xs
xsm
sm
md
lg

ผู้เด็ดเดี่ยวตามรอยในหลวง "อ.ยักษ์" วิวัฒน์ ศัลยกำธร ให้เศรษฐกิจพอเพียงเลี้ยงชีวิต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คงไม่มีใครที่จะปฏิเสธได้ลงหรอกว่า ความสะดวกสบาย คือปัจจัยหลักที่สำคัญ ของชีวิตผู้คนในสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นทุกสิ่งอย่างในชีวิตประจำวัน ที่จะต้องได้มา ก็มันเป็นเพราะว่า มันช่วยทุ่นแรงเราไปได้เปราะหนึ่ง ในที่จะทำอะไรก็ตามที จนเราอาจจะต้องมีสิ่งนี้มาตอบสนอง เพื่อให้กลายเป็น สิ่งสะดวกที่สุดสำหรับเรา โดยที่เราหลงคิดไปเองว่า “นี่คือความสุขแล้ว”

ตัดภาพไปอีกด้าน ก็ยังมีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ที่มองสิ่งที่เรียกว่า ความสะดวกสบาย เหล่านี้ว่าเป็นภาพลวงตา และได้ตัดสินใจลาออกราชการ มาเป็นส่วนหนึ่งของภาคกสิกรรม เดินตามรอยหลัก “ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง” ท่ามกลางเสียงคัดค้านของคนรอบตัว ที่เอ่ยถึงการตัดสินใจในครั้งนี้

“บ้าหรือเปล่า”
“ไม่ดีมั้ง”
“เพี้ยนแน่ๆ”
“ไม่เห็นด้วย”

และอีกคำต่อว่าอื่นๆ ที่อาจจะคอยดูถูกและไม่เห็นด้วย แต่คำทั้งหมดนั้น กลับที่จะสนใจไม่ ยังคงเดินหน้าต่อไป ด้วยความเชื่อที่ว่า “ความสุขที่แท้จริงนั้น ย่อมาจากความพอเพียงและพอใจในสิ่งที่ตนเองมี” มากกว่า และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงในชีวิต

หลังจากปล่อยวางความก้าวหน้าที่ตำแหน่งว่าเลขาธิการสูงสุดรออยู่ไม่ไกล กว่า 20 ปีแล้ว ที่ “อ.วิวัฒน์ ศัลยกำธร” ยังคงมีความสุขกับการแบ่งปันหลักทฤษฎีดังกล่าว จนสามารถเปลี่ยนความคิดของบรรดาชาวไร่ชาวนาในประเทศจำนวนไม่น้อย ให้เดินตามรอย “หลักเศรษฐกิจพอเพียง” นี้ไปด้วยกัน

• จากข้าราชการที่มีอนาคตสดใสก้าวหน้า อยู่ดีๆ ก็ลาออกมา ในตอนนั้นคิดอะไรอยู่ครับ

เราเห็นทางตันและเห็นทางออกในขณะเดียวกัน เวลาที่เราฟังในหลวงพูด ทำให้เห็นทางออกเกี่ยวกับแนวทางที่จะหยุดจากภัยพิบัติต่างๆ ที่กำลังเจอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติ ที่มันเกิดขึ้นจริง สึนามิที่ไม่เคยเกิด มันก็เกิด แผ่นดินไหวที่ไม่เคยเกิด มันก็เกิด ภัยพิบัติมันชัดขึ้นๆ เราดูจากสถิติที่ถี่ขึ้น ฟ้าผ่าก็มากขึ้น แผ่นดินไหวก็มากขึ้น พายุรุนแรงขึ้น มันมีสถิติ เห็นชัดเลยว่า มองแบบวิทยาศาสตร์ มันเป็นจริง แนวโน้มมันอันตรายขึ้นทุกวัน

อย่างที่สอง คือ โรคระบาดและความอดอยาก ข้าวยากหมากแพง และอย่างที่สาม ก็คือความขัดแย้ง มันก็รุนแรงขึ้น ทั่วโลกก็รบกัน เมื่อ 18-19 ปีก่อน เราก็เห็นเหตุการณ์และได้ยินจากรับสั่งของในหลวงเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ผมก็ตามข้อมูลมาเรื่อยๆ และเริ่มรณรงค์เรื่องนี้ ชาวบ้านก็ท้าเลยว่า พูดยังไงก็ได้ เรามีหนี้มีสิน ทำอย่างพูดไม่ได้หรอก พอเพียงยังไง ไม่ใช้สารพิษจะได้ผลเหรอ มันเป็นไปไม่ได้ ซึ่งพระองค์ท่านก็ตรัสเลยว่ามีทางเดียว คือต้องทำให้ดู มีตัวอย่างความสำเร็จ ดีกว่าพูด ดีกว่าการนำเสนออย่างเดียว

ตอนนั้น ผมลาออกจากราชการ เมื่อ 18-19 ปีก่อนนะ ทั้งที่ทุกคนมองเห็นแล้วว่าผมโตเร็วที่สุด เจริญที่สุดในเพื่อนร่วมรุ่น แล้วทุกคนก็ฟันธงเลยว่า ถ้าอยู่ต่อ ก็เป็นเลขาธิการสูงสุดแน่นอน (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักนายกรัฐมนตรี) ดังนั้น เมื่อผมตัดสินใจลาออก ทุกคนก็ถามว่าออกทำไม ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครเข้าใจผมเลยว่า ผมคิดอะไรของผม ป่วยหรือเปล่า เข้าโรงพยาบาลหน่อยมั้ย เขาไม่เข้าใจเหตุผลอย่างที่เราเข้าใจ

• จากนั้นมา ก็คือ จริงจังในการทำเกษตร

ผมคิดว่ามันคือการใช้ชีวิต มันไม่ใช่แค่เรื่องการเกษตรอย่างเดียว กสิกรรมคือพื้นฐาน เหมือนป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง เพราะมนุษย์จะมีที่อยู่ก็ต้องอาศัยป่า และต้นไม้ มีของกินก็ต้องมีต้นไม้ ป่าอย่างที่ 1 คือ เอาไว้สร้างบ้าน อย่างที่สอง คือ เอามากิน อย่างที่สามคือ เอามาทำของใช้ อย่างที่สี่คือให้ออกซิเจน สภาพร่มเย็นกับเรา ป่าคือกสิกรรม คือความหมาย คือการดำรงชีวิต บนเส้นทางที่อยู่กับธรรมชาติ ฟื้นฟูธรรมชาติขึ้นมา แทนที่จะไปทำลาย เพราะฉะนั้น เราไปอุ้มชูดีกว่า ผมก็เริ่มสร้างบ้านหลังแรกด้วยเงิน 10,000 บาท อยู่กันอย่างลมโชย หนาวก็ปิด ร้อนก็เปิดหน้าต่าง กลางวันก็มีต้นไม้คลุม บ้านหลังเล็กๆ นอนได้ 3-4 คน สบายๆ แบ่งเป็น 3 โซน ด้วยเงินหมื่นเดียว ง่ายๆ มีกินอยู่ใช้ไป

• ในวิถีแบบนั้น ณ ขณะนั้น อาจารย์คิดว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

ความรู้และภูมิปัญญา...ไม่มีความรู้จะไปทำอะไรกิน ทำปุ๋ยก็ไม่เป็น ปลูกผักก็ไม่เป็น ปลูกข้าวก็ไม่เป็น เลี้ยงปลาก็ไม่เป็น เลี้ยงกุ้งก็ไม่เป็น ทำไงให้เลี้ยงกุ้งและปลาโดยไม่ต้องซื้ออาหารเม็ด ระหว่างกุ้งเลี้ยงกับกุ้งแม่น้ำ อันไหนอร่อยกว่ากัน กุ้งแม่น้ำสิ เพราะมันกินอาหารธรรมชาติในแม่น้ำ เราก็มาสอนให้กุ้งมันกินอาหารธรรมชาติสิ ผมไม่ต้องให้อาหารเม็ด คุณภาพเนื้อก็เหมือนกุ้งแม่น้ำ กุ้งเลี้ยงกิโลละ 110 บาท กุ้งแม่น้ำกิโลละ 700 บาทนะครับ คนละโลกกัน ต้ม ยำ ออกมา คนละรสชาติกันเลย มันไม่มีพิษ ไอ้กุ้งเลี้ยงน่ะมีพิษ กุ้งที่กินอาหารเม็ดมาก หัวยิ่งเหลือง มันสะสมพิษ ก็ในอาหารมันเป็นพิษทั้งนั้นน่ะ ข้าวหรือข้าวโพด คุณคิดว่าฉีดยามั้ยล่ะ (หัวเราะเบาๆ) พวกข้าว รำ ปลาป่น ลูกปลาที่เกาะอยู่ในอ่าว อุตสาหกรรมก็เอาสารพิษไปทิ้ง

หรือปลาหมึก คุณลองเอาไปตรวจสิ มีมลพิษทั้งหมด ไอ้พวกปลาป่นทั้งหลายเป็นอาหาร หรือ กุ้งยิ่งกินยิ่งโต ยิ่งตายเร็ว กุ้งไม่มีสิทธิ์ได้โตเต็มไวเลย แค่เดือน 2 เดือน เก่งสุดก็ 3 เดือน ก็ตายแล้ว เราจะกินกุ้งตายที่สะสมสารพิษอย่างงั้นเหรอ แต่ว่ากุ้งแม่น้ำ มันไม่ต้องกินรำ ข้าวโพด ปลาป่น มันกินอาหารหนอน ไร เป็นธรรมชาติ กินสาหร่ายในแม่น้ำ ในหนองคลองบึง ปลาช่อนที่มันอยู่ในหนอง ปลาช่อนเลี้ยง มันคนละเนื้อ คนละคุณภาพกัน ห่างกันลิบลับ คุณจะเอาอะไร

• อาจารย์มองว่าเพราะอะไร การเกษตรในบ้านเราถึงไม่ค่อยคืบหน้าครับ

มันก็เกิดขึ้นจากการล่าเมืองขึ้นรูปแบบใหม่นี่แหละ เช่น บริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งของตะวันตก เขาผลิตน้ำมัน ซื้อน้ำมันไปกลั่น กลั่นปิโตรเลียมเสร็จ มันก็ได้ปุ๋ยสิ กลั่นได้ปุ๋ย ยา พอเรียบร้อยก็ส่งปุ๋ยเข้ามาเมืองไทย มันเป็นปุ๋ยที่แพงที่สุด มันคือขยะจากกากน้ำมัน แต่เขาก็ยากขายของ มาถึงก็หาผู้ใหญ่ก่อน แล้วก็ใต้โต๊ะ จากนั้น ผู้ใหญ่ก็สั่งตั้งศูนย์ฝึก ศูนย์อบรม เปิดให้ทุน คนไปเรียนปริญญาเอก จบกลับมา ก็เปิดสาขาเคมีการเกษตร เดิมเราไม่เคยใช้เลย แต่พอเปิดมา เริ่มส่งเสริมเป็นนโยบาย จากมหาวิทยาลัย ก็แพร่สู่วิชาการ ต่อยอดเป็นโยบาย แพร่ไปสู่งานส่งเสริม กรมต่างๆ ก็แพร่ไปสู่ ธกส. ธกส. ก็หใช้เงินบังคับ คุณกู้เงินฉัน เอาเงินไป และก็ไปขึ้นปุ๋ยเคมีในร้านนู่น มันก็กดดันจนชาวนาจำเป็นต้องใช้ เพราะถูกแรงกดดัน

เพราะฉะนั้น เกษตรกรรู้ไม่เท่าทันบริษัทพวกนี้ บริษัทมาครอบงำกระทรวง ครอบงำมหาวิทยาลัยก่อน มาครอบงำปัญญาชนก่อน ให้ทุนการศึกษาตั้งสมาคม มีสมาคมอารักขาพืช สมาคมดินและปุ๋ย สมาคมผู้นำเข้าสารเคมี โดยสมาคมอารักขาพืชนี้ดีมาก พืชแมลงกัดกิน หน่วยอารักขามาฆ่าแมลงทิ้ง นี่ไงมาช่วย แต่พืชไม่มีอาหารขาดแคลนอ่ะ อดอยาก ผู้อารักขาเอาอาหารมาให้ เอาธาตุอาหารพืชมาให้กิน ให้อาหาร หรือ โรคมา เพลี้ยลง ไวรัสลง หน่วยอารักขามาฆ่าเชื้อโรค สุดท้ายก็มาจากยาฆ่าแมลง ซึ่งมันก็มาจากน้ำมันทั้งคู่ สุดท้าย บริษัทน้ำมันรวย เขาก็ต้องเข้ามาหลอกขาย สุดท้ายชาวนาติดปุ๋ยเขา บริษัทรวยต่อ มันเป็นความชาญฉลาดของธุรกิจ

• ผลผลิตจากธรรมชาติ นับว่าคือสิ่งที่ดีที่สุด

ใช่ เราเป็นธรรมชาติเราเป็นส่วนหนึ่ง เพราะเรากินพืช กินผักผลไม้เป็นอาหาร สัตว์มาเริ่มกินทีหลัง ตามประวัติศาสตร์ มนุษย์มากินพวกสัตว์ทีหลัง ซึ่งคนภูมิภาคนี้ไม่เคยล่าสัตว์กินนะ พวกล่าสัตว์จะเป็นพวกตะวันตกนู่น พวกเขามันพวกล่า เรามันพวกเก็บผัก เก็บหญ้า อย่างเก่งก็ล่าปลา ผมเติบโตมากินแต่ปลากับกุ้ง สาหร่าย ผัก หญ้า ผลไม้ พ่อแม่อายุเป็นร้อยปี กินอาหารธรรมชาติ ร่างกายก็แข็งแรง ชีวิตก็จิตใจดี เมื่อเทียบกับตอนนี้ คนอายุ 30 กว่าก็เป็นมะเร็งตายแล้ว เพราะอาหารนี่แหละ มันจะเจริญได้ไง ไม่เจริญหรอก แต่มันหลงไง ว่ามันคือความเจริญ แท้จริงเนี่ย คนเจ็บป่วยเต็มไปหมด คุณรวยยังไง คุณก็ป่วย เพราะกิน เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่ ลูกผมขนาดเป็นแพทย์ มันบอก พ่อหนูไม่อดตายแล้ว ถามว่าทำไม มีเซเว่น อาหารหลักของเขาน่ะ (หัวเราะ) ซื้อกินตามเลย แล้วแต่ว่าจะมีอะไรให้กิน จบเลย แล้วคุณจะไปหวังกับอะไร ยิ่งครูไม่ต้องพูดถึง นอกจากครอบครัวไหนที่ปลูกฝังลูกมาให้หาอาหารสดมาปรุงกิน ปลูกฝังว่า อยู่บ้านปลูกผักหญ้าไว้นะ ทำนาไว้นะ เอาไปสีข้าวเอง หรือไม่เก็บข้าวเปลือกไว้ แล้วค่อยๆ เอาไปสีไว้กิน เราปลูกเอาไว้กินเอง ไม่มีพิษ ผักหญ้าเอาไว้ปรุงอาหาร อาจจะต้องไปซื้อเนื้อสัตว์ ปลา แต่ว่า ผัก หรือ ข้าว ปลูกไว้กินเอง บางคนเลี้ยงปลาไว้กินเอง เลี้ยงไก่ เป็ด แบบปล่อย อารมณ์ดี อาหารธรรมชาติ อย่างไข่เป็ด เช้าก็ไปปล่อย เย็นก็ให้อาหารมื้อเดียว พอให้อาหารเราก็เรียกเข้าเล้าแล้วก็ปิด ก็ไข่อยู่ทั้งคืน ให้มันร้อง จน 6 โมงกว่าๆ มันก็ไข่หมดแล้ว ปล่อยออกทุ่งนา หากินในท้องนา พวกแมลงที่มากัดข้าว เป็ดจับกินหมด ปูนี่คอยเจาะรู คันนาให้น้ำ ฝนรั่วทิ้ง เป็ดก็จับลูกปูกินหมด มันก็เป็นวิถี ไข่มันแดง เพราะมันกินปู กินไข่ กินหญ้า กินปลากินหอย ไข่แดงเปล่ง กินอร่อยมาก เป็ด ไก่ธรรมชาติ

• อาจารย์กำลังจะบอกว่า สิ่งที่เราทำในตอนนี้ มันก็คือภาพลวงตาอย่างหนึ่ง

สมัยที่ผมเด็กๆ ขณะนั่งรถยังไม่ต้องติดแอร์เลยนะ เย็นสบาย รถสมัยก่อนไม่ต้องติดแอร์เลย คนที่ติดแอร์มันต้องรวยพิเศษ คือไม่ใช่รวยอย่างเดียวนะ มันต้องโง่ด้วย ก็มันเย็นสบาย บ้าติดแอร์อวดกันน่ะ ยกเว้นฝรั่งมา ฝรั่งอยู่เขตหนาว เอาใจฝรั่ง เราคนไทยอยู่เขตร้อนติดแอร์ที่ไหน สมัยผมเด็กๆ มันเย็นสบายอยู่กับธรรมชาติ เรามีเทคโนโลยีสร้างบ้าน ลมผ่านใต้ถุน ไม่ต้องมีร่องนะ ลงมาเย็นสบาย ผมจำได้เลย หน้าน้ำหลากมา น้ำผ่านใต้ถุน อะไรสกปรก เชื้อโรคพัดลงทะเลหมด เราก็ไปเลียนแบบฝรั่ง ทำบ้าน ถมดินให้งอก แล้วให้บ้านแตะพื้นดิน คนจะอยู่บนพื้นดิน เดี๋ยวนี้บ้านเกิดผมต้องเดินขึ้นบ้านอีก น้ำท่วมยังไงก็ไม่ถึงพื้นบ้าน เพราะยกพื้นไม่สูง เล่นใต้ถุนบ้าน ทำงาน สบาย มันเป็นความฉลาดของคนโบราณ คุณไปดูทุกเมืองสิ ลอกฝรั่งมาทั้งนั้น พอฝนตกน้ำมันก็ท่วม

• แสดงว่าความศิวิไลซ์ในการทางการเกษตรกรรม ก็ไม่จำเป็นเสมอไป

เรารู้วิถีเด็กๆ ว่าทำแบบนี้มันถูก เพราะพ่อทำให้ดู พอฝนตกมาจะเก็บน้ำยังไง เขาก็จะปั้นคันนาใหญ่ๆ ฝนตกก็จะถือพลั่วออกเดินตรวจ เพราะอะไร เพราะพอฝนตกน้ำมันท่วมรูปูนา ยกทีมวิศวกรมาเจาะรูแล้วระบายน้ำทิ้ง ไอ้ชาวนาก็จะยกมาปิดรู เพื่อเก็บน้ำเอาไว้ใช้ ถ้าชาวนามันนอน ขี้เกียจ ตัดภาพมาที่ ตัวปูก็จะเจาะรูระบายน้ำทิ้งหมด เพราะเขาก็ต้องปกป้องบ้านของเขา จนสุดท้าย ชาวนาก็มาโวยวายว่า นาฉันดินไม่อุ้มน้ำ ดินมันอุ้ม ไอ้ปูมันก็มาเจาะระบายน้ำทิ้งหมด ซึ่งตอนเราเป็นเด็ก เราก็ต้องไปปิด ฝนตกเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องทำ ฉะนั้น คุณก็ไม่ต้องฉีดยาฆ่ายา ใส่ปุ๋ย แค่น้ำฝนอย่างเดียว ผลผลิตมันก็ไม่รู้จะงามยังไงแล้ว ลองดอาพริก ผัก ปลา เสร็จแล้วเอาปุ๋ยใส่ น้ำรด อีกแปลงไม่ต้องใส่ปุ๋ยสิ รอฝนตกใส่ ฝนตกใส่ 1 วัน กับ ใส่ปุ๋ย 1 อาทิตย์อันไหนงามกว่า น้ำฝนไง เราก็รู้อยู่เต็มอก ถามว่าบ้านเราจำเป็นหรือไม่ ผมเติบโตมามันมีที่ไหนเล่า มีข้าวกินไร่ละตันกว่า ไม่เคยใช้ ก็ได้น้ำฝนนี่แหละ งานที่ผมช่วยพ่อทำแล้วมีความสุขที่สุด คือ ถือพลั่วเดินตามพ่อไปเล่นน้ำฝน ทิ่ม ตรงไหนมีรู เสียมตอกไป ทิ่ม อุด ย่ำ นี่คือวิถีที่มีความสุขของชาวนาสมัยก่อน

อีกอย่าง ป่าเป็นแหล่งอาหาร เป็นแหล่งยา เป็นที่มนุษย์ยังชีพได้ คุณเข้าป่าไม่มีอดตายนะ สำหรับบ้านเรา เป็นอาหาร ทั้งยา ทั้งเครื่องนุ่งห่ม ทั้งที่อยู่อาศัย โขนไม้ยังอยู่ได้เลย แดดจัดก็อยู่ใต้โขนไม้นอนหลับสบาย ฝนตกมันก็ยังอาศัยใบไม้ปิดกั้นได้ ดูสิขนาดพวกสัตว์ หรือ คนที่อยู่กับป่า เช่น ผีตองเหลือง ใช้ใบตอง ใช้ใบไม้ มีชีวิตอยู่สบาย แต่เรากำลังทำลายมันหมด เพราะฉะนั้น ชีวิตคนมันจึงอยู่ยากแล้วในยุคปัจจุบัน ในหลวงทรงกล่าวว่า ชีวิตนี้ไม่พอที่จะดำรงชีวิตได้ อาหารเริ่มไม่พอเพียงแล้ว มีคนอดตายทั่วโลกมหาศาล ยิ่งสถานการณ์ภัยพิบัติที่กำลังเกิดขึ้น และล่าสุด แผ่นดินไหวในเนปาล ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ไม่มีน้ำจะกิน ไม่มีบ้านจะอยู่ ที่น่ากลัวที่สุดตอนนี้ หลังจาก aftershock ไม่น่ากลัวเท่าโรคระบาด คือถ้าไม่มีส้วม ไม่มีบ้าน ใช้ชีวิตเรี่ยราด แล้วคนตายเยอะขนาดนี้ โรคระบาดนี่น่ากลัวกว่า aftershock อีก นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น

• ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าวิถีชีวิตคนเราในปัจจุบัน มันค่อนข้างที่จะละทิ้งความเป็นเรา คือด้วยที่ว่าเราจงใจหรือไม่ตั้งใจรึเปล่า

คือคนไทยมันอ่อนแอ มันถูกล่ามาตลอด เราก็เหมือนถูกเขาล่า ครั้งแรกมันเอาปืนมาบังคับแล้วเอาแผ่นดินไป จนเหลือไม่ถึงครึ่งนะ เราก็สู้ไม่ไหวไง ในเชิงการรบทัพด้วยอาวุธ ด้วยเรือ ปืน เราสู้เขาไม่ได้เพราะไม่ได้พัฒนาเรื่องนี้มา แต่ปัจจุบันนี้มันเป็นการรบทางวัฒนธรรม มันเป็นการลวงให้เราหลงเพ้อว่า วิถีชีวิตแบบตะวันตกนั่นมันผู้ดี เราก็หลงเพ้อตามเขา เขาทำแบบไหน ทำแบบเศรษฐกิจการค้า การค้าทำให้เขารวย ปืนค้าไป เอาปืนบังคับไป ยึดแผ่นดินเพื่อนบ้าน เป็นดินแดนของตัวเอง แล้วก็เปิดค้าและอ้างเสรีกับเราไง แต่ประเทศยากจนไม่ใช่เสรี มึงจงเสรีกับกูที่จะเข้าไปยึดครองมึง นี่แหละเสรีนิยม นั่นสุดโต่งไปขนาดนั้น เราก็ถูกประเทศทั่วโลกกดดัน เพราะอะไร ก็เพราะเรามีทรัพยากรมาก ปลาในทะเลไทยมี 200 ล้านไร่ แผ่นดินเราตีซะว่า 320 ล้านไร่ มันมีทรัพยากรสมบูรณ์มาก ใครก็อยากได้ ของกิน มันผลิตล้น มันก็อยากได้ข้าวเราเพราะอร่อย ไม่มีพิษ หรือปลาก็ไม่มีพิษ เราส่งออกปลา ผลผลิตอาหารทะเล เรากินไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นให้คนอื่นกินหมด อันดับ 1 ข้าวอาจจะกินในประเทศมากกว่าครึ่ง เพราะเราส่งออกเยอะที่สุดในโลก อาจจะแพ้ตอนจำนำข้าว แต่ว่าตอนนี้เรากลับมาแล้ว ซึ่งมันเป็นระบบซึ่งเราแข็งแรงอยู่ แต่เรากำลังทำลายฐานที่มั่นตัวเองไง มันเหมือนคนนั่งบนกิ่งไม้ แล้วก็เลื่อยโคน แล้วก็จะตกลงมาตาย นั่นแหละคือความเขลาของเรา

• แต่ก็ยังมีนะครับที่ ที่ยังมีพูดถึงปัญหาแบบนี้อยู่ อย่างภาพยนตร์เรื่อง Food Inc. ก็มีตีแผ่อยู่บ้าง

ก็มีอยู่แต่มันเป็นเป็นชนกลุ่มน้อย ผมก็เห็นอยู่ดูอยู่ มันก็ต้านนะ พวกอาหาร food inc แต่เหมือนกับต้านไม่อยู่ กระแสมันหลากไปรุนแรง เร็ว ที่จริงมันเป็นธรรมะ พระพุทธเจ้าเคยบอกว่า ถ้าตั้งต้นอยู่ในความสบาย หายนะจะมาเยือน อกุศลธรรมจะเจริญ กุศลธรรมจะเสื่อม แต่ถ้าตั้งตนอยู่ในความลำบาก มันจะกลับกันเลยนะ แต่คนในตอนนี้มันตั้งตนที่ความสบายก่อน คนที่สบาย มันจะยิ่งเผาผลาญ คนเลยนอนห้องใหญ่เลย ติดแอร์ในห้องนอนไม่รู้กี่ตัน สบาย เผาผลาญพลังงาน เดินทางรถคันใหญ่ สบาย เผาไป คันเดียวไม่พอ ต้องมีหน้าหลัง อีก 10 คัน มันก็ยิ่งเผาผลาญ เดินทางคนเดียวมันจะเผาผลาญมั้ย โลกก็ทนไม่ไหว จะทำยังไง ควรจะมีชีวิตเรียบง่าย

ในหลวงพยายามจะทำให้ดูว่า ใช้ชีวิตเรียบง่าย ประหยัด พยายามจะห้าม พยายามจะบอกว่า รถขบวนหนึ่งอ่ะ อย่าให้มันสิ้นเปลืองเกินไป แล้วคนทั่วๆ ไป ถ้าไม่ได้มีภารกิจ ไม่ได้มีตำแหน่งที่มีหน่วยงานที่ต้องมากำกับ แต่ก็อยากจะมีชีวิตหรูหรา มันก็ทนไม่ไหว เราหลงลืมไป เพราะเรารักสบายไง ก็ต้องไปเอาพลังงานอื่นมาป้อนเรา ก็เผาโลกต่อ ไปขุดใต้ดินมา ตอนนี้มีพื้นดิน แหล่งน้ำหลายที่ เหมือนมีรูน่ะ น้ำไหลไปไม่รู้เท่าไหร่ ดูตามคลิปตามอะไร คุณดูสิ เห็นมันดูดเจาะขึ้นมา มันก็ต้องมีสิ่งอะไรลงไปแทน คุณดูดน้ำใต้ดินลงมา น้ำก็ลงไปแทน มันก็มีช่องรั่วลึกลงไปแทน หรืออะไรซักอย่างให้ธรรมชาติมันสมดุล

• อยู่แบบเรา โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง นั่นแหละคือดีที่สุดแล้ว

เพราะฉะนั้น เราก็ต้องปรับใจเรา อย่าไปตัดป่าสิ มันร้อนตายห่า นอนใต้ร่มไม้ เย็นสบายอยู่แล้ว คุณจะไปรื้อออกแล้วสร้างตึก คุณว่ามันโง่มั้ยล่ะ ต้นไม้ใหญ่ๆ มีร่มเงา ออกซิเจนก็เยอะ แล้วไปตัดต้นไม้ออก แล้วสร้างตึก แล้วเอาแอร์มาติด แล้วออกซิเจนก็ไม่มี คุณว่า โง่ หรือ ฉลาด ตรรกะง่ายๆ เมืองเขาเมืองหิมะตก เขามีเมืองร่มรื่นแบบเราที่ไหน ป่าเขาก็มีแต่ป่าสน หนึ่งไร่ของเขา มีต้นไม้ไม่กี่ชนิด เมื่อเทียบกับบ้านเรา 1 ไร่ มีต้นไม้ไม่รู้กี่ชนิด เก็บอะไรก็เป็นยาหมด แต่เราไม่เคยสอนเรื่องนี้เลย ดูฝรั่ง มันก็มาสอนให้เราตัดทิ้งหมด หลอกให้เราปลูกข้าวโพดอย่างเดียว แล้วส่งไปให้มัน ส่งไปให้วัวควายกิน แล้วเราก็บ้าตามเขา ส่งไปให้มันกิน พอส่งเสร็จ มันก็ส่งนมมาให้เรากิน คุณคิดว่าเราโง่หรือฉลาดล่ะ นี่แหละคือระบบในการพัฒนาประเทศของเรา ที่ฝรั่งมาสอน ซึ่งเราก็โง่มาตลอดชีวิตเรา หลงคิดว่า ฝรั่งมันดีกว่าเรา แต่แท้จริงเราก็รู้ว่า เราโหยหาชีวิตที่อยู่กับคลอง ไปขับเรือเล่น ไปเล่นน้ำ ไปอยู่กับธรรมชาติ เศรษฐีก็ไปซื้อที่ติดแม่น้ำ สร้างบ้านแล้วก็ไปนั่งพายเรือเล่นเรืออยู่กับธรรมชาติ แต่คุณทำลายธรรมชาติ ดูสิว่าเราโง่ขนาดไหน สุดท้ายเราก็โหยหา และไม่มีแล้ว คุณไปบางพื้นที่ริมแม่น้ำ มีแต่ตึกเต็มไปหมด ร้อนระอุ เป่าแอร์พ่น พายเรือลงแม่น้ำ เจอแอร์พ่น แล้วไปเรียกว่าความเจริญ แต่จริงๆ แล้วมันจะเจริญได้ไง

• การกลับไปสู่จุดเริ่มต้น (Back To Basic) ก็เป็นอีกวิธีที่อาจจะช่วยแก้ไขได้อีกเปราะหนึ่ง

มีส่วนหนึ่งที่พึงพอใจกับ back to basic แบบถอยกลับสู่วิถีที่มั่นคง คือคุณกลับสู่ดินยังไงก็มั่นคงอยู่แล้ว เพราะมันมีทุกอย่างในดิน ขุดลงไปคุณก็เจอน้ำ ใต้ดิน กินได้ ปลอดภัย ดินมันเป็นตัว treat สารพิษได้ทุกชนิด แม้กระทั่งรังสีอันตรายจากระเบิดปรมาณู ดินมันเป็นตัวป้องกัน ระเบิดรังสีปรมาณู ป้องกัน สารพิษได้ทุกชนิด คนเจ็บป่วยจับเอาฝังดิน มันดูดพิษออกมา ฉะนั้น ถ้าคุณ back to basic กลับสู่ดินได้จริงๆ ชีวิตมันจะมั่นคงมาก นั่นคือปัจจัยของมัน แต่หลายคนไม่ได้เป็นถึงขั้นนั้น มันเป็นไม่ได้ เราไม่ใช่เศรษฐกิจสมัยหิน เราต้องปรับตัวให้พอเหมาะพอดี ความพอดีกับฐานะ นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ ความพอดีกับกำลังของสังคม ความพอดีกับแผ่นดิน กำลังของน้ำ กำลังของอากาศ เพราะฉะนั้น เกษตรจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะมันเป็นเรื่องอาหาร

แต่ถ้าคุณทำเกษตรผิด แปลว่าอาหารคุณจะไม่มีกิน หรือมีกิน แต่ก็จะเป็นพิษที่ทำลายตัวคุณในที่สุด เพราะเกษตรจึงเป็นฐาน เราเรียกว่ากสิกรรม เกษตรโดยศัพท์มันแปลว่ารวย เราไม่ได้อยากรวยทรัพย์สิน แต่เราอยากรวยเพื่อน อยากรวยดิน รวยน้ำ รวยอากาศบริสุทธิ์ ไปที่ไหนก็ได้เรามีบ้านเต็มไปหมด นอนได้ทุกแห่งในโลก มีบ้านเต็ม ก็ไม่ต้องมีเงิน

คือคนไทยต้องมีข้าวกิน แต่ว่าเรากำลังพัฒนาคนของเราเป็นคนขี้โรค ให้เป็นคนที่แข่งขันกันเอารวย เรากำลังจัดระบบการศึกษาที่ผิดพลาด ทำลายตัวเองอย่างรุนแรง ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องของกสิกรรม-เกษตร อย่างเดียว มันเป็นเรื่องของการศึกษาและการพัฒนามนุษย์ด้วย ฉะนั้นแล้ว เราต้องสร้างมนุษย์ให้ขยันและให้รู้จักพอ ไม่งั้นมันจะมีพอได้ไง พัฒนามนุษย์ต้องขยัน ขยันโง่ๆ ไม่พอ ต้องให้ฉลาดด้วย คุณจะได้มีเหลือ มีเหลือคุณก็จะเป็นคนมีค่า ไปจุนเจือเพื่อนอีก จุนเจือสังคม และก็จุนเจือเพื่อนประเทศอื่น

• ทุกวันนี้ เกษตรกร ก็รู้ทันมากขึ้น

มากขึ้น เพราะมันขยายไปเรื่อยๆ ทั้งชาวไร่ ชาวนา คุณลองไปดูทีวีสิ พวกเขามีการทำน้ำหมัก ปุ๋ยชีวภาพเองกันแล้ว ซึ่งแตกต่างจากตอนที่ผมเริ่มใหม่ๆ จะถูกกลายเป็นเรื่องตลก หรือแม้แต่ตอนที่ผมเอาน้ำไปหยอดลงไปแม่น้ำลำคลอง อย่างคลองแสนแสบ ก็ถูก กทม. ฟ้องร้อง สภาก็เรียกไปชี้แจง ผมก็บอกเลยว่า ถ้าอยากรู้ให้ไปดูของจริง มาเราจะบอก สาธิตให้ เกิดผลยังไงมาดูของจริง เขาก็ไปดู คึกคักกัน แล้วก็มีลูกศิษย์มาชี้แจง มันก็กลายเป็นกระแส เดี๋ยวนี้ไอ้พวกที่ต่อต้านตอนแรก กลายเป็นลุกขึ้นมาทั้งผู้ว่าฯ ใครต่อใคร มาหยอดน้ำลงคลอง ซึ่งผมทำมาตั้งแต่ 2540-41 มาเรื่อยๆ โดนด่ามาตั้งแต่นั้น แต่เดี๋ยวนี้ทำกันทั้งประเทศแล้ว

• นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีนะครับ

ที่จริงมันก็มีทางแก้นั่นแหละ แต่ค่าใช้จ่ายมันแพงไง มันไม่เหมาะกับฐานะเรา อย่างลุ่มน้ำ การจัดการ เขาใช้เงินถึงแสนล้าน แต่เราทำใช้แค่หมื่นล้าน คือจะไปหาที่ไหนละ มันประหยัดได้เยอะ เป็น 10 เท่า อาจจะ 20-30 เท่า ถ้าเราใจเย็น เงินเราอาจจะใช้น้อยมาก ขนาดนี้ น้ำแล้งบางพื้นที่ ผมบอกเลยว่าอย่ารองบประมาณ ไปเอาจอบมาคนละอัน มาช่วยกันขุด เราก็ได้ฝายคลองและคันนาแล้ว เอาท้องนานี่แหละเป็นหนองน้ำ ปั้นคันนาให้ใหญ่ ฝนตกก็เก็บไว้ได้ เดี๋ยวนี้หลายรายแล้วนะที่ทำกัน ไม่มีเงินแต่มาออกแรง ไม่ต้องเสียเงิน ใช้แบ็คโฮคนนี่แหละ กินข้าว กินน้ำ วันละคิว ก็ไปได้ ลงแขกกัน ทำไมพวกฟิลิปปินส์ อินโด เวียดนาม หรือคนไทยในอดีตที่อยู่ตามเขา เขาขุดนาขั้นบันได เขากั้นฝายแล้วขุดคลองในเขาชันๆ ก็เกาะน้ำวิ่งข้ามภูเขา ทำเป็นนาขั้นภูเขาน่ะ เต็มไปหมดทั้งประเทศ ทำไมยังทำกันได้ล่ะ

• อยากจะบอกอะไรกับพวกเขาที่ยังไม่เชื่อในทฤษฎีนี้ครับ

ถ้าจะแนะนำให้ศึกษาว่า วิถีชีวิตที่เรากำลังทำและเดินตามวิถีสะดวกสบายเนี่ย มันทำให้โลกใบนี้ทนไม่ได้หรอก ชีวิตที่ดีไม่ใช่ชีวิตที่เอาแต่สะดวกสบาย พระพุทธเจ้า สอนให้เราตั้งตนอยู่ในความลำบาก คือถ้าคุณไม่ลำบาก แล้วจะเป็นแชมป์ได้ยังไง อยากจะเป็นนักกีฬาที่เก่ง อยากเรียนเก่ง หรือ อยากทำงานเก่ง มันก็ต้องฝึกฝนกันทั้งนั้น การตั้งตนอยู่ในความลำบากนี่แหละมันจะทำให้กุศลธรรมเจริญ จะทำให้ชีวิตเรามีความสุข คุณลองดูสิ ออกไปเดิน ออกไปขุดดินขุดหญ้า คนสมัยโบราณ เขาคว้าจอบขุดดิน หลับสบาย ยาก็ไม่ต้องกิน สุขกาย นอนหลับ แถมหลั่งสารสร้างความสุขออกมา ไม่เจ็บไม่ป่วย สุขภาพกายก็ดี สุขภาพใจก็สบาย มีความสุขแบบง่ายๆ



เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ปวริศร์ แพงราช

กำลังโหลดความคิดเห็น