หากมีใครคนหนึ่งโยนคำถามมาว่า ‘ผีมีจริงหรือไม่’ หลายๆ คนที่ได้ยิน มักจะตอบได้หลากรูปแบบ อย่างเช่น...
กลุ่มแรก เชื่อแน่นอน เพราะ มักจะได้เห็นหรือรู้สึกอยู่บ่อยๆ
กลุ่มที่สอง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะ อาจจะเคยได้พบเห็นบ้าง แต่ยังไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ใช่
และกลุ่มที่สาม ไม่เชื่อเลย เพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างจินตนาการขึ้นมาของมนุษย์ทั้งนั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเชื่อ ‘ผีมีจริง’ นั้น ได้ส่งผลต่อความคิดของคนเราในปัจจุบัน อาจจะเป็นไปได้ว่า ได้รับการปลูกฝังกันมาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีตกาล สืบทอดกันต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านทางพิธีกรรมต่างๆ จนกลายเป็นความงมงาย ให้กับกลุ่มคนที่เชื่อความเชื่อนี้
แต่แฟนเพจที่มีชื่อว่า ‘FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย’ ภายใต้การดูแลโดยชายหนุ่มที่มีชื่อว่า ‘บี’ นั้น กลับแสดงจุดยืนอย่างแข็งแรงและชัดเจนว่าไม่ขอเชื่อในความเชื่อที่ว่านี้ด้วยประการทั้งปวง และมุ่งเน้นนำเสนอหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาในแบบของตัวเอง เปรียบดั่งการเผยแพร่ธรรมะในสไตล์ฮาร์ดคอร์ ก็คงไม่ผิดนัก
ถึงแม้ว่าเขาจะถูกต่อต้านจากคนกลุ่มแรก และช่วยชี้ทางสว่างให้คนที่เคยเชื่อกลับมาสู่ ‘ความเป็นจริง’ มากขึ้น แต่ ‘บี’ ก็ยังคงทำหน้าที่นี้ต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน เพียงเพราะว่า ถ้ามนุษย์เราได้เข้าถึงหลักธรรมะได้อย่างแท้จริงแล้ว นั่นก็ทำให้เขาเหล่านั้น ได้หลุดพ้น ดั่งบัวใต้น้ำที่ชูช่อโผล่พ้นจากโคลนตมที่มีชื่อว่า “ความงมงาย”...
• ที่มาที่ไปของแฟนเพจนี้ มาจากอะไร
สังคมไทยในสื่อวิทยุโทรทัศน์ มันมีเรื่องงมงายเยอะ และรายการพวกนี้ก็ปลูกฝังด้านเดียว คือไม่มีการแสดงความคิดเห็นต่าง มีแต่นำเสนอด้านเดียว โดยที่ไม่มีการหักล้าง แล้วผมก็สังเกตว่าสื่อด้านนี้เยอะมาก มีหมดเลย ก็เลยอยากจะต้องการแสดงออกว่า เฮ้ย อย่างนี้มันผิดนะ เริ่มจากแสดงความเห็นในเฟซบุ๊กก่อนว่า อันนี้ไม่จริงยังไง แสดงในเฟซบุ๊กของตัวเอง จนเรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว มันเริ่มมาจากเรื่อง “เด็กชายปลาบู่ วันสิ้นโลก” เมื่อประมาณ ปี 2555 ที่บอกว่าเขื่อนจะแตก ผมรู้สึกเลยว่า มันไม่ใช่ แค่เอาคำพูดของคนคนเดียว มาขยายความ แล้วสื่อก็เอาคำพูดของคนคนนี้ไปขยายแล้วก็เผยแพร่ แล้วก็แชร์กันในโลกโซเชียลมากมาย ผมมองว่า เฮ้ย ทำไมเอาข่าวแบบนี้มาแชร์ คราวนี้ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เลย ทั้งสื่อ มีการทำนาย ภัยพิบัติต่างๆ ทุกคนก็หวาดกลัว แล้วก็พูดถึงเรื่องต่างๆ แล้วโยงไป ก็เลยมองว่าไม่ไหวแล้ว เลยทำเพจขึ้นมา
ตอนแรกก็ตั้งชื่ออื่นก่อน ตั้งว่า 'คนอวดผี' แต่ก็ไม่ได้ทำเพจขึ้นมา เพราะชื่อมันไม่ค่อยเป็นเอกลักษณ์ ก็เลยนั่งคุยกับเพื่อนใหม่ ประชุมกันใหม่ ว่าเดี๋ยวเราต้องทำอะไรขึ้นมาแล้ว ก็เลยทำเพจขึ้นมา ผมก็ตั้งชื่อเพจใหม่ ซึ่ง Fuck ก็มาจากศัพท์แสลงของเมืองนอก และ Ghost ที่แปลว่าผี จริงๆ ก็ด่าผีนั่นแหละ เราจะเน้นเรื่องผี แต่คราวนี้มันมีเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย เช่นเรื่องความชื่อและไสยศาสตร์ด้วย เราก็เลยใช้คำว่า “สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย” เติมท้ายเข้ามา ก็กลายเป็น Fuck Ghost ซึ่งคำนี้มองได้ 2 มุม มองว่าเป็น ฟักทองผีก็ได้ ถ้ามองแบบไม่หยาบคายหรือหยาบคายก็ได้ ซึ่งสัญลักษณ์เพจก็พัฒนามาจากรูปฟักทอง เหมือนกับเป็นรูปชูนิ้วกลาง สามารถจะมองได้ทั้งสองมุม แล้วแต่คนมอง เราก็ไม่ได้แบบว่า ทำให้ดูรุนแรงเท่าไหร่ ทำภาพออกมาให้มันน่ารัก
• เรื่องเด็กชายปลาบู่ มันกระตุ้นยังไง ถึงได้คิดว่ามันถึงเวลาที่จะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างแล้ว
จริงๆ ผมเคยทำงานด้านสื่อมวลชนมาก่อน หนึ่ง ผมชอบดูวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็กๆ ก็จะได้คำตอบจากการทำคำนวณ การคิด มาประมาณนั้น ถึงแม้ว่าผมจะเรียนไม่เก่งก็ตาม แต่ผมก็ชอบในศาสตร์นี้ พอมาได้ทำงานด้านข่าว การที่เขาตีข่าวแบบนี้ ซึ่งสื่อก็ตัวดีเหมือนกัน ถ้าเขียนข่าวไปในทางสิ่งลี้ลับเมื่อไหร่ คนก็จะเอนไปทางด้านนั้น ผมก็เลยทำเพจขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง
ถึงแม้สื่อเองจะชอบใช้คำว่า 'โปรดใช้วิจารณญาณ' แต่คนส่วนใหญ่ ผู้ใหญ่ในสังคมเรา ยังเชื่ออยู่เลย ก็จะไปบอกเด็กได้ไง แทนที่จะบอกว่าดูเพื่อความบันเทิง แต่ไปๆ มาๆ รายการนำเสนอปุ๊บ บอกไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แต่ผู้ใหญ่ไปบอกเด็กแบบนี้เหมือนกัน เด็กก็เลยงงๆ ว่า ตกลงมันมีจริงหรือไม่มีจริงกันแน่ จนเชื่อตามนั้น ไม่ได้มีข้อสรุปว่าสื่อนำเสนอยังไง ผู้ใหญ่ก็เชื่อตามประมาณนั้น
• การที่คุณประกาศตัวแบบนั้น เท่ากับเสี่ยงเหมือนกัน เพราะนี่คือเรื่องที่มีอิทธิพลมากต่อคนในสังคม
มันก็เสี่ยง เพราะส่วนใหญ่พวกที่หากินทางด้านนี้ ก็ไปขัดผลประโยชน์เขา ง่ายๆ เลย มันก็เสี่ยงที่คนจะไม่ชอบ แล้วคนส่วนใหญ่ของสังคมไทยเป็นคนที่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่ ถ้าเราไม่เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ที่จะทำให้เห็นถึงโทษของเรื่องงมงาย มันก็จะบานปลายไปเรื่อย และป่านนี้ก็พูดได้แค่ข้างเดียว คนที่อยู่ตรงกลาง ก็อาจจะเอนไปด้านที่เขาเชื่อเรื่องพวกนี้ ผมก็เลยอยากทำขึ้นมาเพื่อที่ว่า อย่างน้อยๆ คนที่อยู่ตรงกลาง ได้เอาไปคิด ส่วนคนที่เขาเชื่ออย่างเต็มที่ เราก็คงไม่เปลี่ยน เราก็ปล่อยไป ไว้ให้วันหนึ่ง เจอกับเรื่องพวกนี้ในชีวิต แล้วถึงจะรู้ว่า เรื่องงมงายมันมีผลต่อครอบครัวของเขา
• คุณเริ่มที่จะไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่
ประมาณ 9 ขวบ มันมีรายการหนึ่ง เขาก็มาแฉเรื่องร่างทรง เขาก็บอกเทคนิคต่างๆ หมดเลย ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็น คุณชูชาติ งามการ เป็นร่างทรงจี้กง แล้วเขาก็ออกมาแฉ เทคนิคการลุยไฟ การแทงปาก และบอกว่าไม่มีจริง ผมดูตั้งแต่ตอนเด็ก ผมก็เชื่อเขา เพราะเขาพูดด้วยเหตุผล ผมก็ฟังและสงสัยว่า ถ้าไม่มีจริง แล้วผีมันจะมีจริงมั้ย ในเมื่อเรื่องพวกนี้มันเชื่อมโยงกัน ทั้งผี ทั้งคนทรง ถ้าไม่มีผี ก็ไม่มีคนทรง แล้วเขาก็บอกว่าคนทรงไม่มี ผมก็ฟังและสงสัยมาตั้งแต่นั้น
พอเริ่มโตขึ้น ก็ศึกษาไปเรื่อย ตั้งแต่กำเนิดโลก ผมชอบอ่านหนังสือ เพราะความไม่รู้ เลยไล่อ่านตั้งแต่วิทยาศาสตร์ กำเนิดโลก ไดโนเสาร์ ผมก็เริ่มเข้าใจ แล้วพอโตมาสักอายุ 15-16-17 เริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว เริ่มไปลองบ้านผี ที่ชอบให้ไปพิสูจน์สิ่งลี้ลับ ผมก็ลองไปดู แล้วก็ได้ข้อสรุป คือส่วนใหญ่ไปแล้วไม่เจอ แต่คนที่กลัวมักเจอ คนที่ไม่กลัว มักไม่เจอ ซึ่งผมก็กลัวแต่ไม่เจอ เพราะมองว่า อาจจะมาจากความกลัวของจิตใจ คราวนี้ผมลองไปบ่อยครั้ง ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่กลัวไม่ใช่ผี แต่กลัวความมืด กลัวจากสิ่งที่บอกเล่ากันมา ตั้งแต่ตอนนั้นมา ก็เริ่มหาสิ่งพวกนี้เรื่อยๆ อยากจะพิสูจน์ แล้วยิ่งหาเท่าไหร่ก็เริ่มหาความจริงมากขึ้น ก็เลยทำให้เราไม่เชื่อ
• เหมือนกับเป็นโรคเฉพาะตัวของคนมั้ย แบบ โฟเบีย (Phobia) ทำให้เกิดความมโนไปเอง
ส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น ผมเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น มาจากความกลัวของตัวเอง แล้วก็ทำให้จินตนาการไปไกล และความมืดก็บวกมาทำให้การมองเห็นจากจินตนาการมารวมกัน ก็เลยกลายเป็นว่าสิ่งที่เห็นมันไม่ได้มาจากที่ตาเราเห็น มันมาจากจินตนาการซะส่วนใหญ่ แล้วก็ทำให้เกิดภาพหลอน ตามความเชื่อว่ายังไงก็เห็นแบบนั้น เพราะว่าเชื่อแบบนั้นจึงกลัวแบบนั้น แต่ถ้าเราไม่มีความกลัว ไม่มีความเชื่อ มันก็ไม่เห็น เราก็ยังเห็นความจริงที่เห็น เราก็ต้องเข้าไปดู
ถ้าคนเรามีจิตใจที่ไม่เข้มแข็ง เรามีความกลัว อย่างผมก็กลัวเหมือนกัน แต่ผมลองทำบ่อยเข้า ความกลัวก็ลดลงเรื่อยๆ ลองพิสูจน์ ลองทำอะไรดู อย่างที่เขาว่าไปแล้วจะเจอ ผมก็ทำไป จนความกลัวก็จะลดลง ซึ่งก็เหมือนกัน คนบ้างคนกลัวมาตั้งแต่เริ่ม สิ่งที่เขาเห็นอาจจะไม่ใช่ผี แต่ไม่เคยได้พิสูจน์ ก็เชื่อมาแบบนั้นตลอด ก็เลยอยากให้คนที่กลัวเรื่องพวกนี้อยู่ อยากให้ลองเอามาคิดดู แล้วอยากให้ลองแบบว่า คิดดู ประมาณนั้น
• จากภาพลักษณ์ของเพจ ราวกับว่าคุณไม่มีศาสนานะ แต่พอได้ฟังมา ประมาณว่า ให้เชื่อในหลักคำสอน มากกว่าที่จะงมงาย
บางคนอาจจะมองว่า เพจผมเป็นพวกที่ไม่เชื่อ แต่จริงๆ ศาสนาพุทธสอนให้ไม่เชื่อนะ ถ้าใครได้ศึกษา ท่านสอนให้เชื่อด้วยเหตุผล อย่างบางคนที่บอกว่ามีเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์นี่ มันเป็นวรรณกรรมทางศาสนา แต่ถ้าเชื่ออย่างเหตุผล มันก็จะมีเหตุผลรองรับ เป็นกุศโลบาย หรือ เป็นเรื่องการต่อเติมขึ้นมา แต่จริงหลักพุทธศาสนา ไม่ได้เหมือนศาสนาอื่น อย่างศาสนาอื่นสอนให้เชื่อพระเจ้า สอนให้เชื่อการดลบันดาล แต่ศาสนาพุทธจะสอนให้เชื่อตนเอง ให้พึงตัวเอง นี่แหละคือหลักพุทธ ผมก็เชื่อหลักแบบนี้ แต่คนที่ไม่เข้าใจพุทธ ก็จะมองเพจผมว่า เป็นพวกไม่มีศาสนา
ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เชื่อพระเจ้าด้วย สอนให้เชื่อตัวเอง โดยที่พระพุทธเจ้าเป็นเพียงศาสดา ชี้ทางให้คนแบบว่าอยู่ในหลักเหตุผล แต่ศาสนาพุทธในประเทศไทยไม่ได้มองแบบนั้น คือมองแบบสมมุติเทพ ช่วยชี้ทางสว่างแบบไปในโลกหน้า ซึ่งจริงๆ ท่านชี้ทางให้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ อยู่ในนี้ แล้วไปทำดีเพื่อโลกหน้า เพื่อที่ตัวเองจะสบายในโลกหน้า ไม่ใช่ มันควรจะเป็นว่าเราทำดีเพื่อพรุ่งนี้ ทำให้ดีเพื่อที่เราจะได้อยู่สบาย บางคนเชื่อเรื่องโลกหน้ามาก ให้ทำบุญ แล้วก็เอาเงินที่มีทั้งหมด แทนที่จะได้ดูแลสุขภาพของตัวเอง ไปทุ่มเพื่อโลกหน้าจนหมด แต่คนที่มาเอาเงินของเรากลับได้สบายในโลกนี้แทน แล้วเราก็ไปหวังโลกหน้า ซึ่งมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมมองว่ามันเป็นการมอมเมา
• พอคนเราตาย แล้วเปลี่ยนสถานะเป็นผี ซึ่งตามความเชื่อแล้ว เปลี่ยนสถานะเป็นที่เคารพทันที โดยส่วนตัวคุณคิดว่ายังไง
จากเท่าที่ผมสังเกต ผีส่วนใหญ่จะเป็นคนไม่ดี หรือว่าเป็นคนที่ตายจากอุบัติเหตุรุนแรง จริงๆ ผีเป็นความเชื่อที่เกิดมาจากรัก โลภ โกรธ หลง ถ้าเกิดตายเพราะความรัก แบบโหยหา คนก็จะคิดว่า คนที่ตายจะเป็นผี หรือว่าเกิดจากความโลภ ตายเพราะไปปล้น หรือโกรธแค้นมาแล้วก็ตาย สิ่งพวกนี้จะเกิดความมโนของคนที่เชื่อ คนนี้ตายแบบรุนแรง ตายแบบสยดสยอง มันจะตายเป็นผี แต่ถ้าคนดีๆ ตาย จะไม่เคยได้ยินว่ามีผี ตามความเชื่อผมนะ คนส่วนใหญ่มักจะเห็นผีแบบการตายสยดสยอง เขาก็จะเชื่อจะกลัวแบบนั้น
แต่ถ้าเคสแบบ ป่วยตาย หรือทำดีแล้วตาย ไม่เคยมีใครมาบอกเลย อาจจะมี แต่จะมาจากจิตของคนแต่ละคนที่คิดถึง แต่แยกไม่ออกระหว่างความนึกคิดของเขา สมมุติว่าผมเป็นคนดี แล้วผมตายไปแล้วเห็นผม เขาจะไม่ได้เห็นเป็นผี แต่เห็นแบบรู้สึกว่ามาแบบเข้าฝัน แต่ไม่ใช่แบบนั้น จะเป็นแบบคิดถึง จะแบบดี แต่ถ้าตายแบบปล้นฆ่าเขา ก็จะถูกมองว่าเป็นผีแล้ว ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับสถานะของความชอบแต่ละคน อย่างคนที่ไม่ชอบเพจผม ก็จะคิดว่า ถ้าผมตายไป น่าจะไปเป็นวิญญาณตกนรกเร่ร่อน สัมภเวสีแน่นอน แต่ถ้าคนที่ชื่นชอบ อาจจะแบบ ตายไปอย่างน้อยก็สร้างความดีให้กับสังคม ให้เขาเลิกเชื่อ เลิกกลัวขึ้นมา และเป็นระลึกถึงแทน แต่ไม่ได้ระลึกถึงแบบผีนะ แต่จะเป็นแบบอีกสถานะหนึ่ง
• อีกสถานะหนึ่ง นี่คือยังไง
จริงๆ คนจะเข้าใจกันผิดมากเลย ผมขออธิบายว่า เรื่องวิญญาณ คำนี้ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึงสัมผัสทั้ง 6 ของร่างกาย หมายความว่า รูปรสกลิ่นเสียง สัมผัส และความรู้สึกนึกคิด ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่า ร่างกายเรา เราจับแล้วรู้สึก เราจับเรามองเห็น เราได้ยิน เรารับรสได้ เรามีความรู้สึกนึกคิด ร่างกายเรามีวิญญาณอยู่ แต่ถ้าร่างกายเราไร้วิญญาณ หมายความว่าเราไม่มีทั้ง 6 นั่นแหละ เราตายแล้ว แต่ถ้าคุณยังมีอย่างใดอย่างหนึ่ง แสดงว่าคุณยังมีวิญญาณอยู่ เหมือนมือถือ ใช้งานไม่ได้ แบตหมด เหมือนไร้พลังงานแล้ว ใช้อะไรไม่ได้ ไม่มีความจำ มันพังแล้วว่าง่ายๆ ก็คือวิญญาณในพระพุทธศาสนา
แต่ถ้าหากเป็นผี จากการศึกษาเองของผม ในความหมายของไทยคือคนที่ตายไปแล้ว ตายทุกแบบเขาเรียกผีหมด แต่หากเป็นหนังหรือละคร คนเป็นผีจะแปรสภาพเป็นวิญญาณออกมา อย่างคนที่ชอบบอกว่ามีสัมผัสที่ 6 ผิดนะ ซึ่งอันนี้ทุกคนมีหมดความรู้สึกนึกคิด แต่สิ่งที่เอามาพูด มันไม่ใช่สัมผัสที่ 6 ที่มาจากเรื่องจริง มาจากจินตนาการ ความมโนมากกว่า ในหลักพุทธ เขาเรียกว่ามโนวิญญาณ ความรู้สึกนึกคิดในสิ่งที่เขาเห็น ที่มีมาบอกว่า เฮ้ย ฉันเห็น ฉันมีสิ่งนี้ ฉันมองเห็นผี อันนี้ผมว่าไม่ใช่แล้ว มาจากจินตนาการของเขา แล้วเที่ยวไปบอกคนอื่นให้เชื่อตาม แต่อันที่จริง เราทุกคนมีสิ่งนี้หมด ความรู้สึกนึกคิด แต่สิ่งที่เห็นมันก็มีหลายอย่าง มาจากการโกหกตัวเอง หรือมาจากภาพหลอน ภาพจินตนาการของเขาเอง หลายอย่าง ซึ่งสิ่งที่เขาพูด ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ซึ่งอย่างที่บอก มันก็จะแตกต่างกัน คือตามสมัยโบราณ ทุกคนจะเรียกว่าผีหมด พอตายปุ๊บ ทุกคนจะเรียกผีหมดเลย แต่สมัยนี้ ตายแล้วก็ มีห่วง รัก โลภ โกรธ หลง แล้วมาวนเวียนอยู่ ส่วนวิญญาณที่คนทั่วไปเขาคิดว่าไม่ต่างจากผี แต่จริงๆ ก็เป็นตามอย่างที่ผมบอก ซึ่งถ้ามีคนถามผมว่าเชื่อเรื่องวิญญาณมั้ย ผมก็ตอบได้เลยว่า เชื่อ เขาก็จะหาว่าผมงมงาย เพราะไม่ได้เข้าใจแบบผม แต่ถ้ากลับกัน ผมจะบอกว่าไม่เชื่อไว้ก่อน เพราะว่า เขาก็ไม่เข้าใจเรื่องวิญญาณแบบผม เขาเข้าใจวิญญาณแบบผี แต่ถ้าเข้าใจวิญญาณแบบผม มันจะเป็นอีกแบบ
• จากความเชื่อผิดๆ มา แน่นอนว่า ผีถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยคนมีอำนาจ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างงั้น พวกร่างทรง หมอดู หรือพวกหมอผี เขาจะหากินจากความเชื่อ หากินจากความกลัวของคน ถ้าคุณไม่มีความกลัว เขาหากินจากคุณไม่ได้ เขาก็ต้องขู่คุณ อย่างที่บอกเหมือนกัน รัก โลภ โกรธ หลง คนพวกนี้หากินกับเรื่องพวกนี้หมด ในเรื่องของความเชื่อ ถ้าคุณมีความรัก คุณเสียแฟนไป คุณอยากให้แฟนคุณกลับมา ดูอย่างกรณีเณรแอ เสียแฟนไป ก็ใช้เรื่องความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง หรืออย่างหมอดูต่างๆ ใช้เรื่องความโลภเข้ามา แบบ คุณอยากมีหน้าที่การงานดีมั้ย คุณต้องทำแบบนี้ ให้เอานี่ไปบูชา มันเหมือนจะดี แต่จริงๆ พูดถึงเหตุผล ก็ทำดีไปเลยสิ ไม่เห็นจะต้องให้บูชาอันนี้ เพื่อที่ตัวเองจะได้รวย ก็แค่บอกให้ตั้งใจทำงาน เดี๋ยวจะรวย ก็จบ แต่บอกว่า คุณตั้งใจทำงาน คุณก็ซื้ออันนี้ไปบูชา คุณต้องเป็นคนดีนะ สรุป เขาได้ผลประโยชน์จากความเชื่อนี้ ซื้อตุ๊กตา หรือ สิ่งปลูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นคนดี
แล้วพอไปๆ มาๆ มันก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอ คือคิดอะไรไม่ออกก็จะหาที่พึ่ง วิ่งไปหาหมอดู ไปหาร่างทรง จะแต่งงานทีก็วิ่งไปหาหมอดู หรือจะไปประกอบอาชีพที ก็ไปหาสินแสไปหาอะไรต่างๆ นานา เสียตังค์ ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าเกิดเรามีเหตุผล เราก็ดูสิว่าเราจะทำอะไร ยังไงถึงจะเหมาะสม ไปหาคนที่เชี่ยวชาญจริงๆ ยังจะถูกต้องกว่า ถ้าเกิด อยากจะลงทุน ไปถามผู้ที่มีความรู้ด้านการลงทุน มันจะถูกต้องกว่ามั้ย ไม่ใช่ไปถามหมอดู เขารับเงินคุณมา และแนะนำไปส่งเดช หากมันดีขึ้นมา ได้ผล ก็ได้เงินกลับมาอีก คนก็วิ่งเข้ามาหาอีก แต่ถ้าไม่ดี ก็จะแบบ ทำผิดวิธี ของมันแรง อะไรแบบนี้ ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย สรุปหมอดูก็ไม่มีทางผิด
• แต่ความเชื่อนี้ก็ยังมีอยู่ คิดว่าเป็นเพราะอะไร
เพราะความงมงายมันวิวัฒนาการตามวิวัฒนาการทางสังคมด้วย ความงมงายจะอยู่ไปตามอินเตอร์เน็ท แทนที่มันควรจะมีแต่ความรู้ แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่แสวงหาสิ่งงมงายแทน มีขายเครื่องรางของขลัง มีทั้งเรื่องความเชื่อ คุณจะหาข้อมูลอะไรบางอย่าง ข้อมูลงมงายบังคุณไปหมด เช่น คุณพิมพ์คำว่าแม่นาค แทนที่จะได้ข้อมูลว่า แม่นาคเป็นอย่างไร มีแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ที่มีส่วนข้อมูลที่เล่าถึงแม่นาคว่าไม่ได้เป็นผี แต่กลับกัน ข้อมูลของแม่นาคจะเล่าถึงความเฮี้ยนประมาณ 80 เปอร์เซนต์ หรือคุณจะดูข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับความรู้ เกี่ยวกับเรื่องดวงจันทร์ พิมพ์เข้าไป แทนที่จะเป็นเรื่องดาวเคราะห์ กลับกลายเป็นราหูเต็มไปหมด มันพัฒนาตามไปด้วย
• เป็นไปได้มั้ยว่า ภูมิภาคเรา มันมีเรื่องแบบนี้มาเกี่ยวข้องด้วย แล้วคนที่ไม่เชื่อ จะกลายเป็นคนแปลกแยกไป
ถ้าเรานับถือศาสนาแบบที่ถูก เราก็จะไม่งมงาย พุทธศาสนาสอนให้ไม่งมงายนะ สอนให้มีสติมีปัญญา ซึ่งถ้าใครได้ดูซีรี่ย์พระพุทธเจ้าสอนดีมากเลย อาจจะมีภาพแสงสีหรือปาฎิหาริย์นิดหน่อย แต่เนื้อเรื่องสอนดีมาก สอนในเรื่องยึดหลักเหตุผล แต่ฝั่งงมงาย ดูเรื่องเดียวกัน จะมองว่าหนังสร้างผิด ไม่มีเรื่องไปสวรรค์ มองคนละมุมกัน อีกฝั่งไม่ได้ศึกษาไง จริงๆ แล้ว ซีรี่ย์เรื่องนี้ต่อต้านพราหมณ์ ไม่เชื่อการบูชายัญ ไม่สอนให้เชื่อในพระเวทย์ ไม่สอนให้เชื่อในพระเจ้า แล้วคำว่าพุทธะ คือผู้ตื่น มาคอยชี้ทางว่า เฮ้ย ที่ทำมาน่ะผิด ซึ่งในซีรี่ย์ก็ทำให้ดู
• อย่างงี้คำว่า ‘เอาบุญมาฝาก’ ก็ใช้ไม่ได้น่ะสิ
บุญมันก็ฝากใครไม่ได้นะ มันต้องทำเอง บุญมองได้ว่าเป็นการทำความดี แล้วอยู่ดีๆ จะให้คนอื่นทำให้แล้วเอามาฝาก มันก็ไม่ใช่ เหมือนกับคนมองว่าบุญก็เหมือนคนที่เอาข้าวไปใส่บาตรพระเท่านั้น ทั้งๆ ที่มันหมายความว่า ทำให้คนอื่นพ้นทุกข์ เช่น สุนัขหิวข้าว แล้วเราเอาข้าวให้กิน เราก็ได้บุญแล้วนะ เพราะว่าทำให้มันพ้นทุกข์ แต่คนทั่วไปกลับมองว่า ระหว่างเอาข้าวไปให้หมา เอาข้าวหรือเอาเงินไปบริจาคดีกว่า คือเข้าวัดอย่างเดียว ไม่มองอย่างอื่น
จริงๆ การทำบุญ หมายถึงช่วยใครก็ได้ อย่างคนเข็นรถมา รถเสีย เราลงไปช่วยเขาเข็น แล้วเผอิญรู้สึกดี หรือจูงคนแก่ข้ามถนน แค่นั้นเอง ถ้าทำแบบนี้ มันก็จะช่วยสังคมแล้ว แต่บางคน อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ บางคนทำบุญ เข้าวัดอย่างเดียว แต่พอออกมา กลายเป็นคนปากจัด เป็นคนงก แบบว่าเห็นแก่ตัว แต่เข้าวัดเต็มที่ แล้วเวลามาอยู่กับคนทั่วไป ทำท่าทำทาง อย่างงี้มันผิดหลัก ซึ่งมันควรจะเป็น คิดดีพูดดีทำดี ช่วยเหลือกันมากกว่า แต่นี่มันไม่ใช่ไง คนเข้าวัดบางส่วนจะเป็นแบบ มือถือสาก ปากถือศีล แทน ประมาณนั้น
• เหมือนคนไทย มีศาสนาพุทธแค่อยู่ในบัตรประชาชน
ใช่ครับ แค่ให้มีนับถือแล้วไม่ศึกษาให้ถูกต้อง แต่เดี๋ยวก็มีคนมากล่าวหาผมว่าไม่ถูกต้องอีก เพราะศึกษาคนละแบบ ต่างคนต่างมองผิด แต่ว่าอันไหนถูกกว่ากัน คุณต้องมองด้วยเหตุผล ถ้าอีกฝั่งบอกว่าถูก แล้วมาดูเหตุผลว่าอันไหนเหมาะสมแล้วเกิดปัญญากว่ากัน มันดีกว่ากัน อย่างเขาบอกว่าทำแบบนี้แล้วเอาเงินทุ่มให้วัดหมดตัว แล้วเขาจะได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ แต่ผมก็บอกว่า ทำช่วยเหลือ ได้เห็นๆ เลย อันไหนมันดีกว่าก็ให้สังคมตัดสินไป
บางคนเคร่งมากเกินไปก็ไม่ดี เช่น เข้าวัดทุกวัน ถือศีลอะไรได้ แต่เข้ากับสังคมไม่ได้ ทำงานอยู่ที่ทำงานเหมือนกับคนบ้า เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ เขาชวนไปไหนก็ไม่ไป ทำอะไรก็ไม่เป็น คล้ายเป็นคนบ้าในสังคมยุคปัจจุบัน เราต้องใช้เหตุผล แบบอันนี้ทำได้บ้างนิดหน่อย คือเราไม่ได้เป็นนักบวช เราก็สามารถใช้ชีวิตที่อยู่ในขอบเขตของคนทั่วไป เหมือนกับเราถือกระเป๋าหนัก ถือมาหลายๆ ใบ ก็ไม่ดี แต่ถ้าถือแบบพอประมาณมันก็ถูกต้อง ใช้ชีวิตให้มันเหมาะสม แล้วคุณทำงานอะไร คุณเป็นพ่อค้าขายหมู แล้วคุณก็ไปรับช่วงมา กลัวบาปอีก ก็ไม่ต้องขาย ก็ไม่ต้องมีกินกัน ต้องดูเหตุผลอีกว่าเราเป็นอะไร เราทำอาชีพอะไร เรามีรายได้แค่ไหน ไม่ใช่ว่า ผมเห็นเด็กเล็กๆ ที่บ้านพาเข้าวัดทุกวัน แทนที่เด็กจะได้เรียนรู้รอบตัวก่อน ซึ่งพอโตขึ้นมาก็กลายเป็นคนงมงายอีก และยังต้องดูวัดอีกว่าสอนอะไร บางวัดสอนเรื่องอภินิหาร แทนที่จะได้ความรู้ กลายเป็นงมงาย ซึ่งมันต้องดูเหตุผลไงครับ ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะแบบนี้ อย่างผมศึกษาธรรมะ เข้าวัดเหมือนกัน แต่ผมก็เลือกวัดที่ผมจะเข้า เลือกที่จะเข้าด้วย
• โดยส่วนตัว คุณชอบคำสอนของพระท่านใดมากที่สุด
ส่วนตัวผมที่ศึกษาแล้วชอบ คือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ และท่านพุทธทาส ผมชอบอยู่ 2 รูปนี้ ส่วนรูปอื่นก็สอนดีเหมือนกัน แต่บางทีผมอาจจะไม่ทั่วถึง เพราะว่า หลักธรรมของท่านทั้งสอง ถ้าอ่านจริงๆ ก็เยอะมากมายแล้ว ก็ไม่ต้องไปอ่านของใครแล้ว แต่บางคนที่ไม่ศึกษา ก็จะมองหลวงพ่อ 2 รูปนี้เป็นอีกแบบนึง มองว่าเป็นอลัชชีบ้าง มองเป็น เดรถีบ้าง มันก็อยู่ที่คน แต่สำหรับผมนั้น มองท่านว่า อ่านแล้วถูกต้อง ความถูกต้องในความคิดผม คือ อ่านแล้วมีเหตุผล มันจริง นั่นแหละครับ
• คิดยังไงกับคำว่า ‘ไม่เชื่ออย่าลบหลู่’ ครับ
ผมอยากเปลี่ยนเป็นว่า ไม่เชื่อต้องพิสูจน์มากกว่า เพราะว่า ประโยคนี้ มันจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น และไม่สามารถจะคิดต่อได้เลย มันเป็นการหยุดคิดต่อ มันก็ไม่เกิดการถกเถียง มันไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ถ้าเกิดว่าไม่เชื่อ พิสูจน์ว่ามันเป็นยังไง จริงมั้ย คนก็สามารถมาถกเถียงเป็นทฤษฎีจนพิสูจน์ มันก็จะได้ความรู้ขึ้นมา ถ้าเกิดหยุดที่การห้าม ก็จบ มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งสะท้อนของคนสมัยนี้ได้เป็นอย่างดี
• ถ้าสมมุติว่าตัวเองเป็นผี คิดว่าจะเป็นในลักษณะใด
(นิ่งคิด) ผมคงจะเป็นแบบซูเปอร์ฮีโร่มากกว่า ก็คงจะไปช่วยเหลือคน เหมือนแคสเปอร์ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ แค่นั้นเอง แบบคนจะไปข้ามถนนก็ดึงมา หรือคนจะทำไม่ดีก็จะไปฉุดขึ้นมา ซึ่งยังมีความอารมณ์ดี ผมชอบเห็นอะไรที่มันไม่ถูกต้อง อย่างที่บอกที่ทำเพจมา เพราะผมสงสารคน แล้วถ้าไม่ไปบอก ก็จะถูกหลอกต่อไป บางทีผมก็ทนไม่ได้ที่เห็นคนถูกหลอก ก็ทำเพจมา อย่างน้อยๆ ก็ทำให้คนถูกหลอกน้อยลง ทำให้คนหายกลัวบ้าง หรือ ทำให้เขาเชื่อแบบนั้นน้อยลง มันดีหมดนะ ซึ่งแค่นิดเดียวก็ประสบความสำเร็จแล้วนะ
• อยากให้ช่วยยกหลักธรรมะซักข้อ สำหรับคนที่ยังเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่
ผมถือหลัก กาลามสูตร 10 ข้อนี่แหละครับ ที่ประกาศมา แต่ที่เน้นๆ เลย อย่าเชื่อคำพ่อแม่ อย่าเชื่อคำครูบาอาจารย์ แม้แต่คำของท่านเองก็อย่าเชื่อ ให้เอาไปคิดก่อน ไปลองดู ไม่ใช่แบบไม่เชื่อเลย แต่หมายความว่าในเรื่องความเชื่อ พูดแล้วฟังไว้ก่อน แล้วเอาไปคิด แล้วก็ลองทำดูว่าสิ่งที่เขาพูดจริงมั้ย คิด วิเคราะห์ แยกแยะ
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
กลุ่มแรก เชื่อแน่นอน เพราะ มักจะได้เห็นหรือรู้สึกอยู่บ่อยๆ
กลุ่มที่สอง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะ อาจจะเคยได้พบเห็นบ้าง แต่ยังไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ใช่
และกลุ่มที่สาม ไม่เชื่อเลย เพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างจินตนาการขึ้นมาของมนุษย์ทั้งนั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเชื่อ ‘ผีมีจริง’ นั้น ได้ส่งผลต่อความคิดของคนเราในปัจจุบัน อาจจะเป็นไปได้ว่า ได้รับการปลูกฝังกันมาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีตกาล สืบทอดกันต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านทางพิธีกรรมต่างๆ จนกลายเป็นความงมงาย ให้กับกลุ่มคนที่เชื่อความเชื่อนี้
แต่แฟนเพจที่มีชื่อว่า ‘FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย’ ภายใต้การดูแลโดยชายหนุ่มที่มีชื่อว่า ‘บี’ นั้น กลับแสดงจุดยืนอย่างแข็งแรงและชัดเจนว่าไม่ขอเชื่อในความเชื่อที่ว่านี้ด้วยประการทั้งปวง และมุ่งเน้นนำเสนอหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาในแบบของตัวเอง เปรียบดั่งการเผยแพร่ธรรมะในสไตล์ฮาร์ดคอร์ ก็คงไม่ผิดนัก
ถึงแม้ว่าเขาจะถูกต่อต้านจากคนกลุ่มแรก และช่วยชี้ทางสว่างให้คนที่เคยเชื่อกลับมาสู่ ‘ความเป็นจริง’ มากขึ้น แต่ ‘บี’ ก็ยังคงทำหน้าที่นี้ต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน เพียงเพราะว่า ถ้ามนุษย์เราได้เข้าถึงหลักธรรมะได้อย่างแท้จริงแล้ว นั่นก็ทำให้เขาเหล่านั้น ได้หลุดพ้น ดั่งบัวใต้น้ำที่ชูช่อโผล่พ้นจากโคลนตมที่มีชื่อว่า “ความงมงาย”...
• ที่มาที่ไปของแฟนเพจนี้ มาจากอะไร
สังคมไทยในสื่อวิทยุโทรทัศน์ มันมีเรื่องงมงายเยอะ และรายการพวกนี้ก็ปลูกฝังด้านเดียว คือไม่มีการแสดงความคิดเห็นต่าง มีแต่นำเสนอด้านเดียว โดยที่ไม่มีการหักล้าง แล้วผมก็สังเกตว่าสื่อด้านนี้เยอะมาก มีหมดเลย ก็เลยอยากจะต้องการแสดงออกว่า เฮ้ย อย่างนี้มันผิดนะ เริ่มจากแสดงความเห็นในเฟซบุ๊กก่อนว่า อันนี้ไม่จริงยังไง แสดงในเฟซบุ๊กของตัวเอง จนเรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว มันเริ่มมาจากเรื่อง “เด็กชายปลาบู่ วันสิ้นโลก” เมื่อประมาณ ปี 2555 ที่บอกว่าเขื่อนจะแตก ผมรู้สึกเลยว่า มันไม่ใช่ แค่เอาคำพูดของคนคนเดียว มาขยายความ แล้วสื่อก็เอาคำพูดของคนคนนี้ไปขยายแล้วก็เผยแพร่ แล้วก็แชร์กันในโลกโซเชียลมากมาย ผมมองว่า เฮ้ย ทำไมเอาข่าวแบบนี้มาแชร์ คราวนี้ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เลย ทั้งสื่อ มีการทำนาย ภัยพิบัติต่างๆ ทุกคนก็หวาดกลัว แล้วก็พูดถึงเรื่องต่างๆ แล้วโยงไป ก็เลยมองว่าไม่ไหวแล้ว เลยทำเพจขึ้นมา
ตอนแรกก็ตั้งชื่ออื่นก่อน ตั้งว่า 'คนอวดผี' แต่ก็ไม่ได้ทำเพจขึ้นมา เพราะชื่อมันไม่ค่อยเป็นเอกลักษณ์ ก็เลยนั่งคุยกับเพื่อนใหม่ ประชุมกันใหม่ ว่าเดี๋ยวเราต้องทำอะไรขึ้นมาแล้ว ก็เลยทำเพจขึ้นมา ผมก็ตั้งชื่อเพจใหม่ ซึ่ง Fuck ก็มาจากศัพท์แสลงของเมืองนอก และ Ghost ที่แปลว่าผี จริงๆ ก็ด่าผีนั่นแหละ เราจะเน้นเรื่องผี แต่คราวนี้มันมีเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย เช่นเรื่องความชื่อและไสยศาสตร์ด้วย เราก็เลยใช้คำว่า “สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย” เติมท้ายเข้ามา ก็กลายเป็น Fuck Ghost ซึ่งคำนี้มองได้ 2 มุม มองว่าเป็น ฟักทองผีก็ได้ ถ้ามองแบบไม่หยาบคายหรือหยาบคายก็ได้ ซึ่งสัญลักษณ์เพจก็พัฒนามาจากรูปฟักทอง เหมือนกับเป็นรูปชูนิ้วกลาง สามารถจะมองได้ทั้งสองมุม แล้วแต่คนมอง เราก็ไม่ได้แบบว่า ทำให้ดูรุนแรงเท่าไหร่ ทำภาพออกมาให้มันน่ารัก
• เรื่องเด็กชายปลาบู่ มันกระตุ้นยังไง ถึงได้คิดว่ามันถึงเวลาที่จะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างแล้ว
จริงๆ ผมเคยทำงานด้านสื่อมวลชนมาก่อน หนึ่ง ผมชอบดูวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็กๆ ก็จะได้คำตอบจากการทำคำนวณ การคิด มาประมาณนั้น ถึงแม้ว่าผมจะเรียนไม่เก่งก็ตาม แต่ผมก็ชอบในศาสตร์นี้ พอมาได้ทำงานด้านข่าว การที่เขาตีข่าวแบบนี้ ซึ่งสื่อก็ตัวดีเหมือนกัน ถ้าเขียนข่าวไปในทางสิ่งลี้ลับเมื่อไหร่ คนก็จะเอนไปทางด้านนั้น ผมก็เลยทำเพจขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง
ถึงแม้สื่อเองจะชอบใช้คำว่า 'โปรดใช้วิจารณญาณ' แต่คนส่วนใหญ่ ผู้ใหญ่ในสังคมเรา ยังเชื่ออยู่เลย ก็จะไปบอกเด็กได้ไง แทนที่จะบอกว่าดูเพื่อความบันเทิง แต่ไปๆ มาๆ รายการนำเสนอปุ๊บ บอกไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แต่ผู้ใหญ่ไปบอกเด็กแบบนี้เหมือนกัน เด็กก็เลยงงๆ ว่า ตกลงมันมีจริงหรือไม่มีจริงกันแน่ จนเชื่อตามนั้น ไม่ได้มีข้อสรุปว่าสื่อนำเสนอยังไง ผู้ใหญ่ก็เชื่อตามประมาณนั้น
• การที่คุณประกาศตัวแบบนั้น เท่ากับเสี่ยงเหมือนกัน เพราะนี่คือเรื่องที่มีอิทธิพลมากต่อคนในสังคม
มันก็เสี่ยง เพราะส่วนใหญ่พวกที่หากินทางด้านนี้ ก็ไปขัดผลประโยชน์เขา ง่ายๆ เลย มันก็เสี่ยงที่คนจะไม่ชอบ แล้วคนส่วนใหญ่ของสังคมไทยเป็นคนที่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่ ถ้าเราไม่เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ที่จะทำให้เห็นถึงโทษของเรื่องงมงาย มันก็จะบานปลายไปเรื่อย และป่านนี้ก็พูดได้แค่ข้างเดียว คนที่อยู่ตรงกลาง ก็อาจจะเอนไปด้านที่เขาเชื่อเรื่องพวกนี้ ผมก็เลยอยากทำขึ้นมาเพื่อที่ว่า อย่างน้อยๆ คนที่อยู่ตรงกลาง ได้เอาไปคิด ส่วนคนที่เขาเชื่ออย่างเต็มที่ เราก็คงไม่เปลี่ยน เราก็ปล่อยไป ไว้ให้วันหนึ่ง เจอกับเรื่องพวกนี้ในชีวิต แล้วถึงจะรู้ว่า เรื่องงมงายมันมีผลต่อครอบครัวของเขา
• คุณเริ่มที่จะไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่
ประมาณ 9 ขวบ มันมีรายการหนึ่ง เขาก็มาแฉเรื่องร่างทรง เขาก็บอกเทคนิคต่างๆ หมดเลย ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็น คุณชูชาติ งามการ เป็นร่างทรงจี้กง แล้วเขาก็ออกมาแฉ เทคนิคการลุยไฟ การแทงปาก และบอกว่าไม่มีจริง ผมดูตั้งแต่ตอนเด็ก ผมก็เชื่อเขา เพราะเขาพูดด้วยเหตุผล ผมก็ฟังและสงสัยว่า ถ้าไม่มีจริง แล้วผีมันจะมีจริงมั้ย ในเมื่อเรื่องพวกนี้มันเชื่อมโยงกัน ทั้งผี ทั้งคนทรง ถ้าไม่มีผี ก็ไม่มีคนทรง แล้วเขาก็บอกว่าคนทรงไม่มี ผมก็ฟังและสงสัยมาตั้งแต่นั้น
พอเริ่มโตขึ้น ก็ศึกษาไปเรื่อย ตั้งแต่กำเนิดโลก ผมชอบอ่านหนังสือ เพราะความไม่รู้ เลยไล่อ่านตั้งแต่วิทยาศาสตร์ กำเนิดโลก ไดโนเสาร์ ผมก็เริ่มเข้าใจ แล้วพอโตมาสักอายุ 15-16-17 เริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว เริ่มไปลองบ้านผี ที่ชอบให้ไปพิสูจน์สิ่งลี้ลับ ผมก็ลองไปดู แล้วก็ได้ข้อสรุป คือส่วนใหญ่ไปแล้วไม่เจอ แต่คนที่กลัวมักเจอ คนที่ไม่กลัว มักไม่เจอ ซึ่งผมก็กลัวแต่ไม่เจอ เพราะมองว่า อาจจะมาจากความกลัวของจิตใจ คราวนี้ผมลองไปบ่อยครั้ง ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่กลัวไม่ใช่ผี แต่กลัวความมืด กลัวจากสิ่งที่บอกเล่ากันมา ตั้งแต่ตอนนั้นมา ก็เริ่มหาสิ่งพวกนี้เรื่อยๆ อยากจะพิสูจน์ แล้วยิ่งหาเท่าไหร่ก็เริ่มหาความจริงมากขึ้น ก็เลยทำให้เราไม่เชื่อ
• เหมือนกับเป็นโรคเฉพาะตัวของคนมั้ย แบบ โฟเบีย (Phobia) ทำให้เกิดความมโนไปเอง
ส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น ผมเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น มาจากความกลัวของตัวเอง แล้วก็ทำให้จินตนาการไปไกล และความมืดก็บวกมาทำให้การมองเห็นจากจินตนาการมารวมกัน ก็เลยกลายเป็นว่าสิ่งที่เห็นมันไม่ได้มาจากที่ตาเราเห็น มันมาจากจินตนาการซะส่วนใหญ่ แล้วก็ทำให้เกิดภาพหลอน ตามความเชื่อว่ายังไงก็เห็นแบบนั้น เพราะว่าเชื่อแบบนั้นจึงกลัวแบบนั้น แต่ถ้าเราไม่มีความกลัว ไม่มีความเชื่อ มันก็ไม่เห็น เราก็ยังเห็นความจริงที่เห็น เราก็ต้องเข้าไปดู
ถ้าคนเรามีจิตใจที่ไม่เข้มแข็ง เรามีความกลัว อย่างผมก็กลัวเหมือนกัน แต่ผมลองทำบ่อยเข้า ความกลัวก็ลดลงเรื่อยๆ ลองพิสูจน์ ลองทำอะไรดู อย่างที่เขาว่าไปแล้วจะเจอ ผมก็ทำไป จนความกลัวก็จะลดลง ซึ่งก็เหมือนกัน คนบ้างคนกลัวมาตั้งแต่เริ่ม สิ่งที่เขาเห็นอาจจะไม่ใช่ผี แต่ไม่เคยได้พิสูจน์ ก็เชื่อมาแบบนั้นตลอด ก็เลยอยากให้คนที่กลัวเรื่องพวกนี้อยู่ อยากให้ลองเอามาคิดดู แล้วอยากให้ลองแบบว่า คิดดู ประมาณนั้น
• จากภาพลักษณ์ของเพจ ราวกับว่าคุณไม่มีศาสนานะ แต่พอได้ฟังมา ประมาณว่า ให้เชื่อในหลักคำสอน มากกว่าที่จะงมงาย
บางคนอาจจะมองว่า เพจผมเป็นพวกที่ไม่เชื่อ แต่จริงๆ ศาสนาพุทธสอนให้ไม่เชื่อนะ ถ้าใครได้ศึกษา ท่านสอนให้เชื่อด้วยเหตุผล อย่างบางคนที่บอกว่ามีเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์นี่ มันเป็นวรรณกรรมทางศาสนา แต่ถ้าเชื่ออย่างเหตุผล มันก็จะมีเหตุผลรองรับ เป็นกุศโลบาย หรือ เป็นเรื่องการต่อเติมขึ้นมา แต่จริงหลักพุทธศาสนา ไม่ได้เหมือนศาสนาอื่น อย่างศาสนาอื่นสอนให้เชื่อพระเจ้า สอนให้เชื่อการดลบันดาล แต่ศาสนาพุทธจะสอนให้เชื่อตนเอง ให้พึงตัวเอง นี่แหละคือหลักพุทธ ผมก็เชื่อหลักแบบนี้ แต่คนที่ไม่เข้าใจพุทธ ก็จะมองเพจผมว่า เป็นพวกไม่มีศาสนา
ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เชื่อพระเจ้าด้วย สอนให้เชื่อตัวเอง โดยที่พระพุทธเจ้าเป็นเพียงศาสดา ชี้ทางให้คนแบบว่าอยู่ในหลักเหตุผล แต่ศาสนาพุทธในประเทศไทยไม่ได้มองแบบนั้น คือมองแบบสมมุติเทพ ช่วยชี้ทางสว่างแบบไปในโลกหน้า ซึ่งจริงๆ ท่านชี้ทางให้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ อยู่ในนี้ แล้วไปทำดีเพื่อโลกหน้า เพื่อที่ตัวเองจะสบายในโลกหน้า ไม่ใช่ มันควรจะเป็นว่าเราทำดีเพื่อพรุ่งนี้ ทำให้ดีเพื่อที่เราจะได้อยู่สบาย บางคนเชื่อเรื่องโลกหน้ามาก ให้ทำบุญ แล้วก็เอาเงินที่มีทั้งหมด แทนที่จะได้ดูแลสุขภาพของตัวเอง ไปทุ่มเพื่อโลกหน้าจนหมด แต่คนที่มาเอาเงินของเรากลับได้สบายในโลกนี้แทน แล้วเราก็ไปหวังโลกหน้า ซึ่งมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมมองว่ามันเป็นการมอมเมา
• พอคนเราตาย แล้วเปลี่ยนสถานะเป็นผี ซึ่งตามความเชื่อแล้ว เปลี่ยนสถานะเป็นที่เคารพทันที โดยส่วนตัวคุณคิดว่ายังไง
จากเท่าที่ผมสังเกต ผีส่วนใหญ่จะเป็นคนไม่ดี หรือว่าเป็นคนที่ตายจากอุบัติเหตุรุนแรง จริงๆ ผีเป็นความเชื่อที่เกิดมาจากรัก โลภ โกรธ หลง ถ้าเกิดตายเพราะความรัก แบบโหยหา คนก็จะคิดว่า คนที่ตายจะเป็นผี หรือว่าเกิดจากความโลภ ตายเพราะไปปล้น หรือโกรธแค้นมาแล้วก็ตาย สิ่งพวกนี้จะเกิดความมโนของคนที่เชื่อ คนนี้ตายแบบรุนแรง ตายแบบสยดสยอง มันจะตายเป็นผี แต่ถ้าคนดีๆ ตาย จะไม่เคยได้ยินว่ามีผี ตามความเชื่อผมนะ คนส่วนใหญ่มักจะเห็นผีแบบการตายสยดสยอง เขาก็จะเชื่อจะกลัวแบบนั้น
แต่ถ้าเคสแบบ ป่วยตาย หรือทำดีแล้วตาย ไม่เคยมีใครมาบอกเลย อาจจะมี แต่จะมาจากจิตของคนแต่ละคนที่คิดถึง แต่แยกไม่ออกระหว่างความนึกคิดของเขา สมมุติว่าผมเป็นคนดี แล้วผมตายไปแล้วเห็นผม เขาจะไม่ได้เห็นเป็นผี แต่เห็นแบบรู้สึกว่ามาแบบเข้าฝัน แต่ไม่ใช่แบบนั้น จะเป็นแบบคิดถึง จะแบบดี แต่ถ้าตายแบบปล้นฆ่าเขา ก็จะถูกมองว่าเป็นผีแล้ว ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับสถานะของความชอบแต่ละคน อย่างคนที่ไม่ชอบเพจผม ก็จะคิดว่า ถ้าผมตายไป น่าจะไปเป็นวิญญาณตกนรกเร่ร่อน สัมภเวสีแน่นอน แต่ถ้าคนที่ชื่นชอบ อาจจะแบบ ตายไปอย่างน้อยก็สร้างความดีให้กับสังคม ให้เขาเลิกเชื่อ เลิกกลัวขึ้นมา และเป็นระลึกถึงแทน แต่ไม่ได้ระลึกถึงแบบผีนะ แต่จะเป็นแบบอีกสถานะหนึ่ง
• อีกสถานะหนึ่ง นี่คือยังไง
จริงๆ คนจะเข้าใจกันผิดมากเลย ผมขออธิบายว่า เรื่องวิญญาณ คำนี้ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึงสัมผัสทั้ง 6 ของร่างกาย หมายความว่า รูปรสกลิ่นเสียง สัมผัส และความรู้สึกนึกคิด ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่า ร่างกายเรา เราจับแล้วรู้สึก เราจับเรามองเห็น เราได้ยิน เรารับรสได้ เรามีความรู้สึกนึกคิด ร่างกายเรามีวิญญาณอยู่ แต่ถ้าร่างกายเราไร้วิญญาณ หมายความว่าเราไม่มีทั้ง 6 นั่นแหละ เราตายแล้ว แต่ถ้าคุณยังมีอย่างใดอย่างหนึ่ง แสดงว่าคุณยังมีวิญญาณอยู่ เหมือนมือถือ ใช้งานไม่ได้ แบตหมด เหมือนไร้พลังงานแล้ว ใช้อะไรไม่ได้ ไม่มีความจำ มันพังแล้วว่าง่ายๆ ก็คือวิญญาณในพระพุทธศาสนา
แต่ถ้าหากเป็นผี จากการศึกษาเองของผม ในความหมายของไทยคือคนที่ตายไปแล้ว ตายทุกแบบเขาเรียกผีหมด แต่หากเป็นหนังหรือละคร คนเป็นผีจะแปรสภาพเป็นวิญญาณออกมา อย่างคนที่ชอบบอกว่ามีสัมผัสที่ 6 ผิดนะ ซึ่งอันนี้ทุกคนมีหมดความรู้สึกนึกคิด แต่สิ่งที่เอามาพูด มันไม่ใช่สัมผัสที่ 6 ที่มาจากเรื่องจริง มาจากจินตนาการ ความมโนมากกว่า ในหลักพุทธ เขาเรียกว่ามโนวิญญาณ ความรู้สึกนึกคิดในสิ่งที่เขาเห็น ที่มีมาบอกว่า เฮ้ย ฉันเห็น ฉันมีสิ่งนี้ ฉันมองเห็นผี อันนี้ผมว่าไม่ใช่แล้ว มาจากจินตนาการของเขา แล้วเที่ยวไปบอกคนอื่นให้เชื่อตาม แต่อันที่จริง เราทุกคนมีสิ่งนี้หมด ความรู้สึกนึกคิด แต่สิ่งที่เห็นมันก็มีหลายอย่าง มาจากการโกหกตัวเอง หรือมาจากภาพหลอน ภาพจินตนาการของเขาเอง หลายอย่าง ซึ่งสิ่งที่เขาพูด ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ซึ่งอย่างที่บอก มันก็จะแตกต่างกัน คือตามสมัยโบราณ ทุกคนจะเรียกว่าผีหมด พอตายปุ๊บ ทุกคนจะเรียกผีหมดเลย แต่สมัยนี้ ตายแล้วก็ มีห่วง รัก โลภ โกรธ หลง แล้วมาวนเวียนอยู่ ส่วนวิญญาณที่คนทั่วไปเขาคิดว่าไม่ต่างจากผี แต่จริงๆ ก็เป็นตามอย่างที่ผมบอก ซึ่งถ้ามีคนถามผมว่าเชื่อเรื่องวิญญาณมั้ย ผมก็ตอบได้เลยว่า เชื่อ เขาก็จะหาว่าผมงมงาย เพราะไม่ได้เข้าใจแบบผม แต่ถ้ากลับกัน ผมจะบอกว่าไม่เชื่อไว้ก่อน เพราะว่า เขาก็ไม่เข้าใจเรื่องวิญญาณแบบผม เขาเข้าใจวิญญาณแบบผี แต่ถ้าเข้าใจวิญญาณแบบผม มันจะเป็นอีกแบบ
• จากความเชื่อผิดๆ มา แน่นอนว่า ผีถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยคนมีอำนาจ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างงั้น พวกร่างทรง หมอดู หรือพวกหมอผี เขาจะหากินจากความเชื่อ หากินจากความกลัวของคน ถ้าคุณไม่มีความกลัว เขาหากินจากคุณไม่ได้ เขาก็ต้องขู่คุณ อย่างที่บอกเหมือนกัน รัก โลภ โกรธ หลง คนพวกนี้หากินกับเรื่องพวกนี้หมด ในเรื่องของความเชื่อ ถ้าคุณมีความรัก คุณเสียแฟนไป คุณอยากให้แฟนคุณกลับมา ดูอย่างกรณีเณรแอ เสียแฟนไป ก็ใช้เรื่องความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง หรืออย่างหมอดูต่างๆ ใช้เรื่องความโลภเข้ามา แบบ คุณอยากมีหน้าที่การงานดีมั้ย คุณต้องทำแบบนี้ ให้เอานี่ไปบูชา มันเหมือนจะดี แต่จริงๆ พูดถึงเหตุผล ก็ทำดีไปเลยสิ ไม่เห็นจะต้องให้บูชาอันนี้ เพื่อที่ตัวเองจะได้รวย ก็แค่บอกให้ตั้งใจทำงาน เดี๋ยวจะรวย ก็จบ แต่บอกว่า คุณตั้งใจทำงาน คุณก็ซื้ออันนี้ไปบูชา คุณต้องเป็นคนดีนะ สรุป เขาได้ผลประโยชน์จากความเชื่อนี้ ซื้อตุ๊กตา หรือ สิ่งปลูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นคนดี
แล้วพอไปๆ มาๆ มันก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอ คือคิดอะไรไม่ออกก็จะหาที่พึ่ง วิ่งไปหาหมอดู ไปหาร่างทรง จะแต่งงานทีก็วิ่งไปหาหมอดู หรือจะไปประกอบอาชีพที ก็ไปหาสินแสไปหาอะไรต่างๆ นานา เสียตังค์ ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าเกิดเรามีเหตุผล เราก็ดูสิว่าเราจะทำอะไร ยังไงถึงจะเหมาะสม ไปหาคนที่เชี่ยวชาญจริงๆ ยังจะถูกต้องกว่า ถ้าเกิด อยากจะลงทุน ไปถามผู้ที่มีความรู้ด้านการลงทุน มันจะถูกต้องกว่ามั้ย ไม่ใช่ไปถามหมอดู เขารับเงินคุณมา และแนะนำไปส่งเดช หากมันดีขึ้นมา ได้ผล ก็ได้เงินกลับมาอีก คนก็วิ่งเข้ามาหาอีก แต่ถ้าไม่ดี ก็จะแบบ ทำผิดวิธี ของมันแรง อะไรแบบนี้ ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย สรุปหมอดูก็ไม่มีทางผิด
• แต่ความเชื่อนี้ก็ยังมีอยู่ คิดว่าเป็นเพราะอะไร
เพราะความงมงายมันวิวัฒนาการตามวิวัฒนาการทางสังคมด้วย ความงมงายจะอยู่ไปตามอินเตอร์เน็ท แทนที่มันควรจะมีแต่ความรู้ แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่แสวงหาสิ่งงมงายแทน มีขายเครื่องรางของขลัง มีทั้งเรื่องความเชื่อ คุณจะหาข้อมูลอะไรบางอย่าง ข้อมูลงมงายบังคุณไปหมด เช่น คุณพิมพ์คำว่าแม่นาค แทนที่จะได้ข้อมูลว่า แม่นาคเป็นอย่างไร มีแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ที่มีส่วนข้อมูลที่เล่าถึงแม่นาคว่าไม่ได้เป็นผี แต่กลับกัน ข้อมูลของแม่นาคจะเล่าถึงความเฮี้ยนประมาณ 80 เปอร์เซนต์ หรือคุณจะดูข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับความรู้ เกี่ยวกับเรื่องดวงจันทร์ พิมพ์เข้าไป แทนที่จะเป็นเรื่องดาวเคราะห์ กลับกลายเป็นราหูเต็มไปหมด มันพัฒนาตามไปด้วย
• เป็นไปได้มั้ยว่า ภูมิภาคเรา มันมีเรื่องแบบนี้มาเกี่ยวข้องด้วย แล้วคนที่ไม่เชื่อ จะกลายเป็นคนแปลกแยกไป
ถ้าเรานับถือศาสนาแบบที่ถูก เราก็จะไม่งมงาย พุทธศาสนาสอนให้ไม่งมงายนะ สอนให้มีสติมีปัญญา ซึ่งถ้าใครได้ดูซีรี่ย์พระพุทธเจ้าสอนดีมากเลย อาจจะมีภาพแสงสีหรือปาฎิหาริย์นิดหน่อย แต่เนื้อเรื่องสอนดีมาก สอนในเรื่องยึดหลักเหตุผล แต่ฝั่งงมงาย ดูเรื่องเดียวกัน จะมองว่าหนังสร้างผิด ไม่มีเรื่องไปสวรรค์ มองคนละมุมกัน อีกฝั่งไม่ได้ศึกษาไง จริงๆ แล้ว ซีรี่ย์เรื่องนี้ต่อต้านพราหมณ์ ไม่เชื่อการบูชายัญ ไม่สอนให้เชื่อในพระเวทย์ ไม่สอนให้เชื่อในพระเจ้า แล้วคำว่าพุทธะ คือผู้ตื่น มาคอยชี้ทางว่า เฮ้ย ที่ทำมาน่ะผิด ซึ่งในซีรี่ย์ก็ทำให้ดู
• อย่างงี้คำว่า ‘เอาบุญมาฝาก’ ก็ใช้ไม่ได้น่ะสิ
บุญมันก็ฝากใครไม่ได้นะ มันต้องทำเอง บุญมองได้ว่าเป็นการทำความดี แล้วอยู่ดีๆ จะให้คนอื่นทำให้แล้วเอามาฝาก มันก็ไม่ใช่ เหมือนกับคนมองว่าบุญก็เหมือนคนที่เอาข้าวไปใส่บาตรพระเท่านั้น ทั้งๆ ที่มันหมายความว่า ทำให้คนอื่นพ้นทุกข์ เช่น สุนัขหิวข้าว แล้วเราเอาข้าวให้กิน เราก็ได้บุญแล้วนะ เพราะว่าทำให้มันพ้นทุกข์ แต่คนทั่วไปกลับมองว่า ระหว่างเอาข้าวไปให้หมา เอาข้าวหรือเอาเงินไปบริจาคดีกว่า คือเข้าวัดอย่างเดียว ไม่มองอย่างอื่น
จริงๆ การทำบุญ หมายถึงช่วยใครก็ได้ อย่างคนเข็นรถมา รถเสีย เราลงไปช่วยเขาเข็น แล้วเผอิญรู้สึกดี หรือจูงคนแก่ข้ามถนน แค่นั้นเอง ถ้าทำแบบนี้ มันก็จะช่วยสังคมแล้ว แต่บางคน อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ บางคนทำบุญ เข้าวัดอย่างเดียว แต่พอออกมา กลายเป็นคนปากจัด เป็นคนงก แบบว่าเห็นแก่ตัว แต่เข้าวัดเต็มที่ แล้วเวลามาอยู่กับคนทั่วไป ทำท่าทำทาง อย่างงี้มันผิดหลัก ซึ่งมันควรจะเป็น คิดดีพูดดีทำดี ช่วยเหลือกันมากกว่า แต่นี่มันไม่ใช่ไง คนเข้าวัดบางส่วนจะเป็นแบบ มือถือสาก ปากถือศีล แทน ประมาณนั้น
• เหมือนคนไทย มีศาสนาพุทธแค่อยู่ในบัตรประชาชน
ใช่ครับ แค่ให้มีนับถือแล้วไม่ศึกษาให้ถูกต้อง แต่เดี๋ยวก็มีคนมากล่าวหาผมว่าไม่ถูกต้องอีก เพราะศึกษาคนละแบบ ต่างคนต่างมองผิด แต่ว่าอันไหนถูกกว่ากัน คุณต้องมองด้วยเหตุผล ถ้าอีกฝั่งบอกว่าถูก แล้วมาดูเหตุผลว่าอันไหนเหมาะสมแล้วเกิดปัญญากว่ากัน มันดีกว่ากัน อย่างเขาบอกว่าทำแบบนี้แล้วเอาเงินทุ่มให้วัดหมดตัว แล้วเขาจะได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ แต่ผมก็บอกว่า ทำช่วยเหลือ ได้เห็นๆ เลย อันไหนมันดีกว่าก็ให้สังคมตัดสินไป
บางคนเคร่งมากเกินไปก็ไม่ดี เช่น เข้าวัดทุกวัน ถือศีลอะไรได้ แต่เข้ากับสังคมไม่ได้ ทำงานอยู่ที่ทำงานเหมือนกับคนบ้า เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ เขาชวนไปไหนก็ไม่ไป ทำอะไรก็ไม่เป็น คล้ายเป็นคนบ้าในสังคมยุคปัจจุบัน เราต้องใช้เหตุผล แบบอันนี้ทำได้บ้างนิดหน่อย คือเราไม่ได้เป็นนักบวช เราก็สามารถใช้ชีวิตที่อยู่ในขอบเขตของคนทั่วไป เหมือนกับเราถือกระเป๋าหนัก ถือมาหลายๆ ใบ ก็ไม่ดี แต่ถ้าถือแบบพอประมาณมันก็ถูกต้อง ใช้ชีวิตให้มันเหมาะสม แล้วคุณทำงานอะไร คุณเป็นพ่อค้าขายหมู แล้วคุณก็ไปรับช่วงมา กลัวบาปอีก ก็ไม่ต้องขาย ก็ไม่ต้องมีกินกัน ต้องดูเหตุผลอีกว่าเราเป็นอะไร เราทำอาชีพอะไร เรามีรายได้แค่ไหน ไม่ใช่ว่า ผมเห็นเด็กเล็กๆ ที่บ้านพาเข้าวัดทุกวัน แทนที่เด็กจะได้เรียนรู้รอบตัวก่อน ซึ่งพอโตขึ้นมาก็กลายเป็นคนงมงายอีก และยังต้องดูวัดอีกว่าสอนอะไร บางวัดสอนเรื่องอภินิหาร แทนที่จะได้ความรู้ กลายเป็นงมงาย ซึ่งมันต้องดูเหตุผลไงครับ ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะแบบนี้ อย่างผมศึกษาธรรมะ เข้าวัดเหมือนกัน แต่ผมก็เลือกวัดที่ผมจะเข้า เลือกที่จะเข้าด้วย
• โดยส่วนตัว คุณชอบคำสอนของพระท่านใดมากที่สุด
ส่วนตัวผมที่ศึกษาแล้วชอบ คือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ และท่านพุทธทาส ผมชอบอยู่ 2 รูปนี้ ส่วนรูปอื่นก็สอนดีเหมือนกัน แต่บางทีผมอาจจะไม่ทั่วถึง เพราะว่า หลักธรรมของท่านทั้งสอง ถ้าอ่านจริงๆ ก็เยอะมากมายแล้ว ก็ไม่ต้องไปอ่านของใครแล้ว แต่บางคนที่ไม่ศึกษา ก็จะมองหลวงพ่อ 2 รูปนี้เป็นอีกแบบนึง มองว่าเป็นอลัชชีบ้าง มองเป็น เดรถีบ้าง มันก็อยู่ที่คน แต่สำหรับผมนั้น มองท่านว่า อ่านแล้วถูกต้อง ความถูกต้องในความคิดผม คือ อ่านแล้วมีเหตุผล มันจริง นั่นแหละครับ
• คิดยังไงกับคำว่า ‘ไม่เชื่ออย่าลบหลู่’ ครับ
ผมอยากเปลี่ยนเป็นว่า ไม่เชื่อต้องพิสูจน์มากกว่า เพราะว่า ประโยคนี้ มันจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น และไม่สามารถจะคิดต่อได้เลย มันเป็นการหยุดคิดต่อ มันก็ไม่เกิดการถกเถียง มันไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ถ้าเกิดว่าไม่เชื่อ พิสูจน์ว่ามันเป็นยังไง จริงมั้ย คนก็สามารถมาถกเถียงเป็นทฤษฎีจนพิสูจน์ มันก็จะได้ความรู้ขึ้นมา ถ้าเกิดหยุดที่การห้าม ก็จบ มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งสะท้อนของคนสมัยนี้ได้เป็นอย่างดี
• ถ้าสมมุติว่าตัวเองเป็นผี คิดว่าจะเป็นในลักษณะใด
(นิ่งคิด) ผมคงจะเป็นแบบซูเปอร์ฮีโร่มากกว่า ก็คงจะไปช่วยเหลือคน เหมือนแคสเปอร์ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ แค่นั้นเอง แบบคนจะไปข้ามถนนก็ดึงมา หรือคนจะทำไม่ดีก็จะไปฉุดขึ้นมา ซึ่งยังมีความอารมณ์ดี ผมชอบเห็นอะไรที่มันไม่ถูกต้อง อย่างที่บอกที่ทำเพจมา เพราะผมสงสารคน แล้วถ้าไม่ไปบอก ก็จะถูกหลอกต่อไป บางทีผมก็ทนไม่ได้ที่เห็นคนถูกหลอก ก็ทำเพจมา อย่างน้อยๆ ก็ทำให้คนถูกหลอกน้อยลง ทำให้คนหายกลัวบ้าง หรือ ทำให้เขาเชื่อแบบนั้นน้อยลง มันดีหมดนะ ซึ่งแค่นิดเดียวก็ประสบความสำเร็จแล้วนะ
• อยากให้ช่วยยกหลักธรรมะซักข้อ สำหรับคนที่ยังเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่
ผมถือหลัก กาลามสูตร 10 ข้อนี่แหละครับ ที่ประกาศมา แต่ที่เน้นๆ เลย อย่าเชื่อคำพ่อแม่ อย่าเชื่อคำครูบาอาจารย์ แม้แต่คำของท่านเองก็อย่าเชื่อ ให้เอาไปคิดก่อน ไปลองดู ไม่ใช่แบบไม่เชื่อเลย แต่หมายความว่าในเรื่องความเชื่อ พูดแล้วฟังไว้ก่อน แล้วเอาไปคิด แล้วก็ลองทำดูว่าสิ่งที่เขาพูดจริงมั้ย คิด วิเคราะห์ แยกแยะ
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี