xs
xsm
sm
md
lg

ปรมาจารย์สตันท์แมน “ครูแอนท์ ม้าทมิฬ” จากเด็กฝันสลาย สู่บทเจ้าพระยาบดินทรเดชา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

เราก็จะยังดำเนินในสิ่งที่เราฝันไว้อยู่ แล้วเราก็จะพยายามที่จะสืบสานตรงนั้น ในสิ่งที่เรารู้ ในส่งที่เราเห็นมา เราได้เดินทางไปเกือบทั่วโลก ได้เห็นหลายอย่าง นี่คือสิ่งที่เราได้มีโอกาสเปิดแล้ว เปิดในที่นี้หมายถึงเปิดใช้วิชาที่เรามี ให้มวลชนได้เห็น ซึ่งบางอย่างในวงการบันเทิงบ้านเรายังไม่มี อย่างเช่น วิชาการขี่ม้า หรือว่าการขี่ม้าผาดโผน หรือการใช้ความสามารถส่วนตัวที่มันเป็นมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นวิชาสตันท์แมน ซึ่งจริงๆ นักแสดงสามารถที่จะทำเองได้ แต่ต้องใช้ทักษะในการสร้างเสริมตัวเอง นั่นก็คือใช้เวลานิดนึงในการเรียน”

นี่คือบทสนทนาบทหนึ่งของนักแสดงคนหนึ่ง ที่กำลังถูกพูดถึงในทั่วสารทิศ จากทั้งในโลกสังคมออนไลน์ หรือ จากแฟนละครทีวีทั่วไป ในบทบาทของ ‘เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)’ บุคคลทางประวัติศาสตร์ของชาติไทย ในละครเรื่อง ‘ข้าบดินทร์’ ซึ่งนอกจากคาแรกเตอร์ที่ดูน่าเกรงขามสมชายชาตรีแบบไทยแท้แล้ว การแสดงของเขาในละครเรื่องดังกล่าวนั้น ถือว่าทรงพลังอย่างยิ่ง เพราะสามารถทำให้ผู้ชมได้รู้สึกถึงตัวตนจริงๆ

เมื่อเผยตัวตนที่แท้จริง เขาผู้นี้คือ วัชรชัย สุนทรศิริ หรือที่ถูกเรียกในวงการบันเทิงว่า ‘ครูแอนท์ ม้าทมิฬ’ ผู้รับบทบาทดังกล่าวตามที่เอ่ยถึงไป และในขณะเดียวกัน เขาผู้นี้ก็คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังคิวบู๊ด้านม้าให้กับวงการ และบทบาทการแสดง ทั้งในภาพยนตร์และละครทีวี มา 10 กว่าปี จนเราอาจจะกล่าวได้ว่า วัชรชัย คืออีกหนึ่งเต้ยเกี่ยวกับสตันท์ม้าของวงการบันเทิงไทยเลยก็ว่าได้

และจากการถูกกล่าวถึงในขณะนี้ วัชรชัยให้ความเห็นว่า เป็นเพียงก้าวที่หนึ่งสำหรับตนเองในวงการบันเทิงไทยเท่านั้น เพราะก้าวต่อไปตามที่เขาคาดหวังนั่นคือ ได้แสดงถึงตัวตนและผลงานออกสู่วงกว้างให้มากขึ้นกว่าเดิม ดั่งที่ตัวเขาตั้งใจไว้
ช่วงชีวิตแห่งความฝัน

วัชรชัยเป็นชาวกรุงเก่ามาตั้งแต่กำเนิด แต่ในช่วงชีวิตในวัยเด็กนั้น เรียกได้ว่าไม่ได้สุขสบายมากนัก เพราะเขาเกิดและเติบโตขึ้นมาในท่ามกลางความยากจนเป็นที่ตั้ง ทั้งๆ ที่ ชาติตระกูลของเขา ก็อยู่ในขั้นที่เป็นเชิดหน้าชูตาให้กับคนรอบข้างได้เลย

“ผมเป็นคนอยุธยา เลือดร้อย บ้านเดิมอยู่ที่บ้านไผ่หนอง ก็คือหมู่บ่านอรัญญิก บ้านทำมีด เครือญาติอยู่ที่นั่นหมดเลย แล้วก็ไปอยู่ต่างจังหวัดอยู่กับแม่ คือจะเรียกว่ายากจนก็ว่าได้ แต่พื้นฐานทางบ้านก่อนหน้านั้น ก็เป็นลูกหลานของท่านเจ้าพระยาเหมือนกัน นามสกุล สุนทรศิริ ก็ได้ประทานมาจากท่านเจ้าพระยา แปลว่าได้รับพระราชทานมาจากสมัยรัชกาลที่ 6”

แต่ช่วงชีวิตในวัยเด็กก็ย่อมจะต้องมีความฝันเป็นของตัวเอง เด็กชายวัชรชัย ก็มีความฝันเช่นเดียวกับเด็กทั่วไป นั่นก็คือ นักยิมนาสติกทีมชาติ และ ทหาร

“ในความฝันจุดเริ่มแรกของผม ผมอยากจะเป็นนักยิมนาสติกทีมชาติ อยากจะเล่นสนุกสนานเหมือนๆ กับเด็กทั่วๆ ไป ตามต่างจังหวัดที่เค้ามีความใฝ่ฝันอยากเป็น คือเราเห็นนักยิมนาสติกเล่นในเกมกีฬาแล้วเท่ เก๋ อยากจะเป็นนักกีฬา และความใฝ่ฝันถัดมาคือ อยากเป็นทหาร เพราะเราเห็นชุดทหารแล้วมันเข้ม มันดูดี มันมีกฎระเบียบอยู่ในตัว แล้วเวลาเดินนี่มันสง่า เลยอยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง

แต่ความฝันในการสวมเครื่องแบบสีเขียวของวัชรชัย ก็ต้องจบลงด้วยเหตุผลบางอย่าง และนั่นต้องปิดเส้นทางของการเป็นทหารไปอย่างจำใจ

“หลังจากที่ผมเรียนจบมัธยม ก็มีโอกาสได้ไปสอบทหาร แต่ไม่มีโอกาสได้เป็นทหารเลย แม้แต่พลทหารก็ไม่มีโอกาสได้เป็น เพราะเราเรียนนักศึกษาวิชาทหาร แค่อยากจะได้คะแนนพิเศษ เพื่อที่จะได้ไปสอบทหาร แต่คงจะเป็นบุญกรรมอะไรก็ว่าไปนะครับ ผมไม่มีโอกาสได้เป็นทหารเลย ผมก็เบนเข็มแล้วว่าจะไปทำอะไร ตอนนั้นยังไม่มีเป้าหมายเลยว่าจะไปทำอะไร เพราะสิ่งที่เราอยากเป็นอยากได้มันฝันสลายไปแล้ว”

ถึงแม้จะผิดหวังจากการที่ไม่ได้เป็นทหารเพียงใด แต่อย่างน้อยความฝันก้อนแรกในการเป็นนักกีฬาก็ยังคงอยู่ เมื่อวัชรชัยได้สิทธิ์เข้าศึกษาต่อจากการได้โควตาในการเป็นนักศึกษาของสถาบันการพลศึกษา ชลบุรี ซึ่งเป็นสถาบันที่บ่มเพาะให้เขาได้ศึกษาในศาสตร์ของกีฬา กระทั่งจบการศึกษาจากรั้วแห่งนี้

ผมก็กลับมานั่งคิดที่บ้านว่า จะทำอะไรต่อแต่มันเหลืออยู่อย่างเดียว คือ วิทยาลัยพลศึกษา ซึ่งผมได้โควตาและมันเป็นทางออกสุดท้ายเลยที่ผมไม่ได้มองไป แต่พอมามองย้อนกลับ ผมได้โควตานี่ หลังจากเรียนจบมัธยม ซึ่งสุดท้ายก็มาเรียนที่วิทยาลัย และก็จบการศึกษาที่นั่น

หลังจากจบการศึกษา วัชรชัยก็ได้เข้าทำงานที่สวนสัตว์ซาฟารี เวิลด์ เมื่อปี พ.ศ. 2533 ซึ่งถือว่าเป็นพนักงานรุ่นบุกเบิกของที่นั่น ในตำแหน่งแผนกขี่ม้าของสวนสัตว์ และที่นั่น ได้ให้อะไรมากมายกับตัวเขา เพราะทำงานที่นั่นถึงประมาณ 9 ปี เลยทีเดียว

“ผมทำงานอยู่ตรงแผนกขี่ม้าของสวนสัตว์ ซึ่งก็ถือว่าลองผิดลองถูก ได้เรียนรู้จากตัวเองทั้งนั้นเลย เพราะว่าเขาจะมีม้าประมาณ 30-40 ตัว ปล่อยไล่ทุ่งเลยครับ เวลาเย็นเค้าก็เรียก กลับมาเวลาตอนเช้าเก็ปล่อยออกไป พอเรียกกลับมาที่คอก เราก็เลือกม้า มาใส่บังเหียนใส่อานเอง เค้าก็จะมีพี่เลี้ยงอยู่ด้วยคนหนึ่ง เราก็มาใส่เอง วิ่งออกไปข้างนอก ฝึกอยู่ประมาณ 2 เดือนน่ะครับ ตกไม่รู้กี่ครั้ง เพราะว่ามันเป็นม้าไล่ทุ่ง มันก็ค่อนข้างที่จะปลิว ก็มีขี่เองเล่นเอง”

ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์จากการขี่ม้าจากที่นี่อย่างมืออาชีพ แต่อุบัติเหตุก็ย่อมเกิดขึ้นได้เช่นกัน วัชรชัยก็มีเหตุการณ์ประสบเหตุในครั้งหนึ่งเช่นกัน ซึ่งเหตุการณ์นี้ นับว่าเป็นบทเรียนชิ้นเอกสำหรับตัวเขา ต่ออาชีพที่เขารับหน้าที่นั้น
 
“มันมีอุบัติเหตุครั้งหนึ่งที่ผมจำมาจนทุกวันนี้ คือ หลับไปครึ่งวันเลย เหตุการณ์มันมาจาก ผมขี่ม้าแล้วเข้าไปในคอกตีวง ซึ่งคอกนั้นควรให้มาแคระเดิน ซึ่งไม่สมควรที่จะเอาม้าใหญ่ไปขี่อยู่แล้ว แต่ผมไม่มีอะไรเลย ตอนนั้นรู้แค่ว่า ตรงนี้เอาม้ามาให้เดินแล้วคิดว่าขี่ได้ ผมคิดอย่างงั้น แล้วตอนนั้นผมคิดอย่างเดียวว่าผมต้องขี่ม้าให้เก่ง ต้องขี่ม้าให้เป็น ผมก็เอาม้าเข้าในช่วงเวลาที่เค้าว่าง ไม่มีม้าเดินข้างใน ผมก็ดีใจมากที่ม้าเดินเข้าไป แล้วผมสามารถขี่ควบได้ ผ่านรอบแรกผมไม่ฉุกคิดอะไรเลยว่าเวลาเข้าไปเราจะต้องปิดรั้ว แต่เราไม่ปิด"

พอเราไม่ปิด ม้ามันไปรอบนึงมันจำแล้วครับ มันมาจากทางไหนมันก็ต้องออกทางนั้น มันจำมาก มันมาตรงนี้ปุ๊บ มันมีรูออก พอรอบที่ 2 พอจังหวะที่เราควบแต่เราเผลอว่าเราขี่ควบเป็นแล้ว แต่เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ม้ามันเห็นทางออก มันแวบเลยครับ จังหวะที่เห็นทางออก หัวผมไปฟาดกับเสา ซึ่งหลับและไม่รู้ตัวเลย ผมไม่รู้เลยว่าหลับไปเท่าไหร่ ซึ่งมารู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว นั่นแหละครับเป็นบทเรียนที่จำมาก

• หลังจากเหตุการณ์นั้น ได้ให้อะไรกับคุณบ้าง

คือจริงๆ แล้ว การลองผิดลองถูกมันดีนะครับ ผมแนะนำให้ทุกคนลงมือกระทำก่อน ก่อนที่จะเรียนรู้แบบมีระบบ แบบมีสเต็ป เมื่อคุณลองผิดลองถูก คุณจะได้รู้ว่า ตัวเองนั้นเริ่มแล้ว ได้ลุกขึ้นมาแล้ว ได้ใส่รองเท้าแล้ว ก้าวเดินแล้ว แต่การก้าวซ้ายขวาออก หรือ ไปไหนต่อ อันนั้นเราค่อยมาเรียนทีหลังว่า ทำไมต้องเป็นอย่างงี้ แต่ด้วยพื้นฐานของคนทั่วไปอยู่แล้ว คุณต้องรู้จัก เดิน กระโดด วิ่ง แต่การที่จะเป็นนักวิ่งร้อยเมตร คุณจะทำยังไง การที่จะเป็นนักวิ่ง 4 คูณร้อย หรือ สี่ร้อยเมตร หรือวิ่งมาราธอนระยะกลางหรือไกล คุณจะต้องทำยังไง อันนี้เค้ามีหลักสูตรไว้แล้ว แต่เมื่อเริ่มแรกคุณเริ่มสตาร์ทรึยัง เมื่อผมเริ่มทีแรก ถามว่ามีอุบัติเหตุเลยได้มั้ย แม้แต่เดินเรายังหกล้ม สะดุด หรือข้อเท้าแพลงเลย มันมีโอกาสเป็นไปได้

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต

ประเทศสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งอิสรภาพกับความทันสมัยในแทบทุกด้าน รวมไปถึงศิลปะในด้านการแสดงทุกแขนงของโลก ก็เริ่มมาจากที่แห่งนี้ เพราะด้วยมีสตูดิโอยักษ์ใหญ่ระดับโลกมากมายตั้งอยู่ ซึ่งแน่นอนว่า ดินแดนแห่งนี้สร้างจุดเปลี่ยนให้กับวัชรชัย ในห้วงเวลาแค่ 10 วัน จากการไปศึกษาดูงานเท่านั้น

“ผมถูกส่งไปดูงานที่ต่างประเทศ ไปดูงานที่อเมริกา ไปดูงานหลายที่มากเลย โดยเฉพาะ Disney & MGM และ Universal Studio ซึ่งค่อนข้างที่จะโดนใจผมมาก เพราะว่าเขามีการแสดงเกี่ยวกับการโชว์ การแสดงผาดโผน ซึ่งผมชอบมาก แล้วที่ Universal เขาก็จะมีคาวบอยโชว์ มันโดนมากเพราะว่าเราขี่ม้าอยู่ แล้วผมก็ไปนั่งดูและเดินอยู่ในนั้น จนโชว์การแสดงเลิก กลุ่มของเราไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ผมยังนั่งอยู่คนเดียว นั่งอยู่ตรงนั้น นั่งพิจารณา นั่งพินิจ จนไม่รู้ว่าจะออกมาให้เป็นทองหรืออะไร (หัวเราะเบาๆ) แต่สิ่งที่เราชอบ เราจะนั่งจมอยู่ตรงนั้น นั่งเพ่งอยู่อย่างงั้นน่ะครับ

“ผมก็นั่งพิจารณาว่า ทำไมเราได้มาอยู่ตรงนี้ได้ ทำไมสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา มันเป็นมโนภาพ เราคิดเราฝันอ่านก่อนหน้านั้น มันอยู่กับเราแล้วนะ มันอยู่ต่อหน้าเราเลยนะ มันรู้สึกว่า สิ่งที่เราเดินมาเนี่ย มันอยู่ตรงหน้าเราแล้ว ทองคำ พระราชวัง มันเหมือนตรงนั้นเลย แล้วเราจะสืบสานตรงนั้นต่อไป มีความมุ่งมั่น เราจะเอากลับไปบ้านเรา เราจะเอาสิ่งที่เราได้มา กลับบ้านเราแล้วใช้ให้มันมากที่สุด ผมคิดอย่างงั้น

หลังจากกลับจากการดูงานในครั้งดังกล่าว วัชรชัย ก็ได้เติมความฝันครั้งใหม่สำหรับตัวเขา นั่นคือ การแสดงโชว์ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Universal Studio วัชรชัยได้ทำงานที่สวนสัตว์ได้ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะเดินทางกลับไปที่สหรัฐอเมริกาอีกครั้ง เพื่อความฝันในสิ่งที่เขาต้องการ นั่นคือ ‘การโชว์ผาดโผนเกี่ยวกับม้า’

“ผมกลับไปที่อเมริกาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไปอยู่เป็นปี ผมไปทำเกี่ยวกับการแสดงเกี่ยวกับโชว์ม้าเลย ไปอยู่ที่ Arabian Night Show ที่ออร์ลันโด เป็นการแสดงเหมือนกายกรรมโชว์เลยฮะ ไปยืนอยู่หลังม้า กระโดดข้ามห่วงไฟ ตีลังกา ลงจากหลังม้า showder สแตนด์บนหลังม้าตัวใหญ่ๆ อย่างงี้ครับกระโดดข้ามไปมา เต้นบนหลังม้า ผมทำมาแล้ว

“การได้ไปอยู่ที่แห่งนั้น ทำให้ผมได้เรียนรู้ทริกที่เกี่ยวกับการแสดงม้าและควบคุมม้า การขี่ม้าเป็นมาตรฐานสากล เรียนจากตำรวจม้า การควบคุมม้า ศิลปะในการควบคุม คุณจะสั่งยังไงก็ได้ ให้คนข้างนอกมองไม่ออกว่าคุณสั่งน่ะ อย่างงี้น่ะ มันเจ๋งและเนียนนะ อย่างถ้าเราเลี้ยวมอเตอร์ไซค์ เรายังรู้ว่ามันเลี้ยว แต่ขี่ม้า คุณต้องทำยังไงให้ไม่รู้น่ะ ซึ่งผมว่ามันสุดยอด อย่างหลักศิลปะในการขี่ม้า เราจะเห็นเลยว่าเขาเท่ว่ะ ม้าทำไมย่องได้ ไม่เห็นเลย นี่คือสุดยอด

หลังจากเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดินแดนลุงแซม มาเป็นระยะเวลา 1 ปี วัชรชัย ก็ได้เดินทางไปสู่โลกใบใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขยิบมาใกล้บ้านเกิดเมืองนอนอีกนิด นั่นคือ ประเทศมาเลเซีย และประเทศอินโดนีเซีย ตามลำดับ และเขาก็ได้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกให้กับการแสดงโชว์เกี่ยวกับม้าให้กับที่นั่นด้วย

“พอกลับจากอเมริกา ผมก็ได้กลับมาทำงานที่เมืองไทยนิดๆ หน่อยๆ ก่อนที่จะบินไปมาเลเซีย ไปสร้างคาวบอยโชว์ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่ 16-17 ปีแล้วเหมือนกัน จากนั้นผมก็ไปอินโดนีเซีย ไปสร้างแบบเดียวกันเลยเหมือนกัน แต่ที่นี่จะเป็นโชว์คล้ายๆ อินเดียน่า โจนส์ แต่เค้าจะใช้ชื่อภาษาบ้านเขาที่เรียกว่า Java Jones Show อะไรประมาณนี้ ผมก็ไปบุกเบิกที่นั่นอีก ไปสร้างคนจากพนักงานกวาดพื้น กวาดถนน เอามาเป็นสตันท์แมน ซึ่งอยู่ทั้ง 2 ประเทศนี้ ก็เป็นเวลาพอสมควร”

เมื่อสั่งสมประสบการณ์มาเพียงพอ ความบังเอิญ ก็ไม่ใช่ที่น่าแปลกใจนัก เพราะทันทีที่กลับสู่ประเทศไทย วัชรชัยได้รับโทรศัพท์จากใครคนหนึ่ง ให้มาร่วมงานในโปรเจกต์ภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ ณ ขณะนั้น ซึ่งก็คือ ภาพยนตร์มหากาพย์เรื่อง ‘ตำนานสมเด็จพระนเรศวร’ นั่นเอง ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นผลงานชิ้นแรก และชิ้นแจ้งเกิด ของเขา ในฐานะ ครูฝึกสอนเกี่ยวกับการขี่ม้า

“กลับมาเมืองไทยก็ประมาณต้นปี 2546 ลองคิดดูว่า ผมกลับมาวันแรก ผมถูกโทร.หาเลย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า เขารู้ได้ยังไงว่าผมกลับมาแล้ว ซึ่งบังเอิญมาก โทร.มาตั้งแต่ผมมาถึงเลย ประมาณแบบอยากเจอ มาคุยกันหน่อย ก็ได้มีโอกาสคุย และได้คุยกับฝรั่งเลย และก็มีการออดิชันและขี่ม้า ซึ่งผมก็เป็นคนแรกที่ถูกคัดเลือกด้วย ซึ่งตอนออดิชันผมตกนะ แต่ผมถูกเลือก เพราะเรารู้วิธีการเซฟตี้ ฝรั่งชอบวิธีการของเรา เรามีบอดี้เซฟ มีเกี่ยวกับการป้องกันทั้งหมด เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ เพราะว่าม้าที่เราขี่เราไม่รู้เลยว่ามาจากไหน เป็นม้าของใคร อันนี้คือไปขี่ม้าข้างนอก ซึ่งเราไม่เคยได้ฝึกได้สัมผัส คือตก แต่ว่าขี่ได้ตามที่เขาต้องการ แต่ตอนตกนี่คือ แบบเดียวกับตอนที่เราเกิดอุบัติเหตุครานั้นเลย คือเราก็นึกว่ามันจบแล้วไง แต่เราตกแบบเดิมเลย (หัวเราะเบาๆ)

• ซึ่งก่อนหน้านี้คุณก็ไม่มีความฝันเกี่ยวกับการเป็นนักแสดงเลย

ยังไม่มีเลยครับ แต่เพียงว่าเห็นนักแสดงแล้วเท่ แต่มีอยู่ครั้งนึง ผมย้อนกลับไปว่า คุณแม่ก็มีอยู่ในสายวงการบันเทิงบ้าง ก็พอที่จะรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่อยู่เหมือนกัน ตอนนั้นผมอายุซัก 18 ได้ แม่ก็บอกว่าไป เดี๋ยวจะพาไปฝาก ไปฝากกับผู้ใหญ่ในแต่ละคน แต่ผมก็บอกกับแม่ว่า แม่ครับผมคงไม่มีโอกาส และไม่รู้จะไปยังไง เพราะผมไม่หล่อ ตัวก็ดำเป็นเมียงเลย และไม่มีความสามารถด้วย แม่ก็คะยั้นคะยอ ว่าเดี๋ยวก็มีผู้ใหญ่ช่วยดูให้ ช่วยสอน แต่ผมก็ยังบอกว่า ไม่ดีกว่า ไปแล้วก็จะมีแต่รังให้เค้าเสียหัวกับเรา ไปดึงเค้าให้ช้ามากกว่า แต่ก็บอกว่า ผมจะเดินด้วยตัวเอง จะไปด้วยลำแข้งของตัวเอง จะเข้าไปแบบความสามารถล้วนๆ แม่คอยดูละกัน

แล้ววันนี้ผมก็ทำได้แล้ว แม่ผมภูมิใจมาก หรือ ญาติพี่น้องที่อยู่ด้วยกัน พอเห็นผมแสดง ได้อยู่ในวงการ ไม่ว่าจะเป็นสถานะทั้งเบื้องหลังหรือเบื้องหน้า ท่านภูมิใจมาก แล้วผมก็ทำให้ท่านสำเร็จแล้ว ผมบอกแม่เสมอว่า แม่ ผมทำได้แล้ว ได้ทำในสิ่งที่เคยบอกไว้ ไม่ใช่ไม่รับในสิ่งที่แม่ยื่นให้ แต่ถ้ารับไว้ในตอนนั้น ผมไม่รู้ว่า จะตกหรือขึ้น ถ้าผมตก ผมก็จะไม่มีโอกาสได้เข้ามาอีกแล้ว ผมคงที่จะไม่กล้าย้อนกลับมาในสิ่งที่ผมทำแล้วไม่ผ่าน โอเค เราอยากจะทำอยากจะสู้ แต่ในเมื่อเราเฟลแล้วในสิ่งที่เราทำ เราจะพยายามกลับมาทำได้ มันเป็นสิ่งที่ดีที่ดูว่าเราย้อนกลับมาได้มั้ย แต่ตัวผมในตอนนั้นมันไม่คิดว่า ผมจะทำได้ดีไปกว่านั้น เพราะผมไม่มีความสามารถ ขอยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ให้ผมได้สะสมประสบการณ์ได้มากที่สุด แล้วมันจะมาเอง แม่คอยดู แล้วผมก็ทำได้

• มาทำเบื้องหลังเกี่ยวกับการฝึกสอนเกี่ยวกับม้า แล้วอยู่ดีๆ คุณมาเป็นนักแสดงได้ยังไง

ผมก็ว่าผมมีคาแรกเตอร์นะ (หัวเราะเบาๆ) คงจะเป็นหน้าโบราณ เลือดอโยธยาร้อย แล้วมันเข้มไง แล้วก็มีหนวดเคราอะไรด้วย มันก็เลยรู้สึกว่า ทางทีมงานก็คงเห็นว่า ก็พอได้นะ ขี่ม้าได้ด้วย ก็เอาเลย (หัวเราะอีกครั้ง) เอามาฟันดาบ ซึ่งเรื่องแรกตำนานสมเด็จพระนเรศวรนี่แหละที่ได้เล่น แต่ก่อนหน้านี้ก็มีไปแคสติ้งเป็นอยู่เหมือนกัน เรื่องจอมขมังเวทย์ เริ่มเข้าวงการและแคสติ้งประมานนี้เหมือนนักแสดงทั่วไป หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปแคสต์ที่ไหนอีกเลย ก็จะมีบ้างโฆษณาประปราย คือผมจะเป็นหลักที่หนังเรื่องนี้เรื่องเดียวเลย

• คุณเล่นทั้งภาพยนตร์และละครแนวนี้มาตลอด แล้วเพิ่งมาเป็นที่รู้จักในช่วงนี้ ค่อนข้างที่จะลำบากในการวางตัวมั้ย

ใช่ครับ คือพูดง่ายๆ ว่า ผมมาจากก้อนดิน มาจากที่ที่คนไม่รู้จักเลย แล้วก็เรามีฝัน เราก็จะสร้างตัวเองขึ้นมา เราจะพยายามถีบตัวเองขึ้นมา แต่เราไม่ลืมกำพืดว่าเรามาจากไหน เรามาจากไหน เราไปอยู่ที่ตรงไหน เราก็ต้องมองย้อนกลับมาว่า เราเริ่มจากอะไร แล้วเราก็จะอยู่ในที่ๆ สบาย เราจะเป็นตัวของตัวเองเลย ถามว่าเกร็งมั้ย เรื่องของการเกร็ง มันก็ต้องเป็นธรรมดาของมวลชน ในการวางตัว เพราะแต่ละคนที่เราพบปะมันแตกต่างกัน แต่เราพยายามเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด

ซึ่งถ้าเราเป็นครู เราก็วางตัวเป็นครู เราเป็นนักเรียน เราก็วางเป็นนักเรียน เราเป็นนักแสดง เราก็วางเป็นนักแสดง แล้วแต่บทบาทที่เรารับในเวลานั้นๆ ในสิ่งนี้ที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ จากที่ได้เห็น เราเป็นทั้งครู เราเป็นทั้งนักแสดง เราเป็นทั้งตัวที่อยู่ในประวัติศาสตร์ เราสวมหมวกทีเดียวหลายใบ ในการวางตัว เราวางเป็นผู้ใหญ่ มีคนศรัทธาเพราะว่าเราเกิดมาจากตรงนี้ เป็นตัวที่อยู่ในประวัติศาสตร์จริง การที่เราจะไปเล่นหัวหรืออะไรก็ตามที งดไปตรงนั้นนิดนึง เพราะว่าในสิ่งที่เราทำ มันยังที่จะต่อเนื่องไปอีก ผลตอบรับที่กลับมา มันจะเป็นคำพูดที่ตอกย้ำเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นกระแสที่ตอบรับทั้งดีหรือไม่ดี หรือกระแสยอมรับและไม่ยอมรับ มันก็จะอยู่ตรงนี้ แล้วเค้าก็จะโฟกัสมาที่เรา

การทำงานและความฝันเล็กๆ

เมื่อพูดถึงการทำงานของวัชรชัยในฐานะครูฝึกสอนและสตันท์เกี่ยวกับม้า ในวงการบันเทิงไทย แน่นอนว่า การทำงานของเขา นับว่าได้สร้างลูกศิษย์ลูกหาได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งตัวผู้ที่เป็นสตันท์แมน หรือ ในตัวนักแสดง จนสร้างความประทับใจให้กับผู้เรียน จนได้รับฉายาว่า “ครูแอนท์ ม้าพยศ” ในที่สุด

แต่ประสบการณ์ที่ได้รับมาทั้งชีวิต ก็ช่วยหล่อหลอมให้การทำงานของเขา เข้าขั้นคำว่า ‘มืออาชีพ’ อยู่ดี และ วัชรชัย ก็ยังมีความฝันเกี่ยวกับวงการบันเทิงไทยด้วยว่า สักวันหนึ่ง เขาอยากจะยกระดับเกี่ยวกับการแสดง ให้มีอาชีพเทียบเท่ากับนานาชาติให้จงได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...

การเป็นนักแสดงนอกจากทำหน้าที่แล้ว คล้ายกับว่า ให้ใส่ใจรายละเอียดเพิ่มเติมขึ้น แล้วเพิ่มความสมจริงให้สมบูรณ์ คือเมื่อเรามีพื้นฐานที่จะทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆ อย่าง เมื่อเราคิดแค่ว่าไม่ต้องไปเรียนก็ได้ แต่บ้านเราคนรู้เยอะมาก คนเป็นเยอะมาก ไม่ว่าจะแขนงอะไรก็ตาม เขาจะมีผู้เชี่ยวชาญ มีหมด แต่ว่าเขาจะพูดรึเปล่า เมื่อคุณแสดงออกมา คุณไม่มีมาตรฐาน คุณไม่มีเลย แต่คุณแค่ทำไปอย่างนั้น แต่เขาจะวิจารณ์คุณรึเปล่า แต่ถ้าเค้าวิจารณ์ คุณเสียนะ แต่สิ่งที่เราได้ย้อนกลับมาก็คือ ความรู้ประดับตัวเราแน่นอน สอง ทำให้หนังมีคุณค่ามากขึ้น ทุกคนอยากดู ทุกคนอยากติดตาม อย่างปัจจุบัน ทุกคนอยากติดตามคืออะไรครับ ละคร หรือ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติไทย ทุกคนอยากดู ทุกคนอยากเห็น และทุกคนอยากเรียนรู้ ไม่ว่าศิลปะแต่ละแขนงประเพณีวัฒนธรรมที่เราสื่อออกมาให้คนได้รู้ คนรุ่นหลังๆ นี่ยังไม่เคยเห็น บางอย่างเค้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าเรียกอะไร ขนมบางอย่างเค้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำไป ไม่รู้ด้วยว่ามันคืออะไร มันเป็นยังไง หน้าตาเป็นยังไง”
ความที่เราจะเชื่ออะไรซักอย่างนึง เราต้องมีความศรัทธา เราต้องดูแล้ว ทำแล้วดูดี ทำแล้วจริง ทำแล้วใช่ ทำแล้ว เออมันต้องอย่างงี้ ก่อนที่จะทำให้เค้าเชื่อ เราต้องเชื่อตัวเราเองก่อน เราต้องศรัทธาตัวเราเองก่อน เมื่อเราเชื่อเรามีความศรัทธา แล้วตั้งใจที่จะทำออกไปให้คนเห็นด้วยว่า นั่นแหละ ถูกต้อง ใช่ เป๊ะเลย ผมคิดว่าตรงนี้ เราควรที่จะมานั่งมองกันว่า เราจะมองตรงไหนกัน ผมได้มีโอกาสเป็นส่วนร่วมในวงการนี้ ก็จะพยายามให้ดีที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้ ผมมีฝัน ผมมีเป้าหมายทางเดิน ในสิ่งที่ผมต้องการทำ อย่างน้อยๆ คนที่สืบสานต่อจากผมไป ก็จะได้รู้ว่า นี่ครูแอนท์นะ อย่างง่ายๆ ผมมีความารู้ความสามารถเกี่ยวกับการขี่ม้า ผมก็จะมีลูกศิษย์ในการขี่ม้าเยอะ”

“คือการขี่ม้าในยุคก่อนๆ มันอาจจะหาได้ยาก แล้วค่าใช้จ่ายมันค่อนข้างสูง แต่พอมาในตอนนี้ ผมคิดว่าวงการม้าในบ้านเรา ค่อนข้างที่จะกว้างแล้ว และทุกคนที่สัมผัสในการขี่ม้าควรที่จะมีทักษะ อย่างน้อยขี่ม้าแล้วนั่งนิ่งเท่ คือ ต้องเข้าใจก่อนว่า การใช้ในทางภาพยนตร์กับกีฬามันแตกต่างกัน การนั่งแตกต่างกันมาก ทำยังไงให้กล้อง หน้าแคบๆ ที่ขี่ม้าแล้วเล่นอารมณ์และพูดบทได้ โดยที่ตัวคุณนิ่งหน้าคุณนิ่ง ขยับเหมือนขี่ม้าจริง แต่ไม่ใช่แบบหัวลูบสูตร เดี๋ยวเข้าออกเฟรม มันก็ไม่ได้ อย่างงี้ฮะ เราจะมีหลักการในการขี่ทางนั่งขี่ยังไง มันก็จะแตกต่างออกไป ผมว่าค่าใช้จ่ายในปัจจุบันมันก็ลดลงเยอะแล้ว แล้วก็มาสถานที่ให้เราฝึกมากมาย เมื่อเราใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ ความมีมาตรฐานมันก็จะมีมากขึ้น มันก็จะกว้าง เราก็สามารถที่จะสนับสนุนของวงการภาพยนตร์ หรือวงการละครได้เยอะ ไม่ต้องมาว่า ถ้าขี่ม้าจะต้องเป็นผม ไม่ใช่ หรือว่าต้องเป็นคนนี้ๆ เท่านั้น ไม่ใช่ แต่ผมอยากให้ทุกคนรู้และกระจายรายได้ให้หมด มันถึงจะมีมาตรฐาน เมื่อเรามีสิ่งนี้ การที่จะทำให้หนังมันออกมามีคุณภาพ มันไม่ได้กำหนดว่าเป็นใครก็ได้เท่านั้นเอง แต่ใครก็ได้ พอพูดมาปั๊บ ทำได้ๆๆๆ ยกระดับมาตรฐานแบบเดียวกัน ผมว่าผมมองตรงนี้มากกว่า”

• การที่เรารับบทแบบนี้ มีส่วนเล็กๆ ที่ทำให้ผู้ชมเกิดรู้สึกรักชาติ ประมาณนั้นมั้ย

ผมภูมิใจนะครับ ผมถือว่าเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสสืบสานประวัติศาสตร์ในด้านของการทำละคร เพราะว่าไม่สามารถไปสอนในห้องเรียนได้ ผมไม่สามารถไปเล่าให้คนฟังได้ว่า เนี่ย ประวัติศาสตร์ของเจ้าพระยาบดินทรเดชา เป็นอย่างงี้นะ ประวัติของอีกท่าน เป็นอย่างนี้นะ ใครจะเชื่อผม ผมไม่มีข้อมูล หรือมีอะไรยืนยันเลยว่าผมคือผู้เชี่ยวชาญ แต่เมื่อเราได้เป็นตัวแทนของท่าน ผมว่าทุกคนได้เรียนรู้จากการเห็น จากการดูละคร ทำให้ทุกคนเชื่อว่า ตัวละครตัวนี้ ต้องเดินแบบนี้ ประวัติศาสตร์ต้องมาแบบนี้ แล้วก็มาเรียนรู้จริงจากห้องเรียน เรียนรู้จริงจากเอกสารอ้างอิง จากหนังสือประวัติศาสตร์ ผมว่าดีนะ ผมภูมิใจมาก ที่ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านตัวละคร ซึ่งสมัยนี้ต้องอย่างนี้แล้วล่ะ

หลายๆ ค่ายที่อยากทำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ตัดสินใจเลยครับ ผมว่ายังไงก็ออกมาดีแน่ๆ ในเรื่องประวัติศาสตร์ เรารู้ว่ามันจะจบยังไง แต่ยังไงก็มีคนดูครับ ผมบอกได้เลย ยังไงก็มีคนเรียน ผ่านทางตัวละครนี่แหละ เราปลูกฝังสิ่งดีๆ ให้เด็กดีกว่า ให้คนที่ไม่รู้จัก ให้เค้าได้เห็นอัตถชีวประวัติของบุคคลสำคัญ บรรพบุรุษของเรา เมื่อเค้าได้เห็นผ่านทางตัวละคร เราก็มีความรู้สึกภาคภูมิใจ เค้ารู้สึกฮึกเหิม เค้ารู้สึกอยากทำแบบนั้นบ้าง

• ความคาดหวังหลังจากนี้ของคุณ

ผมไม่คาดอะไรนะ ผมขอว่า ขอยืนอยู่ตรงนี้ แล้วก็ยังสานต่อในความเป็นตัวผม และเดินให้ชัดเจน ในเรื่องการทำของผมอยู่ ผมมีเป้าหมายของผมอย่างชัดเจน คือถึงแม้จะเป็นจุดเล็กๆ ในภาพ แต่ผมจะขอเป็นจุดหนึ่งที่เป็น ส่วนหนึ่งของภาพนั้น เช่นภาพของผมตอนนี้คือประเทศไทย ผมจะทำยังไงให้คนรู้จักประเทศไทย ผมเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นนึง ที่จะมาต่อเติมแผ่นดินที่เป็นขวานทอง ขอเป็นจุดนึงที่ชาวต่างชาติได้รู้ว่า ขวานทองอยู่ตรงนี้นะ ที่เค้าเรียกว่าสุวรรณภูมิประเทศไทยนะ นี่แหละครับที่เราภูมิใจ และก็ขอยืนกรานคำเดิมว่า ผมจะทำให้ทุกคนได้รู้ว่า ผมเป็นคนไทย ทำให้รู้จักประเทศไทยมากขึ้น

สำหรับการถูกพูดถึงในครั้งนี้ ผมว่าเป็นก้าวแรกที่เรามีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เรามีและเป็น เราเป็นตัวของตัวเรา ให้ทุกคนได้รับรู้ เพราะว่าทุกคนเพิ่งได้เห็นว่าเป็นคนนี้เอง และสิ่งที่ได้รู้ต่อไป ผมพยายามที่จะนำเสนอให้ทุกคนได้เห็น หรือว่าแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า ผมมีศักยภาพอะไรบ้าง มันเป็นการพิสูจน์ในการเดินแล้ว เริ่มก้าวที่หนึ่ง และต่อไปคือก้าวที่สอง ในการเป็นตัวตนของผม มีเป้าหมายอย่างชัดเจน แต่ในทุกสาขาอาชีพ เรามีครู มีผู้เชี่ยวชาญ เราเป็นผู้น้อย การเรียนรู้ไม่มีคำว่าจบ เรียนเถอะครับ รู้เถอะครับ ตัวหนังสือตัวนึง หรือ อยู่ข้างเล่ม มันก็สอนเราได้ หรือขวดน้ำก็เช่นกัน มันก็คือวิชาความรู้ที่สอนเราได้

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี

กำลังโหลดความคิดเห็น