แม้ว่าจะมาโชว์การเป็น “เงาเสียง” ได้เพียงเทปแรก ก็กลายเป็นที่โจษขานมากมาย พร้อมกับการหาคำตอบว่า “ดาว ขำมิน” เป็นใคร มาจากไหน เขาเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ในความหมายว่า มีใครสามารถคุยกับเขารู้เรื่องบ้าง
ด้วยเอกลักษณ์ความตลกที่พกมาแบบ “มึนๆ” ทำให้ “ดาว ขำมิน” กลายเป็นที่จดจำของผู้คน แต่เส้นทางของเขา กว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็ผ่านพ้นเรื่องราวมากหลาย พอจะกล่าวได้ว่า “หัวร่อมิได้ ร่ำไห้มิออก” เหมือนกัน เพราะมันทั้งดูสมบุกสมบันและบากบั่นมาไม่ใช่น้อย
เสน่ห์ของตลกมึน
แต่ผมไม่ได้บ้า
“ถ้าสมองไม่คิดอะไรอยู่ ผมก็คุยรู้เรื่องนะ แต่ถ้าไปคิดอะไรอยู่ เวลาตอบ ผมก็จะตอบที่ผมคิดอยู่เรื่องนั้นมากกว่า มันไม่ใช่คุยไม่รู้เรื่อง คุยไม่รู้เรื่องผมก็เรียนหนังสือไม่ได้สิ” เจ้าของฉายาตลกมึน กล่าวเริ่มต้นถึงตัวเอง ต่อสิ่งที่ใครต่างพากันสงสัยจนกลายเป็นที่มาเรียกขานต่อท้าย “ดาว ขำมิน” ชื่อและนามสกุลจริงๆ ตั้งแต่เกิด
“คืออาจจะเป็นเพราะความมึนตอนนั้น เขาถามอะไรมา แต่ว่าในใจเราคิดไว้แล้ว เราก็ไม่ฟังคำถาม คือไม่สนว่าใครถามอะไร แต่อยากจะพูดอย่างนี้เฉยๆ ส่วนใหญ่เขาก็จะมองว่าไม่เต็ม ก็เป็นตั้งแต่เรียนแล้ว เพื่อนๆ ชอบล้อว่าพูดไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ได้คิดอะไร โกรธไปมันก็เครียดเปล่าๆ
“...แล้วแต่เขา ไม่เต็มก็คือไม่เต็ม” ดาวเผยด้วยรอยยิ้มตรงไปตรงมาแบบไม่มีอะไรต้องปิดบัง ถึงลักษณะท่าทางของตัวเองที่ใครจะเลือกคิด ซึ่งอาจจะถูกหรือไม่ถูก เขานั้นก็ยังไม่แน่ใจดีนัก
“ก็มีบ้างที่คุยไม่รู้เรื่อง หรือว่าเขาคุยไม่รู้เรื่องหรือเปล่าไม่แน่ใจ (ยิ้ม) เขาอาจจะไม่เข้าใจคำตอบหรือเปล่า เราคิดอะไร เราก็ตอบ ก็เริ่มมามองตัวเอง เพราะตอนนั้นยังไม่มีอะไรให้เราเห็น แต่ตอนนี้มีโทรทัศน์ มีภาพให้เราดู มันก็ไม่รู้เรื่องจริงๆ เราก็ย้อนกลับไปดูตัวเอง เขาก็ถามดีๆ ก็มาศึกษาด้วยตัวเอง คิดอะไรให้มันเร็วขึ้น ตอนนี้ก็น่าจะดีขึ้น”
คำตอบตรงนี้คงจะทำให้หายคาใจกับคำถามต่างๆ นานา ในท่าทีของชายผู้นี้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือการแสดง เพราะตั้งแต่เทปแรกในรายการ “กิ๊กดู๋สงครามเพลง” ในช่วงเงาเสียง "หมู-พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ" เมื่อปีสองปีที่แล้ว จนกระทั่งปัจจุบัน ไม่ว่าเขาคนนี้จะปรากฏตัวที่ใด “เสียงหัวเราะ” ก็คล้ายดั่งเงาตามตัว และมิหนำซ้ำยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากยอดไลค์ในคลิปที่ผ่านมา หรือกระทู้ต่างๆ ในโลกอินเทอร์เน็ต ราวกับตลกซูเปอร์สตาร์ที่มีการตระเตรียม
“มองเราคนละอย่างกับที่เราคิดมากกว่า” ดาวเอ่ยเมื่อถามถึงสิ่งที่ผู้คนต่างวาดภาพตัวเขา
“จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจไปสมัครหรอก แต่ไปเพราะความอยากสนุกสนานมากกว่า คือเราชอบรายการเขาอยู่แล้ว ช่วงนั้นไม่มีอะไรทำ ก็เลยมา มันว่างๆ อยู่ เพราะไม่ได้ไปขายของเก่า ก็เลยลองไปสมัครดู”
และด้วยความที่ไม่ได้ตั้งใจ จึงไม่ได้ขวนขวายศึกษาวิธีการสมัครผ่านโลกออนไลน์อย่างใครคนอื่นที่เข้าร่วมรายการผ่านเฟซบุ๊ก เขาแค่สะพายกีตาร์ไปตามประสงค์และสิ่งที่อยากทำ
"ตอนนั้นเราเล่นเฟซบุ๊กไม่เป็น เราก็เลยไปเอง สะพายกีตาร์ไปเลย ก็ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น คือไม่ได้สนใจว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านเข้า 4 คนไปแข่งในรายการ ก็ไม่รู้ว่าผ่านมาได้อย่างไร คืออาจจะเป็นเพราะว่าเขาคัดแล้วคงจะไม่มากันละมั้ง คงเป็นแบบนั้นมากกว่า เพราะว่ามันมีแต่คนร้องดีกว่า ตอนไปอัดก็ไม่สบาย ก็อยากจะกลับบ้านอย่างเดียว วันที่กินยาตะขาบ ก็มีแต่คนพูดว่าต้องโดนแป้งแน่นอน"
ดาวเล่าย้อนถึงสาเหตุที่ไปออกรายการแข่งขันวันนั้นที่ความไม่ได้ตั้งใจกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนของคนธรรมดาอย่างเขา ที่สามารถสร้างความสุขให้มวลมหาประชาชน ซึ่งเชื่อว่ายังคงตราตรึงใจมิรู้ลืมของคุณผู้ชมทั้งหลาย
"ก็คิดอะไรก็พูด ทำอะไรก็ทำ คิดไป ทำไป ไม่ได้คิดให้ใครหัวเราะหรือว่าสนุก ก็เลยไม่รู้หรอกว่าคนดูมีความสุข คือถ้าจะตลกจริงๆ ต้องจิตว่างจริงๆ เรามัวแต่ไปคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ แต่ว่าถ้าเราไม่ได้มุ่งกับตรงนั้น ทำให้เราไม่มีเสียงหัวเราะในใจ เสียงหัวเราะในใจก็คือเราอยากดูอะไรที่เราชอบ ถ้าเราตั้งใจจริงๆ มันก็จะเห็นด้วยใจ คือถ้ามองแล้วมันจะผ่านมาถึง แต่ถ้าเราไม่ได้สนใจมันก็จะไม่มีผล
"แล้วกว่าเราจะได้ดูที่ไปออกรายการก็เดือนกว่า เพราะว่าไปขายของ มารู้สึกเอาตอนหลังจากเทปออกแล้วมานั่งคิดว่าเออ คนมีความสุขก็ดี แต่ว่าจริงๆ ความสุขมันไม่ได้เป็นความสุขที่ตัวเรา เป็นความสุขที่คนอื่น ก็ดี ทำให้คนอื่นมีความสุขก็ถือว่าได้บุญ"
นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ใครต่อใครหัวเราะได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ใครต่อใครต่างหลงเสน่ห์ตลกมึน อย่างที่เขาบอกกับเราว่าถ้าตั้งใจก็จะมีเสียงหัวเราะในใจ เพราะพอถามยาวไปหน่อย "เมื่อกี้ถามถึงตรงไหนนะ..." ดาวก็ยังคงเป็นดาวที่สงสัยก็ถามกลับอย่างซื่อๆ หรือตอบตรงๆ ตามความรู้สึก "ไม่ค่อยเปลี่ยน เพราะไม่ค่อยได้ออกไปไหน" ในคำถามที่ว่าชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหนหลังจากออกรายการ
"ก็มีเพื่อนโทร.มาบอก เพราะไม่ค่อยได้เล่นเฟซบุ๊ก เจอเพื่อนทีก็ให้เพื่อนลงให้ที คือเล่นไม่ค่อยเป็น ยังผิดๆ ถูกๆ อยู่" ดาวว่า
และทั้งๆ ที่มีคนมาขอถ่ายรูปอยู่เนืองๆ กระทั่งเกิดสมาคมชมรมคนรักดาวที่ยอดไลค์เรือนหมื่นเรือนแสน ก็ไม่ทำให้ผู้ชายคนนี้คิดว่าดังบ้างเลย
"ชมรมเกิดจากน้องคนหนึ่งที่อยู่หาดใหญ่หรือสงขลานี่ล่ะ ชื่อน้องไก้แจ้ง พิจิก เขาก็มาคุยเหมือนคุยเล่นๆ ขออนุญาตทำเป็นชมรม ผมก็ตอบเขาไปตามนั้น ไม่ได้คิดอะไร อยากจะทำอะไรก็ทำ ถ้าทำแล้วมันดีก็ทำ เขาก็เลยทำ ก็เลยเกิดอันนั้นขึ้นมา
"คือไม่ได้คิดว่าต้องอยู่ตรงนั้น ไม่ได้คิดว่าตัวเองอยู่ในฐานะที่เขาจะมาถ่ายรูปด้วย เพราะเราแค่ไปออกรายการเพราะเราอยากจะออกเฉยๆ ทุกวันนี้ก็นอนไม่ค่อยหลับบ้างก็มี เพราะว่าโทร.มากันเยอะ แต่มันก็ดีอย่าง จะเสียก็ไม่เสีย เพราะเราไปนั่นเขาเอง ไปให้เขาเอง เขาถามเอาเบอร์ลง ก็ลง ขออะไรก็ให้หมด ก็เลยรู้หมด"
"ที่เรายังไม่รู้ มีอะไรอีกไหม" เราถามหยอก "มีคนถามว่าเคยสงสัยไหมชื่อจริง คือจริงๆ น่าจะชื่อไข่ดาวมากกว่า
"เพราะเขาเล่ากัน ในญาติพี่น้อง ก็คือจริงๆ เขาจะให้ชื่อไข่ดาว คือน่าจะสนุกสนานหรือเปล่าไม่แน่ใจ ตอนคลอดมันคงจะเป็นไข่ออกมาก่อน เห็นเป็นเพศชาย ก็เลยให้ชื่อไข่ดาว แต่ว่าก็ตัดออกไป เกือบจะเป็นนายไข่ดาวแล้ว อันนี้ที่น้าๆ เขาพูดนะ แล้วก็ไม่คิดจะเปลี่ยน" (ยิ้ม)
ตลกแค่ตอนเล่า
เพราะชีวิตจริงเป็นข้อคิด
คงจะเหมือนเรื่องราวทั่วๆ ไป ที่เมื่อผ่านมาแล้ว พอนำมาเล่าก็อาจจะกลายเป็นที่ตลกขบขันของผู้คนที่ได้ฟัง ยิ่งเป็นชีวิตที่เล่าผ่านคำบอกเล่าของ "ดาว ขำมิน" ก็คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะทุกครั้งที่เขาได้เล่าหรือมีใครคนใดซักถาม อย่างครั้งแรกเรื่องการเดินทางมาแข่งขัน "เกือบไม่ได้มา" เพราะฟันไปเฉาะศีรษะวินมอเตอร์ไซค์ที่โดยสารระหว่างทางนั้นก็มีเรื่องมีราวกันจริงๆ หรือเรื่องอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องที่เกิดและที่เติบโตย่านสะพานควาย ก่อนจะย้ายมาอยู่คลองตัน เขตสวนหลวง ปัจจุบันอยู่แถวสาธุประดิษฐ์ตามลำดับนี้
"ชีวิตที่ว่าลำบากตอนนั้น ก็คือไม่มีอะไรเลย อาศัยอยู่กับเพื่อนฝูงบ้าง ไม่ได้มีอะไรเป็นของตัวเอง ก็ได้เพื่อนๆ ช่วยตั้งแต่เรียนมัธยมที่โรงเรียนเทพลีลา เรื่องค่ากิน ค่าเรียน เรื่องเรียน
"ตอนนั้นก็ไปต่อยมวย เพื่อหาเงิน แต่ก็ไม่ได้หรอก เพราะมันต้องชนะอย่างเดียว แต่เราแพ้อย่างเดียว เราไม่ได้ซ้อม แล้วก็ไม่ค่อยชอบ แต่ทำไปเพื่อจะเอาเงินเฉยๆ ที่บ้านก็ไม่มีเงิน ทำไมจะต้องไปนั่งเป็นภาระของคนในครอบครัวอีก เราคิดอย่างนั้น ก็ออกมาข้างนอกเพื่อไม่อยากให้ที่บ้านต้องมานั่งเสียค่าใช้จ่ายกับเราอีก ก็มาหาด้วยตัวเอง แล้วเราก็เรียนไม่เก่ง คือเรียนก็เรียนไปอย่างงั้น เรียนให้เปลืองสมุดดินสอ เพราะว่าไม่ตั้งใจเรียนเลย คือจบ ม.6 ได้เพราะเพื่อนช่วยมากกว่า"
ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อาศัยแอบนอนหอเพื่อนเป็นบางครั้งคราว เพราะเจ้าของหอพักกำหนดให้พักได้ไม่เกินจำนวน บางทีก็ต้องเข้าไปอาศัยความกว้างและพื้นที่ในมหาวิทยาลัยรามคำแหงพักพิงให้พ้นคืน ก่อนจะเดินทางข้ามฝั่งมาเรียนในตอนเช้า เรียกได้ว่า "มองไม่เห็นอนาคต คิดแค่เพียงปัจจุบันให้รอดเป็นพอ"
"หลังจากนั้นก็ไปเรียนราม ไปเรียนรู้สึกว่าจะได้แค่ 3 วัน ที่เหลือก็แทบจะไม่ได้เรียนแล้ว" ดาวกล่าว ไม่ใช่เพราะเลือกเข้าผิดคณะอยากเป็น "ทนาย" แต่กลับไปสมัครรัฐศาสตร์การเมืองการปกครอง แต่สาเหตุจริงๆ เนื่องมาจากเงินจำนวน 2,000 บาทนั้น
"คือมีอยู่วันหนึ่งรุ่นพี่ที่เขาเล่นดนตรี เขาขาดคน เหมือนว่าเขาคงจะเอาไปเสริมให้เต็มเพื่อที่ร้านจะไม่ว่า เราก็ไปกับเขา พอเล่นร้องได้ 2 เพลง เพลงตลอดเวลากับเพลงเดือนเพ็ญ เลิกแล้วเขาก็ให้เรามา 2,000 บาท เงิน 2,000 บาทตอนนั้นถือว่าเยอะมาก ปี 38 ก็เลยเข้าใจผิดว่าเล่นดนตรีนั้นคือรายได้ที่ดี ต้องมีเงินแน่นอนให้แม่ให้พ่อได้ เราก็เลยยืมเงินเพื่อนที่โรงเรียนเทพลีลามา 7,000 บาท ไปซื้อกีตาร์ตัวหนึ่ง เขาก็บอกว่าอยากได้เหรอ ก็ให้ยืมซื้อ"
"ได้กีตาร์มาแล้ว ก็มาเล่นดนตรี ฝึกดนตรี ไม่ได้มีใครสอน มาจากตัวเอง เรียนรู้ด้วยตัวเอง มันก็เลยไปไหนไม่ได้ คือความรู้มันจำกัด ได้แค่ไหนก็เล่นแค่นั้น ไม่แสวงหาอะไรมากมาย คือแสวงแล้วแต่มันไม่มีทางสว่างก็เลยไม่แสวง ไม่ค่อยได้สนใจ แต่ก็เล่นไปเรื่อยๆ ไม่ได้ค่าตัวอะไรมากมาย เล่นคนเดียวเป็นโฟล์กซอง หลังๆ มาทำวง แต่มันไม่น่าจะเป็นวง มันเละเทะไปหมด ร้านไม่จ้าง" ดาวย้อนวันวานจุดเริ่มต้นทางดนตรีที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด “พรสวรรค์” หรือ “ความสามารถ” ทางเงาเสียงศิลปินเพื่อชีวิตโดยไม่รู้ตัว
"คือตอนไปเรียนรามฯ เราไปอยู่ซุ้มอำเภอพิมาย ซุ้มของคนโคราช เวลาเราไปเรียน เพื่อนไปไหนก็ไปกับเขา เพื่อนบอกชอบอันนี้ก็ไป โดยที่ไม่ได้รู้หรอก แต่ว่าก็พอดีไปอยู่ซุ้ม เราชอบเพลงของน้าหมูอยู่แล้ว ที่นั่นเขาก็พูดภาษาโคราชพอดีก็เลยชอบ ก็เลยอยู่ตรงนั้นเลย"
"เราก็พยายามพูดคุยกับเขา ฟังจากเทปเอาบ้าง เพราะวิธีฝึกสำหรับเรา คือเราจะต้องดูก่อนว่าศิลปินคนนั้นเป็นคนที่ไหน ก็ต้องดูภาคฟังสำเนียง อย่างน้าหมู เขาเป็นคนโคราชก็ต้องมีสำเนียงของคนโคราช ก็ต้องไปฝึกคำแต่ละคำของเขาว่าตรงไหนที่มันเป็นภาษาโคราช อย่างคำว่า ฉัน คำว่า แก เขาก็จะมีภาษาของเขา แล้วก็ไปหาโทนเสียง"
นอกจากนี้ การที่ได้รับอิทธิพลจากซุ้มเพื่อชีวิตคนโคราช ส่งผลให้ดาวได้เปิดโลกทางดนตรีเพื่อชีวิตและเลียนเสียงศิลปินต่อๆ มาอย่าง สีเผือก คนด่านเกวียน แอ๊ด คาราบาว เทียรี่ เมฆวัฒนา อี๊ด วงฟลาย แล้วก็เป็นเสียงพูด คือเสียงอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ชวลิต ยงใจยุทธ เสียงพระพยอม เสียงครูสุรพล สมบัติเจริญ
"จริงๆ แต่ก่อนชอบเพลงสตริง ตั้งแต่สมัยวงรันเวย์ วงทู (ต่อ-ต๋อง) พวกเก่าๆ วงที่ปัจจุบันน่าจะไม่มีคนรู้จักแล้ว เพื่อชีวิตไม่ได้ฟังหรอก แต่พอเพื่อนแนะนำให้ฟัง ก็เลยหันมาลองฟัง" ดาวนึกย้อนถึงเรื่องที่ฟังชวนอมยิ้มว่า ก่อนหน้านั้นที่ผมยาวๆ หยิกๆ เป็นเหตุผลที่ทำให้เขากับเพลงเพื่อชีวิตเดินทางมาเจอกันได้และเข้ากันกับนิสัยที่ชอบชีวิตสิงสาราสัตว์ ชอบการให้ ชอบสงสารคน ผลักให้เขาเข้าถึงความหมาย “เพื่อชีวิต” ที่ไม่ได้เป็นเพียงของตัวเราเอง
"ก็คือตอนเรียนรามฯ เราอยู่ชมรมอาสา ก็ไปออกค่ายไปช่วยตามบ้านนอก ต่างจังหวัดที่เขาสร้างโรงเรียนก็ไปกับเขา ถามว่าทำไมเลือกอย่างนั้น ในเมื่อเราก็ลำบากเหมือนกัน ก็เพราะว่าพอได้ไปดูจากภาพ แล้วก็จากที่เขามาพูดให้ฟังว่าที่เราอยู่อย่างนี้ได้ เรายังดีกว่า ก็เลยอยากจะไปเห็น พอไปเห็นก็เลยไปช่วยสร้าง ไปช่วยหาทุนเล่นดนตรีเปิดหมวกเอาเงินเข้าชมรม"
ถึงตรงนี้ ฟังแล้วทำนองชีวิตจะเป็นไปอย่างราบรื่น ร่ายไปกับวิถีที่หนุนนำ รายได้จากการเล่นดนตรีก็ขยับขยาย รวมไปถึงการต่อยอดทางธุรกิจที่จับพลัดจับผลูกลายไปเป็นเจ้าของร้านโทรศัพท์ รายได้หลักตกหมื่นปลายๆ ต่อเดือนในช่วงราวปี 47 แล้วก็มีธุรกิจนายหน้าจับรถแล้วปล่อยขาย สร้างเงินทอง มีกระทั่งคอนโดพักอาศัย จากที่ไม่มีอะไรเลยก่อนหน้านั้น แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกให้โดนโกงจนหมดเนื้อหมดตัว ต้องประกอบอาชีพขายของเก่าตามตลาดนัด แขยงการลงทุนอีกเลย
"คือเรื่องของเรื่อง เปิดร้านโทรศัพท์ เราก็เล่นดนตรีอยู่ แล้วก็นั่งรถเมล์ไปลงที่ตลาด พอดีไปเจอเพื่อน เห็นเพื่อนนั่งอยู่หน้าร้านโทรศัพท์ ก็เลยแวะไปนั่งคุยกับเพื่อน ตอนนั้นมันยุคโนเกีย 3310 กำลังดัง คนกำลังนิยม นั่งๆ อยู่ ก็มีคนเอามาขาย เขารับซื้อตอนนั้นแค่ 2,000 กว่าบาท แล้วก็เห็นเขาล้างๆ ทำความสะอาดด้วยแปรงได้สักพักแล้วก็ตั้งหน้าตู้ แป๊บเดียวมีคนมาถามซื้อเครื่องที่เขาเพิ่งซื้อมา ขายได้ 3,000 กว่าบาท ตอนนั้นเลิกคิดเรื่องดนตรีไปเลย เลิกคิดเลย
"คือทำไมแป๊บเดียวเอง ได้เงินแล้ว แต่ก็ยังไม่เชื่อนะ ก็ไปนั่งอีกหนึ่งวัน วันนั้นมันยิ่งหนักกว่า เพราะเขายิ่งกดราคาซื้อเขาลง ก็เลยคิดว่าทางนี้แหละเป็นทางที่จะทำให้ได้เงิน ก็เลยไปคุยไปขอเข้าหุ้นกับเขาตรงนี้ได้ไหม เขาก็โอเค เอาเงินไป แต่ไม่ได้บอกว่าให้เราหุ้นหรือไม่ให้เราหุ้นหรอก เอาเงินไปเฉยๆ เนี่ยล่ะ ผ่านไปเดือนหนึ่งเราก็ถามเขาเอาเงินไปแล้วมันยังไม่ได้อะไรเลย เขาบอกว่าเงินนี่ไม่ได้หุ้นร้านนี้ไม่ใช่ร้านเขา เราก็เลยบอกว่าถ้างั้นเอาเงินคืนมา เขาก็บอกว่าไม่มีเงิน ถ้าพี่จะเอาพี่ก็เอาเป็นเครื่องไปเลยไปเปิดร้าน ตอนนั้นก็เลยเริ่มไขว่คว้าแล้ว เราไม่มีความรู้ไม่ได้ศึกษาเรื่องตรงนี้ แต่ก็กลายเป็นว่ามาเปิดร้านเอง
"ตอนเวลาซ่อมก็เอาไปจ้างเขาซ่อมเอา แต่ว่าบางลูกค้าบางคนเขาก็ไม่เอา นึกว่าซ่อมเอง เขาก็ไปร้านอื่นดีกว่า ตั้งแต่นั้นมาก็ไปศึกษาเรื่องโทรศัพท์ ศึกษาเอง อย่างเครื่องโนเกียรุ่น 3310 ผมมีอยู่ 4 เครื่อง ลูกค้าเอาเครื่องมาซ่อม อาการตกน้ำ เราก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ก็เลยเอาเครื่องตัวเองไปจุ่มน้ำให้มันดับ เพื่อที่จะศึกษาตรงที่ว่า พอถอดเครื่องมาทั้งหมด แล้วก็ติ๊กทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอะไหล่ของเครื่องโดยที่ไม่ให้ช่างรู้ แล้วก็ไปส่งให้ช่างซ่อม เพื่อพอเครื่องติดใช้ได้เราก็มาเปิดดู เอากล้องส่อง ตัวไหนที่เราติ๊กไว้แล้วหาย อันนั้นคือมันเสียตรงนั้น"
"แต่พอเอาจริงๆ แล้วมันไม่ใช่..." ช่างดาวเว้นวรรคเล็กน้อย พลางประกอบท่าทางเป็นตัวอย่างให้เข้าใจการทำของช่างหัดเอง
"คือปัญหามันอยู่ที่ว่า พอเครื่องติดแล้ว เราแยกออกแล้วเราใส่กลับที่เดิมไม่เป็น เราลืมเรียนตรงนี้ แล้วช่างบางคนที่ซ่อม อะไหล่มีหลายชิ้น เขาลองเปลี่ยนออกมา พอไม่ใช่ เขาบังเอิญหยิบผิดเป็นอันอื่นที่ไม่ใช่ตัวที่เราติ๊กไว้ พอมาถึงเราแกะออก เราก็นึกว่าเป็นตัวนั้นที่ไม่มีรอยติ๊ก แต่มันไม่ใช่ ก็กลายเป็นว่าเสียเงินไปอย่างเดียว เป็นปีกว่าจะซ่อมเองเป็น"
"ตอนนั้นเราก็คือมีเงิน เราก็จับรถขาย แล้วปัญหาก็คือมาหมดตัวตรงที่ว่า คนที่เคยขายรถ ซื้อรถด้วยกัน เราไว้ใจเขาเกินไป เพราะทุกทีก็ทำอย่างนี้กันอยู่แล้ว ก็ไม่มีอะไร แต่ไม่เคยซื้อราคานั้น เคยซื้อแต่หลักหมื่น 40,000 บาท มาขาย 60,000 บาท ตอนนั้นเขาบอกว่ามีรถหนึ่งคัน สวยมาก คุ้มมาก อยู่ที่ต่างจังหวัด ราคา 270,000 บาท เราก็ให้เงินเขาไป 200,000 บาท พร้อมกับรถของเราที่จะขับไปขายที่นั่นให้ได้อีก 70,000 บาท ก็ไปทั้งรถทั้งคน หมดเลย เราไว้ใจคนเกินไป"
ทำท่าเหมือนจะไปได้ดีในอีกครั้ง แต่แล้วก็พลิกกลับมาร้าย กระนั้นดาวก็แซมยิ้มให้ประสบการณ์ชีวิตในวันนั้นที่รักชอบการศึกษาเรียนรู้ แม้ว่าจะมีประโยชน์บ้างหรือไม่มีเลยและส่งให้ผลเสียเกิดขึ้นก็ตาม
"ทุกวันนี้ก็เลยไม่ค่อยอยากที่จะทำอะไรที่มันสูงๆ หรือใช้เงินเยอะ เลิกหมด เพราะว่าความสำเร็จมันไปอยู่ที่คนอื่นหมดแล้ว ไม่มีที่ตัวเอง เคยเครียดมากๆ แต่สุดท้ายก็คิดว่ามันไม่มีประโยชน์ ได้แต่นั่งร้องไห้อะไรอย่างนี้ไปธรรมดา คือชีวิตมันมีความสนุกมากกว่า เราอยู่กับเพื่อน ก็คิดแค่ว่ามันไม่ใช่ของเราเท่านั้นเอง มันก็มีความสุข ทุกวันนี้ก็มีความสุขตั้งแต่ก่อนที่จะออกรายการแล้ว เพราะเราไม่ได้ไปคิดอะไรมากมาย มีแค่ไหนก็แค่นั้น เคยทำงานเดือนละ 6,000 บาท ก็ยังอยู่ได้ ก็อยากสบาย แต่มันได้อยู่แค่นี้ ก็เอาแค่นี้ ถ้ามีโอกาสข้างหน้าค่อยว่ากัน"
"คือผมเป็นคนประเภทที่ว่า ถ้าชอบอันไหนก็ต้องเอาให้ได้ แต่ว่าถ้าไม่ได้ก็จะทิ้งไปเลยแล้วมาเริ่มใหม่ อย่างสมมติว่าเราอยากจะได้ของชิ้นหนึ่ง เราไม่สามารถที่จะไขว่คว้ามันตอนนั้นได้ เพราะว่าเราต้องมีภาระอื่น ต้องเอาเงิน อยากจะไปได้ตรงนั้นมาใช้ตรงอื่น ก็เลยทิ้งไปก่อนแล้วค่อยมาเริ่มใหม่ มันก็เป็นข้อคิดชีวิตเรา"
ไม่ใช่ว่าโง่
ก็แค่เดินให้สุดทาง...
"ลูกเต๋า แต้มหนึ่งก้าวเริ่มต้นครั้งต่อไป แต้มสองเริ่มต้นก้าวเดิน แต้มสาม การมั่นใจในการที่จะทอดต่อ แต้มสี่ ถ้าเราไม่ดูให้ดี เราจะเสียความรู้สึก แต้มห้า ถ้าเราไม่กล้าพอ อย่าเดินต่อ แต้มหก ส่วนมากคนจะตกอันนี้" ดาวขยายความคิด หลังลัดเลาะที่มาที่ไปจนถึงชีวิตฝั่งฝันการก้าวผ่านและก่อเป็นตัวตน
"แต้ม 1 คือการก้าวเดิน อันนั้นก็คือมองจุดเหมือนจุดเดินเฉยๆ แล้วก็ถามว่าที่พูดไปให้มันเป็นคติคิดเฉยๆ ว่าจุดสุดท้ายของลูกเต๋าคือลูกที่ 6 นั้นคือเท่ากับสุดทางที่เราเดินมาสุดแล้ว สุดแล้วก็ไม่สามารถที่จะอะไรแล้ว เราเลือกมาทางนี้ ก็ใช้ชีวิตให้หมดกับตรงนั้น เพื่อที่จะเอามาทอนกับตัวหลังๆ ที่เราเดินผ่านมา แล้วคนที่จะตามมา"
"ก็คือเดินให้ถึงที่สุด เพราะว่ามันยังมีเลขให้เราเดินอยู่ ถ้าเราเปรียบลูกเต๋า เต๋ามันก็มีอยู่ 6 ด้าน ใน 6 ด้าน ด้านแรกเราทุกคนต้องผ่านอยู่แล้วอยู่ที่ว่าเราบางคนพลิกไม่ถูก พลิกมาไม่เจอด้านสอง ไปข้ามเลย บางทีมันก็อาจจะเยอะเกินไป"
“เราต้องเดินด้วยความเต็ม” ดาวเน้นย้ำ พลางยืนยันเช่นนั้น เพราะว่าแม้จะเติบโตจนมีชื่อเสียงโด่งดังในวันนี้ มีโอกาส มีคนเสนอทำผลงานอัลบัมสร้างรายได้ แต่เขาก็เลือกที่จะปฏิเสธไม่ทำ ถ้ามาหวังผลประโยชน์
"คือแรกเลยก็มีมาติดต่อให้ไปทำอัลบัม แต่ว่าไม่ทำ ไม่เอา ไม่ชอบตรงนี้ คือคนที่เคยติดต่อก็คือคนเก่าที่เคยอยากจะทำ แต่เขาไม่ทำตั้งแต่ตอนโน้น เขาไม่ทำให้เรา อ้างเดี๋ยวค่อยนั่น เดี๋ยวค่อยนี่ แต่ว่าพอมาเห็นเราตอนนี้ คิดว่าเขาคงมองตรงนั้น มองผลประโยชน์มากกว่า ก็เลยไม่ทำ"
"ตอนนั้นอยากจะทำเล่น ทำว่าสนุกสนาน คือค่าใช้จ่ายก็ต้องออกเอง แต่มาตอนนี้เขาออกให้หมดทุกอย่าง เป็นแสนแต่ก็ไม่เอา เพราะมองเขาว่าเขามาเอาผลประโยชน์จากเรา เขาไม่ได้คิดว่าเราควรจะทำ"
"คือคนเดี๋ยวนี้ มองคนแบบเอาโอกาสของคนอื่นมาเป็นของตัวเองเยอะ ไม่เอา คือสมัยก่อน มีความจริงใจกันมากกว่า คนในยุคปัจจุบันพวกการพัฒนา เทคโนโลยี มันทำให้เปลี่ยนไป มันทำให้จิตใจไปมองวัตถุมากกว่า ไม่เหมือนแต่ก่อน"
"แต่จริงๆ ตอนนี้อัลบัมก็มีหลายเจ้าอยู่ที่ติดต่อมา แต่ยังไม่คิดจะทำ ยังรออยู่ เพราะอยากจะทำอาชีพที่เขาสร้างให้เราขึ้นมา ก็อาจจะมีละครที่ติดต่อมาแล้วเรื่องหนึ่งของช่อง 7 แล้วก็มีหนังของสาวมาด เมกะแดนซ์ เป็นหนังโรง" ดาวกล่าวทิ้งท้าย
"คือถ้าวางเป้าหมายแล้วมันไปไม่ได้
ในความคิดผม มันจะยิ่งทำให้เป้าหมายนั้น มันไกลออกไปอีก"
__________________________
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ศิวกร เสนสอน
ด้วยเอกลักษณ์ความตลกที่พกมาแบบ “มึนๆ” ทำให้ “ดาว ขำมิน” กลายเป็นที่จดจำของผู้คน แต่เส้นทางของเขา กว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็ผ่านพ้นเรื่องราวมากหลาย พอจะกล่าวได้ว่า “หัวร่อมิได้ ร่ำไห้มิออก” เหมือนกัน เพราะมันทั้งดูสมบุกสมบันและบากบั่นมาไม่ใช่น้อย
เสน่ห์ของตลกมึน
แต่ผมไม่ได้บ้า
“ถ้าสมองไม่คิดอะไรอยู่ ผมก็คุยรู้เรื่องนะ แต่ถ้าไปคิดอะไรอยู่ เวลาตอบ ผมก็จะตอบที่ผมคิดอยู่เรื่องนั้นมากกว่า มันไม่ใช่คุยไม่รู้เรื่อง คุยไม่รู้เรื่องผมก็เรียนหนังสือไม่ได้สิ” เจ้าของฉายาตลกมึน กล่าวเริ่มต้นถึงตัวเอง ต่อสิ่งที่ใครต่างพากันสงสัยจนกลายเป็นที่มาเรียกขานต่อท้าย “ดาว ขำมิน” ชื่อและนามสกุลจริงๆ ตั้งแต่เกิด
“คืออาจจะเป็นเพราะความมึนตอนนั้น เขาถามอะไรมา แต่ว่าในใจเราคิดไว้แล้ว เราก็ไม่ฟังคำถาม คือไม่สนว่าใครถามอะไร แต่อยากจะพูดอย่างนี้เฉยๆ ส่วนใหญ่เขาก็จะมองว่าไม่เต็ม ก็เป็นตั้งแต่เรียนแล้ว เพื่อนๆ ชอบล้อว่าพูดไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ได้คิดอะไร โกรธไปมันก็เครียดเปล่าๆ
“...แล้วแต่เขา ไม่เต็มก็คือไม่เต็ม” ดาวเผยด้วยรอยยิ้มตรงไปตรงมาแบบไม่มีอะไรต้องปิดบัง ถึงลักษณะท่าทางของตัวเองที่ใครจะเลือกคิด ซึ่งอาจจะถูกหรือไม่ถูก เขานั้นก็ยังไม่แน่ใจดีนัก
“ก็มีบ้างที่คุยไม่รู้เรื่อง หรือว่าเขาคุยไม่รู้เรื่องหรือเปล่าไม่แน่ใจ (ยิ้ม) เขาอาจจะไม่เข้าใจคำตอบหรือเปล่า เราคิดอะไร เราก็ตอบ ก็เริ่มมามองตัวเอง เพราะตอนนั้นยังไม่มีอะไรให้เราเห็น แต่ตอนนี้มีโทรทัศน์ มีภาพให้เราดู มันก็ไม่รู้เรื่องจริงๆ เราก็ย้อนกลับไปดูตัวเอง เขาก็ถามดีๆ ก็มาศึกษาด้วยตัวเอง คิดอะไรให้มันเร็วขึ้น ตอนนี้ก็น่าจะดีขึ้น”
คำตอบตรงนี้คงจะทำให้หายคาใจกับคำถามต่างๆ นานา ในท่าทีของชายผู้นี้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือการแสดง เพราะตั้งแต่เทปแรกในรายการ “กิ๊กดู๋สงครามเพลง” ในช่วงเงาเสียง "หมู-พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ" เมื่อปีสองปีที่แล้ว จนกระทั่งปัจจุบัน ไม่ว่าเขาคนนี้จะปรากฏตัวที่ใด “เสียงหัวเราะ” ก็คล้ายดั่งเงาตามตัว และมิหนำซ้ำยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากยอดไลค์ในคลิปที่ผ่านมา หรือกระทู้ต่างๆ ในโลกอินเทอร์เน็ต ราวกับตลกซูเปอร์สตาร์ที่มีการตระเตรียม
“มองเราคนละอย่างกับที่เราคิดมากกว่า” ดาวเอ่ยเมื่อถามถึงสิ่งที่ผู้คนต่างวาดภาพตัวเขา
“จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจไปสมัครหรอก แต่ไปเพราะความอยากสนุกสนานมากกว่า คือเราชอบรายการเขาอยู่แล้ว ช่วงนั้นไม่มีอะไรทำ ก็เลยมา มันว่างๆ อยู่ เพราะไม่ได้ไปขายของเก่า ก็เลยลองไปสมัครดู”
และด้วยความที่ไม่ได้ตั้งใจ จึงไม่ได้ขวนขวายศึกษาวิธีการสมัครผ่านโลกออนไลน์อย่างใครคนอื่นที่เข้าร่วมรายการผ่านเฟซบุ๊ก เขาแค่สะพายกีตาร์ไปตามประสงค์และสิ่งที่อยากทำ
"ตอนนั้นเราเล่นเฟซบุ๊กไม่เป็น เราก็เลยไปเอง สะพายกีตาร์ไปเลย ก็ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น คือไม่ได้สนใจว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านเข้า 4 คนไปแข่งในรายการ ก็ไม่รู้ว่าผ่านมาได้อย่างไร คืออาจจะเป็นเพราะว่าเขาคัดแล้วคงจะไม่มากันละมั้ง คงเป็นแบบนั้นมากกว่า เพราะว่ามันมีแต่คนร้องดีกว่า ตอนไปอัดก็ไม่สบาย ก็อยากจะกลับบ้านอย่างเดียว วันที่กินยาตะขาบ ก็มีแต่คนพูดว่าต้องโดนแป้งแน่นอน"
ดาวเล่าย้อนถึงสาเหตุที่ไปออกรายการแข่งขันวันนั้นที่ความไม่ได้ตั้งใจกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนของคนธรรมดาอย่างเขา ที่สามารถสร้างความสุขให้มวลมหาประชาชน ซึ่งเชื่อว่ายังคงตราตรึงใจมิรู้ลืมของคุณผู้ชมทั้งหลาย
"ก็คิดอะไรก็พูด ทำอะไรก็ทำ คิดไป ทำไป ไม่ได้คิดให้ใครหัวเราะหรือว่าสนุก ก็เลยไม่รู้หรอกว่าคนดูมีความสุข คือถ้าจะตลกจริงๆ ต้องจิตว่างจริงๆ เรามัวแต่ไปคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ แต่ว่าถ้าเราไม่ได้มุ่งกับตรงนั้น ทำให้เราไม่มีเสียงหัวเราะในใจ เสียงหัวเราะในใจก็คือเราอยากดูอะไรที่เราชอบ ถ้าเราตั้งใจจริงๆ มันก็จะเห็นด้วยใจ คือถ้ามองแล้วมันจะผ่านมาถึง แต่ถ้าเราไม่ได้สนใจมันก็จะไม่มีผล
"แล้วกว่าเราจะได้ดูที่ไปออกรายการก็เดือนกว่า เพราะว่าไปขายของ มารู้สึกเอาตอนหลังจากเทปออกแล้วมานั่งคิดว่าเออ คนมีความสุขก็ดี แต่ว่าจริงๆ ความสุขมันไม่ได้เป็นความสุขที่ตัวเรา เป็นความสุขที่คนอื่น ก็ดี ทำให้คนอื่นมีความสุขก็ถือว่าได้บุญ"
นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ใครต่อใครหัวเราะได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ใครต่อใครต่างหลงเสน่ห์ตลกมึน อย่างที่เขาบอกกับเราว่าถ้าตั้งใจก็จะมีเสียงหัวเราะในใจ เพราะพอถามยาวไปหน่อย "เมื่อกี้ถามถึงตรงไหนนะ..." ดาวก็ยังคงเป็นดาวที่สงสัยก็ถามกลับอย่างซื่อๆ หรือตอบตรงๆ ตามความรู้สึก "ไม่ค่อยเปลี่ยน เพราะไม่ค่อยได้ออกไปไหน" ในคำถามที่ว่าชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหนหลังจากออกรายการ
"ก็มีเพื่อนโทร.มาบอก เพราะไม่ค่อยได้เล่นเฟซบุ๊ก เจอเพื่อนทีก็ให้เพื่อนลงให้ที คือเล่นไม่ค่อยเป็น ยังผิดๆ ถูกๆ อยู่" ดาวว่า
และทั้งๆ ที่มีคนมาขอถ่ายรูปอยู่เนืองๆ กระทั่งเกิดสมาคมชมรมคนรักดาวที่ยอดไลค์เรือนหมื่นเรือนแสน ก็ไม่ทำให้ผู้ชายคนนี้คิดว่าดังบ้างเลย
"ชมรมเกิดจากน้องคนหนึ่งที่อยู่หาดใหญ่หรือสงขลานี่ล่ะ ชื่อน้องไก้แจ้ง พิจิก เขาก็มาคุยเหมือนคุยเล่นๆ ขออนุญาตทำเป็นชมรม ผมก็ตอบเขาไปตามนั้น ไม่ได้คิดอะไร อยากจะทำอะไรก็ทำ ถ้าทำแล้วมันดีก็ทำ เขาก็เลยทำ ก็เลยเกิดอันนั้นขึ้นมา
"คือไม่ได้คิดว่าต้องอยู่ตรงนั้น ไม่ได้คิดว่าตัวเองอยู่ในฐานะที่เขาจะมาถ่ายรูปด้วย เพราะเราแค่ไปออกรายการเพราะเราอยากจะออกเฉยๆ ทุกวันนี้ก็นอนไม่ค่อยหลับบ้างก็มี เพราะว่าโทร.มากันเยอะ แต่มันก็ดีอย่าง จะเสียก็ไม่เสีย เพราะเราไปนั่นเขาเอง ไปให้เขาเอง เขาถามเอาเบอร์ลง ก็ลง ขออะไรก็ให้หมด ก็เลยรู้หมด"
"ที่เรายังไม่รู้ มีอะไรอีกไหม" เราถามหยอก "มีคนถามว่าเคยสงสัยไหมชื่อจริง คือจริงๆ น่าจะชื่อไข่ดาวมากกว่า
"เพราะเขาเล่ากัน ในญาติพี่น้อง ก็คือจริงๆ เขาจะให้ชื่อไข่ดาว คือน่าจะสนุกสนานหรือเปล่าไม่แน่ใจ ตอนคลอดมันคงจะเป็นไข่ออกมาก่อน เห็นเป็นเพศชาย ก็เลยให้ชื่อไข่ดาว แต่ว่าก็ตัดออกไป เกือบจะเป็นนายไข่ดาวแล้ว อันนี้ที่น้าๆ เขาพูดนะ แล้วก็ไม่คิดจะเปลี่ยน" (ยิ้ม)
ตลกแค่ตอนเล่า
เพราะชีวิตจริงเป็นข้อคิด
คงจะเหมือนเรื่องราวทั่วๆ ไป ที่เมื่อผ่านมาแล้ว พอนำมาเล่าก็อาจจะกลายเป็นที่ตลกขบขันของผู้คนที่ได้ฟัง ยิ่งเป็นชีวิตที่เล่าผ่านคำบอกเล่าของ "ดาว ขำมิน" ก็คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะทุกครั้งที่เขาได้เล่าหรือมีใครคนใดซักถาม อย่างครั้งแรกเรื่องการเดินทางมาแข่งขัน "เกือบไม่ได้มา" เพราะฟันไปเฉาะศีรษะวินมอเตอร์ไซค์ที่โดยสารระหว่างทางนั้นก็มีเรื่องมีราวกันจริงๆ หรือเรื่องอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องที่เกิดและที่เติบโตย่านสะพานควาย ก่อนจะย้ายมาอยู่คลองตัน เขตสวนหลวง ปัจจุบันอยู่แถวสาธุประดิษฐ์ตามลำดับนี้
"ชีวิตที่ว่าลำบากตอนนั้น ก็คือไม่มีอะไรเลย อาศัยอยู่กับเพื่อนฝูงบ้าง ไม่ได้มีอะไรเป็นของตัวเอง ก็ได้เพื่อนๆ ช่วยตั้งแต่เรียนมัธยมที่โรงเรียนเทพลีลา เรื่องค่ากิน ค่าเรียน เรื่องเรียน
"ตอนนั้นก็ไปต่อยมวย เพื่อหาเงิน แต่ก็ไม่ได้หรอก เพราะมันต้องชนะอย่างเดียว แต่เราแพ้อย่างเดียว เราไม่ได้ซ้อม แล้วก็ไม่ค่อยชอบ แต่ทำไปเพื่อจะเอาเงินเฉยๆ ที่บ้านก็ไม่มีเงิน ทำไมจะต้องไปนั่งเป็นภาระของคนในครอบครัวอีก เราคิดอย่างนั้น ก็ออกมาข้างนอกเพื่อไม่อยากให้ที่บ้านต้องมานั่งเสียค่าใช้จ่ายกับเราอีก ก็มาหาด้วยตัวเอง แล้วเราก็เรียนไม่เก่ง คือเรียนก็เรียนไปอย่างงั้น เรียนให้เปลืองสมุดดินสอ เพราะว่าไม่ตั้งใจเรียนเลย คือจบ ม.6 ได้เพราะเพื่อนช่วยมากกว่า"
ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อาศัยแอบนอนหอเพื่อนเป็นบางครั้งคราว เพราะเจ้าของหอพักกำหนดให้พักได้ไม่เกินจำนวน บางทีก็ต้องเข้าไปอาศัยความกว้างและพื้นที่ในมหาวิทยาลัยรามคำแหงพักพิงให้พ้นคืน ก่อนจะเดินทางข้ามฝั่งมาเรียนในตอนเช้า เรียกได้ว่า "มองไม่เห็นอนาคต คิดแค่เพียงปัจจุบันให้รอดเป็นพอ"
"หลังจากนั้นก็ไปเรียนราม ไปเรียนรู้สึกว่าจะได้แค่ 3 วัน ที่เหลือก็แทบจะไม่ได้เรียนแล้ว" ดาวกล่าว ไม่ใช่เพราะเลือกเข้าผิดคณะอยากเป็น "ทนาย" แต่กลับไปสมัครรัฐศาสตร์การเมืองการปกครอง แต่สาเหตุจริงๆ เนื่องมาจากเงินจำนวน 2,000 บาทนั้น
"คือมีอยู่วันหนึ่งรุ่นพี่ที่เขาเล่นดนตรี เขาขาดคน เหมือนว่าเขาคงจะเอาไปเสริมให้เต็มเพื่อที่ร้านจะไม่ว่า เราก็ไปกับเขา พอเล่นร้องได้ 2 เพลง เพลงตลอดเวลากับเพลงเดือนเพ็ญ เลิกแล้วเขาก็ให้เรามา 2,000 บาท เงิน 2,000 บาทตอนนั้นถือว่าเยอะมาก ปี 38 ก็เลยเข้าใจผิดว่าเล่นดนตรีนั้นคือรายได้ที่ดี ต้องมีเงินแน่นอนให้แม่ให้พ่อได้ เราก็เลยยืมเงินเพื่อนที่โรงเรียนเทพลีลามา 7,000 บาท ไปซื้อกีตาร์ตัวหนึ่ง เขาก็บอกว่าอยากได้เหรอ ก็ให้ยืมซื้อ"
"ได้กีตาร์มาแล้ว ก็มาเล่นดนตรี ฝึกดนตรี ไม่ได้มีใครสอน มาจากตัวเอง เรียนรู้ด้วยตัวเอง มันก็เลยไปไหนไม่ได้ คือความรู้มันจำกัด ได้แค่ไหนก็เล่นแค่นั้น ไม่แสวงหาอะไรมากมาย คือแสวงแล้วแต่มันไม่มีทางสว่างก็เลยไม่แสวง ไม่ค่อยได้สนใจ แต่ก็เล่นไปเรื่อยๆ ไม่ได้ค่าตัวอะไรมากมาย เล่นคนเดียวเป็นโฟล์กซอง หลังๆ มาทำวง แต่มันไม่น่าจะเป็นวง มันเละเทะไปหมด ร้านไม่จ้าง" ดาวย้อนวันวานจุดเริ่มต้นทางดนตรีที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด “พรสวรรค์” หรือ “ความสามารถ” ทางเงาเสียงศิลปินเพื่อชีวิตโดยไม่รู้ตัว
"คือตอนไปเรียนรามฯ เราไปอยู่ซุ้มอำเภอพิมาย ซุ้มของคนโคราช เวลาเราไปเรียน เพื่อนไปไหนก็ไปกับเขา เพื่อนบอกชอบอันนี้ก็ไป โดยที่ไม่ได้รู้หรอก แต่ว่าก็พอดีไปอยู่ซุ้ม เราชอบเพลงของน้าหมูอยู่แล้ว ที่นั่นเขาก็พูดภาษาโคราชพอดีก็เลยชอบ ก็เลยอยู่ตรงนั้นเลย"
"เราก็พยายามพูดคุยกับเขา ฟังจากเทปเอาบ้าง เพราะวิธีฝึกสำหรับเรา คือเราจะต้องดูก่อนว่าศิลปินคนนั้นเป็นคนที่ไหน ก็ต้องดูภาคฟังสำเนียง อย่างน้าหมู เขาเป็นคนโคราชก็ต้องมีสำเนียงของคนโคราช ก็ต้องไปฝึกคำแต่ละคำของเขาว่าตรงไหนที่มันเป็นภาษาโคราช อย่างคำว่า ฉัน คำว่า แก เขาก็จะมีภาษาของเขา แล้วก็ไปหาโทนเสียง"
นอกจากนี้ การที่ได้รับอิทธิพลจากซุ้มเพื่อชีวิตคนโคราช ส่งผลให้ดาวได้เปิดโลกทางดนตรีเพื่อชีวิตและเลียนเสียงศิลปินต่อๆ มาอย่าง สีเผือก คนด่านเกวียน แอ๊ด คาราบาว เทียรี่ เมฆวัฒนา อี๊ด วงฟลาย แล้วก็เป็นเสียงพูด คือเสียงอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ชวลิต ยงใจยุทธ เสียงพระพยอม เสียงครูสุรพล สมบัติเจริญ
"จริงๆ แต่ก่อนชอบเพลงสตริง ตั้งแต่สมัยวงรันเวย์ วงทู (ต่อ-ต๋อง) พวกเก่าๆ วงที่ปัจจุบันน่าจะไม่มีคนรู้จักแล้ว เพื่อชีวิตไม่ได้ฟังหรอก แต่พอเพื่อนแนะนำให้ฟัง ก็เลยหันมาลองฟัง" ดาวนึกย้อนถึงเรื่องที่ฟังชวนอมยิ้มว่า ก่อนหน้านั้นที่ผมยาวๆ หยิกๆ เป็นเหตุผลที่ทำให้เขากับเพลงเพื่อชีวิตเดินทางมาเจอกันได้และเข้ากันกับนิสัยที่ชอบชีวิตสิงสาราสัตว์ ชอบการให้ ชอบสงสารคน ผลักให้เขาเข้าถึงความหมาย “เพื่อชีวิต” ที่ไม่ได้เป็นเพียงของตัวเราเอง
"ก็คือตอนเรียนรามฯ เราอยู่ชมรมอาสา ก็ไปออกค่ายไปช่วยตามบ้านนอก ต่างจังหวัดที่เขาสร้างโรงเรียนก็ไปกับเขา ถามว่าทำไมเลือกอย่างนั้น ในเมื่อเราก็ลำบากเหมือนกัน ก็เพราะว่าพอได้ไปดูจากภาพ แล้วก็จากที่เขามาพูดให้ฟังว่าที่เราอยู่อย่างนี้ได้ เรายังดีกว่า ก็เลยอยากจะไปเห็น พอไปเห็นก็เลยไปช่วยสร้าง ไปช่วยหาทุนเล่นดนตรีเปิดหมวกเอาเงินเข้าชมรม"
ถึงตรงนี้ ฟังแล้วทำนองชีวิตจะเป็นไปอย่างราบรื่น ร่ายไปกับวิถีที่หนุนนำ รายได้จากการเล่นดนตรีก็ขยับขยาย รวมไปถึงการต่อยอดทางธุรกิจที่จับพลัดจับผลูกลายไปเป็นเจ้าของร้านโทรศัพท์ รายได้หลักตกหมื่นปลายๆ ต่อเดือนในช่วงราวปี 47 แล้วก็มีธุรกิจนายหน้าจับรถแล้วปล่อยขาย สร้างเงินทอง มีกระทั่งคอนโดพักอาศัย จากที่ไม่มีอะไรเลยก่อนหน้านั้น แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกให้โดนโกงจนหมดเนื้อหมดตัว ต้องประกอบอาชีพขายของเก่าตามตลาดนัด แขยงการลงทุนอีกเลย
"คือเรื่องของเรื่อง เปิดร้านโทรศัพท์ เราก็เล่นดนตรีอยู่ แล้วก็นั่งรถเมล์ไปลงที่ตลาด พอดีไปเจอเพื่อน เห็นเพื่อนนั่งอยู่หน้าร้านโทรศัพท์ ก็เลยแวะไปนั่งคุยกับเพื่อน ตอนนั้นมันยุคโนเกีย 3310 กำลังดัง คนกำลังนิยม นั่งๆ อยู่ ก็มีคนเอามาขาย เขารับซื้อตอนนั้นแค่ 2,000 กว่าบาท แล้วก็เห็นเขาล้างๆ ทำความสะอาดด้วยแปรงได้สักพักแล้วก็ตั้งหน้าตู้ แป๊บเดียวมีคนมาถามซื้อเครื่องที่เขาเพิ่งซื้อมา ขายได้ 3,000 กว่าบาท ตอนนั้นเลิกคิดเรื่องดนตรีไปเลย เลิกคิดเลย
"คือทำไมแป๊บเดียวเอง ได้เงินแล้ว แต่ก็ยังไม่เชื่อนะ ก็ไปนั่งอีกหนึ่งวัน วันนั้นมันยิ่งหนักกว่า เพราะเขายิ่งกดราคาซื้อเขาลง ก็เลยคิดว่าทางนี้แหละเป็นทางที่จะทำให้ได้เงิน ก็เลยไปคุยไปขอเข้าหุ้นกับเขาตรงนี้ได้ไหม เขาก็โอเค เอาเงินไป แต่ไม่ได้บอกว่าให้เราหุ้นหรือไม่ให้เราหุ้นหรอก เอาเงินไปเฉยๆ เนี่ยล่ะ ผ่านไปเดือนหนึ่งเราก็ถามเขาเอาเงินไปแล้วมันยังไม่ได้อะไรเลย เขาบอกว่าเงินนี่ไม่ได้หุ้นร้านนี้ไม่ใช่ร้านเขา เราก็เลยบอกว่าถ้างั้นเอาเงินคืนมา เขาก็บอกว่าไม่มีเงิน ถ้าพี่จะเอาพี่ก็เอาเป็นเครื่องไปเลยไปเปิดร้าน ตอนนั้นก็เลยเริ่มไขว่คว้าแล้ว เราไม่มีความรู้ไม่ได้ศึกษาเรื่องตรงนี้ แต่ก็กลายเป็นว่ามาเปิดร้านเอง
"ตอนเวลาซ่อมก็เอาไปจ้างเขาซ่อมเอา แต่ว่าบางลูกค้าบางคนเขาก็ไม่เอา นึกว่าซ่อมเอง เขาก็ไปร้านอื่นดีกว่า ตั้งแต่นั้นมาก็ไปศึกษาเรื่องโทรศัพท์ ศึกษาเอง อย่างเครื่องโนเกียรุ่น 3310 ผมมีอยู่ 4 เครื่อง ลูกค้าเอาเครื่องมาซ่อม อาการตกน้ำ เราก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ก็เลยเอาเครื่องตัวเองไปจุ่มน้ำให้มันดับ เพื่อที่จะศึกษาตรงที่ว่า พอถอดเครื่องมาทั้งหมด แล้วก็ติ๊กทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอะไหล่ของเครื่องโดยที่ไม่ให้ช่างรู้ แล้วก็ไปส่งให้ช่างซ่อม เพื่อพอเครื่องติดใช้ได้เราก็มาเปิดดู เอากล้องส่อง ตัวไหนที่เราติ๊กไว้แล้วหาย อันนั้นคือมันเสียตรงนั้น"
"แต่พอเอาจริงๆ แล้วมันไม่ใช่..." ช่างดาวเว้นวรรคเล็กน้อย พลางประกอบท่าทางเป็นตัวอย่างให้เข้าใจการทำของช่างหัดเอง
"คือปัญหามันอยู่ที่ว่า พอเครื่องติดแล้ว เราแยกออกแล้วเราใส่กลับที่เดิมไม่เป็น เราลืมเรียนตรงนี้ แล้วช่างบางคนที่ซ่อม อะไหล่มีหลายชิ้น เขาลองเปลี่ยนออกมา พอไม่ใช่ เขาบังเอิญหยิบผิดเป็นอันอื่นที่ไม่ใช่ตัวที่เราติ๊กไว้ พอมาถึงเราแกะออก เราก็นึกว่าเป็นตัวนั้นที่ไม่มีรอยติ๊ก แต่มันไม่ใช่ ก็กลายเป็นว่าเสียเงินไปอย่างเดียว เป็นปีกว่าจะซ่อมเองเป็น"
"ตอนนั้นเราก็คือมีเงิน เราก็จับรถขาย แล้วปัญหาก็คือมาหมดตัวตรงที่ว่า คนที่เคยขายรถ ซื้อรถด้วยกัน เราไว้ใจเขาเกินไป เพราะทุกทีก็ทำอย่างนี้กันอยู่แล้ว ก็ไม่มีอะไร แต่ไม่เคยซื้อราคานั้น เคยซื้อแต่หลักหมื่น 40,000 บาท มาขาย 60,000 บาท ตอนนั้นเขาบอกว่ามีรถหนึ่งคัน สวยมาก คุ้มมาก อยู่ที่ต่างจังหวัด ราคา 270,000 บาท เราก็ให้เงินเขาไป 200,000 บาท พร้อมกับรถของเราที่จะขับไปขายที่นั่นให้ได้อีก 70,000 บาท ก็ไปทั้งรถทั้งคน หมดเลย เราไว้ใจคนเกินไป"
ทำท่าเหมือนจะไปได้ดีในอีกครั้ง แต่แล้วก็พลิกกลับมาร้าย กระนั้นดาวก็แซมยิ้มให้ประสบการณ์ชีวิตในวันนั้นที่รักชอบการศึกษาเรียนรู้ แม้ว่าจะมีประโยชน์บ้างหรือไม่มีเลยและส่งให้ผลเสียเกิดขึ้นก็ตาม
"ทุกวันนี้ก็เลยไม่ค่อยอยากที่จะทำอะไรที่มันสูงๆ หรือใช้เงินเยอะ เลิกหมด เพราะว่าความสำเร็จมันไปอยู่ที่คนอื่นหมดแล้ว ไม่มีที่ตัวเอง เคยเครียดมากๆ แต่สุดท้ายก็คิดว่ามันไม่มีประโยชน์ ได้แต่นั่งร้องไห้อะไรอย่างนี้ไปธรรมดา คือชีวิตมันมีความสนุกมากกว่า เราอยู่กับเพื่อน ก็คิดแค่ว่ามันไม่ใช่ของเราเท่านั้นเอง มันก็มีความสุข ทุกวันนี้ก็มีความสุขตั้งแต่ก่อนที่จะออกรายการแล้ว เพราะเราไม่ได้ไปคิดอะไรมากมาย มีแค่ไหนก็แค่นั้น เคยทำงานเดือนละ 6,000 บาท ก็ยังอยู่ได้ ก็อยากสบาย แต่มันได้อยู่แค่นี้ ก็เอาแค่นี้ ถ้ามีโอกาสข้างหน้าค่อยว่ากัน"
"คือผมเป็นคนประเภทที่ว่า ถ้าชอบอันไหนก็ต้องเอาให้ได้ แต่ว่าถ้าไม่ได้ก็จะทิ้งไปเลยแล้วมาเริ่มใหม่ อย่างสมมติว่าเราอยากจะได้ของชิ้นหนึ่ง เราไม่สามารถที่จะไขว่คว้ามันตอนนั้นได้ เพราะว่าเราต้องมีภาระอื่น ต้องเอาเงิน อยากจะไปได้ตรงนั้นมาใช้ตรงอื่น ก็เลยทิ้งไปก่อนแล้วค่อยมาเริ่มใหม่ มันก็เป็นข้อคิดชีวิตเรา"
ไม่ใช่ว่าโง่
ก็แค่เดินให้สุดทาง...
"ลูกเต๋า แต้มหนึ่งก้าวเริ่มต้นครั้งต่อไป แต้มสองเริ่มต้นก้าวเดิน แต้มสาม การมั่นใจในการที่จะทอดต่อ แต้มสี่ ถ้าเราไม่ดูให้ดี เราจะเสียความรู้สึก แต้มห้า ถ้าเราไม่กล้าพอ อย่าเดินต่อ แต้มหก ส่วนมากคนจะตกอันนี้" ดาวขยายความคิด หลังลัดเลาะที่มาที่ไปจนถึงชีวิตฝั่งฝันการก้าวผ่านและก่อเป็นตัวตน
"แต้ม 1 คือการก้าวเดิน อันนั้นก็คือมองจุดเหมือนจุดเดินเฉยๆ แล้วก็ถามว่าที่พูดไปให้มันเป็นคติคิดเฉยๆ ว่าจุดสุดท้ายของลูกเต๋าคือลูกที่ 6 นั้นคือเท่ากับสุดทางที่เราเดินมาสุดแล้ว สุดแล้วก็ไม่สามารถที่จะอะไรแล้ว เราเลือกมาทางนี้ ก็ใช้ชีวิตให้หมดกับตรงนั้น เพื่อที่จะเอามาทอนกับตัวหลังๆ ที่เราเดินผ่านมา แล้วคนที่จะตามมา"
"ก็คือเดินให้ถึงที่สุด เพราะว่ามันยังมีเลขให้เราเดินอยู่ ถ้าเราเปรียบลูกเต๋า เต๋ามันก็มีอยู่ 6 ด้าน ใน 6 ด้าน ด้านแรกเราทุกคนต้องผ่านอยู่แล้วอยู่ที่ว่าเราบางคนพลิกไม่ถูก พลิกมาไม่เจอด้านสอง ไปข้ามเลย บางทีมันก็อาจจะเยอะเกินไป"
“เราต้องเดินด้วยความเต็ม” ดาวเน้นย้ำ พลางยืนยันเช่นนั้น เพราะว่าแม้จะเติบโตจนมีชื่อเสียงโด่งดังในวันนี้ มีโอกาส มีคนเสนอทำผลงานอัลบัมสร้างรายได้ แต่เขาก็เลือกที่จะปฏิเสธไม่ทำ ถ้ามาหวังผลประโยชน์
"คือแรกเลยก็มีมาติดต่อให้ไปทำอัลบัม แต่ว่าไม่ทำ ไม่เอา ไม่ชอบตรงนี้ คือคนที่เคยติดต่อก็คือคนเก่าที่เคยอยากจะทำ แต่เขาไม่ทำตั้งแต่ตอนโน้น เขาไม่ทำให้เรา อ้างเดี๋ยวค่อยนั่น เดี๋ยวค่อยนี่ แต่ว่าพอมาเห็นเราตอนนี้ คิดว่าเขาคงมองตรงนั้น มองผลประโยชน์มากกว่า ก็เลยไม่ทำ"
"ตอนนั้นอยากจะทำเล่น ทำว่าสนุกสนาน คือค่าใช้จ่ายก็ต้องออกเอง แต่มาตอนนี้เขาออกให้หมดทุกอย่าง เป็นแสนแต่ก็ไม่เอา เพราะมองเขาว่าเขามาเอาผลประโยชน์จากเรา เขาไม่ได้คิดว่าเราควรจะทำ"
"คือคนเดี๋ยวนี้ มองคนแบบเอาโอกาสของคนอื่นมาเป็นของตัวเองเยอะ ไม่เอา คือสมัยก่อน มีความจริงใจกันมากกว่า คนในยุคปัจจุบันพวกการพัฒนา เทคโนโลยี มันทำให้เปลี่ยนไป มันทำให้จิตใจไปมองวัตถุมากกว่า ไม่เหมือนแต่ก่อน"
"แต่จริงๆ ตอนนี้อัลบัมก็มีหลายเจ้าอยู่ที่ติดต่อมา แต่ยังไม่คิดจะทำ ยังรออยู่ เพราะอยากจะทำอาชีพที่เขาสร้างให้เราขึ้นมา ก็อาจจะมีละครที่ติดต่อมาแล้วเรื่องหนึ่งของช่อง 7 แล้วก็มีหนังของสาวมาด เมกะแดนซ์ เป็นหนังโรง" ดาวกล่าวทิ้งท้าย
"คือถ้าวางเป้าหมายแล้วมันไปไม่ได้
ในความคิดผม มันจะยิ่งทำให้เป้าหมายนั้น มันไกลออกไปอีก"
__________________________
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ศิวกร เสนสอน