหมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนที่หาได้คืนละสี่ห้าหมื่นบาท ก็ยังงงๆ ว่าเดี๋ยวนี้ เราอยู่ได้ยังไง เหตุผลเดียวก็คงเป็นเพราะว่าเรารู้จักพอ เราไม่อยากได้อะไรแล้ว”
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
“โสเภณี”, “อีตัว”, “หญิงขายบริการ” หรือแม้กระทั่ง “กะหรี่” ฯลฯ สรรพนามเหล่านี้เป็นดั่งคำแสลงที่ระแคงระคายรูหัวใจของสังคมเสมอมา แต่ก็มักเป็นอะไรที่ถูกพูดถึงแบบขมุบขมิบปาก อย่าว่าแต่คนที่มีศีลอยู่ในปากมีสากอยู่ในมือ แม้ใครต่อใครที่เคยประกอบอาชีพนี้มา ก็ยังอยากจะปิดหูปิดตา ปิดความทรงจำเกี่ยวกับงานการนั้น แต่นั่นอาจไม่ใช่สำหรับผู้หญิงคนนี้ “ธนัดดา สว่างเดือน” ผู้ขับเคลื่อนวันเวลากว่าครึ่งชีวิตบนเส้นทางสายนางงามตู้กระจก
ตลอดระยะเวลามากกว่า 20 ปีกับการพลีกายให้ชายเชยเพื่อแลกกับเงิน ปฐมบทแห่งชีวิตโสเภณีของ “เอรี่ ธนัดดา” ก็คงไม่ต่างไปจากนิยายชีวิตของอิสตรีขายตัวจำนวนไม่น้อยที่ถูกความจำเป็นกระทุ้งส่งให้ลงไปในโลกแห่งการขายเรือนร่าง อย่างไรก็ดี จากจุดที่คิดว่าจะอยู่เพียงครู่คราว โลกลึกลับใบนั้นกลับเหมือนค่อยๆ กลืนกินชีวิตของเธอเข้าไปทีละนิดจนเกือบจะปิดประตูทางออก
...นี่ไม่ใช่เรื่องราวของหญิงสาวกับการผจญภัยทางเพศ
...นี่ไม่ใช่คำแก้ต่างของคนขายตัว
และนี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง หากคิดว่าสิ่งที่กำลังเล่า ควรถือเอาเป็นแนวทาง
หากแต่คือประสบการณ์ที่กลั่นออกมาจากชีวิตของอดีตหญิงขายบริการคนหนึ่งซึ่งมหัศจรรย์ราวกับ “นิยายน้ำเน่า” เรื่องหนึ่ง
“ฉันคือเอรี่ ประสบการณ์ข้ามแดน”...
เปิดประตูสู่ “ตู้กระจก”
เป็น “นางงาม” ในโลกสีเทา
“ตอนแรกนั้น เพื่อนคนหนึ่งชวนไปทำงานที่พัทยา เขาบอกว่าไปเป็นบาร์เทนดี้ ทำหน้าที่ชงเหล้าให้ลูกค้า ได้เงินเดือน 5,000 บาท เราก็คิดในใจว่าได้เยอะดี เพราะตอนทำงานห้าง เราก็ได้แค่เดือนละ 3,500 บาท ซึ่งปี พ.ศ.2527 นั้น เงินห้าพันถือว่าเยอะมาก เราก็นั่งรถตู้ไปเลย”
โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ปลายทางข้างหน้ามีอะไรรออยู่ แต่เมื่อเห็นโอกาสแห่งชีวิตที่คิดว่าจะช่วยให้ลืมตาอ้าปากได้ สาวน้อยลูกหนึ่งจึงตัดสินใจออกเดินทางไปเสี่ยงดวง...
“เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคืองานขายบริการ เพื่อนบอกลักษณะงานแค่ว่า เราต้องนั่งรอในตู้กระจก พอมีแขกเรียก เขาก็จะพาเราไปชงเหล้า ตอนนั้นเรารู้แค่นั้น และ 4 วันผ่านไป เราก็ยังไม่ได้แขกเลย ใจนึกอยากกลับกรุงเทพฯ แล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว แต่ถึงจะอยากกลับ ก็ยังกลับไม่ได้ เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินแค่ 4 บาท เราก็ตั้งใจว่าถ้าได้ทิปสัก 200-300 บาท พอเป็นค่ารถทัวร์กลับบ้าน เราจะไม่อยู่แล้ว
“จนกระทั่งเจ้าของบาร์หาแขกมาให้ เป็นคนไทยทำไกด์ทัวร์ญี่ปุ่น เขาก็พาเราไปที่ต่างๆ กินเหล้า แทงสนุ้กเกอร์อะไรไป เราก็สงสัยว่าจะมาทำไม ไม่ได้ไปชงเหล้าในบาร์ เสร็จแล้วก็พาเราไปโรงแรม เราก็เริ่มรู้แล้ว เขาให้เราไปอาบน้ำแล้วจะมีเซ็กซ์กัน เราก็เริ่มรู้แล้วว่าเราไม่ได้ทำแบบนี้นะ ก็ร้องไห้ใหญ่เลย ขอเขากลับบ้าน อ้อนวอนเขาว่าอย่าทำหนูเลย อีกอย่าง เราไม่เคยนอนกับผู้ชายคนไหนนอกจากแฟน ตอนนั้นเราคลอดลูกได้ 4 เดือน จังหวะที่น้ำนมมันไหลพอดี เสื้อเราเปียกน้ำนมชุ่มเลย เขาก็ถามว่าเธอเพิ่งคลอดลูกเหรอ เราก็ตอบว่าใช่ เขาก็ไม่ยุ่งกับเราเลย แต่ให้เงินเรา 4,000 บาท ตื่นเช้ามา เรามานั่งมองเงิน 4,000 บาท ก็รู้สึกว่าทำไมเงินมันเยอะขนาดนี้ ทำไมได้ง่ายขนาดนี้ แสดงว่าคนอื่นก็ได้แบบเดียวกับเรา ด้วยการนอนกับผู้ชายหนึ่งครั้ง เราก็คิดว่าถ้าอยู่ต่อล่ะ เราน่าจะมีเงินกลับไปเลี้ยงดูลูกเราแน่ จึงเปลี่ยนใจ ไม่กลับกรุงเทพฯ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เราขายบริการ”
คิดถึงสภาพที่บ้าน และดวงตาของลูกน้อยที่คอยรอ...แม่คนหนึ่งจึงยินยอมที่จะก้าวข้ามเส้นกั้นบางอย่าง ภาพชีวิตครอบครัวที่แสนสุข ลูกกับแม่ ผุดพรายในความคิด ฝันให้มันแตกต่างไปจากภาพในอดีต กับชีวิตวัยเด็กของเธอซึ่งเจอมา
“เดี๋ยวนี้ เวลาที่เราเห็นคนแชร์โพสต์กันว่า บ้านคนนี้ยากจน บ้านคนนั้นยากจน แต่จากที่เรามอง บางที เขายังมีตู้เย็น มีทีวี มีเครื่องใช้ไฟฟ้านะ แต่ความจนของเราคือแม้แต่เงินจะไปโรงเรียนยังไม่มีเลย สิ่งเหล่านี้มันทำให้เราสะสมเป็นความเก็บกดเรื่อยมา และที่สำคัญ ครอบครัวเราก็ไม่อบอุ่น พ่อมีเมีย 2 คน คือแม่ของเราและเมียน้อย พ่อพาเมียน้อยมาอยู่ในบ้านด้วย มานอนรวมกับแม่ ครอบครัวเราเป็นอย่างนั้น ซึ่งเรารู้สึกว่ามันไม่ได้อบอุ่นเลย เรามีพี่ชายคนหนึ่ง เวลาเราทำผิด พี่ชายจะซ้อมและตบตีเรา บางทีก็เตะ กระทืบเราติดข้างฝาก็มี
“เหตุผลที่โดนซ้อมโดนตี ก็คงเพราะเขามองเราว่าแรด เนื่องจากเราชอบแต่งตัว บางทีก็กางเกงขาสั้น ตามประสาผู้หญิง แต่ในความเป็นจริง เราไม่เคยทำอะไรผิดเลย แต่พี่ชายเขามองเราว่าเราคงไปเสียตัวมาแล้วแน่ๆ ก็ตบตีทำร้ายร่างกายเรา หรือบางที แม่ตีเราแล้วก็ส่งให้พี่ชายตีต่ออีก เราอยู่กับความกดดันและการถูกทำร้ายร่างกายมาตลอด จนกระทั่งถึงจุดที่ไม่ไหวแล้ว ทีนี้ล่ะ เราอยากจะไปเที่ยวแล้วเรารู้ว่าต้องโดนตีแน่ๆ เราก็คิดว่า ช่างมัน กลับมาโดนตีช่างมัน เราก็จะคิดแบบนี้แล้ว เรายอมเจ็บตัวที่จะโดน ขอให้ไปสนุก ซึ่งเราก็จะมีความคิดแบบนี้ ก็เริ่มเตลิดไปติดเพื่อนติดฝูงเรื่อยเปื่อย เพราะเวลาเราเจอเพื่อน เราสนุกเลย แต่เราก็ไม่เคยกินเหล้าเสพยานะ ก็แค่สนุกตามประสาเด็กๆ แค่นั้นเอง ขอให้ฉันได้ไปปลดปล่อยตัวเองจากโลกความจริง เราทำใจแล้วว่าจะต้องโดนตีแบบนี้นะ แล้วก็โดนจริงๆ มันเลยกลายเป็นความชาชิน รับได้ ไปสนุกก่อน แล้วโดนตีทีหลัง”
วันคืนแห่งวัยรุ่นที่โลดแล่นอยู่บนความเริงรื่นเพื่อหลบหนีจากความขมขื่นในครอบครัว ถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อเด็กสาวพบว่าตนเองตั้งครรภ์...
“ตอนนั้นเราเรียนจบ ม.3 กำลังจะเข้า ปวช. ปรากฏว่าไปพลาด ท้อง...ที่พลาดก็เพราะเราไม่รู้จักเรื่องการป้องกัน ครั้งแรก ครั้งเดียว แล้วท้องเลย ญาติพี่น้องก็ทั้งด่าทั้งประณามเรา เกือบฆ่ากันตาย ตอนนั้นเราคิดว่าจะไปทำแท้ง แต่ก็ไม่ได้ทำ แต่ที่สำคัญเลย หมอบอกว่าเราติดซิฟิลิสด้วย มันคือโรคที่แฟนเราไปเที่ยวบริการมาแล้วมาติดเราต่อ เราก็ต้องรอจนคลอดลูกแล้วจึงไปรักษา แต่ลูกเราก็ติดเชื้อนี้ไปด้วยแล้ว แถมกินนมเราไม่ได้ เพราะเรายังอยู่ในช่วงรักษา เราก็ต้องหาเงินมาซื้อนมให้ลูก ก็ไปทำงานรับจ้าง เสิร์ฟอาหาร ล้างจาน ที่ร้านข้าวมันไก่ แล้วก็ขายขนมครก วันหนึ่งรายได้ร้อยกว่าบาท มันไม่พอ จนกระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งชวนไปทำงานที่พัทยา เขาบอกว่าไปเป็นบาร์เทนดี้...”
จากหมุดหมายในงานชงเหล้า ความเป็นจริงผลักหญิงสาวเข้าสู่โลกชงรัก เป็น “นางงามในตู้กระจก” ด้วยความหวังว่าจะเก็บเงินสักก้อน กลับไปสร้างชีวิตที่ดีกับลูกที่บ้าน แม้ใครคนนั้นที่เป็นพ่อของลูก จะหลุดหายไปจากวงโคจรของชีวิตแล้วก็ตาม
“การทำงานนั้นมันมีความอายแน่นอน ลึกๆ เราอับอายนะ แต่เราก็ทน แรกๆ ก็มีร้องไห้ นอนกับผู้ชาย 3-4 คนแรก ก็ร้องไห้อยู่ หลังจากได้เงินก็รู้สึกทุกข์ทรมาน ไม่อยากทำๆ จนกระทั่งเริ่มชาชินและกลายเป็นเรื่องปกติในที่สุด คิดว่ามันเป็นงาน คิดแบบนั้นไป ทำใจเป็นหุ่นยนต์ อัตโนมัติ จ่ายเงินปุ๊บ ขึ้นเตียงทำงาน ความอายมันไม่มีแล้ว มันเป็นหุ่นยนต์ ก็ยังคิดถึงครอบครัว เราอยากมีเงินเลี้ยงลูก เลี้ยงพี่น้องเรา อยากให้ครอบครัวเรามีความสุข ก็นึกเห็นภาพตลอดนะว่า ถ้าเราช่วยแม่ ช่วยครอบครัว ทุกคนจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก
“แต่มันก็มีความรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ ในใจทุกครั้งที่บอกตัวเองว่าไม่อยากทำ แต่ว่าอยากได้เงิน ก็ต้องทนทำเพื่อให้ได้เงิน ถามว่าอายมั้ย ความอายมันหายไปหมดแล้ว และมันก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ตรงที่เราไม่เคยทำงานกับคนไทยเลย เราถึงไม่อายมาก เพราะว่าเราไม่ได้ใช้ภาษาไทย เป็นลูกค้าต่างชาติตลอด คุณจะพูดอะไรก็พูดไป ฉันไม่รู้เรื่องหรอก ก็คือตัดปัญหาตรงนี้ไป”
มหากาพย์บนกลีบชีวิต
“โสเภณีอินเตอร์”
คืนและวันผ่านพ้น บนเตียงนอนและหมอนฟูก ประมาณ 8 เดือน นับแต่สาวน้อยคล้อยเคลื่อนสู่งานขายบริการ เรือนร่างที่เริ่มสะพรั่งเต็มสาว ราวกับความหวังที่สะพรั่งอยู่กลางใจ นำไปสู่การตัดสินใจครั้งใหม่ที่แม้แต่เธอเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน...
• ทำงานมานานถึง 8 เดือน น่าจะมีเงินเก็บพอสมควรที่จะกลับบ้านได้ ตอนนั้นทำไมถึงยังอยู่
ก็กลับมานะ มาทำงานดีๆ อยู่พักหนึ่ง แต่มีเงินเก็บมาด้วยไหม ไม่มีเลย เพราะตอนทำงานที่พัทยา เราก็ส่งเงินให้แม่ทุกเดือน เงินเก็บก็จึงไม่มี พอทำอยู่ได้ 8 เดือน เพื่อนๆ ด้วยกันเขาก็ไปทำที่ต่างประเทศกันหมด พอไม่มีเพื่อน เราก็ไม่อยากอยู่ต่อ ไม่อยากทำแล้ว ไม่อยากขายตัวแล้ว ก็รับจ้างล้างจาน ไปขายขนมครก เรื่อยเปื่อย ก็มาเกิดความคิดอีกว่า เมื่อก่อน เราหาเงินได้หลายพันบาท ทำไมเราต้องมาทนทำอย่างงี้ เพื่ออะไร เพื่อศักดิ์ศรีหรือ เราคิดแบบนี้เลยนะ ถ้าเราไม่ทำ เราไม่มีเงินนะ ก็เลยต้องกลับไปอีกรอบ เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่า ศักดิ์ศรีมันทำให้เราไม่มีกิน เราต้องการความสุขสบาย แต่ไม่ถึงกับต้องสบายมาก แค่มีกินมีใช้ เราก็เลยไปต่างประเทศครั้งแรก คือฮ่องกง มีคนติดต่อให้ไป”
• งานที่ฮ่องกงกับที่เมืองไทย แตกต่างกันอย่างไรบ้าง
รับศึกหนักมาก...(ลากเสียง) วันหนึ่งเรารับลูกค้า 40-50 คนเลยนะ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ารับไปได้ยังไง เงื่อนไขตอนแรก เขาจะไม่บอกเราชัดเจน เขาจะบอกแค่ว่าไปทำงานนะ ได้เท่านี้ๆ นะ ใช้หนี้ 150 คนนะ แต่เมื่อไปถึง ถึงได้รู้ว่าเขาต้องใช้ 3-4 วันกว่าจะหมด ฉะนั้น ภายใน 14 วันที่เรามีวีซ่า ถ้าเราใช้หนี้ไม่หมดใน 150 คน นั่นหมายถึงเราเสียตัวฟรีนะ เราไม่ได้อะไรเลย เพราะว่าเราใช้หนี้ เราจะไม่ได้สักบาทเลย หนี้ที่ว่านั้นก็คือค่าใช้จ่ายต่างๆ ค่านายหน้า ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าอาหารการกิน แต่ถ้าผ่าน 150 คนไป คนที่ 151 จะต้องนำมาหารสามอีก เราไม่ได้คนเดียวเต็มๆ นะ ซึ่งเอาเปรียบเรามากๆ แต่เมื่อไปแล้วก็ต้องทำ จะให้กลับบ้านมือเปล่าก็คงไม่ใช่
พอทำไปสักพัก เราไม่อยากได้เงินแล้ว เพราะรู้สึกว่าเราไม่ไหวแล้ว แต่กลับบ้านไม่ได้ เพราะพาสปอร์ตกับตั๋วเครื่องบินอยู่กับเถ้าแก่ สุดท้ายก็หนีกลับ วันนั้น เราเดินเข้าไปหาตำรวจเลย แล้วบอกว่า “ช่วยจับที ฉันอยากกลับบ้าน” แต่ตำรวจก็ไม่ยอมจับเรา เพราะเขาจับไม่ได้ ตำรวจที่จะจับเราได้คือพวก CID ซึ่งเป็นพวกฝรั่งที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นตำรวจ พวกนี้แหละจะมีหน้าที่จับผู้หญิงขายบริการที่ฮ่องกง ส่วนตำรวจที่เราเดินเข้าไปหา เขาก็บอกว่าจับไม่ได้หรอก แต่เราก็ขอร้อง “ช่วยหน่อยเถอะ” จนในที่สุด เขาก็ยอมที่จะเดินเรื่องให้เรา ส่งกลับเมืองไทยวันนั้นเลย
• แล้วเรื่องเงินเรื่องรายได้จากงานที่เคยทำมา สูญไปหมดเลยใช่ไหม
ตอนแรกก็คิดนะว่ามันต้องโกงเงินเราแน่ๆ คิดว่าเถ้าแก่ต้องทำอย่างงั้น ตามล้างตามฆ่าเราแน่ๆ แต่กลับกลายเป็นว่า พอเรากลับมาเมืองไทยแล้วติดต่อเขาปุ๊บ เขาโอนเงินทุกบาททุกสตางค์ให้เราหมดเลย เราทำได้เท่าไหร่ เขาให้หมด ไม่โกงเราเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกมากที่เขาก็ยังมีมนุษยธรรม เราก็นึกขอบคุณเถ้าแก่คนนี้นะ เขาคงคิดว่าเราถูกตำรวจจับ ทั้งที่จริงๆ เราวิ่งเข้าหาตำรวจเอง (หัวเราะ) เพราะเราไม่ไหวไง พอเขาส่งเงินมา เขาก็บอกว่ากลับมาอีกได้นะ ตอนนั้นได้เงินมาประมาณ 80,000 บาท เป็นเงินเยอะก้อนแรกในชีวิตที่เราไม่เคยมีมาก่อนนะ อายุตอนนั้นก็ 18 ปี ก็ให้พ่อให้แม่ แต่อยู่เมืองไทยได้สิบกว่าวัน เราก็ดิ้นรนไปญี่ปุ่น อารมณ์แบบวัยรุ่นไม่เคยเจอแสงสี เขาเรียกว่าใจแตก แต่เราเริ่มอยากเรียนรู้โลกกว้างแล้ว เราอยากที่จะไปที่นั่นที่นี่ เริ่มไม่กลัวอะไรแล้ว จะพาไปไหนก็ช่าง เรารู้อย่างเดียวว่าสุดท้ายก็พาไปขายตัว มันคงไม่มีอะไรที่เลวร้ายกว่านี้แล้วล่ะ ดีกว่าหลอกไปฆ่า
• จากฮ่องกง ไปญี่ปุ่น ชีวิตมีพัฒนาการอย่างไรต่อไปบ้าง
อยู่ญี่ปุ่นได้ 4 ปี ชีวิตเหลวแหลกเละเทะมากชีวิต แรกๆ ก็ดี แต่พออยู่ไป ก็ไม่ดี เพราะเราไปติดยานอนหลับ คือยาโดมิคุม ยาชนิดนี้คือยาที่ผู้หญิงไทยในญี่ปุ่นส่วนใหญ่กิน กินเข้าไปแล้วมันจะเบลอและจำอะไรไม่ได้ แต่จะทำให้เรากล้า สมมุติว่า เราจะออกไปจับลูกค้า เราไม่กล้าไป แล้วไม่รู้จะพูดยังไง แต่พอกินยาตัวนี้ไป ความหน้าด้านจะเข้ามาทันที เราจะเดินเข้าหาลูกค้า เราจะทำทุกสิ่งอย่างให้ลูกค้าพาเราไปให้ได้ หลังจากนั้น พอลูกค้าพาเราไป ตื่นเช้ามา เราจะจำอะไรไม่ได้แล้วว่าเมื่อคืนไปไหนมา แขกมากี่คน รู้อย่างเดียวว่าฉันเปิดกระเป๋าสตังค์มา ฉันเจอตังค์ พอแล้ว
พอเราเริ่มกินยาตัวนี้ไปเรื่อยๆ ตอนหลังต่อให้เรากล้าทำงาน เราก็ต้องกิน เพราะว่าเราติดมัน ถ้าเราไม่กิน ก็จะอยู่ไม่ได้ ถึงไม่มี ก็ต้องหาให้ได้ ก็จะมีคนไทยเอายาตัวนี้มาขายเยอะ เราก็ยืนข้างถนน เบลอยากัน ส่วนมากจะกินยากัน ทีนี้ ผู้หญิงที่ไปจับลูกค้า แม้แต่ตัวเราเองก็ถูกลูกค้าที่ไม่ดี อย่างพวกยากูซ่า พาเราไปทำร้ายบ้าง ตบตีบ้าง เอาเงินเราไป ค่าตัวก็ไม่ได้ เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เพราะเราเมายา บางทีเราก็ตื่นมาพบว่าที่นี่ที่ไหน ถึงขนาดนั้น เงินในกระเป๋าหมดแล้ว ไม่มี พวกนั้นเอาไปหมดเลย
จนกระทั่งจับพลัดจับผลูไปอยู่กับแกงค์ยากูซ่าที่ตัวใหญ่พอสมควรในชินจูกุ ชีวิตก็เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม เริ่มรู้ว่าเขาค้ายา มันเป็นกงกรรมที่เราต้องไปอยู่ในนั้น เพราะว่าวนอยู่ในนั้น 2 ปี กว่าจะหลุดออกมาได้ เราถูกทำร้าย ตบตีสารพัด ซึ่งมันเยอะมาก แล้วก็ไม่รู้ว่ารอดมาได้ไง เพราะเราไม่อยากอยู่กับแกงค์ไง เราเลยหนีออกมา พอถูกจับได้ เขาก็ซ้อมเราประมาณว่าเราไปรู้ความลับเขาแล้ว เขาไม่ปล่อยเรา ทุบตีแล้วพาเราไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งเดี๋ยวนี้ เราเสิร์ชกูเกิ้ล เรายังเจอหน้าเขาด้วยนะ เขาเป็นเจ้าพ่อเบอร์ 5 ในชินจูกุ อยู่แกงค์ยามางุจิ เป็นแกงค์ดังในญี่ปุ่น มีเครือข่ายทั่วประเทศเลย บางทีชีวิตก็ตลกนะ เหมือนละครน้ำเน่าเลย
• ความเป็นอยู่ตอนอยู่ในแกงค์ยากูซ่า เป็นอย่างไรบ้าง
ก็เปรียบเสมือนคุณหนูคนนึง แต่จริงๆ เราเหมือนถูกหลอกใช้งาน เขาสวมหัวโขนให้เรา เขาก็เปรียบเราเหมือนลูก เวลาไปไหนก็มีคนมาโค้งคำนับ มันทำให้เราหลงระเริง และทำให้รู้สึกว่าฉันหลงตัวเองมากเลย เราหลงและกร่างมากเลยในตอนนั้น มันเป็นชีวิตที่หรูหราใหญ่โตมากเลย ตอนที่อยู่ชินจุกุ ไม่มีใครกล้ายุ่งกับเรา เพราะทุกคนรู้จักเจ้าพ่อยากูซ่าคนนี้ ขณะเดียวกัน เราก็โดนสวมหัวโขนให้เป็นมาม่าซัง พาผู้หญิงมาทำงานในร้านของเขา
ตอนนั้นอายุเรา 20-21 แล้ว รู้สึกว่าเราหลงมากเลย หลงไปกับหัวโขนอันนั้น ตอนเวลาเราทำผิด เพื่อนก็รับกรรมเยอะแยะ แล้วเพื่อนเราที่มาทำงาน จะต้องถูกฉีดยา มีเซ็กส์ และถูกอะไรเยอะมากเลย เรามาคิดทีหลังว่ามันบาปนะ นั่นคือเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้เราเริ่มไม่อยากอยู่กับเขาแล้ว เราก็เลยหนีออกมา พอเราหนีออกมา ก็ถูกตามล่า และโดนจับได้ ก็ถูกทุบตี ตบ และจะฆ่าเราให้ได้ คือวันนั้น เราได้รู้เลยว่า คนเราก่อนจะตายมันทุกข์ทรมานขนาดไหน เขาหิ้วปีกเราไป เรารู้ตลอดเวลาเลยว่าจะเอาไปทิ้งภูเขาแน่ๆ เหมือนกับผู้หญิงไทยหลายคนที่ถูกเอาไปทิ้ง ทิ้งเขา ทิ้งทะเล ถูกฆ่าตาย แล้วหายสาบสูญไปไร้ร่องรอย เรารู้ว่าเรากำลังเป็นอย่างนั้น แต่สุดท้าย เราก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาพาเราไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ให้เลือด ให้น้ำเกลือเรา เราถึงรอดมาได้ สาหัสมาก
• แล้วหลุดจากตรงนั้นมาได้อย่างไร
ก็อยู่มาวันหนึ่ง หัวหน้าแกงค์คนนั้นเขาบอกกับเราว่า เธอต้องออกไปจากที่นี่นะ ฉันอาจจะต้องไปติดคุกแล้ว เพราะเขาไปฆ่าคนตาย เนื่องจากเขาใช้ลูกน้องไปเก็บคนอีกแกงค์ แต่ไม่สำเร็จ เขาจึงทำเองและเกรงว่าจะถูกจับได้ หัวหน้ายากูซ่าคนนี้ก็ให้เงินเรามาประมาณ 3 แสนบาทไทย แล้วบอกเราว่ากลับบ้านไป อย่าอยู่ที่นี่ ถ้าไม่มีฉัน เธอจะอยู่ไม่ได้ เราก็ร้องไห้เสียใจ เพราะเริ่มที่จะรักเขาเหมือนพ่อคนหนึ่ง พอเขาติดคุก เราก็เป็นอิสระ แต่ยังไม่ได้กลับเมืองไทย จนกระทั่งได้เจอผู้ชายคนหนึ่งที่ซื้อบริการเรา สุดท้ายก็มาแต่งงานกัน เขาชื่อชินยะ
พอเราเจอผู้ชายคนนี้ ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนอีก เราเลิกขายบริการ เพราะเรามีความรักกับเขา เรารู้สึกว่าเขาไม่อยากให้เราขายตัวอีก และเราก็ไม่อยากขายแล้ว แรกๆ เราอยู่ไป เราหลง เพราะผู้ชายคนนี้อายุน้อย มีรถเก๋ง แค่นี้เองในความคิดของเด็กๆ แบบเราตอนนั้น แต่ก็เห็นว่าเขาเป็นคนดี เราก็เริ่มรักเขานะ ไม่ขายตัวแล้ว ก็ทำอาหารไทยแล้วปั่นจักรยานไปเร่ขาย ไปเดินสมัครงานแถวไชน่าทาวน์ในโยโกฮาม่า ไปเป็นเด็กล้างจาน ทำทุกสิ่งทุกอย่าง เช็ดโต๊ะเสิร์ฟอาหาร แล้วมันไปถึงจุดๆ หนึ่ง หลายเดือนผ่านไป เรารู้สึกว่า เงินไม่พอใช้ เราก็กลับไปอีก ไปขายบริการ แอบไปทำโดยที่ไม่ให้แฟนรู้ เพราะเราไม่อยากให้แฟนเสียใจ จนกระทั่งโดนตำรวจจับ ทีนี้เรื่องเลยแดง เราติดคุกประมาณสามอาทิตย์กว่า ก็ถูกส่งตัวกลับเมืองไทย
• ฟังว่า นอกจากฮ่องกง และญี่ปุ่น คุณยังเดินทางไปทำงานในประเทศอื่นๆ ด้วย
ก็มีไปสิงคโปร์ ค่าใช้จ่ายไม่มาก แค่รับลูกค้า 80 คนก็ใช้หนี้หมด ทำงานวันละ 10 กว่าคน และได้เงินเยอะกว่า แต่พอไปถึง มันทรมานกว่าฮ่องกงอีกนะ เพราะมันเป็นเหมือนซ่อง เราถูกส่งไปทำงานหลายจุดมาก เหมือนตัวทดลองที่เบื้องบนส่งเราไป ที่หนึ่งซึ่งจำได้ เป็นโรงงานใหญ่ๆ มีคนต่างชาติไปทำกัน เถ้าแก่ก็ไปกางเต็นท์ในป่า เพื่อให้เราไปรับแขกพวกนี้ แล้วจะมีผ้าห่มมาขึงๆ แบ่งเป็นแต่ละห้อง ซึ่งมีแค่ 5-6 คน เฉลี่ยวันหนึ่งเราจะรับแขกประมาณ 20-30 คน ภายใน 2-3 วัน เราจะเก็บได้เกือบหมด กับผู้หญิง 5 คน เราก็ทำงานตรงนั้น ใช้เวลาแค่ 15 นาทีต่อคน เรียบร้อย คนต่อไปเข้ามา สุดท้าย เราก็รู้สึกว่าเรารับสภาพนั้นไม่ได้
จากนั้น ก็กลับมาทำที่เกย์ลัง (Geylang ย่านโคมแดงที่ขึ้นชื่อของสิงคโปร์) เถ้าแก่ก็ตระเวนพาเราไปขายตัว ไปจับแขกในดิสโก้ เหมือนเราเป็นสัตว์ประหลาดหรืออะไรสักอย่าง ตอนนั้นเรารู้แล้วว่าตัวเราเริ่มไม่มีคุณค่าแล้วนะ เหมือนถูกพาไปเพื่อให้ได้เงิน ที่เกย์ลังจะมีซ่องซึ่งมีผู้หญิงเป็นพันคนเลย มีทั้งถูกและผิดกฎหมาย พวกถูกกฎหมายก็เป็นพวกที่มีการ์ดขาว มีสัญญา 2 ปี แต่คนพวกนี้เขาเสียภาษีให้รัฐบาลสิงคโปร์ ในกรณีที่ถูกทำร้ายร่างกาย เขาสามารถแจ้งความได้ แต่พวกเราเป็นพวกเถื่อน เรามีพวกมาเฟียคุ้มครอง เราจะไปร้องทุกข์ไม่ได้
เราไปทำงานที่นั่นได้ 10 กว่าวัน ใกล้จะครบกำหนดแล้วดันโดนตำรวจจับ เราถูกส่งไปติดคุกใต้ดิน คือผู้หญิงไทยที่มาขายบริการที่นี่ เมื่อโดนจับแล้วจะต้องถูกนำมาที่นี่ ในนั้น มันเป็นคุกนานาชาติ ทรมานกว่าคุกไทยอีก นอนสบายก็จริง แต่มันจะเป็นท่อแอร์ แอร์จะเย็นไปหมดเลย เราหนาว ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีอะไรเลย เราจะนอนติดกับพื้น นั่งขดตัวกันประมาณ 3 อาทิตย์ อายุเราตอนนั้น 28-29 แล้ว คือทุกข์ทรมานมาก สุดท้ายเขาก็ส่งเรากลับเมืองไทย ซึ่งพอมาคิดอีกที เราขอบคุณคุกสิงคโปร์นะที่ทำให้เราเข็ด เขาโหดร้ายกับผู้หญิงเพื่อไม่ให้ผู้หญิงกลับมาอีก วันที่เราถูกปล่อยตัว เจ้าหน้าที่ก็บอกกับเราดีๆ ว่าไปแล้วอย่ากลับมานะ ถ้ากลับมาอีก หนักกว่าเดิมแน่นอน เราก็เลยไม่อยากกลับไปอีก
• ชีวิตและการค้าขายเนื้อหนังมังสา น่าจะยุติลงตรงจุดนั้น แล้วเป็นอย่างไรถึงได้ไปบาร์หเรนอีก
เป็นช่วงหลังจากเรามีแฟนเป็นคนไทย ตอนนั้นเราเปลี่ยนชีวิตเลยนะ ไปขายเสื้อผ้า ขายเบเกอรี่ เป็นแบรนด์ตัวเอง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยอะไรหลายอย่าง ทั้งเรื่องฟองสบู่แตก (ช่วงปี พ.ศ.2540) 6-7 ปีผ่านไป แฟนเราไปติดผู้หญิงใหม่ เรารู้สึกเริ่มบ้าแล้ว ตอนนั้นอายุ 36-37 กลับมาบ้าน หมดตัว ไม่มีเงินซักบาท แต่ก็ทำขนมใส่ตะกร้าไปขายที่สถานีรถไฟใต้ดิน แถวสถานีรัชดา ขายไปร้องไห้ไปทุกวันเลย ก็คิดว่าทำไมชั้นต้องเป็นอย่างงี้ ทำไมมันตกต่ำย่ำแย่อย่างงี้ แต่ก็ขายจนกระทั่งเริ่มดีขึ้น เริ่มไปได้สวยและมีออเดอร์เข้ามาแล้ว แต่สถานีรถไฟใต้ดินบอกว่าห้ามขาย ไม่ให้มาตั้งแผง พอไม่มีที่ค้าขาย เราก็ไปสมัครงานเป็นพนักงานรูมเมท ทำความสะอาดห้อง จากนั้นก็ย้ายมาทำโรงแรม เกือบ 2 ปี ย้ายเกือบ 10 โรงแรม ก็กลับไปขายตัวอีก
ตอนนั้นก็ 39 แล้ว ไปสมัครงานก็ไม่มีใครรับเราทำงานเพราะอายุเรามาก เราก็เลยเอาบัตรประชาชนไปทำปลอม เปลี่ยนวันเดือนปีเกิดเหลืออายุเป็น 29-30 มันทำให้เราได้เห็นอะไรบางอย่างว่า คนเราไม่ได้มองแค่ศักยภาพรูปร่างหน้าตาเท่านั้น แต่เขามองว่าคุณอายุมากทำงานไม่ได้ และสุดท้าย เราก็ได้ไปทำงานในบาร์ญี่ปุ่น ก็แตะไต่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีคนพาไปทำที่บาห์เรน
ช่วงนั้นประมาณปี ค.ศ.2009-2010 เริ่มคิดอะไรได้หลายอย่าง เราไม่ได้ขายตัวอย่างเดียว แต่จะถามแขกว่าคุณต้องการรูมเมทหรือต้องการทำความสะอาดห้องมั้ย เพื่อที่ให้มีรายได้เข้ามาเพิ่ม เพราะว่าเราอายุมากแล้วขายไม่ค่อยดี เราก็ทำหลายอย่าง ปล่อยเงินกู้ พาคนมาค้าบริการ ทำหลายอย่าง ซึ่งทำยังไงก็ได้ที่ไม่ต้องขายตัว ให้มีรายได้เข้ามา แต่ก็โดนจับติดคุกตั้งแต่ปีแรกที่ไป โดนจับเข้าไปติดคุก ความจริงที่เราเห็นในคุกคือ ผู้หญิงที่กลับไปจากบาห์เรน ล้วนแล้วแต่หมดตัวด้วยกันทุกคน เราเองก็เหมือนกัน ติดคุกครั้งนั้น แล้วก็มีติดอีกรอบ หมดตัวกลับมาอีก แถมยืมเงินเพื่อน 20,000 เป็นค่าตั๋วเครื่องบินกลับมาเมืองไทย ตอนนั้นอายุ 41 แล้ว จะเดินสมัครงานตามโรงแรมก็คงไม่ได้แล้ว พี่สาวคนหนึ่งก็มาชวนว่า ไปเขียนหนังสือมั้ย ลองดู...
ปิดม่าน “นางบังเงา”
เป็นผีเสื้อที่โบยบินในสวนอักษร
กว่าค่อนชีวิต กับการโลดโผนโจนทะยานบนเส้นทางแห่งการสร้างความผ่อนคลายให้แก่ชายนับไม่ถ้วน “เอรี่” ได้รับการชักชวนจากใครบางคนบนถนนหนังสือ เพื่อบอกกล่าวเล่าสื่อถึงเรื่องราวที่ผ่านพบ จนก่อเกิดเป็นงานเขียน ‘ฉันคือเอรี่ ประสบการณ์ข้ามแดน’ รวมเรื่องสั้นที่สร้างความรู้สึกประหลาดมหัศจรรย์ให้กับเจ้าของเรื่องอย่างถึงที่สุด เพราะงานชุดนี้ ดีงามถึงขั้นได้รับการประดับเกียรติยศในฐานะเรื่องดีเด่น จากเวทีประกวดรางวัล “ชมนาด” ประจำปี พ.ศ.2554 ซึ่งรางวัลนี้ก็มีเป้าหมายในการมุ่งเน้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพของนักเขียนหญิงไทยโดยเฉพาะ
...“เป็นกะหรี่จะเอาอะไรมาสอนคนอื่นเขา?”
หนึ่งในคำปรามาสและสบประมาทที่ตบฉาดเข้าขั้วหัวใจเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ตัวอักษรของเธอเริ่มแนะนำทำความรู้จักกับนักอ่านยุคแรกๆ และได้รับรางวัล
“คือเขาดูถูกความคิดเรา ดูถูกภาพลักษณ์และสิ่งที่เราเป็น กดให้เราต่ำ เขามองว่าผู้หญิงขายบริการจะมีอะไรมาสอน แต่จริงๆ เราอยากตีแผ่ให้คนรู้ว่ามันเจ็บปวดนะ มันทุกข์ทรมานนะ อย่าเข้ามาเลย คือเราอาจจะไม่สามารถดึงคนที่ทำอยู่แล้วให้เขาเลิกได้ แต่เราอยากบอกกับคนที่กำลังคิดจะทำ ไม่ให้เขาทำ และเรื่องราวที่เราเขียน มันตลกมากมาย ได้ไปถึงงานสัปดาห์หนังสือโลกที่เมืองนอก ได้รับเชิญไปที่เมืองแฟรงค์เฟิร์ต ไปขายลิขสิทธิ์ที่นู่น มันทำให้รู้สึกว่า สิ่งที่เราทำมันถูกต้องแล้ว คือตีแผ่ และบอกหลายๆ คนว่า อย่าเข้ามาๆ”
มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่า ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่ในโลกของการขายบริการทางเพศ อันรับรู้กันว่าเป็นโลกที่โลกมักไม่ยอมรับ และการเดินทางมาถึงของรางวัลดังกล่าว ก็ทำให้ผู้หญิงที่ผ่านพ้นวัยสาวมากับโลกที่โชกชุ่มด้วยเรื่องเพศ ประหวั่นพรั่นพรึงต่อการเปิดเผยตัว
“เราไม่อยากให้ใครเห็นหน้าเรา เพราะเราเคยทำสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับมาก่อน แต่เราจำคำของท่านพระไพศาล วิสาโล ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินรางวัล ท่านกล่าวว่าทำไมถึงไม่ยอมรับความจริงว่าโลกเรามันเป็นอย่างนี้ นี่คือเรื่องจริงของผู้หญิงขายบริการ ไปบิดเบือนทำไม แล้ว เรื่องมันก็ดิบด้วย ท่านบอกว่า ดูจากสำนวนการเขียนแล้ว เหมือนกับว่าเราซื่อ เราไม่มีสำนวน หรือทักษะอะไรเลย ท่านก็เลยคิดว่าเราเขียนจากใจจริงเลย เราฟังแล้วก็ซาบซึ้งมากนะ กรรมการทุกคนก็เลยฟังท่าน แล้วก็ลงความเห็นให้เราได้รับรางวัลที่หนึ่ง วันนั้นถือเป็นวันเปลี่ยนชีวิตเลยนะ นักข่าวมาสัมภาษณ์ เชิญไปออกทีวี นี่มันอะไร รับมือไม่ทัน วันๆ ไม่ต้องทำอะไร เดินสายออกสัมภาษณ์อย่างเดียว เป็นปีๆ เลย”
“หลังจากนั้น เราได้พบกับคุณลุงอาจินต์ ปัญจพรรค์ (นักประพันธ์เจ้าของผลงานหลายเรื่อง เช่น “เหมืองแร่”) บังเอิญท่านได้อ่านหนังสือของเรา แล้วคุณลุงก็เรียกเราไปพบ คุณลุงบอกว่า เธออย่าหยุดเขียนนะ ต้องเขียนต่อไปนะ มันทำให้เรามีกำลังใจที่จะเขียนต่อไป จนกระทั่งเรามาเขียนเล่ม 2 ในช่วงเวลานั้น พระองค์ภา (พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา) ก็ได้อ่านหนังสือของเรา และเราก็ได้เข้าเฝ้าท่าน เท่านั้น เราคิดว่าคุ้มค่าแล้ว สิ่งที่สูงสุดคือเราได้เข้าเฝ้าพระองค์ภา"
“เรารู้สึกว่าเราพอแล้ว เมื่อก่อนอยากได้บ้าน อยากได้รถ มีความทะเยอทะยาน แต่ตอนนี้ไม่อยากได้อะไรแล้ว เรารู้สึกว่าชีวิตฉันมาไกลแล้ว เขียนหนังสือ ก็ยังอยากเขียนเรื่องแบบนี้ไปเรื่อยๆ ยังมีเรื่องราวจากสิ่งแบบนี้อยู่ ผู้หญิงเหล่านี้ก็ยังโดนกระทำอยู่ เมื่อก่อนเราไม่เคยคิดเลยนะว่าศักดิ์ศรีมันอยู่ตรงไหน แค่ได้เงินก็จบ คิดแค่นั้นเอง
“มองย้อนกลับไป ตอนกลับมาที่พัทยา เราเห็นผู้หญิงที่ใส่ขาสั้น นมปลิ้น เดินกับฝรั่ง เราเห็นแล้วน้ำตาไหลเลยนะ เพราะเรารู้สึกเลยว่าเราเป็นอย่างนี้เลยนะ แต่ตอนนี้ เราไม่มีวันที่จะกลับไปเป็นแบบนั้นแล้ว ทุกวันนี้ก็อยู่ได้ด้วยเงินหลักพันถึงหมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนที่หาได้คืนละสี่ห้าหมื่นบาท ก็ยังงงๆ ว่าเดี๋ยวนี้ เราอยู่ได้ยังไง เหตุผลเดียวก็คงเป็นเพราะว่าเรารู้จักพอ เราไม่อยากได้อะไรแล้ว”
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี