คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.สลด! ฮ.ตกที่พะเยา “รองแม่ทัพภาค 3” พร้อมคณะดับ 9 นาย ด้านกองทัพภาค 3 สั่งงดบิน “เบลล์ 212” ชั่วคราว หวั่นไม่ปลอดภัย!
เมื่อวันที่ 17 พ.ย. เวลา 17.30น. ได้เกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์รุ่นเบลล์ 212 ของกองทัพภาคที่ 3 ตกกลางทุ่งนาบริเวณบ้านดอกบัว ต.ท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา ส่งผลให้ พล.ต.ทรงพล ทองจีน รองแม่ทัพภาคที่ 3 และคณะอีก 4 นาย รวมทั้งนักบินและช่างเครื่องอีก 4 นาย เสียชีวิตทั้งหมดรวม 9 นาย ประกอบด้วย พล.ต.ทรงพล ทองจีน รองแม่ทัพภาคที่ 3 (ตท.16) ,พ.อ.กิตติ สุวรรณเจริญ ,พ.อ.ยุทธพงษ์ เพื่อนฝูง ,พ.ท.วุฒิศักดิ์ สุนทรสุข ,จ.ส.อ.อนันต์ ชมเชียงคำ ,พ.ท.มานิต สุรเสนา (นักบิน) ,ร.อ.วรพงษ์ ช่างสลัก (นักบิน) ,จ.ส.อ.สมภพ มาลัยวงษ์ (ช่างเครื่อง) และ จ.ส.อ.พิรุณ แสนดอนคู่ (ช่างเครื่อง)
ทั้งนี้ เหตุเกิดขณะ พล.ต.ทรงพล และคณะ เดินทางด้วย ฮ.ลำดังกล่าวไปปฏิบัติภารกิจตรวจหน่วยในสายงานการส่งกำลังบำรุงที่ จ.พะเยา หลังภารกิจแล้วเสร็จ ได้เดินทางด้วย ฮ.ดังกล่าวออกจากค่ายขุนเจืองธรรมิกราช จังหวัดทหารบกพะเยา แต่หลังจากเครื่องบินได้ไม่ถึง 10 นาที ก็ประสบอุบัติเหตุตกดังกล่าว
ด้านนายเสนีย์ มานนท์ นายกเทศมนตรี ต.ท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา เล่าว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรตกลงมาในทุ่งนา แล้วเกิดระเบิด มีไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จึงได้สั่งการให้รถดับเพลิงของเทศบาลไปยังที่เกิดเหตุทันที “บางศพถูกไฟไหม้เกรียม บางศพไหม้เพียงบางส่วน ยังสามารถสืบค้นได้ว่าเป็นบุคคลใด”
ขณะที่ พ.อ.อโนทัย ชัยมงคล รอง เสธ.จังหวัดทหารบก(จทบ.) พะเยา เผยว่า คณะของ พล.ต.ทรงพลเดินทางมาตรวจราชการด้านการส่งกำลังบำรุงของทหาร ณ จทบ.พะเยา เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ จึงเดินทางด้วย ฮ.ออกจาก จทบ.พะเยา เวลา 17.27น. และเกิดอุบัติเหตุในเวลา 17.30 น.
ด้าน พล.ต.นพพร เรือนจันทร์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 4 เผยว่า กองทัพภาคที่ 3 ได้สั่งงดใช้เฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 และฮิวอี้ชั่วคราว เพื่อตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของเครื่องบิน และว่า เครื่องลำดังล่าวได้ใช้งานมาตลอดและเปลี่ยนอะไหล่ตามวงรอบ เมื่อเกิดเหตุ ต้องหาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น
ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้คณะกรรมการนิรภัยการบินลงพื้นที่ตรวจสอบสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียด พร้อมย้ำว่า ไม่ได้สั่งให้งดใช้เบลล์ 212 เพราะยังมีภารกิจต่างๆ ที่ต้องดำเนินการอีกมาก และยังมีความจำเป็นต้องใช้ โดยสั่งการให้ผู้บัญชาการศูนย์การบินทหารบก พร้อมชุดตรวจสอบลงพื้นที่แล้ว และกำลังรอฟังผลตรวจสอบ พล.อ.อุดมเดช ยังเผยด้วยว่า เฮลิคอปเตอร์แบบเบลล์ 212 รับมาเมื่อปี 2538 อายุการใช้งาน 19 ปี ถือว่าไม่เก่า เพราะทั่วโลกก็ใช้แบบนี้อยู่
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น “ส่วนประเด็นที่บอกว่า เฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าวเป็นรุ่นเก่า ก็ยอมรับ แต่ทุกประเทศก็ใช้รุ่นนี้ และยังมีที่เก่ายิ่งกว่านั้น คือรุ่นเอชยูเอช ดี ซึ่งเป็น ฮ.ท.1(เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ1) อายุ 30-40 ปี ก็ยังบินได้อยู่ โดยเราซ่อมแซมและเปลี่ยนเครื่องยนต์ต่างๆ ให้ใช้การได้ ขณะนี้กำลังจัดหาเครื่องและมีแผนจัดหาเพื่อเอามาทดแทน ฮ.ท.1 ก่อน จากนั้นจึงจะหามาแทนรุ่นเบลล์ 212”
สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 9 นายนั้น ได้มีการประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลอย่างสมเกียรติที่วัดคูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก โดย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก ได้เป็นประธานพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพทหารทั้ง 9 นายเมื่อวันที่ 18 พ.ย. จากนั้นวันต่อมา(19 พ.ย.) พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ได้อัญเชิญพวงมาลาหลวงพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ 13 พระองค์ ไปวางหน้าหีบศพทหารที่เสียชีวิตที่วัดคูหาสวรรค์ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศ 8 เหลี่ยมให้แก่ พล.ต.ทรงพล ทองจีน รองแม่ทัพภาคที่ 3 ด้วย
ด้าน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงถึงกรณีที่เฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 ของกองทัพภาคที่ 3 ตกว่า นับเป็นการสูญเสียบุคลากรที่มีคุณค่ายิ่งของกองทัพบก ซึ่งกองทัพบกได้ดำเนินการเกี่ยวกับพิธีศพอย่างสมเกียรติ นอกจากนี้ยังได้มอบเงินช่วยเหลือตามสิทธิของทางราชการ โดยได้รับประมาณ 2-6 ล้านบาท พร้อมปูนบำเหน็จพิเศษ 7 ขั้น และขอพระราชทานยศเป็นกรณีพิเศษให้แก่ผู้เสียชีวิต โดยปรับตามขั้นเงินเดือนและอายุราชการ “พล.ต.ทรงพล ,พ.อ.กิตติ ,พ.อ.ยุทธพงษ์ ,พ.ท.วุฒิศักดิ์ และ พ.ท.มานิต ทั้ง 5 ท่านจะได้รับพระราชทานยศสูงขึ้นเป็น “พล.อ.” ร.อ.วรพงษ์ ได้รับพระราชทานยศเป็น “พ.อ.” จ.ส.อ.อนันต์ ได้รับพระราชทานยศเป็น “พล.ท.” จ.ส.อ.พิรุณ ได้รับพระราชทานยศเป็น “พล.ต.” และ จ.ส.ท.สมภพ ได้รับพระราชทานยศเป็น “พ.ท.”
2.ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืนให้กรมควบคุมมลพิษจ่ายค่าโง่คลองด่านแก่เอกชนนับหมื่นล้านภายใน 90 วัน!
เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ศาลปกครองสูงสุด ได้อ่านคำพิพากษาคดีพิพาทระหว่างบริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด, บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) จำกัด, บริษัท ประยูรวิศว์ จำกัด, บริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ จำกัด, บริษัท เกตเวย์ ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด และบริษัท สมุทรปราการ ออพเปอร์เรทติ้ง จำกัด รวม 6 ราย กับกรมควบคุมมลพิษ เกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการจัดการน้ำเสียในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดสมุทรปราการ หรือโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน โดยศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และให้กรมควบคุมมลพิษ ชำระเงินค่าจ้าง ค่าเสียหาย รวมดอกเบี้ยแก่บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กับพวกรวม 6 ราย เป็นเงิน 4,983,342,383 บาท กับอีก 31,035,780 เหรียญสหรัฐ พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี (801,229,599 บาท) นับตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2546 ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด รวมทั้งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ผู้ร้องทั้งหก
สำหรับโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านนั้น กรมควบคุมมลพิษได้ว่าจ้างบริษัททั้งหก ให้ออกแบบและก่อสร้างเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2540 มูลค่าการก่อสร้างทั้งสิ้น 22,949,984,020 บาท แบ่งเป็นเงินบาทจำนวน 19,506,096,607 บาท และเงินเหรียญสหรัฐ 134,421,835 เหรียญ
ต่อมา นายอภิชัย ชวเจริญพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษในขณะนั้นได้มีหนังสือเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2546 ให้บริษัททั้งหกยุติการก่อสร้างใดๆในโครงการ เพราะสัญญาตกเป็นโมฆะ เนื่องจากกรมฯ ได้ทำนิติกรรมโดยสำคัญผิดในตัวบุคคล ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม โดยขณะนั้น ทั้ง 6 บริษัทดังกล่าวได้ดำเนินโครงการไปแล้ว 98% และเบิกค่าจ้างไปแล้ว 17,045,889,431.40 บาท เป็นเงินเหรียญสหรัฐจำนวน 121,343,886.19 เหรียญ
หลังจากนั้น บริษัทวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้างกับพวก 6 คน ซึ่งเป็นผู้รับจ้างตามโครงการ จึงได้ยื่นข้อพิพาทต่อสำนักงานอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2546 เรียกค่าเสียหายจากกรมควบคุมมลพิษเป็นเงินบาทจำนวน 4,983,342,383 บาท และเงินเหรียญสหรัฐ จำนวน 31,035,780 เหรียญสหรัฐ ซึ่งอนุญาโตตุลาการมีคำสั่งให้กรมควบคุมมลพิษจ่ายเงินชดเชยแก่บริษัทเอกชนดังกล่าววงเงิน 4,400 ล้านบาท และเงินเหรียญสหรัฐอีก 26 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้านกรมควบคุมมลพิษได้ยื่นคัดค้านคำสั่งอนุญาโตตุลาการต่อศาลปกครองกลาง พร้อมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาไปยังศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2555 เพื่อระงับคำสั่งชดเชยค่าเสียหายของอนุญาโตตุลาการ ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะพิพากษายืนดังกล่าว
ทั้งนี้ มีรายงานว่า หลังจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะกระทรวงต้นสังกัดของกรมควบคุมมลพิษ ต้องของบประมาณจากรัฐบาลและกระทรวงการคลัง เพื่อนำมาจ่ายชดเชยให้กับบริษัทเอกชนดังกล่าว ซึ่งเบื้องต้น นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ปฏิเสธที่จะพูดเรื่องนี้ โดยขออ่านและศึกษาคำตัดสินของศาลปกครองให้ละเอียดก่อน
3.“บิ๊กตู่” ขอ 5 ฝ่ายพร้อมใจเดินหน้าปฏิรูปตามโรดแมป ไม่เลิกกฎอัยการศึก-ไม่ติดใจ นศ.ชู 3 นิ้ว!
เมื่อวันที่ 18 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้นัดประชุมตัวแทน 5 ฝ่าย ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี(ครม.) ,คสช. ,สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ,สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ประชุมหารือที่อาคารรับรองเกษะโกมล ท่ามกลางการคาดหมายของบางฝ่ายว่า อาจมีการหารือเรื่องจะยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกหรือไม่ และจะยกเลิกประกาศ คสช.ฉบับที่ 97 และ 103 เกี่ยวกับข้อห้ามในการทำงานของสื่อมวลชนหรือไม่ หลังมีสมาคมวิชาชีพสื่อเรียกร้องให้ คสช.ยกเลิกประกาศทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว หลังเกิดปัญหาระหว่างทหารกับผู้ดำเนินรายการของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสบางคน ที่ไปจัดเสวนาปฏิรูปแล้วพาดพิงการรัฐประหาร ส่งผลให้ทหารบางนายไปขอให้ทางไทยพีบีเอสเปลี่ยนตัวผู้ดำเนินรายการดังกล่าว
ทั้งนี้ หลังประชุม 5 ฝ่าย พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เผยว่า ทั้ง 5 องค์กรมารายงานการดำเนินงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์อยากให้การปฏิรูปเดินหน้าได้ตามโรดแมปทั้ง 11 ด้าน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ คสช.หรือรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทันที และอยากให้คณะกรรมาธิการทั้ง 18 คณะส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์เพื่อเร่งรัดให้เป็นผลโดยเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ครบปี เรื่องใดที่จะต้องตราเป็น พ.ร.บ.ก็ให้ดำเนินการผ่าน สนช.หรือ ครม. พล.อ.เลิศรัตน์ เผยด้วยว่า “ในที่ประชุมไม่มีการพูดถึงการยกเลิกกฎอัยการศึกและไม่ได้พูดถึงการยกเลิกคำสั่ง คสช.แต่อย่างใด”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ เผยผลประชุมดังกล่าวในวันต่อมา(19 พ.ย.) ว่า เป็นการหารือว่าจะทำอย่างไรให้การปฏิรูปประเทศเรียบร้อย ทำตามโรดแมปที่วางไว้ และวางพื้นฐานประเทศระยะยาวได้ ซึ่งเกี่ยวพันทั้งรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกที่ต้องออกให้ทันกรอบเวลา อะไรที่ปฏิบัติได้เลยไม่ต้องใช้กฎหมาย ก็ให้แจ้งมายังรัฐบาล จะได้นำไปเคลื่อนทันที ส่วนที่ทำไม่ทัน ก็ต้องเขียนในรัฐธรรมนูญเพื่อส่งต่อการปฏิรูปให้กับรัฐบาลใหม่ “ยืนยันว่ารัฐบาลและ คสช.จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในการสั่งการใดๆ ทั้งสิ้นกับ สนช. สปช. เป็นเรื่องของกฎหมาย จะไปชี้นำอะไรไม่ได้”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินทางลงพื้นที่ภาคอีสาน 2 จังหวัด คือ จ.ขอนแก่น และกาฬสินธุ์ พร้อมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจเยี่ยมการเตรียมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งและการดำเนินการของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดขอนแก่นและกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่คณะของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางไปถึงศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ได้มีมือมืดโปรยใบปลิวต่อต้านการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ถนนศูนย์ราชการรอบศาลากลาง จ.ขอนแก่น และถนนศรีจันทร์ อ.เมืองขอนแก่น โดยมีข้อความว่า “อีสานไม่ต้อนรับเผด็จการ” ซึ่งตำรวจได้รีบเก็บและเคลียร์พื้นที่ก่อนที่คณะของนายกฯ จะเดินทางไปถึง
นอกจากนี้ หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางมาถึงศาลากลาง จ.ขอนแก่น และได้ขึ้นกล่าวเปิดงานบนเวทีในหอประชุม ปรากฏว่า ได้มีนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น 5 คน ซึ่งยืนปะปนอยู่กับผู้ร่วมงาน ลุกขึ้นยืนด้านหน้าเวที พร้อมถอดเสื้อคลุมสีดำออก เพื่อให้เห็นเสื้อยืดสีดำข้างใน ที่สกรีนข้อความว่า “ไม่-เอา-รัฐ-ประ-หาร” โดยนักศึกษาดังกล่าวได้ชู 3 นิ้ว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านรัฐประหารด้วย ด้านเจ้าหน้าที่ได้รีบเข้าไปคุมตัวนักศึกษาดังกล่าวออกจากห้องประชุมทันที
ระหว่างนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ค่อยๆ พาเขาไป... ปัญหาทั้งหมด ไม่ค่อยเข้าใจกันก็ลำบากนะ มีใครมาประท้วงอีกไหม มาเร็วๆ จะได้พูดทีเดียว ถ้าประท้วงกัน ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว... ผมว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจพวกเรานะ เข้าใจว่าวันนี้เราจะทำอะไรกัน”
ทั้งนี้ คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ เรียกเสียงปรบมือดังลั่นจากผู้ร่วมงาน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวขอบคุณ พร้อมบอกว่า “วันนี้เราต้องการเข้ามาทำทุกอย่างให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ผมเคยเป็น ผบ.ทบ.ทุกคนก็เคยรับราชการ เข้าใจงานดี”
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวติดตลกด้วยว่า “ผมไม่ใช่คนก้าวร้าวหรือชอบความรุนแรง ก็เห็นตัวตนของผมวันนี้แล้ว... ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกัน ถ้ายังขัดแย้งกันเหมือนเหตุการณ์เมื่อสักครู่ มันก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งหมด เมื่อสักครู่ผมนึกว่ามีการเอาการแสดงมารับผม นึกว่ามาเต้นกระตั้วแทงเสือ นึกว่าพี่น้องมาแสดงกัน ไม่เป็นไร ไม่โกรธแค้นกัน พี่น้องกันทั้งนั้น คนไทยทั้งสิ้น คนไทยไม่รักคนไทยด้วยกัน แล้วใครจะมารักเรา ถ้าเราไม่ร่วมมือกัน แล้วใครจะมาทำให้เรา ถ้ารัฐบาลไม่ช่วยและดูแลประชาชน ใครจะดู”
สำหรับนักศึกษาทั้ง 5 คนดังกล่าว เป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งตำรวจและทหารได้นำตัวไปทำความเข้าใจและปรับทัศนคติ โดยไม่ได้ดำเนินคดีแต่อย่างใด ขณะที่นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา 1 ใน 5 นักศึกษาดังกล่าว บอกว่า ทหารขอให้หยุดเคลื่อนไหว แต่ตนยืนยันจะเคลื่อนไหวต่อไป “มีข้อเสนอข้อตกลงให้พวกผมเซ็นรับทราบ คือ 1.ยอมรับสิ่งที่เราทำ 2.ไม่เคลื่อนไหวไม่ทำกิจกรรมอะไรคัดค้านผู้นำประเทศ 3.ถ้าเคลื่อนไหว จะยอมรับในการดำเนินคดี พวกผมไม่เซ็นยอมรับ แต่ก็ได้รับการปล่อยตัว และไม่มีการดำเนินคดีอีกด้วย”
เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากการแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการรัฐประหารของ 5 นักศึกษาดังกล่าวที่ขอนแก่นแล้ว ใน กทม.เอง ก็มีนักศึกษาบางกลุ่มอาศัยจังหวะที่ภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games : Mockingjay Part 1 ที่กำลังเข้าฉายในเมืองไทย จัดกิจกรรมแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการรัฐประหาร โดยเมื่อวันที่ 20 พ.ย. กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีประชาธิปไตย ได้จัดกิจกรรม “รำกระตั้ว คั่วป๊อบคอร์น นอนดูหนัง” ด้วยการแจกตั๋วหนัง 160 ใบให้แก่ผู้ร่วมกิจกรรม เพื่อเข้าดูหนัง The Hunger Games ที่โรงภาพยนตร์ลิโด้และสกาล่า แต่ทางโรงภาพยนตร์ได้ตัดสินใจถอดภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวออกชั่วคราว
ขณะที่สมาชิกกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีประชาธิปไตยบางคน ยังพยายามเดินหน้าจัดกิจกรรมดังกล่าวที่โรงภาพยนตร์แห่งอื่น เช่น โรงภาพยนตร์พารากอนซินีเพล็กซ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าพูดคุยและเชิญตัวไป ที่ สน.ปทุมวัน นอกจากนี้ยังมีวัยรุ่นชายแต่แต่งกายคล้ายหญิงคนหนึ่งเดินชู 3 นิ้ว และกำลังเดินไปดูภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ก็ได้เชิญตัวไป สน.ปทุมวันเช่นกัน ทราบภายหลังว่าเป็นนักศึกษาชั้นปี 1 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ชื่อ นายนัชชชา กองอุดม โดยยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ แต่ส่วนตัวมีแนวคิดในหลักการประชาธิปไตย มาดูหนังที่โรงภาพยนตร์ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้มีสิ่งที่ตรงกับสถานการณ์ในประเทศไทยในปัจจุบัน และรู้อยู่แล้วว่าการชู 3 นิ้วจะทำให้โดนจับกุม ทั้งนี้ หลังจากตำรวจและทหาร ได้ทำความเข้าใจกับนายณัชชชา แล้ว ได้ปล่อยตัว โดยไม่มีการดำเนินคดีแต่อย่างใด
4.ครม. ผ่านร่างภาษีมรดกแล้ว มูลค่าเกิน 50 ล้าน เก็บภาษี 10% ด้าน ขรก.-ลูกจ้างระดับล่าง เฮ ครม.ไฟเขียวเพิ่มค่าครองชีพ!
เมื่อวันที่ 18 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.ได้อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดกแล้ว ซึ่งจะเชื่อมโยงกันระหว่างภาษีที่เกี่ยวกับมรดกและภาษีที่เกี่ยวกับการยกให้ ซึ่งโดยหลักการมีหลายขั้นตอน และมีการกำหนดวงเงินทุนทรัพย์ไว้ที่ 50 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนจำนวนเงินที่หักภาษีจะมากหรือน้อยกว่า 10% นั้น จะต้องคิดคำนวณกันอีกครั้ง และว่า การที่ ครม.ทำเรื่องนี้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการดูแลซึ่งกันและกัน คนที่มีรายได้มากต้องเห็นใจคนที่มีรายได้น้อยกว่า “อยากให้มองเป็นเรื่องสัญลักษณ์ อย่าต่อต้านกันนักเลย รัฐบาลพยายามดูรายละเอียดว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรม โดยได้คุยกันถึงว่า คนมีไร่นา แต่ไม่มีเงินเสียภาษีจะทำอย่างไร จะต้องขายนาเอาเงินไปเสียภาษีหรือไม่ เราเป็นห่วงเรื่องอย่างนี้หมด แต่ผมคิดว่ามีข้อยกเว้นเยอะแยะ ขอให้ใจเย็นๆ” ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ คาดว่า อีก 6 เดือน กฎหมายภาษีมรดกจึงจะมีผลบังคับใช้
ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.เห็นชอบให้แก้ไขกฎหมายประมวลรัษฎากรเกี่ยวกับการรับ การให้ ของกรมสรรพากร เพื่อจัดเก็บภาษีการรับและให้ ทรัพย์สินในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น พ่อแม่มอบที่ดิน สิ่งปลูกสร้างให้ลูก ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์มูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี รวมถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายมอบทรัพย์สินให้ลูกหลานไม่เกิน 10 ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่หากเกิน 10 ล้านบาท ต้องนำมาคำนวณภาษีร้อยละ 5 โดยผู้รับทรัพย์สินเป็นผู้เสียภาษี สำหรับบุคคลอื่นๆ มอบทรัพยสินให้บุคคลต่างๆ ส่วนที่เกิน 5 ล้านบาทให้นำมาคำนวณภาษี หากมอบให้องค์กรสาธารณะ หรือมูลนิธิ จะได้รับการยกเว้นภาษี
พล.ต.สรรเสริญ ยังเผยด้วยว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นในที่ประชุม ครม.ว่า ร่างภาษีมรดกอาจส่งผลให้ผู้มีทรัพย์สินจำนวนมากไม่พอใจ และอาจส่งผลให้พฤติกรรมการออมเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน เช่น มีการโอนไปต่างประเทศ หรือสะสมมรดกในรูปแบบอื่นที่ไม่เสียภาษี เช่น ทองคำ อัญมณี เพชรพลอย ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่อาจมีการโอนก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้
ขณะที่นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เผยว่า คาดว่าจะเสนอ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดกและร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ที่ ครม.เห็นชอบแล้ว เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสมาชิกสภานิติบัญญํติแห่งชาติ(สนช.) ได้ในสัปดาห์หน้า ส่วนระยะเวลาที่จะมีผลบังคับใช้น่าจะประมาณเดือน มิ.ย.2558 และว่า ร่างกฎหมายภาษีมรดกและร่างแก้ไขประมวลรัษฎากรการรับและให้ กำหนดนิยามการรับมรดกเมื่อผู้ครอบครองทรัพย์สินเสียชีวิตเท่านั้น โดยยกเว้นให้กับการโอนมรดกที่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ส่วนที่เกินนำมาคำนวณไม่เกิน 10% โดยบังคับใช้เฉพาะทรัพย์สินที่มีการจดทะเบียน เช่น หุ้นในตลาดหุ้น เงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้ พันธบัตร ที่อยู่อาศัย ที่ดิน โดยให้ประเมินในราคาปัจจุบันของทรัพย์สิน ส่วนอัญมณี ทองคำ เงินสด หุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ ไม่นับรวมเป็นมรดก อธิบดีกรมสรรพากร ยังเผยด้วยว่า กรมฯ ได้ประเมินกลุ่มผู้ที่มีทรัพย์สินเกินกว่า 50 ล้านบาท มีอยู่ประมาณ 1 หมื่นราย
ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก กำหนดว่า ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมรดก ได้แก่ บุคคลที่มีสัญชาติไทย หรือมิได้มีสัญชาติไทย แต่มีภูมิลำเนาหรือมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันถึงวันมีสิทธิได้รับมรดก และบุคคลผู้มิได้มีสัญชาติไทย แต่ได้รับมรดกอันเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย หากผู้รับมรดกรายใดฝ่าฝืน หลีกเลี่ยง ซ่อนเร้น หรือยักย้าย หรือโอนให้บุคคลอื่นโดยไม่ยอมเสียภาษี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 4 แสนบาท
เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ได้เห็นชอบหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเพิ่มค่าครองชีพให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการตามที่กระทรวงการคลังเสนอด้วย โดยมีการปรับเพดานเงินเดือนขั้นสูงจาก 12,285 บาท เป็น 13,285 บาท และปรับเงินเพิ่มการครองชีพจากเดือนละ 1,500 บาท เป็น 2,000 บาท แต่เมื่อรวมกับเงินเดือนแล้ว ต้องไม่เกินเดือนละ 13,285 บาท ส่วนผู้ที่มีรายได้ไม่ถึงเดือนละ 10,000 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพเพิ่มอีกจนถึงเดือนละ 10,000 บาท นอกจากนี้ยังรวมถึงลูกจ้างชั่วคราวที่กำหนดคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งต้องใช้ผู้สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรีที่มีค่าจ้างไม่ถึง 10,000 บาท และทหารกองประจำการที่ได้รับเงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท ก็ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนจนถึง 10,000 บาทเช่นกัน โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2557 เป็นต้นไป
5.ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ลดโทษจำคุก “นักรบศรีวิชัย” เหลือ 3-8 เดือน คดีบุกเอ็นบีที พร้อมออกหมายจับ 6 รายเบี้ยวขึ้นศาล!
เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธเนศร์ คำชุม กับพวกรวม 85 คน ซึ่งเป็นกลุ่มนักรบศรีวิชัยของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลย ฐานสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไปหรือซ่อนตัวในเคหสถานหรือสำนักงานผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น ทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 22-26 ส.ค.2551 จำเลยทั้ง 85 คน ร่วมกันประชุมวางแผนตกลงกันไปกระทำความผิดฐานร่วมกันบุกรุกอาคารสำนักงานสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีและสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย โดยพกพาอาวุธต่างๆ ร่วมกันทำลายทรัพย์สินกว่า 15 รายการ เสียหายกว่า 6 แสนบาท ทั้งยังร่วมกันข่มขืนใจ น.ส.ตวงพร อัศววิไล และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีและพนักงานคนอื่นๆ ไม่ให้จัดรายการออกอากาศและขับไล่ให้ออกจากสำนักงาน
สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2553 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยคนอื่นๆ จำคุกระหว่าง 6 เดือน ถึง 2 ปี 6 เดือน และให้รอลงอาญาจำเลยที่เป็นเยาวชน 6 ราย
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ พิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์มีพนักงานสอบสวนเบิกความสอดคล้องกันว่า แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ มีคำสั่งให้กลุ่มจำเลยกับพวกให้บุกรุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีและสถานีวิทยุฯ เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2551 เวลา 05.00น. บังคับให้พนักงานหยุดปฏิบัติหน้าที่ ไล่ทุกคนออกจากสำนักงาน ศาลเห็นว่าพฤติการณ์แห่งคดีและการกระทำของจำเลยเป็นการมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ส่วนจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืน แต่การนำสืบของโจทก์ไม่ชัดเจนว่า จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้า
สำหรับความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นนั้น ศาลเห็นว่าอุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น ส่วนความผิดฐานซ่องโจร ศาลเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าพวกจำเลยประชุมวางแผนกันล่วงหน้าก่อนบุกรุก จึงไม่เป็นความผิดฐานซ่องโจร ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลรอการลงโทษ ศาลเห็นว่า เป็นการชุมนุมทางการเมือง ที่ศาลชั้นต้นไม่รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย
ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยที่ 1-41 ,43-85 คนละ 1 ปี ,จำเลยที่ 30 ,47 และ 81 ขณะก่อเหตุอายุไม่เกิน 20 ปี ลงโทษจำคุก 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 83 ,84 ,85 ขณะเกิดเหตุอายุต่ำกว่า 18 ปี จำคุกคนละ 6 เดือน นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังมีความผิดฐานพกพาอาวุธปืนและมีเครื่องวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษจำคุก 4 เดือน รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน
แต่จำเลยที่ 2-41 ,และ 43-45 ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 1 ลดโทษเหลือจำคุก 8 เดือน ,จำเลยที่ 30 ,47 และ 81 ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 6 เดือน สำหรับจำเลยที่ 83 ,84 ,85 ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน อย่างไรก็ตามจำเลยที่ 30 ,47 ,81 ,83 ,84 ,85 ขณะกระทำผิดเป็นเยาวชน โทษจำคุกให้รอการลงโทษ ส่วนจำเลยอีก 6 คนที่ไม่ได้มาศาล ศาลได้ออกหมายจับให้นำตัวมาลงโทษตามคำพิพากษา
หลังฟังคำพิพากษา นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความของจำเลย ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดและกรมธรรม์ประกันชีวิต เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งหมดคนละ 2 แสนบาท เพื่อสู้คดีในชั้นฎีกา ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวได้
1.สลด! ฮ.ตกที่พะเยา “รองแม่ทัพภาค 3” พร้อมคณะดับ 9 นาย ด้านกองทัพภาค 3 สั่งงดบิน “เบลล์ 212” ชั่วคราว หวั่นไม่ปลอดภัย!
เมื่อวันที่ 17 พ.ย. เวลา 17.30น. ได้เกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์รุ่นเบลล์ 212 ของกองทัพภาคที่ 3 ตกกลางทุ่งนาบริเวณบ้านดอกบัว ต.ท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา ส่งผลให้ พล.ต.ทรงพล ทองจีน รองแม่ทัพภาคที่ 3 และคณะอีก 4 นาย รวมทั้งนักบินและช่างเครื่องอีก 4 นาย เสียชีวิตทั้งหมดรวม 9 นาย ประกอบด้วย พล.ต.ทรงพล ทองจีน รองแม่ทัพภาคที่ 3 (ตท.16) ,พ.อ.กิตติ สุวรรณเจริญ ,พ.อ.ยุทธพงษ์ เพื่อนฝูง ,พ.ท.วุฒิศักดิ์ สุนทรสุข ,จ.ส.อ.อนันต์ ชมเชียงคำ ,พ.ท.มานิต สุรเสนา (นักบิน) ,ร.อ.วรพงษ์ ช่างสลัก (นักบิน) ,จ.ส.อ.สมภพ มาลัยวงษ์ (ช่างเครื่อง) และ จ.ส.อ.พิรุณ แสนดอนคู่ (ช่างเครื่อง)
ทั้งนี้ เหตุเกิดขณะ พล.ต.ทรงพล และคณะ เดินทางด้วย ฮ.ลำดังกล่าวไปปฏิบัติภารกิจตรวจหน่วยในสายงานการส่งกำลังบำรุงที่ จ.พะเยา หลังภารกิจแล้วเสร็จ ได้เดินทางด้วย ฮ.ดังกล่าวออกจากค่ายขุนเจืองธรรมิกราช จังหวัดทหารบกพะเยา แต่หลังจากเครื่องบินได้ไม่ถึง 10 นาที ก็ประสบอุบัติเหตุตกดังกล่าว
ด้านนายเสนีย์ มานนท์ นายกเทศมนตรี ต.ท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา เล่าว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรตกลงมาในทุ่งนา แล้วเกิดระเบิด มีไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จึงได้สั่งการให้รถดับเพลิงของเทศบาลไปยังที่เกิดเหตุทันที “บางศพถูกไฟไหม้เกรียม บางศพไหม้เพียงบางส่วน ยังสามารถสืบค้นได้ว่าเป็นบุคคลใด”
ขณะที่ พ.อ.อโนทัย ชัยมงคล รอง เสธ.จังหวัดทหารบก(จทบ.) พะเยา เผยว่า คณะของ พล.ต.ทรงพลเดินทางมาตรวจราชการด้านการส่งกำลังบำรุงของทหาร ณ จทบ.พะเยา เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ จึงเดินทางด้วย ฮ.ออกจาก จทบ.พะเยา เวลา 17.27น. และเกิดอุบัติเหตุในเวลา 17.30 น.
ด้าน พล.ต.นพพร เรือนจันทร์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 4 เผยว่า กองทัพภาคที่ 3 ได้สั่งงดใช้เฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 และฮิวอี้ชั่วคราว เพื่อตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของเครื่องบิน และว่า เครื่องลำดังล่าวได้ใช้งานมาตลอดและเปลี่ยนอะไหล่ตามวงรอบ เมื่อเกิดเหตุ ต้องหาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น
ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้คณะกรรมการนิรภัยการบินลงพื้นที่ตรวจสอบสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียด พร้อมย้ำว่า ไม่ได้สั่งให้งดใช้เบลล์ 212 เพราะยังมีภารกิจต่างๆ ที่ต้องดำเนินการอีกมาก และยังมีความจำเป็นต้องใช้ โดยสั่งการให้ผู้บัญชาการศูนย์การบินทหารบก พร้อมชุดตรวจสอบลงพื้นที่แล้ว และกำลังรอฟังผลตรวจสอบ พล.อ.อุดมเดช ยังเผยด้วยว่า เฮลิคอปเตอร์แบบเบลล์ 212 รับมาเมื่อปี 2538 อายุการใช้งาน 19 ปี ถือว่าไม่เก่า เพราะทั่วโลกก็ใช้แบบนี้อยู่
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น “ส่วนประเด็นที่บอกว่า เฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าวเป็นรุ่นเก่า ก็ยอมรับ แต่ทุกประเทศก็ใช้รุ่นนี้ และยังมีที่เก่ายิ่งกว่านั้น คือรุ่นเอชยูเอช ดี ซึ่งเป็น ฮ.ท.1(เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ1) อายุ 30-40 ปี ก็ยังบินได้อยู่ โดยเราซ่อมแซมและเปลี่ยนเครื่องยนต์ต่างๆ ให้ใช้การได้ ขณะนี้กำลังจัดหาเครื่องและมีแผนจัดหาเพื่อเอามาทดแทน ฮ.ท.1 ก่อน จากนั้นจึงจะหามาแทนรุ่นเบลล์ 212”
สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 9 นายนั้น ได้มีการประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลอย่างสมเกียรติที่วัดคูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก โดย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก ได้เป็นประธานพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพทหารทั้ง 9 นายเมื่อวันที่ 18 พ.ย. จากนั้นวันต่อมา(19 พ.ย.) พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ได้อัญเชิญพวงมาลาหลวงพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ 13 พระองค์ ไปวางหน้าหีบศพทหารที่เสียชีวิตที่วัดคูหาสวรรค์ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศ 8 เหลี่ยมให้แก่ พล.ต.ทรงพล ทองจีน รองแม่ทัพภาคที่ 3 ด้วย
ด้าน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงถึงกรณีที่เฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 ของกองทัพภาคที่ 3 ตกว่า นับเป็นการสูญเสียบุคลากรที่มีคุณค่ายิ่งของกองทัพบก ซึ่งกองทัพบกได้ดำเนินการเกี่ยวกับพิธีศพอย่างสมเกียรติ นอกจากนี้ยังได้มอบเงินช่วยเหลือตามสิทธิของทางราชการ โดยได้รับประมาณ 2-6 ล้านบาท พร้อมปูนบำเหน็จพิเศษ 7 ขั้น และขอพระราชทานยศเป็นกรณีพิเศษให้แก่ผู้เสียชีวิต โดยปรับตามขั้นเงินเดือนและอายุราชการ “พล.ต.ทรงพล ,พ.อ.กิตติ ,พ.อ.ยุทธพงษ์ ,พ.ท.วุฒิศักดิ์ และ พ.ท.มานิต ทั้ง 5 ท่านจะได้รับพระราชทานยศสูงขึ้นเป็น “พล.อ.” ร.อ.วรพงษ์ ได้รับพระราชทานยศเป็น “พ.อ.” จ.ส.อ.อนันต์ ได้รับพระราชทานยศเป็น “พล.ท.” จ.ส.อ.พิรุณ ได้รับพระราชทานยศเป็น “พล.ต.” และ จ.ส.ท.สมภพ ได้รับพระราชทานยศเป็น “พ.ท.”
2.ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืนให้กรมควบคุมมลพิษจ่ายค่าโง่คลองด่านแก่เอกชนนับหมื่นล้านภายใน 90 วัน!
เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ศาลปกครองสูงสุด ได้อ่านคำพิพากษาคดีพิพาทระหว่างบริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด, บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) จำกัด, บริษัท ประยูรวิศว์ จำกัด, บริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ จำกัด, บริษัท เกตเวย์ ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด และบริษัท สมุทรปราการ ออพเปอร์เรทติ้ง จำกัด รวม 6 ราย กับกรมควบคุมมลพิษ เกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการจัดการน้ำเสียในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดสมุทรปราการ หรือโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน โดยศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และให้กรมควบคุมมลพิษ ชำระเงินค่าจ้าง ค่าเสียหาย รวมดอกเบี้ยแก่บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กับพวกรวม 6 ราย เป็นเงิน 4,983,342,383 บาท กับอีก 31,035,780 เหรียญสหรัฐ พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี (801,229,599 บาท) นับตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2546 ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด รวมทั้งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ผู้ร้องทั้งหก
สำหรับโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านนั้น กรมควบคุมมลพิษได้ว่าจ้างบริษัททั้งหก ให้ออกแบบและก่อสร้างเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2540 มูลค่าการก่อสร้างทั้งสิ้น 22,949,984,020 บาท แบ่งเป็นเงินบาทจำนวน 19,506,096,607 บาท และเงินเหรียญสหรัฐ 134,421,835 เหรียญ
ต่อมา นายอภิชัย ชวเจริญพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษในขณะนั้นได้มีหนังสือเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2546 ให้บริษัททั้งหกยุติการก่อสร้างใดๆในโครงการ เพราะสัญญาตกเป็นโมฆะ เนื่องจากกรมฯ ได้ทำนิติกรรมโดยสำคัญผิดในตัวบุคคล ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม โดยขณะนั้น ทั้ง 6 บริษัทดังกล่าวได้ดำเนินโครงการไปแล้ว 98% และเบิกค่าจ้างไปแล้ว 17,045,889,431.40 บาท เป็นเงินเหรียญสหรัฐจำนวน 121,343,886.19 เหรียญ
หลังจากนั้น บริษัทวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้างกับพวก 6 คน ซึ่งเป็นผู้รับจ้างตามโครงการ จึงได้ยื่นข้อพิพาทต่อสำนักงานอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2546 เรียกค่าเสียหายจากกรมควบคุมมลพิษเป็นเงินบาทจำนวน 4,983,342,383 บาท และเงินเหรียญสหรัฐ จำนวน 31,035,780 เหรียญสหรัฐ ซึ่งอนุญาโตตุลาการมีคำสั่งให้กรมควบคุมมลพิษจ่ายเงินชดเชยแก่บริษัทเอกชนดังกล่าววงเงิน 4,400 ล้านบาท และเงินเหรียญสหรัฐอีก 26 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้านกรมควบคุมมลพิษได้ยื่นคัดค้านคำสั่งอนุญาโตตุลาการต่อศาลปกครองกลาง พร้อมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาไปยังศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2555 เพื่อระงับคำสั่งชดเชยค่าเสียหายของอนุญาโตตุลาการ ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะพิพากษายืนดังกล่าว
ทั้งนี้ มีรายงานว่า หลังจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะกระทรวงต้นสังกัดของกรมควบคุมมลพิษ ต้องของบประมาณจากรัฐบาลและกระทรวงการคลัง เพื่อนำมาจ่ายชดเชยให้กับบริษัทเอกชนดังกล่าว ซึ่งเบื้องต้น นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ปฏิเสธที่จะพูดเรื่องนี้ โดยขออ่านและศึกษาคำตัดสินของศาลปกครองให้ละเอียดก่อน
3.“บิ๊กตู่” ขอ 5 ฝ่ายพร้อมใจเดินหน้าปฏิรูปตามโรดแมป ไม่เลิกกฎอัยการศึก-ไม่ติดใจ นศ.ชู 3 นิ้ว!
เมื่อวันที่ 18 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้นัดประชุมตัวแทน 5 ฝ่าย ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี(ครม.) ,คสช. ,สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ,สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ประชุมหารือที่อาคารรับรองเกษะโกมล ท่ามกลางการคาดหมายของบางฝ่ายว่า อาจมีการหารือเรื่องจะยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกหรือไม่ และจะยกเลิกประกาศ คสช.ฉบับที่ 97 และ 103 เกี่ยวกับข้อห้ามในการทำงานของสื่อมวลชนหรือไม่ หลังมีสมาคมวิชาชีพสื่อเรียกร้องให้ คสช.ยกเลิกประกาศทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว หลังเกิดปัญหาระหว่างทหารกับผู้ดำเนินรายการของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสบางคน ที่ไปจัดเสวนาปฏิรูปแล้วพาดพิงการรัฐประหาร ส่งผลให้ทหารบางนายไปขอให้ทางไทยพีบีเอสเปลี่ยนตัวผู้ดำเนินรายการดังกล่าว
ทั้งนี้ หลังประชุม 5 ฝ่าย พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เผยว่า ทั้ง 5 องค์กรมารายงานการดำเนินงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์อยากให้การปฏิรูปเดินหน้าได้ตามโรดแมปทั้ง 11 ด้าน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ คสช.หรือรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทันที และอยากให้คณะกรรมาธิการทั้ง 18 คณะส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์เพื่อเร่งรัดให้เป็นผลโดยเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ครบปี เรื่องใดที่จะต้องตราเป็น พ.ร.บ.ก็ให้ดำเนินการผ่าน สนช.หรือ ครม. พล.อ.เลิศรัตน์ เผยด้วยว่า “ในที่ประชุมไม่มีการพูดถึงการยกเลิกกฎอัยการศึกและไม่ได้พูดถึงการยกเลิกคำสั่ง คสช.แต่อย่างใด”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ เผยผลประชุมดังกล่าวในวันต่อมา(19 พ.ย.) ว่า เป็นการหารือว่าจะทำอย่างไรให้การปฏิรูปประเทศเรียบร้อย ทำตามโรดแมปที่วางไว้ และวางพื้นฐานประเทศระยะยาวได้ ซึ่งเกี่ยวพันทั้งรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกที่ต้องออกให้ทันกรอบเวลา อะไรที่ปฏิบัติได้เลยไม่ต้องใช้กฎหมาย ก็ให้แจ้งมายังรัฐบาล จะได้นำไปเคลื่อนทันที ส่วนที่ทำไม่ทัน ก็ต้องเขียนในรัฐธรรมนูญเพื่อส่งต่อการปฏิรูปให้กับรัฐบาลใหม่ “ยืนยันว่ารัฐบาลและ คสช.จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในการสั่งการใดๆ ทั้งสิ้นกับ สนช. สปช. เป็นเรื่องของกฎหมาย จะไปชี้นำอะไรไม่ได้”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินทางลงพื้นที่ภาคอีสาน 2 จังหวัด คือ จ.ขอนแก่น และกาฬสินธุ์ พร้อมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจเยี่ยมการเตรียมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งและการดำเนินการของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดขอนแก่นและกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่คณะของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางไปถึงศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ได้มีมือมืดโปรยใบปลิวต่อต้านการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ถนนศูนย์ราชการรอบศาลากลาง จ.ขอนแก่น และถนนศรีจันทร์ อ.เมืองขอนแก่น โดยมีข้อความว่า “อีสานไม่ต้อนรับเผด็จการ” ซึ่งตำรวจได้รีบเก็บและเคลียร์พื้นที่ก่อนที่คณะของนายกฯ จะเดินทางไปถึง
นอกจากนี้ หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางมาถึงศาลากลาง จ.ขอนแก่น และได้ขึ้นกล่าวเปิดงานบนเวทีในหอประชุม ปรากฏว่า ได้มีนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น 5 คน ซึ่งยืนปะปนอยู่กับผู้ร่วมงาน ลุกขึ้นยืนด้านหน้าเวที พร้อมถอดเสื้อคลุมสีดำออก เพื่อให้เห็นเสื้อยืดสีดำข้างใน ที่สกรีนข้อความว่า “ไม่-เอา-รัฐ-ประ-หาร” โดยนักศึกษาดังกล่าวได้ชู 3 นิ้ว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านรัฐประหารด้วย ด้านเจ้าหน้าที่ได้รีบเข้าไปคุมตัวนักศึกษาดังกล่าวออกจากห้องประชุมทันที
ระหว่างนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ค่อยๆ พาเขาไป... ปัญหาทั้งหมด ไม่ค่อยเข้าใจกันก็ลำบากนะ มีใครมาประท้วงอีกไหม มาเร็วๆ จะได้พูดทีเดียว ถ้าประท้วงกัน ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว... ผมว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจพวกเรานะ เข้าใจว่าวันนี้เราจะทำอะไรกัน”
ทั้งนี้ คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ เรียกเสียงปรบมือดังลั่นจากผู้ร่วมงาน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวขอบคุณ พร้อมบอกว่า “วันนี้เราต้องการเข้ามาทำทุกอย่างให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ผมเคยเป็น ผบ.ทบ.ทุกคนก็เคยรับราชการ เข้าใจงานดี”
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวติดตลกด้วยว่า “ผมไม่ใช่คนก้าวร้าวหรือชอบความรุนแรง ก็เห็นตัวตนของผมวันนี้แล้ว... ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกัน ถ้ายังขัดแย้งกันเหมือนเหตุการณ์เมื่อสักครู่ มันก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งหมด เมื่อสักครู่ผมนึกว่ามีการเอาการแสดงมารับผม นึกว่ามาเต้นกระตั้วแทงเสือ นึกว่าพี่น้องมาแสดงกัน ไม่เป็นไร ไม่โกรธแค้นกัน พี่น้องกันทั้งนั้น คนไทยทั้งสิ้น คนไทยไม่รักคนไทยด้วยกัน แล้วใครจะมารักเรา ถ้าเราไม่ร่วมมือกัน แล้วใครจะมาทำให้เรา ถ้ารัฐบาลไม่ช่วยและดูแลประชาชน ใครจะดู”
สำหรับนักศึกษาทั้ง 5 คนดังกล่าว เป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งตำรวจและทหารได้นำตัวไปทำความเข้าใจและปรับทัศนคติ โดยไม่ได้ดำเนินคดีแต่อย่างใด ขณะที่นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา 1 ใน 5 นักศึกษาดังกล่าว บอกว่า ทหารขอให้หยุดเคลื่อนไหว แต่ตนยืนยันจะเคลื่อนไหวต่อไป “มีข้อเสนอข้อตกลงให้พวกผมเซ็นรับทราบ คือ 1.ยอมรับสิ่งที่เราทำ 2.ไม่เคลื่อนไหวไม่ทำกิจกรรมอะไรคัดค้านผู้นำประเทศ 3.ถ้าเคลื่อนไหว จะยอมรับในการดำเนินคดี พวกผมไม่เซ็นยอมรับ แต่ก็ได้รับการปล่อยตัว และไม่มีการดำเนินคดีอีกด้วย”
เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากการแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการรัฐประหารของ 5 นักศึกษาดังกล่าวที่ขอนแก่นแล้ว ใน กทม.เอง ก็มีนักศึกษาบางกลุ่มอาศัยจังหวะที่ภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games : Mockingjay Part 1 ที่กำลังเข้าฉายในเมืองไทย จัดกิจกรรมแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการรัฐประหาร โดยเมื่อวันที่ 20 พ.ย. กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีประชาธิปไตย ได้จัดกิจกรรม “รำกระตั้ว คั่วป๊อบคอร์น นอนดูหนัง” ด้วยการแจกตั๋วหนัง 160 ใบให้แก่ผู้ร่วมกิจกรรม เพื่อเข้าดูหนัง The Hunger Games ที่โรงภาพยนตร์ลิโด้และสกาล่า แต่ทางโรงภาพยนตร์ได้ตัดสินใจถอดภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวออกชั่วคราว
ขณะที่สมาชิกกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีประชาธิปไตยบางคน ยังพยายามเดินหน้าจัดกิจกรรมดังกล่าวที่โรงภาพยนตร์แห่งอื่น เช่น โรงภาพยนตร์พารากอนซินีเพล็กซ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าพูดคุยและเชิญตัวไป ที่ สน.ปทุมวัน นอกจากนี้ยังมีวัยรุ่นชายแต่แต่งกายคล้ายหญิงคนหนึ่งเดินชู 3 นิ้ว และกำลังเดินไปดูภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ก็ได้เชิญตัวไป สน.ปทุมวันเช่นกัน ทราบภายหลังว่าเป็นนักศึกษาชั้นปี 1 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ชื่อ นายนัชชชา กองอุดม โดยยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ แต่ส่วนตัวมีแนวคิดในหลักการประชาธิปไตย มาดูหนังที่โรงภาพยนตร์ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้มีสิ่งที่ตรงกับสถานการณ์ในประเทศไทยในปัจจุบัน และรู้อยู่แล้วว่าการชู 3 นิ้วจะทำให้โดนจับกุม ทั้งนี้ หลังจากตำรวจและทหาร ได้ทำความเข้าใจกับนายณัชชชา แล้ว ได้ปล่อยตัว โดยไม่มีการดำเนินคดีแต่อย่างใด
4.ครม. ผ่านร่างภาษีมรดกแล้ว มูลค่าเกิน 50 ล้าน เก็บภาษี 10% ด้าน ขรก.-ลูกจ้างระดับล่าง เฮ ครม.ไฟเขียวเพิ่มค่าครองชีพ!
เมื่อวันที่ 18 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.ได้อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดกแล้ว ซึ่งจะเชื่อมโยงกันระหว่างภาษีที่เกี่ยวกับมรดกและภาษีที่เกี่ยวกับการยกให้ ซึ่งโดยหลักการมีหลายขั้นตอน และมีการกำหนดวงเงินทุนทรัพย์ไว้ที่ 50 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนจำนวนเงินที่หักภาษีจะมากหรือน้อยกว่า 10% นั้น จะต้องคิดคำนวณกันอีกครั้ง และว่า การที่ ครม.ทำเรื่องนี้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการดูแลซึ่งกันและกัน คนที่มีรายได้มากต้องเห็นใจคนที่มีรายได้น้อยกว่า “อยากให้มองเป็นเรื่องสัญลักษณ์ อย่าต่อต้านกันนักเลย รัฐบาลพยายามดูรายละเอียดว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรม โดยได้คุยกันถึงว่า คนมีไร่นา แต่ไม่มีเงินเสียภาษีจะทำอย่างไร จะต้องขายนาเอาเงินไปเสียภาษีหรือไม่ เราเป็นห่วงเรื่องอย่างนี้หมด แต่ผมคิดว่ามีข้อยกเว้นเยอะแยะ ขอให้ใจเย็นๆ” ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ คาดว่า อีก 6 เดือน กฎหมายภาษีมรดกจึงจะมีผลบังคับใช้
ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.เห็นชอบให้แก้ไขกฎหมายประมวลรัษฎากรเกี่ยวกับการรับ การให้ ของกรมสรรพากร เพื่อจัดเก็บภาษีการรับและให้ ทรัพย์สินในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น พ่อแม่มอบที่ดิน สิ่งปลูกสร้างให้ลูก ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์มูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี รวมถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายมอบทรัพย์สินให้ลูกหลานไม่เกิน 10 ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่หากเกิน 10 ล้านบาท ต้องนำมาคำนวณภาษีร้อยละ 5 โดยผู้รับทรัพย์สินเป็นผู้เสียภาษี สำหรับบุคคลอื่นๆ มอบทรัพยสินให้บุคคลต่างๆ ส่วนที่เกิน 5 ล้านบาทให้นำมาคำนวณภาษี หากมอบให้องค์กรสาธารณะ หรือมูลนิธิ จะได้รับการยกเว้นภาษี
พล.ต.สรรเสริญ ยังเผยด้วยว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นในที่ประชุม ครม.ว่า ร่างภาษีมรดกอาจส่งผลให้ผู้มีทรัพย์สินจำนวนมากไม่พอใจ และอาจส่งผลให้พฤติกรรมการออมเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน เช่น มีการโอนไปต่างประเทศ หรือสะสมมรดกในรูปแบบอื่นที่ไม่เสียภาษี เช่น ทองคำ อัญมณี เพชรพลอย ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่อาจมีการโอนก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้
ขณะที่นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เผยว่า คาดว่าจะเสนอ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดกและร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ที่ ครม.เห็นชอบแล้ว เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสมาชิกสภานิติบัญญํติแห่งชาติ(สนช.) ได้ในสัปดาห์หน้า ส่วนระยะเวลาที่จะมีผลบังคับใช้น่าจะประมาณเดือน มิ.ย.2558 และว่า ร่างกฎหมายภาษีมรดกและร่างแก้ไขประมวลรัษฎากรการรับและให้ กำหนดนิยามการรับมรดกเมื่อผู้ครอบครองทรัพย์สินเสียชีวิตเท่านั้น โดยยกเว้นให้กับการโอนมรดกที่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ส่วนที่เกินนำมาคำนวณไม่เกิน 10% โดยบังคับใช้เฉพาะทรัพย์สินที่มีการจดทะเบียน เช่น หุ้นในตลาดหุ้น เงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้ พันธบัตร ที่อยู่อาศัย ที่ดิน โดยให้ประเมินในราคาปัจจุบันของทรัพย์สิน ส่วนอัญมณี ทองคำ เงินสด หุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ ไม่นับรวมเป็นมรดก อธิบดีกรมสรรพากร ยังเผยด้วยว่า กรมฯ ได้ประเมินกลุ่มผู้ที่มีทรัพย์สินเกินกว่า 50 ล้านบาท มีอยู่ประมาณ 1 หมื่นราย
ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก กำหนดว่า ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมรดก ได้แก่ บุคคลที่มีสัญชาติไทย หรือมิได้มีสัญชาติไทย แต่มีภูมิลำเนาหรือมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันถึงวันมีสิทธิได้รับมรดก และบุคคลผู้มิได้มีสัญชาติไทย แต่ได้รับมรดกอันเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย หากผู้รับมรดกรายใดฝ่าฝืน หลีกเลี่ยง ซ่อนเร้น หรือยักย้าย หรือโอนให้บุคคลอื่นโดยไม่ยอมเสียภาษี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 4 แสนบาท
เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ได้เห็นชอบหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเพิ่มค่าครองชีพให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการตามที่กระทรวงการคลังเสนอด้วย โดยมีการปรับเพดานเงินเดือนขั้นสูงจาก 12,285 บาท เป็น 13,285 บาท และปรับเงินเพิ่มการครองชีพจากเดือนละ 1,500 บาท เป็น 2,000 บาท แต่เมื่อรวมกับเงินเดือนแล้ว ต้องไม่เกินเดือนละ 13,285 บาท ส่วนผู้ที่มีรายได้ไม่ถึงเดือนละ 10,000 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพเพิ่มอีกจนถึงเดือนละ 10,000 บาท นอกจากนี้ยังรวมถึงลูกจ้างชั่วคราวที่กำหนดคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งต้องใช้ผู้สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรีที่มีค่าจ้างไม่ถึง 10,000 บาท และทหารกองประจำการที่ได้รับเงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท ก็ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนจนถึง 10,000 บาทเช่นกัน โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2557 เป็นต้นไป
5.ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ลดโทษจำคุก “นักรบศรีวิชัย” เหลือ 3-8 เดือน คดีบุกเอ็นบีที พร้อมออกหมายจับ 6 รายเบี้ยวขึ้นศาล!
เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธเนศร์ คำชุม กับพวกรวม 85 คน ซึ่งเป็นกลุ่มนักรบศรีวิชัยของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลย ฐานสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไปหรือซ่อนตัวในเคหสถานหรือสำนักงานผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น ทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 22-26 ส.ค.2551 จำเลยทั้ง 85 คน ร่วมกันประชุมวางแผนตกลงกันไปกระทำความผิดฐานร่วมกันบุกรุกอาคารสำนักงานสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีและสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย โดยพกพาอาวุธต่างๆ ร่วมกันทำลายทรัพย์สินกว่า 15 รายการ เสียหายกว่า 6 แสนบาท ทั้งยังร่วมกันข่มขืนใจ น.ส.ตวงพร อัศววิไล และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีและพนักงานคนอื่นๆ ไม่ให้จัดรายการออกอากาศและขับไล่ให้ออกจากสำนักงาน
สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2553 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยคนอื่นๆ จำคุกระหว่าง 6 เดือน ถึง 2 ปี 6 เดือน และให้รอลงอาญาจำเลยที่เป็นเยาวชน 6 ราย
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ พิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์มีพนักงานสอบสวนเบิกความสอดคล้องกันว่า แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ มีคำสั่งให้กลุ่มจำเลยกับพวกให้บุกรุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีและสถานีวิทยุฯ เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2551 เวลา 05.00น. บังคับให้พนักงานหยุดปฏิบัติหน้าที่ ไล่ทุกคนออกจากสำนักงาน ศาลเห็นว่าพฤติการณ์แห่งคดีและการกระทำของจำเลยเป็นการมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ส่วนจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืน แต่การนำสืบของโจทก์ไม่ชัดเจนว่า จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้า
สำหรับความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นนั้น ศาลเห็นว่าอุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น ส่วนความผิดฐานซ่องโจร ศาลเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าพวกจำเลยประชุมวางแผนกันล่วงหน้าก่อนบุกรุก จึงไม่เป็นความผิดฐานซ่องโจร ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลรอการลงโทษ ศาลเห็นว่า เป็นการชุมนุมทางการเมือง ที่ศาลชั้นต้นไม่รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย
ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยที่ 1-41 ,43-85 คนละ 1 ปี ,จำเลยที่ 30 ,47 และ 81 ขณะก่อเหตุอายุไม่เกิน 20 ปี ลงโทษจำคุก 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 83 ,84 ,85 ขณะเกิดเหตุอายุต่ำกว่า 18 ปี จำคุกคนละ 6 เดือน นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังมีความผิดฐานพกพาอาวุธปืนและมีเครื่องวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษจำคุก 4 เดือน รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน
แต่จำเลยที่ 2-41 ,และ 43-45 ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 1 ลดโทษเหลือจำคุก 8 เดือน ,จำเลยที่ 30 ,47 และ 81 ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 6 เดือน สำหรับจำเลยที่ 83 ,84 ,85 ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน อย่างไรก็ตามจำเลยที่ 30 ,47 ,81 ,83 ,84 ,85 ขณะกระทำผิดเป็นเยาวชน โทษจำคุกให้รอการลงโทษ ส่วนจำเลยอีก 6 คนที่ไม่ได้มาศาล ศาลได้ออกหมายจับให้นำตัวมาลงโทษตามคำพิพากษา
หลังฟังคำพิพากษา นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความของจำเลย ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดและกรมธรรม์ประกันชีวิต เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งหมดคนละ 2 แสนบาท เพื่อสู้คดีในชั้นฎีกา ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวได้