พ่อเมืองแปดริ้วตั้งโต๊ะแถลง เศรษฐกิจโตติดแถวหน้าของประเทศ(ชมคลิป)

ฉะเชิงเทรา - พ่อเมืองแปดริ้วตั้งโต๊ะแถลง เผยตัวเลขทางเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่องไม่หยุด ล่าสุดติดลำดับกลุ่มแถวหน้าของประเทศ ขณะรายได้ต่อหัวอยู่ลำดับ 2 ของประเทศ ภาคเกษตรกรตกต่ำถดถอยลง 2.3% ด้านตัวเลขจีพีพีอยู่ลำดับ 5 ของประเทศ



วันนี้(7 พ.ค.) นายอนุกูล ตังคณานุกูลชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา แถลงข่าวการเติบโตทางเศรษฐกิจของจังหวัด ว่ายังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ทำให้ค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด(GPP)ปี 2556 ติดอยู่ในกลุ่ม 1 ใน 5 ของประเทศ รองจากระยอง กรุงเทพฯ ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ขณะที่รายได้ต่อหัวประชากรมีการเติบอยู่ในลำดับที่ 2 ของประเทศ รองจากระยองเท่านั้น

ซึ่งในปี 2558 จากฐานข้อมูลทางเศรษฐกิจ โดยสำนักงานคลังจังหวัดฉะเชิงเทรา ทุกภาคส่วนในจังหวัดได้ทำการรวบรวม พบว่าตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงไตรมาส 2 ของปี 2558 ได้เห็นแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่จะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 5.3 จากที่หดตัวลงไปร้อยละ -3.3 ในปี 2557 ซึ่งเป็นปัจจัยบวกจากแรงขับเคลื่อนหลักในการลงทุนของภาคเอกชน ตามการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยสะท้อนจากปริมาณการอนุญาตพื้นที่ทำการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ และการก่อสร้างอื่นๆ ซึ่งเป็นไปตามการขยายตัวของการลงทุนภาคธุรกิจ และความต้องการที่อยู่อาศัยของแรงงานที่ไหลเข้ามาใหม่ในพื้นที่เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการใช้จ่ายจากภาครัฐที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

ขณะที่จังหวัดต้องการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจากที่ประมาณการไว้ในช่วง 8 เดือนที่เหลือนี้ จึงได้ตั้งคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำประมาณการเศรษฐกิจขึ้น โดยทำหน้าที่บูรณาการข้อมูลเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตของจังหวัด เพื่อให้ค่า GPP ในปี 2558 เพิ่มขึ้นแบบมีเป้าหมายและนัยสำคัญ ด้วยการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชื่อมโยงจากภาคเกษตรกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรม และกระตุ้นการใช้จ่าย

ซึ่งกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในจังหวัดฉะเชิงเทรานั้น ประกอบด้วย เดือนเม.ย.-มิ.ย. จัดงานมะม่วงและของดีเมืองแปดริ้ว 8-10 พ.ค. จัดงานมหกรรมแพทย์แผนไทยแห่งชาติ โดยเน้นการใช้ยาสมุนไพรพืชผักพื้นบ้านแก้อาการโรคก่อนไปหาหมอ ที่บริเวณวัดสมานรัตนาราม และจัดงานย้อนรอย 114 ปี ตลาดเก่าคลองสวน ที่มีการละเล่นการแสดงศิลปวัฒนธรรม การขับร้องเพลงรำวงย้อนยุค การเลือกชิมอาหาร และซื้อสินค้าขึ้นชื่อของชาวชุมชนตลาดคลองสวน เดือนส.ค. จัดงานตลาดโบราณนครเนื่องเขต งานถนนคนเดินตลาดโบราณ ในรูปแบบของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมและวิถีชีวิตความเป็นไทย

ขณะเดียวกันจังหวัดมีแหล่งท่องเที่ยวและสินค้าที่หลากหลาย สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เช่น การล่องเรือชมทัศนียภาพอันงดงามของลำน้ำบางปะกง ก่อนแวะรับประทานอาหารด้วยเมนูกุ้งแม่น้ำ และปลากะพงสดๆ ชมหิ่งห้อยยามค่ำคืน และดูดาวที่หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ประจำภูมิภาค ตลอดจนการเที่ยวชมสินค้าเกษตรปลอดสารพิษ (Farmers Market) ในวันอังคาร และวันศุกร์ ที่บริเวณลานจอดรถสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ฝั่งตรงข้ามเยื้องศาลากลาง

นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินทางไปทำพิซซ่าทานเองได้ที่มินิมูร่าห์ ฟาร์ม และแวะทานมะม่วงก่อนส่งออก การซื้อผักสดปลอดภัยสูง เนื้อสุกรปลอดภัยสูงกลับไปบริโภค

จากข้อมูลทั้งหมดนี้ จังหวัดจึงถือว่ามีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย และอยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ สามารถรองรับคนจากกรุงเทพฯ และแหล่งอุตสาหกรรมโดยรอบที่มีกว่า 15 ล้านคนได้ ด้วยถนนขนาด 8 เลน เชื่อมต่อมอเตอร์เวย์ เดินทางไปกลับได้ในวันเดียว และในอนาคตจะมีรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูงผ่านเข้ามายังในพื้นที่ จึงเหมาะแก่การทำการค้า การลงทุน โดยมีจุดแข็งที่สำคัญ คือ อยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ และสนามบินสุวรรณภูมิ จึงมีความพร้อมที่จะรองรับต่อการลงทุนได้จากทุกภาคส่วน

ขณะเดียวกันในอนาคตยังจะมีโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบกลาง การทดสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ยางล้อ และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการจ้างงาน การจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ขนาดใหญ่ เข้ามาก่อตั้งอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก เช่น โตโยต้า และอีซูซุ จึงทำให้ทางจังหวัดมีแนวคิดที่จะจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อศึกษาดูงาน การจัดเป็นหลักสูตรการฝึกอบรมดูชิ้นส่วนยานยนต์ต่างๆ เป็นแบบ Package ไปยังหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อการศึกษาดูงานและท่องเที่ยวแบบควบคู่กันไป

ด้านน.ส.ประเทืองทิพย์ ธีรเวชเจริญชัย หัวหน้าสำนักงานคลังจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจังหวัดมีการเติบโตทางเศรษฐกิจจากภาคอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ปี 2556 ที่ผ่านมา จนทำให้มีการลงทุนในการก่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นมาก จากเดิมที่มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 1,901 แห่ง ในปี 2557 มีโรงงานเกิดขึ้นใหม่อีกจำนวน 75 แห่ง รวมเป็น 1,976 แห่ง แต่การเติบโตในภาคเกษตรนั้นกลับมีการถดถอยหดตัวลงไปที่ร้อยละ 2.3