คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.กกต.มีมติยกคำร้องคดี “ยิ่งลักษณ์” ทัวร์นกขมิ้น-ใช้สื่อของรัฐหาเสียงเลือกตั้ง พร้อมยกคำร้องยุบ ปชป.ปม กก.บห.ขึ้นเวที กปปส.!
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. นายดุษฎี พรสุขสวัสดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย แถลงผลประชุม กกต.ว่า ที่ประชุมมีมติยกคำร้องคดีที่มีการกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก กรณีลงพื้นที่ตรวจราชการในภาคเหนือและภาคอีสานในระหว่างที่มี พ.ร.ฎ.กำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.2557 ว่าเป็นการกระทำผิดฐานใช้ทรัพยากรและบุคลากรของรัฐไปในการหาเสียง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 181(4) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 53 และ 57
โดย กกต.มีความเห็นว่า แม้ขณะนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์จะมีสถานะเป็นแค่รักษานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องจากมีการยุบสภา แต่ก็ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจราชการได้ กกต.พิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ไม่พบการกระทำที่เข้าข่ายใช้ทรัพยากรของรัฐและส่วนราชการในการหาเสียง หรือใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางมิชอบแต่อย่างใด
นอกจากนี้ กกต.ยังมีมติยกคำร้องกรณีที่มีการกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โฆษณาโครงการรับจำนำข้าวว่าเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิดในคะแนนนิยม ซึ่ง กกต.พิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ไม่พบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีการกระทำตามข้อกล่าวหาหรือฝ่าฝืนกฎหมายแต่อย่างใด
พร้อมกันนี้ กกต.ยังได้พิจารณาคำร้องที่นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย(พท.) ร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) เนื่องจากหัวหน้าพรรคและกรรมการพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ขณะที่ยังเป็น ส.ส.อยู่ และรู้เห็นเป็นใจสนับสนุนให้มีการชุมนุม รวมถึงมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงโจมตีพรรคเพื่อไทย โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าการกระทำดังกล่าวฝ่าฝืนกฎหมาย กกต.จึงพิจารณายกคำร้อง
นอกจากนี้ กกต.ยังมีมติยกคำร้องคัดค้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กรณีถูกกล่าวหาว่าแถลงข่าวใส่ร้ายพรรคเพื่อไทยและผู้สมัครพรรคเพื่อไทยให้เกิดความเสียหายด้วย โดย กกต.เห็นว่าการแถลงของนายชวนนท์ไม่ได้เป็นการใส่ร้ายป้ายสีแต่อย่างใด
2.ฝนถล่ม กทม.-น้ำท่วมขังหลายจุด “สุขุมพันธุ์” อ้าง ฝนหนักเกินคาด บอกใครกลัวท่วมต้องไปอยู่ดอย ด้าน “บิ๊กตู่” ฉุนเตือนแล้วจะเกิดพายุ!
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 24 มี.ค.ได้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ กทม.ส่งผลให้มีน้ำท่วมขังในถนนหลายสายเนื่องจากน้ำระบายไม่ทัน โดยเฉพาะบริเวณถนนอโศกมนตรี เกิดน้ำท่วมขังสูง 30-40 ซม. สำนักระบายน้ำ กทม.ต้องเร่งสูบน้ำเพื่อระบายให้แห้ง โดยใช้เวลานานกว่า 2 ชม.ขณะเดียวกัน ได้เกิดน้ำทะลักกลางห้างท็อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต สาขาโรบินสันสุขุมวิท 19 ซึ่งตั้งอยู่ชั้นใต้ดิน ทำให้เกิดน้ำท่วมขังในห้างสูงถึง 50 ซม. โดย ร.ต.บุญธรรม หุยประเสริฐ ผู้อำนวยการเขตวัฒนา เผยว่า จากการตรวจสอบการทะลักของน้ำกลางห้างดังกล่าว เกิดจากระบบระบายน้ำของห้างไม่สมบูรณ์ ทำให้ระบายน้ำออกคูน้ำบริเวณซอยสุขุมวิท 19 ไม่ทัน เกิดเป็นแรงดันน้ำภายในท่อระบายน้ำที่อยู่ด้านล่าง กระทั่งน้ำทะลักขึ้นมากลางห้าง
นอกจากนี้ผลจากฝนตกหนัก ยังทำให้ระเบียงอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น บริเวณปากซอยศาลเจ้าเจ็ด ถนนสี่พระยา ถล่มลงมาใส่รถแท็กซี่ที่จอดอยู่ได้รับความเสียหาย โชคดีไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า อาคารดังกล่าวเป็นอาคารร้าง มีการก่อสร้างแนวอิฐเพิ่มเติมบนหลังคา ซึ่งมีสภาพทรุดโทรม เมื่อเกิดฝนตกหนัก จึงทำให้อิฐรับน้ำหนักไม่ไหว หล่นลงมาทับกันสาดที่เป็นสังกะสีและร่วงลงมาด้านล่างที่แท็กซี่จอดอยู่
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง กทม.ประสบปัญหาน้ำท่วมขังจากการระบายไม่ทันในหลายพื้นที่ ปรากฏว่า ในโซเชียลมีเดียได้มีการถามหา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.กันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากไม่เห็น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ลงพื้นที่แก้ปัญหา ซึ่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้เปิดแถลงในวันต่อมา(25 มี.ค.) พร้อมด้วยนายสัญญา ชีนิมิตร ปลัด กทม. ,นายอดิศักดิ์ ขันตี รองปลัด กทม. และนายกังวาฬ ดีสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักระบายน้ำ โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ฝนตกหนัก ปริมาณน้ำฝน 70 มิลลิเมตร ซึ่ง กทม.ทราบจากพยากรณ์อากาศว่าจะมีฝนตก แต่ไม่คาดคิดว่าจะหนักมากถึงขั้นทำให้เกิดน้ำท่วม โดยเป็นผลจากพายุฤดูร้อน และว่า หลังเกิดน้ำท่วมขัง กทม.เร่งระบายน้ำในถนนสายหลักให้แห้งภายใน 1 ชม.ยกเว้นถนนอโศกมนตรีที่ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. เนื่องจากที่รองรับน้ำ คือคลองแสนแสบ ยังมีปริมาณกักเก็บสูงเพื่อเกษตรกร ซึ่งเป็นการตั้งรับกับปัญหาภัยแล้ง ส่วนที่ถนนพระราม 9 ซอย 7 ที่น้ำท่วมสูง เป็นพื้นที่ของเอกชน ที่ผ่านมา กทม.พยายามขอเข้าพื้นที่แก้ปัญหา แต่ประชาชนในซอยไม่อนุญาต
ทั้งนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยอมรับว่า ปัญหาน้ำท่วมขังที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาด เพราะไม่คาดคิดว่าฝนจะตกหนักขนาดนี้ แต่ยืนยันว่า กทม.รับมือได้ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่งชี้ว่า กทม.รับมือได้ ขนาดไม่ได้ตั้งทัพรับมือฝน เพราะอยู่ในช่วงขุดลอกคูคลอง ซ่อมเครื่องสูบน้ำ ยังสามารถรับมือได้ ไม่อยากให้ประชาชนกังวลเกินไป กทม.ได้พัฒนาระบบระบายน้ำต่อเนื่อง กำลังสร้างอุโมงค์ยักษ์แห่งที่ 2 จะเสร็จในปี 2559”
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยังกล่าวด้วยว่า “กรุงเทพฯ เป็นเมืองน้ำ เป็นเมืองฝน ถ้าไม่อยากเจอน้ำท่วมก็ขึ้นไปอยู่บนดอย ใครจะว่าผม ผมไม่ว่า เพราะอยู่ตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องถูกว่าอยู่แล้ว แต่ขออย่าว่าคน กทม.ที่ออกมาทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหา เราเป็นมนุษย์ที่มีการคาดการณ์ผิดได้ ขอให้ว่าผมคนเดียว เป็นความผิดผมเองที่ไม่รู้ว่าฝนจะตกหนักขนาดนี้...” ทั้งนี้ คำพูดของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ที่คล้ายกับไล่ให้คนที่กลัวน้ำท่วม ไปอยู่บนดอย ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง กระทั่งภายหลัง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ต้องออกมาบอกว่าคำพูดดังกล่าวเป็นการพูดเล่น
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้กล่าวก่อนเดินทางไปเยือนบรูไนเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ด้วยอารมณ์ไม่พอใจถึงกรณีที่ฝนตกหนักจนมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ของ กทม.เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ว่า ได้สั่งการให้ กทม.และ คสช.ไปช่วยกันดูแล ตนเตือนตั้งแต่สองสัปดาห์ที่แล้วว่าจะมีพายุฤดูร้อนเข้ามา แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบ รับผิดชอบกันแค่ไหน จะไล่ตรวจสอบ กำลังให้ตรวจสอบ กทม.ด้วย ปัญหาการระบายน้ำอยู่ตรงไหน แล้วมาตามแก้กัน นี่คือปัญหาของประเทศไทย ทำงานแบบเชิงรับกันตลอด
3.“ธัมมชโย” เบี้ยวนัดให้ปากคำดีเอสไอซ้ำสอง ส่งทนาย-ลูกศิษย์วัดแจงแทน ด้าน ปปง.อายัดทรัพย์ “ศุภชัย” เพิ่ม พบชิงขายที่ดินให้ลูกสาว “อนันต์ อัศวโภคิน” เกือบ 300 ล้าน!
เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่พระเทพญาณมหามุนี หรือธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ตามหมายเรียกกรณีรับเช็คจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานกรรมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ผู้ต้องหายักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ กว่า 16,000 ล้านบาท หลังจากธัมมชโยไม่ยอมเข้าให้ปากคำตามหมายเรียกครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มี.ค. โดยอ้างว่าป่วยและขอรวบรวมเอกสารหลักฐาน กระทั่งนัดใหม่เป็นวันที่ 26 มี.ค.
ปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนด ธัมมชโยก็ไม่เข้าให้ปากคำอีกตามเคย โดยส่งนายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายความ และพระมหาบุญชัย จารุทัตโต ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี วัดพระธรรมกาย เข้าให้ปากคำแทน โดยนายสัมพันธ์ กล่าวว่า นำพระมหาบุญชัยเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อสอบปากคำกรณีเช็ค 15 ฉบับที่เข้าบัญชีวัดและบัญชีส่วนตัว ซึ่งได้นำเงินไปสร้างศาสนสถานแล้ว โดยนำหลักฐานการนำเช็คเข้าบัญชีทั้งในส่วนของวัดและบัญชีของพระธัมมชโยมามอบให้พนักงานสอบสวนทั้งหมด หากพนักงานสอบสวนเห็นว่ามีความชัดเจนแล้ว จะปรึกษาว่าคงไม่จำเป็นต้องให้พระธัมมชโยมาให้ปากคำอีก เพราะพระธัมมชโยยืนยันมาโดยตลอดว่า ไม่เคยเห็นเช็ค และไม่เคยจับเช็ค เนื่องจากอยู่ในซอง ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมพระธัมมชโยไม่เดินทางมาเอง นายสัมพันธ์ กล่าวว่า “ท่านไม่รู้เรื่องอะไรเลย ท่านไม่เคยเห็นเช็ค จึงให้พระมหาบุญชัยที่รู้เรื่องมาให้ปากคำ เนื่องจากเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ท่านมา ก็ตอบอะไรไม่ได้”
ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะรองหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ กล่าวว่า หลังจากนี้ คณะพนักงานสอบสวนจะพิจารณาข้อมูลการให้ปากคำของพระมหาบุญชัยว่าเพียงพอหรือไม่ ยังจำเป็นต้องเรียกพระธัมมชโยเข้าชี้แจงด้วยตัวเองอีกหรือไม่ ส่วนจะมีการออกหมายจับพระธัมมชโยหรือไม่หลังขัดหมายรียกถึง 2 ครั้งนั้น พนักงานสอบสวนเห็นว่า ยังได้รับความร่วมมือจากพระธัมมชโยในการส่งเจ้าหน้าที่การเงินเข้าชี้แจงและยังสามารถติดต่อได้ หากยังต้องการข้อมูลจากพระธัมมชโยโดยตรง ก็คงต้องออกหมายเรียกอีกครั้ง
ขณะที่ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวะกุล ผอ.ส่วนตรวจ 2 สำนักเทคโนโลยีสารสนเทศและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ ดีเอสไอ กล่าวหลังประชุมร่วมกับนางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีดีเอสไอ ในวันต่อมา(27 มี.ค.) ถึงกรณีที่พระมหาบุญชัย เข้าให้ปากคำแทนพระธัมมชโยว่า พระมหาบุญชัยแจ้งว่า ได้รับเช็คเพียง 13 ใบ ส่วนอีก 2 ใบ ไม่ได้รับ ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้แจ้งให้พระมหาบุญชัยกลับไปตรวจสอบใหม่อีกครั้ง ซึ่งดีเอสไอยังไม่ได้กำหนดวันที่จะให้พระมหาบุญชัยมาพบ
พ.ต.ท.ปกรณ์ เผยด้วยว่า “ขณะนี้พนักงานสอบสวนสอบนิติบุคคลที่ได้รับเช็คจากนายศุภชัยไปแล้วกว่า 30 ราย จากทั้งหมด 43 ราย คาดว่าจะสอบปากคำเสร็จก่อนสงกรานต์นี้แน่นอน หลังจากนั้นจะตัดเช็คกว่า 200 ฉบับที่โอนให้นิติบุคคล ออกจากเช็คทั้งหมดจำนวน 878 ฉบับ ก่อนสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการ และขอยืนยันว่า พระธัมมชโยจำเป็นต้องมาให้ปากคำให้ข้อมูลต่อพนักงานสอบสวนด้วยตัวเอง” พ.ต.ท.ปกรณ์ ให้เหตุผลที่พระธัมมชโยควรมาให้ปากคำด้วยตัวเองว่า เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อพี่น้องประชาชน โดยหลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะประสานวัดพระธรรมกายเพื่อให้พระธัมมชโยมาให้ปากคำ แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าวันไหน
สำหรับความคืบหน้าการตรวจสอบเส้นทางเงินและการอายัดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ คลองจั่นนั้น เมื่อวันที่ 27 มี.ค. พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. ได้นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบบ้านของนางปทุมพร บุตรศรี ที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งเปิดเป็นสำนักทรงเจ้า หลังจากมีข้อมูลว่านางปทุมพรมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้ต้องหายักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ คลองจั่น และอาจจะมีการถ่ายโอนทรัพย์สินจำนวนมากไปไว้ที่บ้านดังกล่าวระหว่างปี 2555-2556 หลังเข้าตรวจสอบพบว่า บ้านมีเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้อายัดทรัพย์สินหลายรายการ เช่น กระเป๋าหรูแบรนด์เนมกว่า 40 ใบ ,รถยนต์หรู 7 คัน ,รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ 5 คัน และทองรูปพรรณอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปตรวจสอบแหล่งที่มา เบื้องต้นนางปทุมพรอ้างว่า นายศุภชัยเป็นลูกศิษย์ เคยมาพบ 3-4 ครั้ง และร่วมบริจาคทำบุญกับทางสำนักทรง ส่วนทรัพย์สินจำนวนมากของสำนักทรง นางปทุมพรก็อ้างว่า ได้มาจากการบริจาคของลูกศิษย์อีกหลายรายรวมกัน
ด้าน พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กำกับดูแลอาชญากรรมพิเศษ ได้นำพนักงานสอบสวนคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ คลองจั่น เข้าตรวจสอบโฉนดที่ดินที่นายศุภชัยที่ยักยอกเงินสหกรณ์ฯ คลองจั่นมาซื้อที่ดินใกล้วัดพระธรรมกาย ก่อนจะขายต่อให้ น.ส.อลิสา อัศวโภคิน บุตรสาวนายอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของบริษัทแลนด์แอนด์เฮาส์ รวม 8 แปลง ราคา 298 ล้านบาท โดยหลังการขาย นายศุภชัยไม่ได้นำเงินกลับคืนให้สหกรณ์แต่อย่างใด ซึ่งการขายที่ดังกล่าวมีขึ้นหลังนายศุภชัยถูกแจ้งข้อหายักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ แล้ว โดยถูกแจ้งข้อหาเมื่อวันที่ 19 เม.ย.2556 แต่ขายที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2556 ถือว่าพฤติการณ์ของนายศุภชัยเข้าองค์ประกอบการฟอกเงิน โดยนำเงินจากการกระทำผิดไปซื้อที่ดิน และขายเปลี่ยนมือเพื่อฟอกเงิน
นอกจากนี้ยังพบพิรุธจากการขายที่ดิน 8 แปลงดังกล่าว เพราะเป็นการขายในลักษณะฟันหลอ หรือซื้อแบบแปลงเว้นแปลง ซึ่งผิดปกติวิสัยของการกว้านซื้อที่ดินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เมื่อเรียกตรวจโฉนดที่ดินแปลงที่เป็นฟันหลอ จึงพบว่ามีชื่อนายศุภชัยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินอีก 9 แปลง ดังนั้นดีเอสไอจะเรียกบุคคลที่มีชื่อถือครองที่ดินร่วมกับนายศุภชัยในแปลงอื่นทั้งหมดมาตรวจสอบว่าเป็นนอมินีหรือไม่ รวมถึงเรียก น.ส.อลิสา เข้าให้ข้อมูลต่อดีเอสไอด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการบริษัท แลนด์แอนด์เฮาส์ บิดาของ น.ส.อลิสา ซึ่งซื้อที่ดินต่อจากนายศุภชัย ถือว่าเป็นโยมอุปัฏฐากคนสำคัญของวัดพระธรรมกาย ทั้งยังเป็นประธานโครงการก่อสร้างมหาธรรมกายเจดีย์อีกด้วย
4.ตำรวจรวบทีมฆ่า “พระหมอ” ได้แล้ว พบ “เสี่ยบั๊ก” เจ้าของ รพ.เอกอุดร คนบงการ!
ความคืบหน้าคดีคนร้ายบุกยิงพระอาจารย์บัณฑิต สุบัณฑิโต หรือ “พระหมอ” เจ้าอาวาสวัดป่าตอสีเสียด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 1 มี.ค.มรณภาพ หลังเดินบิณฑบาตและกำลังกลับวัด ทั้งนี้ แม้จะมีพยานเห็นเหตุการณ์ว่า คนร้ายเป็นชาย 2 คน ขับรถกระบะมาสด้า สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับตามหลังพระหมอ ก่อนใช้ปืนยิงใส่จากด้านหลัง 2 นัด และหลบหนีไป แต่เวลาผ่านไป 3 สัปดาห์ คดีก็ยังไม่คืบหน้า ไม่สามารถจับคนร้ายได้
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 24 มี.ค. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.ชัยญัติ สายถิ่น ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี และ พล.ต.ต.บุญลือ กอบางยาง ผู้บังคับการกองบังคับการฝึกพิเศษ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน มาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปก.ตร.) โดยขาดจากตำแหน่งเดิม โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้การปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.ต.ต.ชัยญัติ ถูกย้ายเนื่องจากคดีฆ่าพระหมอไม่คืบหน้า และไม่สามารถสั่งการหรือควบคุมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนคดีได้ ส่วน พล.ต.ต.บุญลือ เคยเป็นอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี และเคยมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับผู้ต้องสงสัยจ้างวานฆ่าพระหมอ
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.เผยว่า หลังจากได้ส่งทีมสืบสวนชุดพิเศษที่มี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าชุด ลงไปทำคดีฆ่าพระหมอ พบว่าคดีนี้น่าจะมีตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นเพื่อความสบายใจ และให้ทีมสืบสวนสอบสวนทำงานได้อย่างอิสระ ไม่มีข้อสงสัยจากพี่น้องประชาชน จึงได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.ชัยญัติ มาช่วยราชการที่ ศปก.ตร. ส่วน พล.ต.ต.บุญลือ ที่มีคำสั่งให้เข้ามาด้วยนั้น เนื่องจากเป็นอดีต ผบก.อุดรธานีมาก่อน เป็นผู้กว้างขวางและมีความรู้ความสามารถ ตนหรือผู้บังคับบัญชาท่านใดอาจจะมอบหมายภารกิจพิเศษหรือภารกิจสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ให้ไปปฏิบัติ นอกจากนี้ พล.ต.อ.สมยศ ยังมีคำสั่งให้ พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาราชการแทนผู้บังคับการปราบปราม ทำเรื่องเสนอขอโอนสำนวนการสอบสวนคดีฆ่าพระหมอจากตำรวจในพื้นที่ให้มาอยู่ในความรับผิดชอบของกองปราบปรามด้วย โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไม่ปกป้องช่วยเหลือตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก “ผมยืดอกรับว่าคดีนี้ตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้อง”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง พล.ต.อ.สมยศ สั่งย้าย 2 ผู้บังคับการดังกล่าว ตำรวจก็สามารถรวบตัวมือปืนที่ฆ่าพระหมอได้ในวันเดียวกัน ทราบชื่อคือ นายปัญจ๋า ชารีแสน อายุ 49 ปี เป็นชาว จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเจ้าตัวสารภาพว่า เป็นคนยิงพระหมอจริง โดยได้รับการติดต่อจาก ด.ต.ชาญชัย และได้รับค่าจ้าง 5 หมื่นบาท ซึ่งตำรวจได้เร่งติดตามตัว ด.ต.ชาญชัย สร้อยสังวาลย์ ตำรวจช่วยราชการปราบปรามยาเสพติด สภ.เมืองอุดรธานี โดยมีข่าวว่า ด.ต.ชาญชัย ได้หลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้านแล้ว
ทั้งนี้ จากการสอบขยายผล ทำให้ทราบว่ามี “เสี่ย บ.” เป็นผู้จ้างวานให้ฆ่าพระหมอ เพราะมีความขัดแย้งกับพระหมอ โดยมีหญิงคนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเสี่ย บ.ว่าจ้าง ด.ต.ชาญชัย ให้ติดต่อนายปัญจ๋า ซึ่งนายปัญจ๋าก่อเหตุโดยใช้ปืนลูกซองดัดแปลงยิงกระสุนเอ็ม 16 สังหาร ขณะที่ ด.ต.ชาญชัย เป็นคนขับรถให้นายปัญจ๋ายิงพระหมอ ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.กล่าวระหว่างแถลงจับกุมตัวนายปัญจ๋าว่า ด.ต.ชาญชัยเคยทำหน้าที่เป็นคนขับรถของ พล.ต.ต.บุญลือ กอบางยาง แต่อย่าเพิ่งมองว่า ทั้ง พล.ต.ต.บุญลือ และ พล.ต.ต.ชัยญัต ที่ถูกย้าย เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ต่อมา เย็นวันที่ 26 มี.ค. มีรายงานว่า ด.ต.ชาญชัย ถูกรวบตัวแล้วระหว่างหลบหนีอยู่ในประเทศลาว จากนั้น ตำรวจไทยได้ประสานกับทางการลาวเพื่อขอรับตัว ด.ต.ชาญชัย ซึ่งถูกทางการลาวจับกุมฐานหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยตำรวจไทยได้ไปรับตัว ด.ต.ชาญชัย กลับมาดำเนินคดีเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ซึ่ง ด.ต.ชาญชัย สารภาพว่า ได้รับค่าจ้างให้ฆ่าพระอาจารย์บัณฑิต 300,000 บาท แบ่งเป็น 3 ส่วน นายปัญจ๋า มือยิง ได้ 160,000 บาท นายบุญนาค หงษาคำ คนชี้เป้า ได้ 60,000 บาท ส่วนตน คนขับรถ ได้ 80,000 บาท ซึ่งตำรวจสามารถจับกุมนายบุญนาค ได้ในวันเดียวกัน
ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ด.ต.ชาญชัย เป็นกุญแจสำคัญ เป็นคนกลางที่รู้ว่าใครจ้างวาน สำหรับสาเหตุการสั่งสังหารพระหมอเกิดจากความเข้าใจผิด ระแวงของผู้จ้างวาน ทั้งนี้ วันเดียวกัน(27 มี.ค.) ตำรวจได้ออกหมายจับนายบรรเจิด ฉัตรไพฑูรย์ ประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลเอกอุดร ในฐานะผู้บงการจ้างวานฆ่า จากนั้นช่วงค่ำวันเดียวกัน ตำรวจ ได้เข้าควบคุมตัวนายบรรเจิด ที่โรงพยาบาลเอกอุดร ทั้งนี้ จากการสอบสวน นายบรรเจิดให้การปฏิเสธทุกกล่าวข้อหา โดยขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น
สำหรับประวัตินายบรรเจิด หรือเสี่ยบั๊ก ไม่ใช่ชาวอีสานอีสานโดยกำเนิด แต่ย้ายครอบครัวจากจังหวัดปราจีนบุรีมาอยู่ที่อุดรธานีเมื่อปี 2515 เริ่มด้วยการเปิดร้านขายก๋วยจั๊บ และด้วยนิสัยส่วนตัวเป็นคนขยัน ใจนักเลง ชอบเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ ทำให้เสี่ยบั๊กมีสายสัมพันธ์กับผู้ว่าราชการจังหวัดและปลัดกระทรวง ซึ่งเอื้อให้เขาใช้เป็นช่องทางในการดำเนินธุรกิจต่างๆ กระทั่งได้ชักชวนเพื่อนมาร่วมลงทุนสร้างโรงพยาบาลเอกอุดร ทั้งนี้ เสี่ยบั๊กมีภรรยาหลายคน โดย “หมอแก้ว” จักษุแพทย์สาวที่เป็นชนวนเหตุจนนำไปสู่การสั่งเก็บ “พระหมอ” ก็เป็นภรรยาคนหนึ่งของเสี่ยบั๊ก ว่ากันว่า เสี่ยบั๊กกับหมอแก้วมีอุปนิสัยชอบเข้าวัดทำบุญเหมือนกัน แต่ในทางกลับกัน เสี่ยบั๊กก็เป็นคนโมโหร้าย ใจร้อน อยากได้อะไรมักต้องหามาให้ได้
5.ศาลฎีกา พิพากษากลับจำคุก “เก่ง การุณ” 1 ปี คดีหมิ่น “สมเกียรติ” แต่มีเหตุควรปรานี ให้รอลงอาญา 2 ปี!
เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ฟ้องนายการุณ โหสกุล หรือเก่ง อดีต ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2551 จำเลยได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ด้วยการใช้เท้าถีบท้องน้อยโจทก์อย่างแรง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ที่รัฐสภา ต่อมาวันที่ 3 เม.ย.2551 จำเลยได้ให้สัมภาษณ์หมิ่นประมาทโจทก์ทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ทำนองว่า โจทก์ปลุกระดมฆ่า แต่จำเลยเป็นเพชรที่ต้องเข้ามาทำงานเพื่อประชาชน ส่วนโจทก์มาจากพวกจ้องล้มล้างระบอบประชาธิปไตย มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร และข้อความอื่นซึ่งล้วนเป็นเท็จ ทำให้โจทก์ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอาจารย์ซึ่งเป็นที่รู้จักนับหน้าถือตาของคนในสังคมต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2554 ว่า การกล่าวของจำเลย ไม่ได้ติชมด้วยความบริสุทธิ์ใจ ให้จำคุก 2 กระทงๆ ละ 6 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 12 เดือน และปรับ 2 กระทงๆ ละ 20,000 บาท รวมปรับ 40,000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และเมื่อคำนึงถึงอาชีพและสภาพความผิดแล้ว มีเหตุอันควรปรานี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี โดยให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ไทยรัฐ และมติชน เป็นเวลา 3 วันด้วย
ต่อมาวันที่ 19 ก.ค. 2556 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากเห็นว่าเป็นการกล่าวโจมตีทางการเมืองกันของนักการเมืองต่อนักการเมืองที่มีความน่าเชื่อถือให้คล้อยตามได้น้อย และคำกล่าวของจำเลยที่ว่า โจทก์เป็น ส.ส. เพราะได้รับรางวัลจากการปฏิวัติรัฐประหารนั้น ดูไม่สมเหตุสมผลที่ประชาชนบุคคลทั่วไปจะเชื่อถือได้ ที่จำเลยอุทธรณ์มาฟังขึ้น ต่อมาโจทก์ยื่นฎีกาขอให้พิพากษาลงโทษจำเลย
ด้านศาลฎีกาพิจารณาข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นข้อยุติว่า ก่อนที่จำเลยจะให้สัมภาษณ์สื่อวิทยุและโทรทัศน์ในวันที่ 3 เม.ย.2551 นั้น ได้เกิดเหตุ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐบาลได้อภิปรายพาดพิงถึงโจทก์ในการเป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งหลังจากการอภิปราย ขณะโจทก์นั่งอยู่ที่โรงอาหาร อาคารรัฐสภา จำเลยได้เข้ามาพูดคุยโดยใช้วาจาหยาบคายกับโจทก์และใช้เท้าถีบท้องน้อยจนมีผู้นำตัวจำเลยออกไป ซึ่งในวันเดียวกันประธานสภาฯ ได้มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว
คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่มีการทำร้ายร่างกายกันระหว่างโจทก์และจำเลยแล้ว ในวันรุ่งขึ้น 3 เม.ย. 2551 จำเลยได้ให้สัมภาษณ์สื่อ โดยระบุทำนองว่า โจทก์กับจำเลยมีแหล่งที่มาต่างกัน จำเลยมาจากความไว้วางใจของพี่น้องประชาชน ส่วนโจทก์มีที่มาจากการรัฐประหารที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยและได้รับรางวัลจากพรรคประชาธิปัตย์ให้มีชื่อเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อนั้น ก็เกิดจากความไม่พอใจที่โจทก์ได้แจ้งความดำเนินคดีจำเลยภายหลังเกิดเหตุ ซึ่งการให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นลักษณะปฏิเสธเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และบิดเบือน ใส่ความโจทก์ มีเจตนาเพื่อให้บุคคลที่สามเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ไม่ใช่เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตหรือติชมด้วยความเป็นธรรม ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำคุกจำเลย 2 กระทงๆ ละ 6 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน และปรับ 2 กระทงๆ ละ 20,000 บาท รวมปรับ 40,000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และเมื่อคำนึงถึงอาชีพและสภาพความผิดแล้ว มีเหตุอันควรปรานี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี โดยให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาโดยย่อในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ไทยรัฐ และมติชน เป็นเวลา 3 วันด้วย
หลังฟังคำพิพากษา นายการุณกล่าวว่า ศาลท่านเมตตาและพร้อมจะปฏิบัติตามคำพิพากษา สำหรับพวกเราทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยต่างก็เป็นคนของสาธารณะ ย่อมมีการกระทบกระทั่งกันเหมือนลิ้นกับฟัน สิ่งใดที่ผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไป และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง และจะทำสิ่งที่ดีที่สุดในวันข้างหน้าต่อไป ส่วนตนเองกับอาจารย์สมเกียรติ เจอกันก็ยังทักทายกันอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงบางช่วงบางเวลาที่เฉียดกันไปเฉียดกันมา แต่ว่าไม่ได้โกรธเคืองกันเป็นการส่วนตัว
1.กกต.มีมติยกคำร้องคดี “ยิ่งลักษณ์” ทัวร์นกขมิ้น-ใช้สื่อของรัฐหาเสียงเลือกตั้ง พร้อมยกคำร้องยุบ ปชป.ปม กก.บห.ขึ้นเวที กปปส.!
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. นายดุษฎี พรสุขสวัสดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย แถลงผลประชุม กกต.ว่า ที่ประชุมมีมติยกคำร้องคดีที่มีการกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก กรณีลงพื้นที่ตรวจราชการในภาคเหนือและภาคอีสานในระหว่างที่มี พ.ร.ฎ.กำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.2557 ว่าเป็นการกระทำผิดฐานใช้ทรัพยากรและบุคลากรของรัฐไปในการหาเสียง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 181(4) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 53 และ 57
โดย กกต.มีความเห็นว่า แม้ขณะนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์จะมีสถานะเป็นแค่รักษานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องจากมีการยุบสภา แต่ก็ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจราชการได้ กกต.พิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ไม่พบการกระทำที่เข้าข่ายใช้ทรัพยากรของรัฐและส่วนราชการในการหาเสียง หรือใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางมิชอบแต่อย่างใด
นอกจากนี้ กกต.ยังมีมติยกคำร้องกรณีที่มีการกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โฆษณาโครงการรับจำนำข้าวว่าเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิดในคะแนนนิยม ซึ่ง กกต.พิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ไม่พบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีการกระทำตามข้อกล่าวหาหรือฝ่าฝืนกฎหมายแต่อย่างใด
พร้อมกันนี้ กกต.ยังได้พิจารณาคำร้องที่นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย(พท.) ร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) เนื่องจากหัวหน้าพรรคและกรรมการพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ขณะที่ยังเป็น ส.ส.อยู่ และรู้เห็นเป็นใจสนับสนุนให้มีการชุมนุม รวมถึงมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงโจมตีพรรคเพื่อไทย โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าการกระทำดังกล่าวฝ่าฝืนกฎหมาย กกต.จึงพิจารณายกคำร้อง
นอกจากนี้ กกต.ยังมีมติยกคำร้องคัดค้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กรณีถูกกล่าวหาว่าแถลงข่าวใส่ร้ายพรรคเพื่อไทยและผู้สมัครพรรคเพื่อไทยให้เกิดความเสียหายด้วย โดย กกต.เห็นว่าการแถลงของนายชวนนท์ไม่ได้เป็นการใส่ร้ายป้ายสีแต่อย่างใด
2.ฝนถล่ม กทม.-น้ำท่วมขังหลายจุด “สุขุมพันธุ์” อ้าง ฝนหนักเกินคาด บอกใครกลัวท่วมต้องไปอยู่ดอย ด้าน “บิ๊กตู่” ฉุนเตือนแล้วจะเกิดพายุ!
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 24 มี.ค.ได้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ กทม.ส่งผลให้มีน้ำท่วมขังในถนนหลายสายเนื่องจากน้ำระบายไม่ทัน โดยเฉพาะบริเวณถนนอโศกมนตรี เกิดน้ำท่วมขังสูง 30-40 ซม. สำนักระบายน้ำ กทม.ต้องเร่งสูบน้ำเพื่อระบายให้แห้ง โดยใช้เวลานานกว่า 2 ชม.ขณะเดียวกัน ได้เกิดน้ำทะลักกลางห้างท็อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต สาขาโรบินสันสุขุมวิท 19 ซึ่งตั้งอยู่ชั้นใต้ดิน ทำให้เกิดน้ำท่วมขังในห้างสูงถึง 50 ซม. โดย ร.ต.บุญธรรม หุยประเสริฐ ผู้อำนวยการเขตวัฒนา เผยว่า จากการตรวจสอบการทะลักของน้ำกลางห้างดังกล่าว เกิดจากระบบระบายน้ำของห้างไม่สมบูรณ์ ทำให้ระบายน้ำออกคูน้ำบริเวณซอยสุขุมวิท 19 ไม่ทัน เกิดเป็นแรงดันน้ำภายในท่อระบายน้ำที่อยู่ด้านล่าง กระทั่งน้ำทะลักขึ้นมากลางห้าง
นอกจากนี้ผลจากฝนตกหนัก ยังทำให้ระเบียงอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น บริเวณปากซอยศาลเจ้าเจ็ด ถนนสี่พระยา ถล่มลงมาใส่รถแท็กซี่ที่จอดอยู่ได้รับความเสียหาย โชคดีไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า อาคารดังกล่าวเป็นอาคารร้าง มีการก่อสร้างแนวอิฐเพิ่มเติมบนหลังคา ซึ่งมีสภาพทรุดโทรม เมื่อเกิดฝนตกหนัก จึงทำให้อิฐรับน้ำหนักไม่ไหว หล่นลงมาทับกันสาดที่เป็นสังกะสีและร่วงลงมาด้านล่างที่แท็กซี่จอดอยู่
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง กทม.ประสบปัญหาน้ำท่วมขังจากการระบายไม่ทันในหลายพื้นที่ ปรากฏว่า ในโซเชียลมีเดียได้มีการถามหา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.กันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากไม่เห็น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ลงพื้นที่แก้ปัญหา ซึ่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้เปิดแถลงในวันต่อมา(25 มี.ค.) พร้อมด้วยนายสัญญา ชีนิมิตร ปลัด กทม. ,นายอดิศักดิ์ ขันตี รองปลัด กทม. และนายกังวาฬ ดีสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักระบายน้ำ โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ฝนตกหนัก ปริมาณน้ำฝน 70 มิลลิเมตร ซึ่ง กทม.ทราบจากพยากรณ์อากาศว่าจะมีฝนตก แต่ไม่คาดคิดว่าจะหนักมากถึงขั้นทำให้เกิดน้ำท่วม โดยเป็นผลจากพายุฤดูร้อน และว่า หลังเกิดน้ำท่วมขัง กทม.เร่งระบายน้ำในถนนสายหลักให้แห้งภายใน 1 ชม.ยกเว้นถนนอโศกมนตรีที่ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. เนื่องจากที่รองรับน้ำ คือคลองแสนแสบ ยังมีปริมาณกักเก็บสูงเพื่อเกษตรกร ซึ่งเป็นการตั้งรับกับปัญหาภัยแล้ง ส่วนที่ถนนพระราม 9 ซอย 7 ที่น้ำท่วมสูง เป็นพื้นที่ของเอกชน ที่ผ่านมา กทม.พยายามขอเข้าพื้นที่แก้ปัญหา แต่ประชาชนในซอยไม่อนุญาต
ทั้งนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยอมรับว่า ปัญหาน้ำท่วมขังที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาด เพราะไม่คาดคิดว่าฝนจะตกหนักขนาดนี้ แต่ยืนยันว่า กทม.รับมือได้ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่งชี้ว่า กทม.รับมือได้ ขนาดไม่ได้ตั้งทัพรับมือฝน เพราะอยู่ในช่วงขุดลอกคูคลอง ซ่อมเครื่องสูบน้ำ ยังสามารถรับมือได้ ไม่อยากให้ประชาชนกังวลเกินไป กทม.ได้พัฒนาระบบระบายน้ำต่อเนื่อง กำลังสร้างอุโมงค์ยักษ์แห่งที่ 2 จะเสร็จในปี 2559”
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยังกล่าวด้วยว่า “กรุงเทพฯ เป็นเมืองน้ำ เป็นเมืองฝน ถ้าไม่อยากเจอน้ำท่วมก็ขึ้นไปอยู่บนดอย ใครจะว่าผม ผมไม่ว่า เพราะอยู่ตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องถูกว่าอยู่แล้ว แต่ขออย่าว่าคน กทม.ที่ออกมาทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหา เราเป็นมนุษย์ที่มีการคาดการณ์ผิดได้ ขอให้ว่าผมคนเดียว เป็นความผิดผมเองที่ไม่รู้ว่าฝนจะตกหนักขนาดนี้...” ทั้งนี้ คำพูดของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ที่คล้ายกับไล่ให้คนที่กลัวน้ำท่วม ไปอยู่บนดอย ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง กระทั่งภายหลัง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ต้องออกมาบอกว่าคำพูดดังกล่าวเป็นการพูดเล่น
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้กล่าวก่อนเดินทางไปเยือนบรูไนเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ด้วยอารมณ์ไม่พอใจถึงกรณีที่ฝนตกหนักจนมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ของ กทม.เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ว่า ได้สั่งการให้ กทม.และ คสช.ไปช่วยกันดูแล ตนเตือนตั้งแต่สองสัปดาห์ที่แล้วว่าจะมีพายุฤดูร้อนเข้ามา แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบ รับผิดชอบกันแค่ไหน จะไล่ตรวจสอบ กำลังให้ตรวจสอบ กทม.ด้วย ปัญหาการระบายน้ำอยู่ตรงไหน แล้วมาตามแก้กัน นี่คือปัญหาของประเทศไทย ทำงานแบบเชิงรับกันตลอด
3.“ธัมมชโย” เบี้ยวนัดให้ปากคำดีเอสไอซ้ำสอง ส่งทนาย-ลูกศิษย์วัดแจงแทน ด้าน ปปง.อายัดทรัพย์ “ศุภชัย” เพิ่ม พบชิงขายที่ดินให้ลูกสาว “อนันต์ อัศวโภคิน” เกือบ 300 ล้าน!
เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่พระเทพญาณมหามุนี หรือธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ตามหมายเรียกกรณีรับเช็คจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานกรรมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ผู้ต้องหายักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ กว่า 16,000 ล้านบาท หลังจากธัมมชโยไม่ยอมเข้าให้ปากคำตามหมายเรียกครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มี.ค. โดยอ้างว่าป่วยและขอรวบรวมเอกสารหลักฐาน กระทั่งนัดใหม่เป็นวันที่ 26 มี.ค.
ปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนด ธัมมชโยก็ไม่เข้าให้ปากคำอีกตามเคย โดยส่งนายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายความ และพระมหาบุญชัย จารุทัตโต ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี วัดพระธรรมกาย เข้าให้ปากคำแทน โดยนายสัมพันธ์ กล่าวว่า นำพระมหาบุญชัยเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อสอบปากคำกรณีเช็ค 15 ฉบับที่เข้าบัญชีวัดและบัญชีส่วนตัว ซึ่งได้นำเงินไปสร้างศาสนสถานแล้ว โดยนำหลักฐานการนำเช็คเข้าบัญชีทั้งในส่วนของวัดและบัญชีของพระธัมมชโยมามอบให้พนักงานสอบสวนทั้งหมด หากพนักงานสอบสวนเห็นว่ามีความชัดเจนแล้ว จะปรึกษาว่าคงไม่จำเป็นต้องให้พระธัมมชโยมาให้ปากคำอีก เพราะพระธัมมชโยยืนยันมาโดยตลอดว่า ไม่เคยเห็นเช็ค และไม่เคยจับเช็ค เนื่องจากอยู่ในซอง ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมพระธัมมชโยไม่เดินทางมาเอง นายสัมพันธ์ กล่าวว่า “ท่านไม่รู้เรื่องอะไรเลย ท่านไม่เคยเห็นเช็ค จึงให้พระมหาบุญชัยที่รู้เรื่องมาให้ปากคำ เนื่องจากเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ท่านมา ก็ตอบอะไรไม่ได้”
ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะรองหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ กล่าวว่า หลังจากนี้ คณะพนักงานสอบสวนจะพิจารณาข้อมูลการให้ปากคำของพระมหาบุญชัยว่าเพียงพอหรือไม่ ยังจำเป็นต้องเรียกพระธัมมชโยเข้าชี้แจงด้วยตัวเองอีกหรือไม่ ส่วนจะมีการออกหมายจับพระธัมมชโยหรือไม่หลังขัดหมายรียกถึง 2 ครั้งนั้น พนักงานสอบสวนเห็นว่า ยังได้รับความร่วมมือจากพระธัมมชโยในการส่งเจ้าหน้าที่การเงินเข้าชี้แจงและยังสามารถติดต่อได้ หากยังต้องการข้อมูลจากพระธัมมชโยโดยตรง ก็คงต้องออกหมายเรียกอีกครั้ง
ขณะที่ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวะกุล ผอ.ส่วนตรวจ 2 สำนักเทคโนโลยีสารสนเทศและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ ดีเอสไอ กล่าวหลังประชุมร่วมกับนางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีดีเอสไอ ในวันต่อมา(27 มี.ค.) ถึงกรณีที่พระมหาบุญชัย เข้าให้ปากคำแทนพระธัมมชโยว่า พระมหาบุญชัยแจ้งว่า ได้รับเช็คเพียง 13 ใบ ส่วนอีก 2 ใบ ไม่ได้รับ ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้แจ้งให้พระมหาบุญชัยกลับไปตรวจสอบใหม่อีกครั้ง ซึ่งดีเอสไอยังไม่ได้กำหนดวันที่จะให้พระมหาบุญชัยมาพบ
พ.ต.ท.ปกรณ์ เผยด้วยว่า “ขณะนี้พนักงานสอบสวนสอบนิติบุคคลที่ได้รับเช็คจากนายศุภชัยไปแล้วกว่า 30 ราย จากทั้งหมด 43 ราย คาดว่าจะสอบปากคำเสร็จก่อนสงกรานต์นี้แน่นอน หลังจากนั้นจะตัดเช็คกว่า 200 ฉบับที่โอนให้นิติบุคคล ออกจากเช็คทั้งหมดจำนวน 878 ฉบับ ก่อนสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการ และขอยืนยันว่า พระธัมมชโยจำเป็นต้องมาให้ปากคำให้ข้อมูลต่อพนักงานสอบสวนด้วยตัวเอง” พ.ต.ท.ปกรณ์ ให้เหตุผลที่พระธัมมชโยควรมาให้ปากคำด้วยตัวเองว่า เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อพี่น้องประชาชน โดยหลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะประสานวัดพระธรรมกายเพื่อให้พระธัมมชโยมาให้ปากคำ แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าวันไหน
สำหรับความคืบหน้าการตรวจสอบเส้นทางเงินและการอายัดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ คลองจั่นนั้น เมื่อวันที่ 27 มี.ค. พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. ได้นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบบ้านของนางปทุมพร บุตรศรี ที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งเปิดเป็นสำนักทรงเจ้า หลังจากมีข้อมูลว่านางปทุมพรมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้ต้องหายักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ คลองจั่น และอาจจะมีการถ่ายโอนทรัพย์สินจำนวนมากไปไว้ที่บ้านดังกล่าวระหว่างปี 2555-2556 หลังเข้าตรวจสอบพบว่า บ้านมีเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้อายัดทรัพย์สินหลายรายการ เช่น กระเป๋าหรูแบรนด์เนมกว่า 40 ใบ ,รถยนต์หรู 7 คัน ,รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ 5 คัน และทองรูปพรรณอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปตรวจสอบแหล่งที่มา เบื้องต้นนางปทุมพรอ้างว่า นายศุภชัยเป็นลูกศิษย์ เคยมาพบ 3-4 ครั้ง และร่วมบริจาคทำบุญกับทางสำนักทรง ส่วนทรัพย์สินจำนวนมากของสำนักทรง นางปทุมพรก็อ้างว่า ได้มาจากการบริจาคของลูกศิษย์อีกหลายรายรวมกัน
ด้าน พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กำกับดูแลอาชญากรรมพิเศษ ได้นำพนักงานสอบสวนคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ คลองจั่น เข้าตรวจสอบโฉนดที่ดินที่นายศุภชัยที่ยักยอกเงินสหกรณ์ฯ คลองจั่นมาซื้อที่ดินใกล้วัดพระธรรมกาย ก่อนจะขายต่อให้ น.ส.อลิสา อัศวโภคิน บุตรสาวนายอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของบริษัทแลนด์แอนด์เฮาส์ รวม 8 แปลง ราคา 298 ล้านบาท โดยหลังการขาย นายศุภชัยไม่ได้นำเงินกลับคืนให้สหกรณ์แต่อย่างใด ซึ่งการขายที่ดังกล่าวมีขึ้นหลังนายศุภชัยถูกแจ้งข้อหายักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ แล้ว โดยถูกแจ้งข้อหาเมื่อวันที่ 19 เม.ย.2556 แต่ขายที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2556 ถือว่าพฤติการณ์ของนายศุภชัยเข้าองค์ประกอบการฟอกเงิน โดยนำเงินจากการกระทำผิดไปซื้อที่ดิน และขายเปลี่ยนมือเพื่อฟอกเงิน
นอกจากนี้ยังพบพิรุธจากการขายที่ดิน 8 แปลงดังกล่าว เพราะเป็นการขายในลักษณะฟันหลอ หรือซื้อแบบแปลงเว้นแปลง ซึ่งผิดปกติวิสัยของการกว้านซื้อที่ดินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เมื่อเรียกตรวจโฉนดที่ดินแปลงที่เป็นฟันหลอ จึงพบว่ามีชื่อนายศุภชัยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินอีก 9 แปลง ดังนั้นดีเอสไอจะเรียกบุคคลที่มีชื่อถือครองที่ดินร่วมกับนายศุภชัยในแปลงอื่นทั้งหมดมาตรวจสอบว่าเป็นนอมินีหรือไม่ รวมถึงเรียก น.ส.อลิสา เข้าให้ข้อมูลต่อดีเอสไอด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการบริษัท แลนด์แอนด์เฮาส์ บิดาของ น.ส.อลิสา ซึ่งซื้อที่ดินต่อจากนายศุภชัย ถือว่าเป็นโยมอุปัฏฐากคนสำคัญของวัดพระธรรมกาย ทั้งยังเป็นประธานโครงการก่อสร้างมหาธรรมกายเจดีย์อีกด้วย
4.ตำรวจรวบทีมฆ่า “พระหมอ” ได้แล้ว พบ “เสี่ยบั๊ก” เจ้าของ รพ.เอกอุดร คนบงการ!
ความคืบหน้าคดีคนร้ายบุกยิงพระอาจารย์บัณฑิต สุบัณฑิโต หรือ “พระหมอ” เจ้าอาวาสวัดป่าตอสีเสียด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 1 มี.ค.มรณภาพ หลังเดินบิณฑบาตและกำลังกลับวัด ทั้งนี้ แม้จะมีพยานเห็นเหตุการณ์ว่า คนร้ายเป็นชาย 2 คน ขับรถกระบะมาสด้า สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับตามหลังพระหมอ ก่อนใช้ปืนยิงใส่จากด้านหลัง 2 นัด และหลบหนีไป แต่เวลาผ่านไป 3 สัปดาห์ คดีก็ยังไม่คืบหน้า ไม่สามารถจับคนร้ายได้
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 24 มี.ค. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.ชัยญัติ สายถิ่น ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี และ พล.ต.ต.บุญลือ กอบางยาง ผู้บังคับการกองบังคับการฝึกพิเศษ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน มาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปก.ตร.) โดยขาดจากตำแหน่งเดิม โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้การปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.ต.ต.ชัยญัติ ถูกย้ายเนื่องจากคดีฆ่าพระหมอไม่คืบหน้า และไม่สามารถสั่งการหรือควบคุมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนคดีได้ ส่วน พล.ต.ต.บุญลือ เคยเป็นอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี และเคยมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับผู้ต้องสงสัยจ้างวานฆ่าพระหมอ
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.เผยว่า หลังจากได้ส่งทีมสืบสวนชุดพิเศษที่มี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าชุด ลงไปทำคดีฆ่าพระหมอ พบว่าคดีนี้น่าจะมีตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นเพื่อความสบายใจ และให้ทีมสืบสวนสอบสวนทำงานได้อย่างอิสระ ไม่มีข้อสงสัยจากพี่น้องประชาชน จึงได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.ชัยญัติ มาช่วยราชการที่ ศปก.ตร. ส่วน พล.ต.ต.บุญลือ ที่มีคำสั่งให้เข้ามาด้วยนั้น เนื่องจากเป็นอดีต ผบก.อุดรธานีมาก่อน เป็นผู้กว้างขวางและมีความรู้ความสามารถ ตนหรือผู้บังคับบัญชาท่านใดอาจจะมอบหมายภารกิจพิเศษหรือภารกิจสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ให้ไปปฏิบัติ นอกจากนี้ พล.ต.อ.สมยศ ยังมีคำสั่งให้ พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาราชการแทนผู้บังคับการปราบปราม ทำเรื่องเสนอขอโอนสำนวนการสอบสวนคดีฆ่าพระหมอจากตำรวจในพื้นที่ให้มาอยู่ในความรับผิดชอบของกองปราบปรามด้วย โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไม่ปกป้องช่วยเหลือตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก “ผมยืดอกรับว่าคดีนี้ตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้อง”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง พล.ต.อ.สมยศ สั่งย้าย 2 ผู้บังคับการดังกล่าว ตำรวจก็สามารถรวบตัวมือปืนที่ฆ่าพระหมอได้ในวันเดียวกัน ทราบชื่อคือ นายปัญจ๋า ชารีแสน อายุ 49 ปี เป็นชาว จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเจ้าตัวสารภาพว่า เป็นคนยิงพระหมอจริง โดยได้รับการติดต่อจาก ด.ต.ชาญชัย และได้รับค่าจ้าง 5 หมื่นบาท ซึ่งตำรวจได้เร่งติดตามตัว ด.ต.ชาญชัย สร้อยสังวาลย์ ตำรวจช่วยราชการปราบปรามยาเสพติด สภ.เมืองอุดรธานี โดยมีข่าวว่า ด.ต.ชาญชัย ได้หลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้านแล้ว
ทั้งนี้ จากการสอบขยายผล ทำให้ทราบว่ามี “เสี่ย บ.” เป็นผู้จ้างวานให้ฆ่าพระหมอ เพราะมีความขัดแย้งกับพระหมอ โดยมีหญิงคนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเสี่ย บ.ว่าจ้าง ด.ต.ชาญชัย ให้ติดต่อนายปัญจ๋า ซึ่งนายปัญจ๋าก่อเหตุโดยใช้ปืนลูกซองดัดแปลงยิงกระสุนเอ็ม 16 สังหาร ขณะที่ ด.ต.ชาญชัย เป็นคนขับรถให้นายปัญจ๋ายิงพระหมอ ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.กล่าวระหว่างแถลงจับกุมตัวนายปัญจ๋าว่า ด.ต.ชาญชัยเคยทำหน้าที่เป็นคนขับรถของ พล.ต.ต.บุญลือ กอบางยาง แต่อย่าเพิ่งมองว่า ทั้ง พล.ต.ต.บุญลือ และ พล.ต.ต.ชัยญัต ที่ถูกย้าย เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ต่อมา เย็นวันที่ 26 มี.ค. มีรายงานว่า ด.ต.ชาญชัย ถูกรวบตัวแล้วระหว่างหลบหนีอยู่ในประเทศลาว จากนั้น ตำรวจไทยได้ประสานกับทางการลาวเพื่อขอรับตัว ด.ต.ชาญชัย ซึ่งถูกทางการลาวจับกุมฐานหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยตำรวจไทยได้ไปรับตัว ด.ต.ชาญชัย กลับมาดำเนินคดีเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ซึ่ง ด.ต.ชาญชัย สารภาพว่า ได้รับค่าจ้างให้ฆ่าพระอาจารย์บัณฑิต 300,000 บาท แบ่งเป็น 3 ส่วน นายปัญจ๋า มือยิง ได้ 160,000 บาท นายบุญนาค หงษาคำ คนชี้เป้า ได้ 60,000 บาท ส่วนตน คนขับรถ ได้ 80,000 บาท ซึ่งตำรวจสามารถจับกุมนายบุญนาค ได้ในวันเดียวกัน
ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ด.ต.ชาญชัย เป็นกุญแจสำคัญ เป็นคนกลางที่รู้ว่าใครจ้างวาน สำหรับสาเหตุการสั่งสังหารพระหมอเกิดจากความเข้าใจผิด ระแวงของผู้จ้างวาน ทั้งนี้ วันเดียวกัน(27 มี.ค.) ตำรวจได้ออกหมายจับนายบรรเจิด ฉัตรไพฑูรย์ ประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลเอกอุดร ในฐานะผู้บงการจ้างวานฆ่า จากนั้นช่วงค่ำวันเดียวกัน ตำรวจ ได้เข้าควบคุมตัวนายบรรเจิด ที่โรงพยาบาลเอกอุดร ทั้งนี้ จากการสอบสวน นายบรรเจิดให้การปฏิเสธทุกกล่าวข้อหา โดยขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น
สำหรับประวัตินายบรรเจิด หรือเสี่ยบั๊ก ไม่ใช่ชาวอีสานอีสานโดยกำเนิด แต่ย้ายครอบครัวจากจังหวัดปราจีนบุรีมาอยู่ที่อุดรธานีเมื่อปี 2515 เริ่มด้วยการเปิดร้านขายก๋วยจั๊บ และด้วยนิสัยส่วนตัวเป็นคนขยัน ใจนักเลง ชอบเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ ทำให้เสี่ยบั๊กมีสายสัมพันธ์กับผู้ว่าราชการจังหวัดและปลัดกระทรวง ซึ่งเอื้อให้เขาใช้เป็นช่องทางในการดำเนินธุรกิจต่างๆ กระทั่งได้ชักชวนเพื่อนมาร่วมลงทุนสร้างโรงพยาบาลเอกอุดร ทั้งนี้ เสี่ยบั๊กมีภรรยาหลายคน โดย “หมอแก้ว” จักษุแพทย์สาวที่เป็นชนวนเหตุจนนำไปสู่การสั่งเก็บ “พระหมอ” ก็เป็นภรรยาคนหนึ่งของเสี่ยบั๊ก ว่ากันว่า เสี่ยบั๊กกับหมอแก้วมีอุปนิสัยชอบเข้าวัดทำบุญเหมือนกัน แต่ในทางกลับกัน เสี่ยบั๊กก็เป็นคนโมโหร้าย ใจร้อน อยากได้อะไรมักต้องหามาให้ได้
5.ศาลฎีกา พิพากษากลับจำคุก “เก่ง การุณ” 1 ปี คดีหมิ่น “สมเกียรติ” แต่มีเหตุควรปรานี ให้รอลงอาญา 2 ปี!
เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ฟ้องนายการุณ โหสกุล หรือเก่ง อดีต ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2551 จำเลยได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ด้วยการใช้เท้าถีบท้องน้อยโจทก์อย่างแรง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ที่รัฐสภา ต่อมาวันที่ 3 เม.ย.2551 จำเลยได้ให้สัมภาษณ์หมิ่นประมาทโจทก์ทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ทำนองว่า โจทก์ปลุกระดมฆ่า แต่จำเลยเป็นเพชรที่ต้องเข้ามาทำงานเพื่อประชาชน ส่วนโจทก์มาจากพวกจ้องล้มล้างระบอบประชาธิปไตย มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร และข้อความอื่นซึ่งล้วนเป็นเท็จ ทำให้โจทก์ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอาจารย์ซึ่งเป็นที่รู้จักนับหน้าถือตาของคนในสังคมต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2554 ว่า การกล่าวของจำเลย ไม่ได้ติชมด้วยความบริสุทธิ์ใจ ให้จำคุก 2 กระทงๆ ละ 6 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 12 เดือน และปรับ 2 กระทงๆ ละ 20,000 บาท รวมปรับ 40,000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และเมื่อคำนึงถึงอาชีพและสภาพความผิดแล้ว มีเหตุอันควรปรานี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี โดยให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ไทยรัฐ และมติชน เป็นเวลา 3 วันด้วย
ต่อมาวันที่ 19 ก.ค. 2556 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากเห็นว่าเป็นการกล่าวโจมตีทางการเมืองกันของนักการเมืองต่อนักการเมืองที่มีความน่าเชื่อถือให้คล้อยตามได้น้อย และคำกล่าวของจำเลยที่ว่า โจทก์เป็น ส.ส. เพราะได้รับรางวัลจากการปฏิวัติรัฐประหารนั้น ดูไม่สมเหตุสมผลที่ประชาชนบุคคลทั่วไปจะเชื่อถือได้ ที่จำเลยอุทธรณ์มาฟังขึ้น ต่อมาโจทก์ยื่นฎีกาขอให้พิพากษาลงโทษจำเลย
ด้านศาลฎีกาพิจารณาข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นข้อยุติว่า ก่อนที่จำเลยจะให้สัมภาษณ์สื่อวิทยุและโทรทัศน์ในวันที่ 3 เม.ย.2551 นั้น ได้เกิดเหตุ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐบาลได้อภิปรายพาดพิงถึงโจทก์ในการเป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งหลังจากการอภิปราย ขณะโจทก์นั่งอยู่ที่โรงอาหาร อาคารรัฐสภา จำเลยได้เข้ามาพูดคุยโดยใช้วาจาหยาบคายกับโจทก์และใช้เท้าถีบท้องน้อยจนมีผู้นำตัวจำเลยออกไป ซึ่งในวันเดียวกันประธานสภาฯ ได้มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว
คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่มีการทำร้ายร่างกายกันระหว่างโจทก์และจำเลยแล้ว ในวันรุ่งขึ้น 3 เม.ย. 2551 จำเลยได้ให้สัมภาษณ์สื่อ โดยระบุทำนองว่า โจทก์กับจำเลยมีแหล่งที่มาต่างกัน จำเลยมาจากความไว้วางใจของพี่น้องประชาชน ส่วนโจทก์มีที่มาจากการรัฐประหารที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยและได้รับรางวัลจากพรรคประชาธิปัตย์ให้มีชื่อเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อนั้น ก็เกิดจากความไม่พอใจที่โจทก์ได้แจ้งความดำเนินคดีจำเลยภายหลังเกิดเหตุ ซึ่งการให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นลักษณะปฏิเสธเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และบิดเบือน ใส่ความโจทก์ มีเจตนาเพื่อให้บุคคลที่สามเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ไม่ใช่เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตหรือติชมด้วยความเป็นธรรม ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำคุกจำเลย 2 กระทงๆ ละ 6 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน และปรับ 2 กระทงๆ ละ 20,000 บาท รวมปรับ 40,000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และเมื่อคำนึงถึงอาชีพและสภาพความผิดแล้ว มีเหตุอันควรปรานี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี โดยให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาโดยย่อในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ไทยรัฐ และมติชน เป็นเวลา 3 วันด้วย
หลังฟังคำพิพากษา นายการุณกล่าวว่า ศาลท่านเมตตาและพร้อมจะปฏิบัติตามคำพิพากษา สำหรับพวกเราทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยต่างก็เป็นคนของสาธารณะ ย่อมมีการกระทบกระทั่งกันเหมือนลิ้นกับฟัน สิ่งใดที่ผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไป และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง และจะทำสิ่งที่ดีที่สุดในวันข้างหน้าต่อไป ส่วนตนเองกับอาจารย์สมเกียรติ เจอกันก็ยังทักทายกันอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงบางช่วงบางเวลาที่เฉียดกันไปเฉียดกันมา แต่ว่าไม่ได้โกรธเคืองกันเป็นการส่วนตัว