“ไปค่ะ พี่สุชาติ” เป็นถ้อยคำที่ถูกตั้งโพสต์บนสเตตัสเฟซบุ๊ก รวมถึงสื่อโซเชียลอื่นๆ กันอย่างแพร่หลายในตลอดระเวลากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่ “ฟรีแลนซ์...ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” ถูกฉายสู่จอเงิน และนั่นก็ทำให้ “พี่สุชาติ” ผุดผาดขึ้นมาพอๆ กับซูเปอร์สตาร์ดวงหนึ่ง ทั้งที่ตลอดทั้งเรื่อง อย่าว่าแต่จะได้พูดอะไรกับเขาสักคำ แม้แต่หน้าตายังถูกปิดบังอย่างมิดชิดด้วยหมวกกันน็อก
บุรุษร่างบอบบางในเครื่องแบบวินมอ’ไซค์ ปิดบังโฉมหน้าด้วยหมวกกันน็อก แต่เพียงแค่เธอส่งเสียงบอก “ไปค่ะ พี่สุชาติ” เขาจะตัดขาดจากจอมือถือที่กำลังจ้องอยู่ เดินต้อยๆ ตามก้นสาวน้อยที่ชื่อ “เจ๋” เป็นสารถีที่ว่านอนสอนง่าย ไม่มีปากมีเสียงใดๆ ทั้งสิ้น...เขาคนนี้เป็นใคร? มาจากไหน? นี่คือคำถามที่คาใจใครหลายคน
เ ร า เ อ ง ก็ เ ช่ น กั น...
จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่ง ชายผู้เป็นปริศนาจากหนังฟรีแลนซ์ฯ ยินดีที่จะเปิดหมวกกันน็อกออกและสนทนากับเรา พร้อมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามและความเป็นมา
เขาชื่อ “สมเพ็ชร” นามสกุล “รอบรู้” ทำงานอยู่ฝ่ายสวัสดิการกองถ่ายภาพยนตร์ของค่ายจีทีเอช มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือมากในด้านการหุงข้าวที่ทั้งนิ่มและสวย ผู้กำกับ นักแสดง ตลอดจนทีมงานทุกคนเคยลิ้มรสมือในการหุงข้าวสวยของเขามาแล้วนับมื้อไม่ถ้วน ก่อนจะโยกส่วนไปสู่ด้านการเสิร์ฟน้ำ แต่คำถามก็คือ ไปอย่างไรมาอย่างไร ชายคนนี้ถึงกลายมาเป็น “พี่สุชาติ” ที่ใครต่อใครต่างเอ่ยถึง
ถ้าพร้อมจะรู้จักกันแล้ว ก็ “ไปค่ะ พี่สุชาติ”...
• ก่อนจะมาเป็น “พี่สุชาติ” คุณทำอะไรมาก่อน
ผมเป็นคนจังหวัดนครราชสีมาครับ ก็ทำไร่ทำนาตามประสาคนต่างจังหวัด แล้วเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ ก็เดินหางานอยู่หลายวันเลย ซึ่งงานแรกที่ได้ทำคือ เขียนป้ายโฆษณาอยู่แถวคลองตัน แต่เถ้าแก่ก็ชอบบ่นว่า เราเขียนป้ายไม่สวย ค่าแรงก็ได้ 150 บาท ซึ่งค่าห้องยังไม่พอเลย ก็เลยตัดสินใจหาที่อื่น เขาก็ไม่เอา เพราะอายุเยอะ และจบแค่ ป.4 ต่อมามีคนแนะนำว่าให้ไปเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย เราก็ลองไปสมัครดู ปรากฏว่าได้ไปทำที่โรงแรม เอสซี ปาร์ค ซึ่งทำอยู่ 2 ปี
หน้าที่หลักๆ ก็ดูแลความปลอดภัย และจัดรถจัดราให้เขา แต่ส่วนมากอยู่แค่ลานจอด เข็นรถเข้าซอง ตอนนั้นลูกผมก็เรียนหนังสืออยู่ เงินก็ไม่พอใช้เพราะเงินมันออกเป็นรายสัปดาห์ แล้วเดือนแรกก็ไม่ได้รับค่าแรงอะไร ก็โดนหักค่าชุดค่ากระบงกระบี่อะไรไป มันไม่พอ
• แล้วมาเริ่มงานในกองถ่ายหนังตั้งแต่ตอนไหนยังไง
พอดีแฟนผมรู้จักผู้หญิงคนหนึ่งชื่อแม่แดง เป็นคนที่ทำกับข้าวในกองถ่ายภาพยนตร์ ก็ชวนกันไป เพราะเขาขาดคน ผมก็ลองไปทำดู ทำกับข้าว ไปล้างถ้วยล้างชามให้เขา ตักข้าวให้ทีมงาน พอได้เข้าไปตรงนั้นปั๊บ ก็อยู่หลายเดือน แต่งานก็ไม่ได้มีทุกวัน ตามติดเขาไป แล้วคนทำสวัสดิการขาด ทางผู้จัดการกองถ่ายของสหมงคลฟิล์ม ขอตัวจากแม่ที่ทำกับข้าว ให้ผมไปช่วย ผมก็ลองไปทำดู คิวนั้น ไปเช้า เลิก 2 ทุ่ม หรือยังไงนี่แหละ ตอนนั้นมันได้แค่คิวละ 400 บาท 2 คิว ก็ได้ตั้ง 800 บาท เราก็รู้สึกว่ามันก็ได้เยอะนี่หว่า พอที่จะให้ค่าขนมลูกได้ ค่ารถไปโรงเรียน เราก็เริ่มสนใจที่จะทำแล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่กล้าขอที่จะทำ ยังล้างจานและตักข้าวต่อ และเราก็ควบสองงานเลย ทั้งเป็น รปภ. กับ สวัสดิการกองถ่าย
• ถือว่าหนักเลยนะครับ ในการควบ 2 งาน
หนักเลยครับ เพราะผมทำกับข้าวอยู่ที่วังหิน แต่ผมพักอยู่หน้ารามฯ ซอยรามฯ 39 ผมไม่กล้านั่งรถไป เพราะเก็บเงินให้ลูกไปโรงเรียน คือเดินออกจากที่พัก ตั้งแต่เที่ยงคืน มาถึงที่เขานัดตอนตีสามครึ่ง เพื่อมาขึ้นรถไปกองถ่ายกับเขา ก็อยู่ตรงนั้น แล้วพองานเริ่มเยอะขึ้น ก็เอาวันหยุดที่ทำจาก รปภ.มาทำงานนี้ คือเหนื่อย ตื่นเช้า นอนดึก จนในที่สุด เราก็ลาออกจาก รปภ. และมาทำกับข้าวให้เขา คือเริ่มใหม่หมดเลย จากล้างจาน จนมาเริ่มลงกระทะ หั่นผัก และทำกับข้าวด้วย
• ซึ่งตอนนั้นคือก็พอมีทักษะพอสมควร
ใช่ครับ ก็มีแม่แดงที่ทำกับข้าวสอนมาว่า แกงนี้ต้องใส่อย่างงี้นะ คือเป็นลูกมือของแม่ แต่ยังไม่กล้ารับงานเอง พอมาเจอกัน กองถ่ายที่เจอประจำ ก็เรียกให้ผมมาทำประจำ จนหนังจะปิดกล้อง มันก็เหลืออยู่หลายคิว เขาก็ถามเราว่า พี่เพชรสนใจมั้ย ผมก็ไปปรึกษาแม่แดงว่า ไปดีมั้ย แม่ก็บอกว่าไปสิ ตอนนั้นผมอยู่กับทางสหมงคลฟิล์มแล้ว ซึ่งอยู่ที่นั่นเกือบปี ช่วงหนังเรื่องต้มยำกุ้ง นี่แหละครับ
ต่อมา พอหนังของบาแรมยูปิดกล้อง ก็มีเพื่อนผมคนหนึ่งแนะนำให้มาทำกับจีทีเอช ซึ่งตอนนั้นจริงๆ ผมยังไม่รู้จักค่ายนี้หรอกครับ เราก็ตื่นเต้นนะ เพราะว่าเปลี่ยนบริษัทใหม่ รู้จักทีมงานใหม่ มีทำตัวไม่ถูกบ้างอะไรบ้าง เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กำกับ ใครเป็นนักแสดง ทำกับเขาเรื่องหนึ่ง แต่จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร ทำจนหนังปิดกล้อง ก็หลายคิว หลายเดือน แต่ถ้ามารับแบบเต็มๆ ก็เป็นเรื่อง “รถไฟฟ้า...มาหานะเธอ” นี่แหละครับ ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นงานจริงจังในสังกัดค่ายเลย
• ทำอะไรบ้าง ในฐานะกองสวัสดิการของจีทีเอช
ก็ทำกับข้าวครับ ทำอยู่นานเหมือนกัน ตอนมีงาน ผมจะตื่นมาเที่ยงคืน หุงข้าวก่อนเลย ทีมงานร้อยกว่าคน ต้องให้พอกิน ก็หุงเยอะหน่อย 12-13 หม้อขึ้นไป ผมตื่นมาหุงคนเดียว คนอื่นก็มีแบ่งหน้าที่กันไป เพราะเขาเห็นว่าผมหุงข้าวสวย ไม่แข็ง นิ่ม เขาเลยให้หุงข้าว ระหว่างรอข้าวสุก ผมก็ไปช่วยคนอื่นด้วย ทั้ง ต้ม ทอด อะไร คืออยากเรียนรู้ไง เพราะอยากลองทำบ้าง ก็ทำได้บางอย่าง แต่ยังไม่กล้าทำให้คนส่วนมากกิน ทำกินเอง ก็มีถามเหมือนกันว่า รสชาติเป็นยังไง พอได้มั้ย เป็นตัวแทนได้มั้ย จนกระทั่ง คนงานเขาเยอะ ลูกน้องเขาเยอะแล้ว เราคงทำไม่เป็นแล้ว ล้างจานและหุงข้าวดีที่สุด (หัวเราะเบาๆ)
• นอกจากล้างจานและหุงข้าว ทำอะไรอื่นอีกไหม
คือพอมาทำฝ่ายสวัสดิการ ก็มาทำฝ่ายเครื่องดื่มดู และพบว่า มาทำตำแหน่งนี้แล้ว มันสร้างรายได้ได้เยอะกว่าที่ทำมา มันก็พอกินพอใช้อ่ะนะ ก็บอกเหมือนกันว่า ถ้าคนขาดหรืออะไร ก็โทรเรียกได้เลยนะ อีกอย่างเราก็ขยันเดินหน้ากองด้วย ไม่ปล่อยให้ทีมงานเรียกเอาน้ำเอง คือให้ไปใกล้ตัวเขาที่สุด แต่พยายามไม่ไปเกะกะเขาด้วย พอทำเขาก็เรียกไปใช้งานมาเรื่อย มีเรื่องใหม่ก็ไปเรื่อย ก้เลยกลายเป็นอาชีพของเราไปแล้วที่ว่า อยู่ตรงนี้ ไม่เปลี่ยนอาชีพแล้ว
• ได้เห็นอะไรจากการทำหน้าที่สวัสดิการบ้างครับ
เห็นนักแสดงเขาเล่นกัน ก็เหนื่อยนะครับ คือเราก็รู้สึกเหนื่อยแทน บางที กว่าจะได้แต่ละเทป มันก็ใช้เวลานานมาก ซึ่งเมื่อมาเทียบกับงานของเราที่ดูแลเรื่องน้ำ บางครั้ง พอตอนเวลาที่เขาสั่งคัทเนี่ย บางทีก็อยากเอาน้ำไปให้นักแสดง แต่เราก็เกรงใจ เห็นเขารีบเร่งถ่ายกัน ก็ไม่กล้าเอาเข้าไป แบบเขาคงหิวน้ำมั้ง บางทีก็กังวลเหมือนกัน แต่เวลาที่ทำไป บางทีก็ได้รางวัลน้ำใจจากน้องๆ บ้าง อย่างเวลามากินเลี้ยงอะไร ก็ได้เงินรางวัลจากน้องๆ บ้าง เพราะเขาอาจจะมองเห็นความขยันจากเราด้วยมั้ง แบบ...ถึงตัวเราไม่อยู่ แต่มีน้ำใกล้ตัวเรา สามารถหยิบกินได้
• คาแร็กเตอร์แบบไหนที่คิดว่าทำให้ทีมงานหรือเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ จดจำเราได้
บางครั้ง ก็มีคนกระซิบเหมือนกันนะว่า หน้าผมไม่ค่อยยิ้ม คือทั้งๆ ที่ก็อยากนะ แต่หน้ามันได้แค่นี้จริงๆ น้องๆ ก็เข้าใจ อยู่กันมานาน สนิทกันแล้ว รู้จักกันแล้ว เลยไม่กดดันตัวเอง ทำหน้าที่ตัวเองได้เต็มที่ คือทำด้วยความสบายใจ มาอยู่ตรงนี้ อย่างน้องๆ ทีมงาน หรือผู้กำกับ ผู้หลักผู้ใหญ่ ก็แบบทำสบายๆ และทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ซึ่งหลักๆ ผมทำคู่กับแฟน ให้แฟนอยู่ที่โต๊ะ ผมอยู่หน้าเซ็ท คอยดูทีมงานว่าจะเอาอะไร ให้เขาเห็นหน้า เขาจะเห็นหน้าเราได้ถูก พอเห็นหน้า เขาก็ ‘พี่เพชร ขอกาแฟเย็นหน่อย’ คือแต่ละคนก็ยืนหน้าเซ็ทตลอด
และที่สำคัญ เราจะจำด้วยว่าใครชอบกินอะไรยังไง บางคนกินกาแฟรสนี้นะ กินกาแฟแบบไม่หวาน หรืออีกคนจะเป็นน้ำบ๊วย ก็รู้แล้วว่าเขากินรสชาติไหน แรกๆ ก็ศึกษา เพราะเกรงใจเขาเหมือนกัน หนึ่งเราก็ไม่กล้าถาม เขาก็ไม่กล้าขอเรา เพราะต่างคนต่างเกรงใจ ก็บางครั้งจะมีน้องทีมงาน หรือน้องฝึกงานเป็นตัวช่วยเรา เราก็จำว่า กินอะไรยังไง ก็จำได้หมดว่า ทีมงานแต่ละคนกินอย่างงี้ๆ รสชาตินี้นะ ประมาณนี้ ก็จะทำให้สนิทสนมกันมา คือทุกคนก็จะรู้ใจกันว่า มองตาก็รู้แล้วว่า เขาต้องการอะไร (ยิ้ม)
• งานหนักไหม ถามจริงๆ
หามรุ่งหามค่ำเลยก็ว่าได้ คือถ่ายกัน บางทียันเช้า หรือลากกันตั้งแต่หกโมงเช้าของวันหนึ่งไปจบหกโมงเช้าของอีกวัน ก็เหนื่อยนะ แต่ว่าผมก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่สงสารทีมงานมากกว่า คือเราแค่ยกน้ำตามเขา ก็ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่สงสารพวกนักแสดงตรงที่ว่า กว่าจะเล่นได้แต่ละเทค แต่ละฉาก มันเหนื่อย และยิ่งเฉพาะซีนอารมณ์นี่ ยิ่งหนักอีก เขาก็คิดแบบสุดๆ แล้วนะ เราก็พยายามจะครีเอทว่า ถ้าเวลามันดึกๆ เราเสิร์ฟเป็นของร้อนๆ ดีมั้ย เอาไว้เสิร์ฟอีกรอบ เสิร์ฟทีมงานหรือนักแสดงอีกรอบ เราก็มานั่งรอ ก็จัดชาร้อนบ้าง โอวัลตินร้อนบ้าง เสิร์ฟให้ทีมงาน เพื่อที่จะช่วยเขาอีกทาง เผื่อเขาได้กินของร้อนๆ มันจะได้สบายใจ คิดอะไรได้ คือจะให้ไม่ขาดตอน อย่างเวลาถ้าเงียบไป ก็จัดกาแฟให้ตื่นกันหน่อย (หัวเราะเบาๆ)
• มีอะไรเป็นหลักบ้าง ในการทำงานตรงนี้
โดยส่วนตัวของผมจริงๆ จะสังเกตว่า พอผู้กำกับเดินเข้าไปหานักแสดงปุ๊บ แสดงว่าตรงนี้ใช้เวลานาน เราก็ย่องเอาน้ำไปเสิร์ฟ พอเรียบร้อย ก็มานั่งรอ สังเกตดูว่า ผู้ช่วยหรือผู้กำกับไปติวนักแสดง ผมจะไปช่วงนั้นแหละ เอาน้ำไปให้พวกเขา ซึ่งต้องสู้กับความเหนื่อยล้าด้วย คือเขาเหนื่อยเท่าไหร่ เราก็พอๆ กับเขานะ เพราะอยู่กับเขาตลอด ถ้าดึก เราก็ดึก หรือถ้าเช้า เราก็เช้า หรือบางครั้งเขาถ่ายดึกมาก แล้วคนเยอะ เราก็วิ่งไปหาให้เขา เช่นน้ำอัดลมหมด กาแฟหมด น้ำแข็งหมด ต้องวิ่งหาแล้ว คือถ้ามันเหลือน้อยปั๊บ ผมจะรีบออกมาก่อน จะไม่ให้ตรงนี้สะดุด เรื่องอื่นสุดแท้แต่ แต่หน้าที่เราจะไม่ให้สะดุด ไม่ใช่ว่าพอเบรกปั๊บ น้ำแข็งไม่มีกินแล้ว อย่างงี้ไม่ใช่ ผมจะเตรียมไว้ตลอด จะวิ่งออกไปหาเลย หรือถ้าสะดวกหน่อย ก็จะโทรหาเลย คือหน้าที่เราจะไม่ให้สะดุด
• วิ่งๆ เดินๆ เสิร์ฟน้ำอยู่ดีๆ มาเป็น “พี่สุชาติ” ซะอย่างงั้น
ตอนแรกผมไม่รู้นะ อยู่ๆ น้องทีมงานก็จัดให้เล่นเลย เขาก็บรีฟว่า ไม่เห็นหน้า ไม่เห็นอะไร ไม่มีอะไร เพียงแต่ว่าต้องการแบบหุ่นบอบบางนิดนึงและดูมีอายุหน่อย ประมาณนี้ครับ เต๋อ (นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์) ผู้กำกับก็เลยเอา เพราะเราตรงตามคอนเซปต์เลย คือก่อนหน้านี้ ก็มีบางเรื่องที่ต้องการตัวประกอบเดินผ่านหน้ากล้องนิดหน่อยอย่างงั้นได้ แต่พอมาเรื่องนี้ปั๊บ ผู้กำกับบอกมาว่า ลองเอาพี่เพ็ชรดู แต่ไม่ได้เห็นหน้าอะไรมากมาย ก็ตามที่เห็นในหนังนั่นแหละครับ
• รู้สึกอย่างไรบ้างกับการได้เล่นหนังแบบไม่เปิดเผยหน้า
ก็ตื่นเต้นนะครับ แต่น้องๆ ทีมงานบอกพี่เพชรไม่ต้องทำอะไรมากมาย ให้เหมือนนั่งรอผู้โดยสารอย่างเงี้ย นั่งกดโทรศัพท์เล่นไป แต่ไม่มีบทพูดอะไรเลย คือผมเป็นคนกลัวและขี้อายอยู่แล้ว ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้
• ตอนนี้ “พี่สุชาติ” ดังไปแล้ว “คุณสมเพชร” รู้สึกอย่างไรบ้างครับ
จริงๆ ผมไม่รู้ตัวเลยนะครับ มีแต่น้องๆ แซวว่า “พี่สุชาติ” เราก็ “เอ๊ะ เขารู้ได้ไง” แต่เราก็ดีใจนะ แค่สงสัยว่าเราเล่นแค่นั้น ทำไมพูดถึงเยอะจัง อยากเห็นหน้าเรา อยากสัมภาษณ์เรา ทั้งๆ ที่เราแค่ใส่หมวกกันน็อกทั้งเรื่องนะ ก็ตื่นเต้นมากครับ เพราะเราไม่เคยมาถึงขนาดนี้ แค่นั่งเล่นมือถือและเดินผ่าน ก็สามารถดังได้ (หัวเราะเบาๆ) ก็เลยงงๆ ในหมู่บ้านที่พักอยู่ เขาก็มาถามผมว่า ใช่คนที่นั่งหรือเปล่า (หัวเราะ) เราก็คิดในใจว่า รู้ได้ไง ส่วนลูกผม เขาก็ดูในยูทูป ในสื่อออนไลน์ ก็ลังเลว่า ไม่ใช่พ่อมั้ง มีแต่หมวกกันน็อกจนกระทั่งกระแสมันแรงขึ้นนี่แหละครับ
อย่างไรก็ดี ก็รู้สึกดีใจครับที่มีส่วนที่ทำให้หนังออกมาดี ก็มีกระแสแรงถึงขนาดนี้ แต่ส่วนตัวก็ไม่คิดอะไรมาก เพียงแค่อยากฝากขอบคุณผู้ชมทุกท่าน มา ณ ตรงนี้ ที่อยากเห็นหน้า อยากเจอ นี่แหละครับ ตัวจริง เสียงจริง หลักๆ ผมก็อยู่ตรงนี้ ก็โทรได้เลยครับ (หัวเราะ) คือก็จะทำหน้าที่สวัสดิการไปจนกว่าจะทำไม่ไหวล่ะครับ ซึ่งถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็จะให้น้องๆ ได้ขึ้นมา ส่วนผมก็อาจจะช่วยขับรถบ้างอะไรบ้าง ก็ว่ากันไป ตอนนี้ อายุก็เริ่มเยอะแล้ว เกรงใจ กลัวว่าผู้กำกับจะไม่กล้าขอกาแฟ (หัวเราะอีกครั้ง)
• สุดท้ายถามว่าอะไรคือหัวใจสำคัญในการทำงานที่ส่วนสวัสดิการกองถ่ายหนังครับ
ต้องตรงต่อเวลาครับ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด คือให้อยู่หน้าเซทตลอด นักแสดงขออะไร จะต้องรวดเร็ว ฉับไว ไม่ต้องรอให้เขาเรียก ถ้าแบบว่า “ไม่มีค่ะ ไม่มีครับ” อย่างนี้ไม่เอา ต้องมีความรับผิดชอบในงาน และเวลาเป็นสิ่งสำคัญมาก ทุกอย่างต้องพร้อม บางทีผมบอกเผื่อเยอะเลย เขานัดตีห้าครึ่ง เราจะออกจากบ้านตีสามครึ่งเลย เพราะบางทีใช้เวลานาน ต้องเผื่อเวลาเยอะมาก ออกเร็วขนาดนี้ บางคิวไม่ทันก็ยังมี ฉะนั้น เวลาเป็นสิ่งสำคัญ ทำหน้าที่ตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : GTH
บุรุษร่างบอบบางในเครื่องแบบวินมอ’ไซค์ ปิดบังโฉมหน้าด้วยหมวกกันน็อก แต่เพียงแค่เธอส่งเสียงบอก “ไปค่ะ พี่สุชาติ” เขาจะตัดขาดจากจอมือถือที่กำลังจ้องอยู่ เดินต้อยๆ ตามก้นสาวน้อยที่ชื่อ “เจ๋” เป็นสารถีที่ว่านอนสอนง่าย ไม่มีปากมีเสียงใดๆ ทั้งสิ้น...เขาคนนี้เป็นใคร? มาจากไหน? นี่คือคำถามที่คาใจใครหลายคน
เ ร า เ อ ง ก็ เ ช่ น กั น...
จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่ง ชายผู้เป็นปริศนาจากหนังฟรีแลนซ์ฯ ยินดีที่จะเปิดหมวกกันน็อกออกและสนทนากับเรา พร้อมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามและความเป็นมา
เขาชื่อ “สมเพ็ชร” นามสกุล “รอบรู้” ทำงานอยู่ฝ่ายสวัสดิการกองถ่ายภาพยนตร์ของค่ายจีทีเอช มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือมากในด้านการหุงข้าวที่ทั้งนิ่มและสวย ผู้กำกับ นักแสดง ตลอดจนทีมงานทุกคนเคยลิ้มรสมือในการหุงข้าวสวยของเขามาแล้วนับมื้อไม่ถ้วน ก่อนจะโยกส่วนไปสู่ด้านการเสิร์ฟน้ำ แต่คำถามก็คือ ไปอย่างไรมาอย่างไร ชายคนนี้ถึงกลายมาเป็น “พี่สุชาติ” ที่ใครต่อใครต่างเอ่ยถึง
ถ้าพร้อมจะรู้จักกันแล้ว ก็ “ไปค่ะ พี่สุชาติ”...
• ก่อนจะมาเป็น “พี่สุชาติ” คุณทำอะไรมาก่อน
ผมเป็นคนจังหวัดนครราชสีมาครับ ก็ทำไร่ทำนาตามประสาคนต่างจังหวัด แล้วเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ ก็เดินหางานอยู่หลายวันเลย ซึ่งงานแรกที่ได้ทำคือ เขียนป้ายโฆษณาอยู่แถวคลองตัน แต่เถ้าแก่ก็ชอบบ่นว่า เราเขียนป้ายไม่สวย ค่าแรงก็ได้ 150 บาท ซึ่งค่าห้องยังไม่พอเลย ก็เลยตัดสินใจหาที่อื่น เขาก็ไม่เอา เพราะอายุเยอะ และจบแค่ ป.4 ต่อมามีคนแนะนำว่าให้ไปเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย เราก็ลองไปสมัครดู ปรากฏว่าได้ไปทำที่โรงแรม เอสซี ปาร์ค ซึ่งทำอยู่ 2 ปี
หน้าที่หลักๆ ก็ดูแลความปลอดภัย และจัดรถจัดราให้เขา แต่ส่วนมากอยู่แค่ลานจอด เข็นรถเข้าซอง ตอนนั้นลูกผมก็เรียนหนังสืออยู่ เงินก็ไม่พอใช้เพราะเงินมันออกเป็นรายสัปดาห์ แล้วเดือนแรกก็ไม่ได้รับค่าแรงอะไร ก็โดนหักค่าชุดค่ากระบงกระบี่อะไรไป มันไม่พอ
• แล้วมาเริ่มงานในกองถ่ายหนังตั้งแต่ตอนไหนยังไง
พอดีแฟนผมรู้จักผู้หญิงคนหนึ่งชื่อแม่แดง เป็นคนที่ทำกับข้าวในกองถ่ายภาพยนตร์ ก็ชวนกันไป เพราะเขาขาดคน ผมก็ลองไปทำดู ทำกับข้าว ไปล้างถ้วยล้างชามให้เขา ตักข้าวให้ทีมงาน พอได้เข้าไปตรงนั้นปั๊บ ก็อยู่หลายเดือน แต่งานก็ไม่ได้มีทุกวัน ตามติดเขาไป แล้วคนทำสวัสดิการขาด ทางผู้จัดการกองถ่ายของสหมงคลฟิล์ม ขอตัวจากแม่ที่ทำกับข้าว ให้ผมไปช่วย ผมก็ลองไปทำดู คิวนั้น ไปเช้า เลิก 2 ทุ่ม หรือยังไงนี่แหละ ตอนนั้นมันได้แค่คิวละ 400 บาท 2 คิว ก็ได้ตั้ง 800 บาท เราก็รู้สึกว่ามันก็ได้เยอะนี่หว่า พอที่จะให้ค่าขนมลูกได้ ค่ารถไปโรงเรียน เราก็เริ่มสนใจที่จะทำแล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่กล้าขอที่จะทำ ยังล้างจานและตักข้าวต่อ และเราก็ควบสองงานเลย ทั้งเป็น รปภ. กับ สวัสดิการกองถ่าย
• ถือว่าหนักเลยนะครับ ในการควบ 2 งาน
หนักเลยครับ เพราะผมทำกับข้าวอยู่ที่วังหิน แต่ผมพักอยู่หน้ารามฯ ซอยรามฯ 39 ผมไม่กล้านั่งรถไป เพราะเก็บเงินให้ลูกไปโรงเรียน คือเดินออกจากที่พัก ตั้งแต่เที่ยงคืน มาถึงที่เขานัดตอนตีสามครึ่ง เพื่อมาขึ้นรถไปกองถ่ายกับเขา ก็อยู่ตรงนั้น แล้วพองานเริ่มเยอะขึ้น ก็เอาวันหยุดที่ทำจาก รปภ.มาทำงานนี้ คือเหนื่อย ตื่นเช้า นอนดึก จนในที่สุด เราก็ลาออกจาก รปภ. และมาทำกับข้าวให้เขา คือเริ่มใหม่หมดเลย จากล้างจาน จนมาเริ่มลงกระทะ หั่นผัก และทำกับข้าวด้วย
• ซึ่งตอนนั้นคือก็พอมีทักษะพอสมควร
ใช่ครับ ก็มีแม่แดงที่ทำกับข้าวสอนมาว่า แกงนี้ต้องใส่อย่างงี้นะ คือเป็นลูกมือของแม่ แต่ยังไม่กล้ารับงานเอง พอมาเจอกัน กองถ่ายที่เจอประจำ ก็เรียกให้ผมมาทำประจำ จนหนังจะปิดกล้อง มันก็เหลืออยู่หลายคิว เขาก็ถามเราว่า พี่เพชรสนใจมั้ย ผมก็ไปปรึกษาแม่แดงว่า ไปดีมั้ย แม่ก็บอกว่าไปสิ ตอนนั้นผมอยู่กับทางสหมงคลฟิล์มแล้ว ซึ่งอยู่ที่นั่นเกือบปี ช่วงหนังเรื่องต้มยำกุ้ง นี่แหละครับ
ต่อมา พอหนังของบาแรมยูปิดกล้อง ก็มีเพื่อนผมคนหนึ่งแนะนำให้มาทำกับจีทีเอช ซึ่งตอนนั้นจริงๆ ผมยังไม่รู้จักค่ายนี้หรอกครับ เราก็ตื่นเต้นนะ เพราะว่าเปลี่ยนบริษัทใหม่ รู้จักทีมงานใหม่ มีทำตัวไม่ถูกบ้างอะไรบ้าง เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กำกับ ใครเป็นนักแสดง ทำกับเขาเรื่องหนึ่ง แต่จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร ทำจนหนังปิดกล้อง ก็หลายคิว หลายเดือน แต่ถ้ามารับแบบเต็มๆ ก็เป็นเรื่อง “รถไฟฟ้า...มาหานะเธอ” นี่แหละครับ ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นงานจริงจังในสังกัดค่ายเลย
• ทำอะไรบ้าง ในฐานะกองสวัสดิการของจีทีเอช
ก็ทำกับข้าวครับ ทำอยู่นานเหมือนกัน ตอนมีงาน ผมจะตื่นมาเที่ยงคืน หุงข้าวก่อนเลย ทีมงานร้อยกว่าคน ต้องให้พอกิน ก็หุงเยอะหน่อย 12-13 หม้อขึ้นไป ผมตื่นมาหุงคนเดียว คนอื่นก็มีแบ่งหน้าที่กันไป เพราะเขาเห็นว่าผมหุงข้าวสวย ไม่แข็ง นิ่ม เขาเลยให้หุงข้าว ระหว่างรอข้าวสุก ผมก็ไปช่วยคนอื่นด้วย ทั้ง ต้ม ทอด อะไร คืออยากเรียนรู้ไง เพราะอยากลองทำบ้าง ก็ทำได้บางอย่าง แต่ยังไม่กล้าทำให้คนส่วนมากกิน ทำกินเอง ก็มีถามเหมือนกันว่า รสชาติเป็นยังไง พอได้มั้ย เป็นตัวแทนได้มั้ย จนกระทั่ง คนงานเขาเยอะ ลูกน้องเขาเยอะแล้ว เราคงทำไม่เป็นแล้ว ล้างจานและหุงข้าวดีที่สุด (หัวเราะเบาๆ)
• นอกจากล้างจานและหุงข้าว ทำอะไรอื่นอีกไหม
คือพอมาทำฝ่ายสวัสดิการ ก็มาทำฝ่ายเครื่องดื่มดู และพบว่า มาทำตำแหน่งนี้แล้ว มันสร้างรายได้ได้เยอะกว่าที่ทำมา มันก็พอกินพอใช้อ่ะนะ ก็บอกเหมือนกันว่า ถ้าคนขาดหรืออะไร ก็โทรเรียกได้เลยนะ อีกอย่างเราก็ขยันเดินหน้ากองด้วย ไม่ปล่อยให้ทีมงานเรียกเอาน้ำเอง คือให้ไปใกล้ตัวเขาที่สุด แต่พยายามไม่ไปเกะกะเขาด้วย พอทำเขาก็เรียกไปใช้งานมาเรื่อย มีเรื่องใหม่ก็ไปเรื่อย ก้เลยกลายเป็นอาชีพของเราไปแล้วที่ว่า อยู่ตรงนี้ ไม่เปลี่ยนอาชีพแล้ว
• ได้เห็นอะไรจากการทำหน้าที่สวัสดิการบ้างครับ
เห็นนักแสดงเขาเล่นกัน ก็เหนื่อยนะครับ คือเราก็รู้สึกเหนื่อยแทน บางที กว่าจะได้แต่ละเทป มันก็ใช้เวลานานมาก ซึ่งเมื่อมาเทียบกับงานของเราที่ดูแลเรื่องน้ำ บางครั้ง พอตอนเวลาที่เขาสั่งคัทเนี่ย บางทีก็อยากเอาน้ำไปให้นักแสดง แต่เราก็เกรงใจ เห็นเขารีบเร่งถ่ายกัน ก็ไม่กล้าเอาเข้าไป แบบเขาคงหิวน้ำมั้ง บางทีก็กังวลเหมือนกัน แต่เวลาที่ทำไป บางทีก็ได้รางวัลน้ำใจจากน้องๆ บ้าง อย่างเวลามากินเลี้ยงอะไร ก็ได้เงินรางวัลจากน้องๆ บ้าง เพราะเขาอาจจะมองเห็นความขยันจากเราด้วยมั้ง แบบ...ถึงตัวเราไม่อยู่ แต่มีน้ำใกล้ตัวเรา สามารถหยิบกินได้
• คาแร็กเตอร์แบบไหนที่คิดว่าทำให้ทีมงานหรือเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ จดจำเราได้
บางครั้ง ก็มีคนกระซิบเหมือนกันนะว่า หน้าผมไม่ค่อยยิ้ม คือทั้งๆ ที่ก็อยากนะ แต่หน้ามันได้แค่นี้จริงๆ น้องๆ ก็เข้าใจ อยู่กันมานาน สนิทกันแล้ว รู้จักกันแล้ว เลยไม่กดดันตัวเอง ทำหน้าที่ตัวเองได้เต็มที่ คือทำด้วยความสบายใจ มาอยู่ตรงนี้ อย่างน้องๆ ทีมงาน หรือผู้กำกับ ผู้หลักผู้ใหญ่ ก็แบบทำสบายๆ และทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ซึ่งหลักๆ ผมทำคู่กับแฟน ให้แฟนอยู่ที่โต๊ะ ผมอยู่หน้าเซ็ท คอยดูทีมงานว่าจะเอาอะไร ให้เขาเห็นหน้า เขาจะเห็นหน้าเราได้ถูก พอเห็นหน้า เขาก็ ‘พี่เพชร ขอกาแฟเย็นหน่อย’ คือแต่ละคนก็ยืนหน้าเซ็ทตลอด
และที่สำคัญ เราจะจำด้วยว่าใครชอบกินอะไรยังไง บางคนกินกาแฟรสนี้นะ กินกาแฟแบบไม่หวาน หรืออีกคนจะเป็นน้ำบ๊วย ก็รู้แล้วว่าเขากินรสชาติไหน แรกๆ ก็ศึกษา เพราะเกรงใจเขาเหมือนกัน หนึ่งเราก็ไม่กล้าถาม เขาก็ไม่กล้าขอเรา เพราะต่างคนต่างเกรงใจ ก็บางครั้งจะมีน้องทีมงาน หรือน้องฝึกงานเป็นตัวช่วยเรา เราก็จำว่า กินอะไรยังไง ก็จำได้หมดว่า ทีมงานแต่ละคนกินอย่างงี้ๆ รสชาตินี้นะ ประมาณนี้ ก็จะทำให้สนิทสนมกันมา คือทุกคนก็จะรู้ใจกันว่า มองตาก็รู้แล้วว่า เขาต้องการอะไร (ยิ้ม)
• งานหนักไหม ถามจริงๆ
หามรุ่งหามค่ำเลยก็ว่าได้ คือถ่ายกัน บางทียันเช้า หรือลากกันตั้งแต่หกโมงเช้าของวันหนึ่งไปจบหกโมงเช้าของอีกวัน ก็เหนื่อยนะ แต่ว่าผมก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่สงสารทีมงานมากกว่า คือเราแค่ยกน้ำตามเขา ก็ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่สงสารพวกนักแสดงตรงที่ว่า กว่าจะเล่นได้แต่ละเทค แต่ละฉาก มันเหนื่อย และยิ่งเฉพาะซีนอารมณ์นี่ ยิ่งหนักอีก เขาก็คิดแบบสุดๆ แล้วนะ เราก็พยายามจะครีเอทว่า ถ้าเวลามันดึกๆ เราเสิร์ฟเป็นของร้อนๆ ดีมั้ย เอาไว้เสิร์ฟอีกรอบ เสิร์ฟทีมงานหรือนักแสดงอีกรอบ เราก็มานั่งรอ ก็จัดชาร้อนบ้าง โอวัลตินร้อนบ้าง เสิร์ฟให้ทีมงาน เพื่อที่จะช่วยเขาอีกทาง เผื่อเขาได้กินของร้อนๆ มันจะได้สบายใจ คิดอะไรได้ คือจะให้ไม่ขาดตอน อย่างเวลาถ้าเงียบไป ก็จัดกาแฟให้ตื่นกันหน่อย (หัวเราะเบาๆ)
• มีอะไรเป็นหลักบ้าง ในการทำงานตรงนี้
โดยส่วนตัวของผมจริงๆ จะสังเกตว่า พอผู้กำกับเดินเข้าไปหานักแสดงปุ๊บ แสดงว่าตรงนี้ใช้เวลานาน เราก็ย่องเอาน้ำไปเสิร์ฟ พอเรียบร้อย ก็มานั่งรอ สังเกตดูว่า ผู้ช่วยหรือผู้กำกับไปติวนักแสดง ผมจะไปช่วงนั้นแหละ เอาน้ำไปให้พวกเขา ซึ่งต้องสู้กับความเหนื่อยล้าด้วย คือเขาเหนื่อยเท่าไหร่ เราก็พอๆ กับเขานะ เพราะอยู่กับเขาตลอด ถ้าดึก เราก็ดึก หรือถ้าเช้า เราก็เช้า หรือบางครั้งเขาถ่ายดึกมาก แล้วคนเยอะ เราก็วิ่งไปหาให้เขา เช่นน้ำอัดลมหมด กาแฟหมด น้ำแข็งหมด ต้องวิ่งหาแล้ว คือถ้ามันเหลือน้อยปั๊บ ผมจะรีบออกมาก่อน จะไม่ให้ตรงนี้สะดุด เรื่องอื่นสุดแท้แต่ แต่หน้าที่เราจะไม่ให้สะดุด ไม่ใช่ว่าพอเบรกปั๊บ น้ำแข็งไม่มีกินแล้ว อย่างงี้ไม่ใช่ ผมจะเตรียมไว้ตลอด จะวิ่งออกไปหาเลย หรือถ้าสะดวกหน่อย ก็จะโทรหาเลย คือหน้าที่เราจะไม่ให้สะดุด
• วิ่งๆ เดินๆ เสิร์ฟน้ำอยู่ดีๆ มาเป็น “พี่สุชาติ” ซะอย่างงั้น
ตอนแรกผมไม่รู้นะ อยู่ๆ น้องทีมงานก็จัดให้เล่นเลย เขาก็บรีฟว่า ไม่เห็นหน้า ไม่เห็นอะไร ไม่มีอะไร เพียงแต่ว่าต้องการแบบหุ่นบอบบางนิดนึงและดูมีอายุหน่อย ประมาณนี้ครับ เต๋อ (นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์) ผู้กำกับก็เลยเอา เพราะเราตรงตามคอนเซปต์เลย คือก่อนหน้านี้ ก็มีบางเรื่องที่ต้องการตัวประกอบเดินผ่านหน้ากล้องนิดหน่อยอย่างงั้นได้ แต่พอมาเรื่องนี้ปั๊บ ผู้กำกับบอกมาว่า ลองเอาพี่เพ็ชรดู แต่ไม่ได้เห็นหน้าอะไรมากมาย ก็ตามที่เห็นในหนังนั่นแหละครับ
• รู้สึกอย่างไรบ้างกับการได้เล่นหนังแบบไม่เปิดเผยหน้า
ก็ตื่นเต้นนะครับ แต่น้องๆ ทีมงานบอกพี่เพชรไม่ต้องทำอะไรมากมาย ให้เหมือนนั่งรอผู้โดยสารอย่างเงี้ย นั่งกดโทรศัพท์เล่นไป แต่ไม่มีบทพูดอะไรเลย คือผมเป็นคนกลัวและขี้อายอยู่แล้ว ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้
• ตอนนี้ “พี่สุชาติ” ดังไปแล้ว “คุณสมเพชร” รู้สึกอย่างไรบ้างครับ
จริงๆ ผมไม่รู้ตัวเลยนะครับ มีแต่น้องๆ แซวว่า “พี่สุชาติ” เราก็ “เอ๊ะ เขารู้ได้ไง” แต่เราก็ดีใจนะ แค่สงสัยว่าเราเล่นแค่นั้น ทำไมพูดถึงเยอะจัง อยากเห็นหน้าเรา อยากสัมภาษณ์เรา ทั้งๆ ที่เราแค่ใส่หมวกกันน็อกทั้งเรื่องนะ ก็ตื่นเต้นมากครับ เพราะเราไม่เคยมาถึงขนาดนี้ แค่นั่งเล่นมือถือและเดินผ่าน ก็สามารถดังได้ (หัวเราะเบาๆ) ก็เลยงงๆ ในหมู่บ้านที่พักอยู่ เขาก็มาถามผมว่า ใช่คนที่นั่งหรือเปล่า (หัวเราะ) เราก็คิดในใจว่า รู้ได้ไง ส่วนลูกผม เขาก็ดูในยูทูป ในสื่อออนไลน์ ก็ลังเลว่า ไม่ใช่พ่อมั้ง มีแต่หมวกกันน็อกจนกระทั่งกระแสมันแรงขึ้นนี่แหละครับ
อย่างไรก็ดี ก็รู้สึกดีใจครับที่มีส่วนที่ทำให้หนังออกมาดี ก็มีกระแสแรงถึงขนาดนี้ แต่ส่วนตัวก็ไม่คิดอะไรมาก เพียงแค่อยากฝากขอบคุณผู้ชมทุกท่าน มา ณ ตรงนี้ ที่อยากเห็นหน้า อยากเจอ นี่แหละครับ ตัวจริง เสียงจริง หลักๆ ผมก็อยู่ตรงนี้ ก็โทรได้เลยครับ (หัวเราะ) คือก็จะทำหน้าที่สวัสดิการไปจนกว่าจะทำไม่ไหวล่ะครับ ซึ่งถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็จะให้น้องๆ ได้ขึ้นมา ส่วนผมก็อาจจะช่วยขับรถบ้างอะไรบ้าง ก็ว่ากันไป ตอนนี้ อายุก็เริ่มเยอะแล้ว เกรงใจ กลัวว่าผู้กำกับจะไม่กล้าขอกาแฟ (หัวเราะอีกครั้ง)
• สุดท้ายถามว่าอะไรคือหัวใจสำคัญในการทำงานที่ส่วนสวัสดิการกองถ่ายหนังครับ
ต้องตรงต่อเวลาครับ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด คือให้อยู่หน้าเซทตลอด นักแสดงขออะไร จะต้องรวดเร็ว ฉับไว ไม่ต้องรอให้เขาเรียก ถ้าแบบว่า “ไม่มีค่ะ ไม่มีครับ” อย่างนี้ไม่เอา ต้องมีความรับผิดชอบในงาน และเวลาเป็นสิ่งสำคัญมาก ทุกอย่างต้องพร้อม บางทีผมบอกเผื่อเยอะเลย เขานัดตีห้าครึ่ง เราจะออกจากบ้านตีสามครึ่งเลย เพราะบางทีใช้เวลานาน ต้องเผื่อเวลาเยอะมาก ออกเร็วขนาดนี้ บางคิวไม่ทันก็ยังมี ฉะนั้น เวลาเป็นสิ่งสำคัญ ทำหน้าที่ตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : GTH