xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 26 ก.ค.-1 ส.ค.2558

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.สหรัฐฯ ถูกสวดยับจัดอันดับค้ามนุษย์ ไม่เป็นกลาง-โยงการเมือง กด “ไทย” อยู่เทียร์ 3 ต่อ แต่ดัน “มาเลเซีย-คิวบา” ขึ้นเทียร์ 2 !
บางส่วนของรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ หรือทิปรีพอร์ต ประจำปี 2015 ที่จัดทำโดยกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. กระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ หรือทิปรีพอร์ต ประจำปี 2015 ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ โดยเป็นการประเมินความพยายามของรัฐบาลประเทศต่างๆ 188 ประเทศ รวมทั้งไทย ในการจัดการกับปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งผลปรากฏว่า ไทยยังคงถูกจัดอยู่ในระดับเทียร์ 3 เช่นเดิม ถือเป็นระดับต่ำที่สุดในระบบ “เทียร์ ซิสเต็ม” ของสหรัฐฯ หมายถึงประเทศที่ยังดำเนินการไม่สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำตามกฎหมายปกป้องเหยื่อการค้ามนุษย์(ทีวีพีเอ) ของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวอ้างเหตุที่จัดให้ไทยอยู่ในระดับเทียร์ 3 ว่า ไทยยังคงเป็นแหล่งที่มา จุดหมายปลายทาง และจุดส่งผ่านการค้ามนุษย์ และไทยยังไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำของการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์อย่างเต็มที่ และยังไม่ได้พยายามอย่างมีนัยสำคัญในการที่จะแก้ปัญหานี้ ทางการไทยสอบสวนและดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐเพียงบางรายที่ทุจริตเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ แต่การทุจริตติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐยังคงมีอยู่ต่อไป ซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ แม้รัฐบาลไทยจะเพิ่มความพยายามในการป้องกัน ซึ่งรวมถึงตั้งคณะทำงานต่อต้านการค้ามนุษย์ และผ่านกฎระเบียบในการเพิ่มอายุการจ้างงานในภาคการเกษตรและเรือประมง และอีกหลายมาตรการก็ตาม

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในส่วนของมาเลเซีย ซึ่งปีที่แล้ว ถูกสหรัฐฯ ปรับลดอันดับลงมาอยู่เทียร์ 3 เช่นเดียวกับไทย และมีปัญหาการค้ามนุษย์ที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับไทย แต่ปีนี้มาเลเซียกลับได้รับการปรับอันดับขึ้นไปอยู่เทียร์ 2 โดยรายงานของสหรัฐฯ อ้างว่า มาเลเซียถือเป็นจุดหมายปลายทางและประเทศที่พักชั่วคราว รวมถึงเป็นประเทศที่เป็นต้นตอของกลุ่มคนที่กระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ด้วย แต่ในระดับที่รุนแรงน้อยกว่า และว่า รัฐบาลมาเลเซียทำไม่ได้ตามมาตรฐานขั้นต่ำที่สุดที่ยอมรับได้ในการขจัดการค้ามนุษย์ แต่ได้แสดงออกให้เห็นถึงความพยายามหลายๆ อย่าง

สำหรับประเทศที่ถูกสหรัฐฯ จัดอันดับให้อยู่ในเทียร์ 3 เช่นเดียวกับไทย ได้แก่ แอลจีเรีย, เบลารุส, เบลิซ, บุรุนดี, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, เอริเทรีย, ลิเบีย, อิเควทอเรียลกินี, คอโมโรส, แกมเบีย,กินีบิสเซา, อิหร่าน, เกาหลีเหนือ, คูเวต, หมู่เกาะมาร์แชล, มอริเตเนีย, รัสเซีย, ซูดานใต้, ซีเรีย, เยเมน, เวเนซูเอลา และซิมบับเว

ทั้งนี้ หลังรับทราบรายงานของสหรัฐฯ กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้เผยแพร่ท่าทีของประเทศไทย โดยชี้ว่า การจัดอันดับดังกล่าวไม่สะท้อนความจริงที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมาที่ไทยพยายามดำเนินการต่อต้านการค้ามนุษย์ ซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมากในหลายด้าน โดยรัฐบาลปัจจุบันเข้าปฏิบัติหน้าที่เมื่อเดือน ส.ค.2557 รัฐบาลได้ปฏิรูปการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ทั้งระบบ ส่งผลให้เกิดความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมในทุกๆ ด้าน เช่น รัฐบาลได้ประกาศให้การต่อต้านการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ และจัดตั้งกลไกระดับชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องร่วมขับเคลื่อน มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ มีการทลายเครือข่ายผู้กระทำผิดค้ามนุษย์รายสำคัญ มีการแก้ไขและจัดระเบียบแรงงานในภาคประมง รวมถึงการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวกว่า 1.6 ล้านคนให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ฯลฯ อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศของไทย ยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะยังคงมุ่งมั่นดำเนินการต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างจริงจังต่อไป เพื่อความมั่นคงและมนุษยธรรม

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงรายงานของสหรัฐฯ ว่า “รัฐบาลไม่มีท่าทีอะไรต่อเรื่องนี้ จะทำงานต่อไป เรื่องนี้เป็นเรื่องของกฎกติกาสากล ต้องทำเพราะที่ผ่านมามีปัญหามาก ต้องแก้ไขในทุกมิติ... ขอให้ใจเย็นๆ อย่าไปกังวล ถ้าเราทำความดีแล้ว ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าเราแก้ไข วันนี้เราไม่ได้แก้เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่เราแก้เพื่อประเทศไทย ไม่อยากให้ประชาชนเป็นกังวลในเรื่องนี้มาก เพราะสหรัฐฯ เป็นผู้ประเมิน เราไม่ได้เป็นคนประเมินตัวเอง แต่เราทำหน้าที่ของเรา เรื่องนี้เป็นกำลังใจให้กันจะดีกว่า เพราะกดดันกันเองก็ไม่เกิดประโยชน์กับใคร ขออย่ามาว่ากันเอง”

เป็นที่น่าสังเกตว่า การจัดอันดับการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์โดยกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ หรือทิปรีพอร์ต ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งในสหรัฐฯ เองและจากองค์กรระหว่างประเทศว่า การจัดอันดับดังกล่าวไม่เที่ยงตรง ขาดความน่าเชื่อถือ ไม่เป็นกลาง และเกี่ยวโยงกับการเมือง โดยองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งวิพากษ์วิจารณ์ในทางเดียวกัน โดยเฉพาะการปรับอันดับมาเลเซียและคิวบาขึ้นไปอยู่ในเทียร์ 2 ทั้งที่หลายฝ่ายมองว่าไม่มีพัฒนาการด้านสิทธิมนุษยชนที่เป็นรูปธรรมพอจะได้รับการปรับอันดับ โดยมีกระแสวิจารณ์ว่า เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังในการปรับมาเลเซียขึ้นมาอยู่เทียร์ 2 เพราะมาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ระหว่างเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก(ทีพีพี) ที่เป็นความพยายามของสหรัฐฯ ในการจัดทำเขตการค้าเสรีครอบคลุมทั้งเอเชียและแปซิฟิก โดยกีดกันจีนออกไป ซึ่งกฎหมายสหรัฐฯ กำหนดว่า สหรัฐฯ ลงนามการค้าใดๆ กับประเทศที่อยู่ในเทียร์ 3 ไม่ได้ ส่วนคิวบานั้น ถูกมองว่าได้รับการปรับอันดับขึ้นมาอยู่เทียร์ 2 ทันทีที่คิวบากลับมาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐฯ อีกครั้ง หลังจากคิวบาถูกจัดอยู่ในเทียร์ 3 มาอย่างต่อเนื่องถึง 12 ปี

ด้านเมลิซา สเปอร์เบอร์ ผู้อำนวยการพันธมิตรเพื่อยุติความเป็นทาสและการค้ามนุษย์ กล่าวว่า รู้สึกประหลาดใจกับทิปรีพอร์ตปีนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่าเป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่เป็นอันตรายต่อความน่าเชื่อถือของรายงาน รวมถึงความพยายามในการต่อสู้เพื่อยุติการค้ามนุษย์ ซึ่งเปรียบได้กับการค้าทาสยุคใหม่ ขณะที่ไอเดน แมคเควด ผู้อำนวยการองค์การต่อต้านการค้าทาสสากล ระบุเช่นกันว่า รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งกับผลทิปรีพอร์ตปีนี้

ด้านนายโรเบิร์ต เมเนนเดช วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ กล่าวว่า รายงานของสหรัฐฯ ดังกล่าวมาจากแรงจูงใจทางการเมือง พร้อมชี้ว่า เหตุผลการปรับอันดับประเทศใดขึ้นจากเทียร์ 3 ควรมาจากการลงมือแก้ไขปัญหามากกว่าจะพิจารณาจากประเด็นทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม นายแพทริค เมอร์ฟี อุปทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ได้ออกมายืนยันว่า การจัดทำทิปรีพอร์ตของสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องของมาตรฐานระหว่างประเทศในประเด็นปัญหาการค้ามนุษย์ โดยทุกประเทศถูกจัดอันดับตามการดำเนินงานภายในประเทศนั้นๆ ส่วนที่มีคำวิจารณ์เรื่องมาเลเซียและคิวบา นายเมอร์ฟี ย้ำว่า การทำทิปรีพอร์ตไม่ใช่เรื่องที่เอาประเทศใดๆ มาเปรียบเทียบกัน ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากการเอาแอปเปิ้ลไปเทียบกับส้ม สำหรับการตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะมีการคว่ำบาตรประเทศที่อยู่ในเทียร์ 3 หรือไม่ นายเมอร์ฟี บอกว่า เป็นเรื่องของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และสภาคองเกรสจะตัดสินใจ ตนไม่สามารถคาดเดาได้

เป็นที่น่าสังเกตว่า นายเมอร์ฟี กล่าวว่า สหรัฐฯ ชื่มชมความพยายามของไทยในการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ระหว่างปี 2554-2558 แต่การดำเนินการของไทยยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ได้รับการปรับเลื่อนอันดับ จึงทำให้ยังอยู่ในเทียร์ 3 แต่ยอมรับว่า การดำเนินการของไทยหลังวันที่ 31 มี.ค.2558 หลายเรื่องถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญในการขจัดการค้ามนุษย์ ด้านสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์เช่นกันว่า กรณีไทยยังคงถูกจัดให้อยู่ในเทียร์ 3 นั้น เป็นการประเมินความพยายามของไทยในการจัดการปัญหาการค้ามนุษย์ระหว่างวันที่ 1 เม.ย.2557-31 มี.ค.2558 และว่า แม้ไทยจะได้ดำเนินมาตรการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์ แต่ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาของการทำรายงานดังกล่าว

2.“สุเทพ” สึกแล้ว แถลงเปิดตัวมูลนิธิ กปปส.หนุนปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง ด้าน “จตุพร” ชี้ส่อปกป้องรัฐบาล ระวังจะเป็นทุกขลาภ!

(บน) ภาพก่อนและหลังลาสิกขาของพระสุเทพ ปภากโร หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (ล่าง) นายสุเทพ พร้อมแกนนำ กปปส.แถลงเปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย
เมื่อวันที่ 28 ก.ค. พระสุเทพ ปภากโร หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เดินทางจากสวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เข้าพบพระธรรมวิมลโมลี เจ้าคณะภาค 16 เพื่อขอลาสิกขา โดยมีอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) เดินทางมาร่วม ทั้งนี้ หลังจากลาสิกขาแล้ว นายสุเทพ และคณะ ได้เดินทางไปยังสวนโมกขพลาราม เพื่อตักบาตรหลังสึกจากความเป็นพระ จากนั้นได้ถวายภัตตาหารเพลที่วัดท่าไทร อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นวัดที่นายสุเทพเข้าพิธีอุปสมบท

นายสุเทพ กล่าวว่า สิ่งที่ได้จากการบวชพระ 1 ปี มีหลายด้าน ทั้งการใช้ชีวิตแบบสมถะตามหลักพระพุทธศาสนา การมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น และการฝึกสมาธิเพื่อให้เกิดสติในการใช้ชีวิตหลังจากนี้ เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยในรูปแบบภาคประชาชน รวมถึงต่อสู้คดีที่มีอยู่จำนวนมาก และเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำว่า แม้จะบวชเป็นพระ ก็ไม่ได้บวชเพื่อหนีคดีแต่อย่างใด พร้อมต่อสู้คดี และไม่ต้องการให้มีการนิรโทษกรรมให้ตนหรือผู้ที่โดนคดีหมิ่นเบื้องสูงหรือคดีร้ายแรงอย่างอื่น ควรให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

ทั้งนี้ 2 วันต่อมา(30 ก.ค.) นายสุเทพ ในฐานะประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย พร้อมด้วยแกนนำ กปปส. ได้ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวมูลนิธิฯ ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล โดยก่อนหน้าเปิดแถลงข่าว ได้มีการขออนุญาตจาก คสช.ก่อน โอกาสนี้ นายสุเทพ กล่าวถึงมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยว่า ได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และจะให้ความร่วมมือกับ คสช.และรัฐบาลในการรักษาความสงบของบ้านเมือง และขับเคลื่อนประเทศ

นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่จะดำเนินการหลังจากนี้ คือเชิญชวนประชาชนที่มีอุดมการณ์เดียวกันมาร่วมเป็นเจ้าของมูลนิธิฯ โดยจะดำเนินการตามครรลองของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งพวกตนเป็นกรรมการชุดเริ่มต้น ต่อไปเมื่อมีประชาชนเข้าร่วมครบ 1 ปี จะมีการเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิกันใหม่ โดยระหว่างนี้ จะฟังความคิดเห็นว่า จะดำเนินการมูลนิธิอย่างไร “มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชน หากต้องมีการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้อง เราจะทำ เช่น หากประเทศใดเข้าใจผิด ตัดสินใจใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เราจะส่งตัวแทนไปอธิบายกับรัฐบาล กับสภา และสื่อมวลชนของประเทศนั้น...” โดยมูลนิธิฯ ได้เชิญนายกษิต ภิรมย์ มาเป็นหัวหน้าทีมต่างประเทศ หากประเทศใดเข้าใจไทยผิด นายกษิตพร้อมจะไปชี้แจง แต่ไม่ใช่ไปในลักษณะล็อบบี้ยิสต์ เพราะล็อบบี้ยิสต์เป็นพวกที่ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากการร่างรัฐธรรมนูญไม่ตรงกับแนวทางของมูลนิธิฯ จะเคลื่อนไหวอย่างไร นายสุเทพ กล่าวว่า ต้องการเห็นรัฐบาลนี้ปฏิรูปประเทศให้สำเร็จก่อนมีการเลือกตั้ง โดยไม่จำเป็นว่าต้องใช้เวลาเท่าไร นายสุเทพ ยังย้ำด้วยว่า การขับเคลื่อนของมูลนิธิฯ ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่าจะไม่กลับไปเป็นนักการเมือง ไม่กลับพรรคประชาธิปัตย์ ต่อจากนี้ แนวคิดของมูลนิธิฯ อาจไม่ตรงกับพรรคประชาธิปัตย์ ฉะนั้นอย่าเคลือบแคลง

ทั้งนี้ ได้มีท่าทีจากฝ่ายต่างๆ ต่อการแถลงเปิดตัวมูลนิธิของนายสุเทพ โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวว่า ดีแล้วที่นายสุเทพสึกออกมา เพราะหากยังบวชอยู่ แล้วเดินทางไปปราศรัยก็คงไม่เหมาะสม และว่า หากการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของนายสุเทพเป็นไปเพื่อปกป้องรัฐบาล ไม่แน่ใจว่าจะเป็นผลดีต่อรัฐบาลหรือไม่ อาจเป็นทุกขลาภต่อรัฐบาลก็ได้ เนื่องจากจะยิ่งทำให้คนเห็นความเป็นมาของรัฐบาลนี้มากขึ้น และว่า ขณะนี้รัฐบาลรับปัญหาไว้ค่อนข้างหนัก จึงไม่เชื่อว่า การประกาศตัวของนายสุเทพจะสามารถแบ่งเบาภาระของรัฐบาลได้ แต่จะกลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม เป็นภาระซึ่งกันและกันมากกว่า

ขณะที่ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กล่าวว่า การประกาศเปิดตัวมูลนิธิของนายสุเทพไม่ต่างอะไรกับการกระหน่ำรัวตีกลองศึก ว่าต่อไปนี้ กปปส.จะขับเคลื่อนทัพการเมืองรุดไปข้างหน้า เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้งให้ได้ ทุกฝ่ายต้องเตรียมตัวรับมือกับการเคลื่อนไหวอันซ่อนเร้นอำพรางภายใต้การอำนวยการของนายสุเทพต่อไป

ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการแถลงข่าวของนายสุเทพที่ต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้งว่า คิดว่าขณะนี้เหมาะสมที่จะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับนายสุเทพ แต่แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางของตนอยู่แล้ว ขณะที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สปช. ก็หนุนการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งเช่นกัน เนื่องจากเห็นว่า หากไม่สามารถปฏิรูปให้สำเร็จก่อน จะเกิดความแตกแยกเหมือนก่อนหน้านี้อีก

3.“คำรณวิทย์” เข้าให้ปากคำ คกก.สอบข้อเท็จจริงแล้ว อ้างปืนที่ถูกญี่ปุ่นจับ ไม่ใช่ของตัวเอง ด้านตำรวจประสานอัยการสูงสุดร่วมสอบ!

(บน) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เข้าให้ปากคำที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ล่าง) พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เพื่อให้ปากคำกับคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ถูกจับที่สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น ข้อหาพกปืนเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ก่อนที่อัยการญี่ปุ่นจะสั่งไม่ฟ้องเมื่อวันที่ 13 ก.ค.

ทั้งนี้ การสอบปากคำใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง จากนั้น พล.ต.ท.อำนวย ได้เดินมาส่ง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ โดยทั้งสองมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่ง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ โดยให้ถาม พล.ต.ท.อำนวย แทน

ด้าน พล.ต.ท.อำนวย เผยว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมาก แต่ไม่สามารถเผยรายละเอียดได้ เบื้องต้นจากการสอบปากคำ พบว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์มีปืนในครอบครองทั้งหมด 3 กระบอก แต่กระบอกที่ถูกจับกุมที่ญี่ปุ่น พบว่าไม่ได้เป็นของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ส่วนปืนกระบอกดังกล่าวมีทะเบียนถูกต้องหรือไม่ อยู่ระหว่างตรวจสอบ และว่า จะมีการนัด พล.ต.ท.คำรณวิทย์มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่ยังไม่ได้ระบุวันเวลา เนื่องจากต้องรอข้อมูลจากประเทศญี่ปุ่นก่อน พล.ต.ท.อำนวย เผยด้วยว่า ได้เรียกสอบพยานบุคคลไปแล้วกว่า 17 ปาก ทราบว่าบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน ส่วนผลเป็นอย่างไร ขอให้ถามจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.ท.อำนวย เผยอีกว่า พนักงานสอบสวนได้ทำหนังสือไปยังอัยการสูงสุดให้ร่วมพิจารณาคดีนี้ด้วย เนื่องจากคดีมีบางส่วนที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม ต้องรอว่าทางอัยการสูงสุดจะเลือกดำเนินการในแนวทางใด ระหว่าง 1. อัยการสูงสุดรับสำนวนไปดำเนินการเองทั้งหมด 2.ให้พนักงานสอบสวนชุดเดิมเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด หรือ 3.ให้พนักงานสอบสวนชุดเดิมที่ดำเนินการตั้งแต่แรกเป็นผู้ทำคดีต่อไป โดยมีอัยการเข้ามาร่วมด้วย สำหรับขั้นตอนการส่งหนังสือเพื่อขอข้อมูลคำให้การของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์จากประเทศญี่ปุ่นนั้น พล.ต.ท.อำนวย กล่าวว่า อาจใช้เวลานานเกือบเดือน ดังนั้นจะปรึกษาผู้บังคับบัญชาเพื่อตั้งคณะพนักงานสอบสวนเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อประสานขอข้อมูลสำนวนคดีจากทางการญี่ปุ่นด้วยตนเอง

4.ก.คมนาคม ออกกฏกระทรวงเพิ่มค่าโดยสารแท็กซี่ กทม.-ตจว. 2 กม.แรก 50-100 บาท ด้านกรมขนส่งทางบก บอกแค่เพดานสูงสุด รอ รมต.เคาะ!

(บน) นายจิรุตม์ วิศาลจิตร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก  (ล่าง) กรมการขนส่งทางบก ออกคำชี้แจงกรณีแก้ไขกฏกระทรวงเกี่ยวกับรถแท็กซี่หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
เมื่อวันที่ 29 ก.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่กฏกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน หรือแท็กซี่มิเตอร์ ที่จดทะเบียนในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด โดยกฏกระทรวงเกี่ยวกับรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนในกรุงเทพฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2542 , พ.ศ.2522 และ พ.ศ.2547 ซึ่งมีสาระสำคัญ ได้แก่ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีอำนาจกำหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารสำหรับรถยนต์รับจ้างและค่าบริการอื่นๆ เช่น

ค่าจ้างบรรทุกคนโดยสาร ให้กำหนดระยะทาง 2 กิโลเมตรแรกไม่เกิน 50 บาท กิโลเมตรต่อๆ ไปไม่เกินกิโลเมตรละ 12 บาท ส่วนกรณีที่รถไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ตามปกติวิสัย คิดนาทีละไม่เกิน 3 บาท สำหรับค่าบริการอื่นๆ นั้น ถ้าเป็นการเรียกแท็กซี่ผ่านศูนย์บริการสื่อสารหรือระบบสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้กำหนดได้ไม่เกิน 50 บาท ส่วนกรณีที่เรียกจากท่าอากาศยานหรือสถานที่ที่กระทรวงคมนาคมกำหนดให้แท็กซี่นั้นจอดรอคนโดยสาร ให้กำหนดได้ไม่เกิน 100 บาท ทั้งนี้ มีการกำหนดให้รถแท็กซี่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 9 ปีนับแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก แต่ให้รถแท็กซี่ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.2544 ถึง 25 ธ.ค.2548 มีอายุการใช้งาน 12 ปี นับแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก ส่วนรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนตั้งแต่ 26 ธ.ค.2548 ถึง 25 ธ.ค.2551 ให้มีอายุการใช้งานต่อไปได้จนถึง 25 ธ.ค.2560 พร้อมกันนี้ กฏกระทรวงดังกล่าวยังกำหนดด้วยว่า รถแท็กซี่ต้องไม่ติดตั้งระบบป้องกันการเปิดประตูรถจากภายใน และกระจกทุกด้านต้องโปร่งใส สามารถเห็นสภาพภายในรถและการจราจรภายนอกรถได้ชัดเจน ห้ามนำวัสดุใดมาติดหรือบัง ยกเว้นการติดเครื่องหมายหรือเอกสารที่กฎหมายกำหนด การติดวัสดุกรองแสงต้องเป็นไปตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด

เป็นที่น่าสังเกตว่า ราชกิจจานุเบกษา ระบุว่า กฏกระทรวงดังกล่าวให้ไว้ ณ วันที่ 17 ก.ค.2558 โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไม่ใช่ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยกฏกระทรวงดังกล่าว กำหนดด้วยว่า จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ขณะที่ประกาศกฏกระทรวงเกี่ยวกับแท็กซี่ที่จดทะเบียนในจังหวัดอื่นนอกเขตกรุงเทพฯ ระบุว่า ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีอำนาจกำหนดค่าบริการได้เช่นกัน โดยถือเกณฑ์ว่า ระยะทาง 2 กิโลเมตรแรก ค่าโดยสารไม่เกิน 100 บาท กิโลเมตรต่อๆ ไป ไม่เกินกิโลเมตรละ 20 บาท ส่วนกรณีที่รถไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ตามปกติ คิดนาทีละไม่เกิน 5 บาท สำหรับค่าบริการอื่นๆ นั้น กรณีที่เรียกรถแท็กซี่ผ่านศูนย์บริการ ให้กำหนดได้ไม่เกิน 50 บาท หากเรียกรถที่ท่าอากาศยานหรือสถานที่ที่กระทรวงคมนาคมกำหนด ให้กำหนดได้ไม่เกิน 150 บาท หากเรียกรถในเวลากลางคืน กำหนดได้ไม่เกิน 100 บาท นอกจากนี้ยังกำหนดให้รถแท็กซี่ที่จดทะเบียนนอกเขตกรุงเทพฯ ที่ไม่ต้องการรับผู้โดยสารในช่วงเวลาใด ให้แสดงเครื่องหมาย “งดรับจ้าง” ไว้ที่หน้ารถด้านซ้ายด้วย

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังมีข่าวกระทรวงคมนาคมประกาศกฏกระทรวงเพิ่มค่าโดยสารรถแท็กซี่ใน กทม.และต่างจังหวัด ปรากฏว่า ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ส่งผลให้กรมการขนส่งทางบกต้องออกมาชี้แจงว่า การแก้ไขกฏกระทรวงเกี่ยวกับรถแท็กซี่ เป็นแค่การปรับเพดานค่าโดยสารเฉพาะรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนนอกเขต กทม.เท่านั้น ซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ จนกว่าจะมีประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราที่ใช้จริงในแต่ละจังหวัด ส่วนรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนใน กทม.ยังคงใช้เพดานค่าโดยสารเดิม ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อค่าโดยสารในขณะนี้แต่อย่างใด

ด้านนายจิรุตม์ วิศาลจิตร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ก็ชี้แจงเช่นกันว่า ประกาศแก้ไขกฏกระทรวงเกี่ยวกับรถแท็กซี่นั้น เป็นการประกาศปรับเพดานค่าโดยสารรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนนอกเขต กทม.เท่านั้น ซึ่งการปรับเพดานดังกล่าวยังไม่ใช่อัตราที่จะใช้จัดเก็บจริง ต้องรอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณากำหนดไม่เกินจากเพดานที่กฏกระทรวงกำหนดตามสภาพความเหมาะสมในแต่ละจังหวัด ก่อนออกประกาศกระทรวงคมนาคมและลงในราชกิจจานุเบกษา เพื่อมีผลยังคับใช้จริงต่อไป ส่วนรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนใน กทม.ยังคงใช้เพดานค่าโดยสารเดิม ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อค่าโดยสารในปัจจุบัน

5.โจรใต้นับสิบเหิม ควงอาวุธสงครามถล่มฐาน อส.ที่ยะลา ก่อนปล้นปืน เจ้าหน้าที่ยิงตอบโต้ ผลเจ็บ 18 !

สภาพฐานปฏิบัติการ อส.ชุดคุ้มครอง ต.บาโร๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา หลังถูกโจรใต้ไม่ต่ำกว่าสิบคนพร้อมอาวุธสงครามบุกโจมตีเมื่อวันที่ 31 ก.ค.
เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 30 ก.ค.ล่วงเข้าวันที่ 31 ก.ค. เวลา 02.15 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายไม่ต่ำกว่า 10 คน พร้อมอาวุธสงคราม บุกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการ อส.ชุดคุ้มครอง ต.บาโร๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา เบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย เป็น อส. และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน จากนั้นได้วิทยุขอกำลังเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือ แต่การเดินทางเข้าไปยังจุดเกิดเหตุทำได้ลำบาก เนื่องจากคนร้ายโรยตะปูเรือใบ และตัดต้นไม้ขวางถนน

ต่อมาช่วงเช้า พล.ต.ต.ทนงศักดิ์ วังสุภา ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ยะลา ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ชุดพิสูจน์หลักฐาน เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทราบต่อมาว่า มีเจ้าหน้าที่ อส.และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้รับบาดเจ็บรวม 18 ราย ทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา และโรงพยาบาลศูนย์ยะลา เบื้องต้นมีรายงานว่า อาการสาหัส 2 ราย

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนถึงจุดเกิดเหตุ บริเวณเส้นทางเข้าบ้านบาโร๊ะ คนร้ายได้ตัดต้นไม้ขวางถนน และวางระเบิดเสาไฟฟ้าจนหักโค่นเสียหาย เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดได้เข้าตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย ส่วนในที่เกิดเหตุพบว่าเป็นอาคารของฐานปฏิบัติการ ถูกคนร้ายไม่ต่ำกว่า 10 คน ยิงถล่มด้วยอาวุธปืนเอ็ม 79 และอาวุธสงครามจนอาคารพรุนเสียหายทั้งหลัง โดยเจ้าหน้าที่พบปลอกกระสุนอาก้าตกอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวนมาก นอกจากนี้คนร้ายยังได้เผาอาคารฐานปฏิบัติการจนเสียหาย รวมทั้งทำลายกล้องวงจรปิดรอบฐานปฏิบัติการเสียหายอีกหลายตัว

จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่ อส.อยู่ประจำป้อมจำนวน 20 นาย จากนั้นคนร้ายไม่ต่ำกว่า 15 คน พร้อมอาวุธครบมือ ได้บุกยิงถล่มป้อมดังกล่าว รวมทั้งใช้ระเบิดเพลิงขว้าง และยิงเอ็ม 79 เข้าใส่จำนวน 3 ลูก ก่อนที่คนร้ายนับสิบคนจะบุกเข้าไปในฐานปฏิบัติการ ด้าน อส.และผู้ที่อยู่ในฐานปฏิบัติการได้ยิงตอบโต้นานกว่าครึ่งชั่วโมง คนร้ายจึงหลบหนีไป เบื้องต้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่าคนร้ายเป็นกลุ่มของนายฮูไบดีล่ะห์ รอมมือลี แกนนำก่อเหตุรุนแรงที่ต้องการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่ จากการตรวจสอบยังพบด้วยว่า คนร้ายได้ปล้นอาวุธปืนประจำฐานปฏิบัติการไปด้วยจำนวนหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นปืนชนิดใดบ้าง

ด้าน พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เผยในเวลาต่อมาว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว 18 ราย บาดเจ็บสาหัส 6 ราย รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ล่าสุดอาการปลอดภัยแล้ว มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 12 ราย อยู่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา 5 ราย อีก 7 รายกลับบ้านได้แล้ว และว่า ผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นชุดคุ้มครองตำบล(ชคต.) ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ส่วนราชการพลเรือนที่เข้ามามีส่วนร่วมดูแลความปลอดภัยพื้นที่ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงพยายามเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการ โดยเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองตำบลได้ทำการยิงตอบโต้กับกลุ่มคนร้าย และถอนตัวเข้าที่มั่นสำรองพร้อมกับร้องขอกำลังเพิ่มเติมจากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 47 เข้าทำการช่วยเหลือ และสามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบความเสียหาย และรวบรวมวัตถุพยาน และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุ และติดตามจับกุมมาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป”

พ.อ.ปราโมทย์ เผยด้วยว่า แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งให้หน่วยเร่งคลี่คลายสถานการณ์ประชุมร่วม 3 ฝ่ายในพื้นที่ เพื่อสำรวจและฟื้นฟูความเสียหายทดแทนกำลัง และสถาปนาความเข้มแข็งของฐานปฏิบัติการให้กลับคืนมาโดยเร็ว นอกจากนี้ให้ทุก ชคต.ทบทวนแผนเผชิญเหตุและวางระบบป้องกันฐานให้เข้มแข็ง โดยจะเน้นการผนึกกำลังภาคประชาชนและ ชคต.ให้มีส่วนร่วมกับภาครัฐในการดูแลความปลอดภัยให้พี่น้องประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับอาวุธปืนที่คนร้ายปล้นไปนั้น พ.อ.ปราโมทย์ เผยว่า เบื้องต้นได้รับรายงานว่า ประมาณ 6-7 กระบอก ประกอบด้วย ปืนลูกซอง ปืน AK102 และปืนพกสั้น อยู่ระหว่างตรวจสอบจำนวนที่ถูกต้องอีกครั้ง พ.อ.ปราโมทย์ ยอมรับด้วยว่า ที่ผ่านมา การข่าวได้มีการแจ้งเตือนว่า พบความเคลื่อนไหวของบุคคลที่เข้ามาในพื้นที่ แต่ไม่พบการเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งให้หน่วยปฏิบัติการในพื้นที่วางระบบการข่าวภาคประชาชนให้มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น