เด็กหนุ่มรุ่นลูกต้องชิดซ้าย...หลบ(เขา)ไป!!
คนรุ่นใหญ่วัยเดียวกันต้องชิดขวา...หลีกทางให้(เขา)!!
แนะนำกันอย่างนี้ อย่าเพิ่งสงสัยว่าพี่แกเป็น 'นักเลงใหญ่' หรือ 'ผู้มีอิทธิพล' มาจากแห่งหนตำบลใด เพราะที่จริงแล้ว เราๆ ท่านๆ ต่างก็คุ้นหน้าค่าตากันเป็นอย่างดีและอาจได้ยินได้ฟังเรื่องราวของชายคนนี้มาแล้วไม่มากก็น้อย
"สุเชาว์ พงษ์วิไล" คือใครคนนั้นที่เรากำลังกล่าวถึง...
ในวันวัยที่ยาวไกลกว่าหกสิบร้อนหนาว “สุเชาว์ พงษ์วิไล” เก็บเกี่ยวความสำเร็จตามวิถีของมืออาชีพด้านการแสดงมาจนเป็นที่ประจักษ์ ขณะที่ชีวิตอีกด้านก็ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อย แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น คือมวลสารชั้นดีที่นำไปสู่การตกตะกอนทางความคิด ถึงขั้นที่เขาสารภาพว่า เหมือนชีวิตได้เกิดใหม่
ในวัย 68 สุเชาว์ พงษ์วิไล บนอานจักรยาน เป็นภาพแรกๆ ที่ทำให้เรารู้สึกสนอกสนใจในตัวของนักแสดงสูงวัยผู้นี้ บวกกับบอดี้ที่ฟิตเฟิร์ม ใบหน้าที่แจ่มใส ยิ่งจูงใจให้เราก้าวเข้าไปเพื่อสนทนาด้วย
โปรดอย่าคาดหวังเรื่องราวที่สดสวยร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะทุกชีวิตก็คงจะเป็นกันเช่นนี้
มันมีเรื่องราวงามๆ เท่าๆ กับที่มีโมงยามของความผิดพลาด
แต่นั่นจะสำคัญอย่างไร
ถ้าเพียงใครสักคนกล้าหาญพอที่จะลุกขึ้นมา
เปลี่ยนแปลงตัวเอง...
“อยู่ที่เราจะใช้เวลาที่มี
อยู่บนโลกนี้กันยังไง”
"มันเริ่มจากที่ผมได้รับบทแสดงในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง แล้วมันมีฉากที่ต้องถอดเสื้อเล่น ผมก็เลยไปเล่นเวต หุ่นจะไม่ได้น่าเกลียด" ดาวร้ายรุ่นใหญ่บอกกล่าวเล่าย้อนถึงเหตุผลที่ริเริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจัง จนกระทั่งถึงตอนนี้ ซึ่งหากนับระยะเวลาก็ร่วม 8 ปีเข้าไปแล้ว
"ตั้งแต่ตอนนั้นมาก็ออกกำลังกายมาตลอด จะเรียกว่ามันติดก็ได้นะ มันเสพติด เพราะเล่นไปแล้วมันรู้สึกดี ร่างกายเรามีประสิทธิภาพขึ้น แข็งแรงขึ้น ก็เลยไม่อยากหยุดเล่น คือวันไหนเหงื่อไม่ออก มันไม่มีความสุข ไม่สบายเนื้อสบายตัว พอได้เหงื่อได้น้ำ มันก็แจ่มใส"
จากการจับพลัดจับผลูเพียงเพื่อต้องการให้รูปร่างเหมาะกับบทบาทบนจอเงิน ผลพลอยได้ที่มากกว่าหุ่นฟิตๆ บอดี้เป๊ะๆ ได้นำพาความรู้สึกอ่อนวัยมาให้ ชนิดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อน
"แรกๆ ที่เล่น เราก็คิดแค่ว่ามันได้ความสวยงามของรูปร่าง แต่จริงๆ ตรงนี้มันเป็นผลพลอยได้มากกว่า จุดประสงค์หลักๆ ของการเล่นเวต ผมรู้หลังจากลองเล่นเองโดยไม่มีเทรนเนอร์อยู่ 2-3 เดือน เล่นแบบไม่เข้าใจแล้วมันก็ไม่รู้จะเล่นไปทำไม พอได้คุยกับเทรนเนอร์ถึงรู้ว่าการเล่นเวตมันมี 2 อย่าง คือเล่นให้แข็งแรงกับเล่นสร้างกล้ามเนื้อให้สวยงาม
"เราต้องการเล่นให้แข็งแรง เล่นเพื่อสุขภาพ ฟิตเนสก็ตอบโจทย์นี้ได้ มันช่วยพยุงกล้ามเนื้อ ทำให้ไม่ปวดหลังปวดข้อต่างๆ เพราะกล้ามเนื้อมันช่วยรับน้ำหนักแทน เนื่องจากร่างกายคนเรากระดูกมันเป็นแค่โครง ไอ้ที่หุ้มกระดูกมันคือกล้ามเนื้อ ถ้ากล้ามเนื้อแข็งแรงมันก็ช่วยรับน้ำหนักได้
"มันให้อะไรมากกว่าที่คิดไว้มาก" เจ้าตัวยืนยัน ก่อนจะเผยว่า ทั้งเบาหวาน ความดัน รวมไปถึงโรคชราภาพต่างๆ ไม่มีย่างกรายเข้ามาในชีวิต อาการปวดหลังปวดเมื่อยไขข้อรึ..."ผมไม่เคยเจ็บป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล" ดาวร้ายนักปั่น กล่าว
"เมื่อก่อนโน้น ยืนแค่สิบนาทีก็ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวนี้ยืนได้เป็นชั่วโมงๆ เป็นหวัดน้ำมูกไหลพอมีบ้าง แต่ไม่ทันข้ามวันมันก็หายไปเอง พูดได้ว่าไม่เคยเป็นไข้นานเกิน 2-3 วัน แป๊บๆ เดี๋ยวก็หาย"
ขณะที่สุขภาพขยับลี้หนีจากโรคภัยไข้เจ็บประหนึ่งย้อนทวนเข็มนาฬิกาเวลาชีวิต สภาวะจิตใจของ “อาสุเชาว์” หรือ “ลุงสุเชาว์” แล้วแต่ใครจะเรียกขานในวันนี้ ก็ดูเบิกบานแจ่มใสไร้กังวล ไร้ความเครียด สังเกตได้จากใบหน้าที่แลดูผุดผ่อง อ่อนกว่าวัย แถมร่างกายก็ยังดูดีทะมัดทะแมงกว่าเก่าก่อนเสียอีก
"ผมว่าการออกกำลังกายมีส่วนสำคัญมากๆ เลย เพราะเวลาออกกำลังกายแล้วเหงื่อออก ร่างกายมันจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข แล้วถ้ายิ่งรู้จักกินรู้จักอยู่ มันก็ไม่น่าจะมีปัญหา เรื่องความเครียดอะไรพวกนั้นก็ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตของเราด้วย มันอยู่ที่ว่าเราใช้ชีวิตอย่างไร ต้องมีการเตรียมตัวเตรียมทางแก้ไขปัญหา
"คือแล้วแต่คุณจะให้ความสำคัญกับอะไรเท่านั้นเอง ถ้ารู้ว่าการออกกำลังกายทำให้สุขภาพร่างกายจิตใจดี แข็งแรง แต่คุณไม่ออกกำลังกาย ก็แปลว่าคุณไม่ได้ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายก็เท่านั้น เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ตัวเรา ว่างไม่ว่าง อยู่ที่เราให้ความสำคัญ ถ้าเราบอกว่าเราไม่มีเวลา เราไม่ว่างก็เพราะเราไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งนั้น ถ้าเราให้ความสำคัญ เราก็ต้องหาวิธี หาเวลาจนได้ จริงไหม”
ถ่ายละครกว่า 4-5 เรื่อง ตกก็ประมาณเรื่องละร้อยกว่าตอน ตารางเวลาไม่มีแน่นอนตายตัว บางวันถ่ายเสร็จเร็วเลิกไว บ่ายแก่ๆ ก็แวะเวียนไปโรงยิมหรือไม่ก็หยิบสองล้อคู่ใจออกมาปั่น วันไหนถ่ายสายเลิกค่ำหรือไม่มีธุระปะปังอันใดสำคัญ โลเกชันสถานที่ถ่ายบริเวณกรุงเทพฯ การเดินทางด้วยแรงปั่นจากซอยอารีย์จนถึงที่หมายก็จะเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปบริเวณย่านนั้นกระทั่งคนในกองเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
"ผมเอาจักรยานไปกองถ่ายด้วยทุกครั้ง บางครั้งถ่ายเสร็จแล้วว่าง ชั่วโมงสองชั่วโมง ผมก็เอาไปขี่ แค่นี้ผมก็ได้ออกกำลังกายแล้ว คือการออกกำลังกายมันมีหลายแบบ ไม่มีจำกัด อย่างสมมติ ผมมีคิวถ่ายที่ซอยสุขุมวิท 107 ผมก็ขี่จักรยานไป หิ้วจักรยานขึ้น-ลงรถไฟฟ้า วันไหนไม่รีบ ผมยังแวะเข้าเส้นอโศกมาเข้ายิมออกกำลังกายต่ออีก (ยิ้ม)
"มันอยู่ที่เราจริงๆ ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราอยากทำอะไร มันก็มีเวลาเสมอ 24 ชั่วโมงใน 1 วัน คุณแบ่งปันมาให้ร่างกาย 1-2 ชั่วโมง มันก็ได้อะไรตั้งเยอะแยะแล้ว อย่างผมมาออกกำลังตอนอายุเกือบ 60 แล้ว ยังไม่สายเลย เพราะมันไม่มีอะไรสาย มันทำได้หมดแหละ แต่คนเราส่วนมากมักจะไม่ให้เวลากับตัวเอง มันขึ้นอยู่กับตัวเราใจเรา นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งด้วยนะที่ผมเป็นอย่างนี้ เพราะจะพูดว่าผมปฏิบัติธรรมด้วยมันก็ส่วนหนึ่ง
"คือใน 1 วัน หากคุณลองจัดเวลาให้กับตัวเองสักสิบนาที ไม่ต้องยุ่งกับใคร ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น อยู่กับตัวเอง อยู่กับจิต เราจะรู้สึกว่าตัวเราสงบ แล้วเราจะเห็นความจริง อย่างที่คำพระท่านว่า 'อยู่กับปัจจุบัน' จริงๆ คือให้เราอยู่กับตัวเอง คนเราต้องมีเวลา ต้องจัดการเวลาให้กับตัวเอง ลองดูก็ได้ว่าวันใดที่เราทำงานเหนื่อยๆ แล้วเรากลับมาบ้าน เราไม่ต้องเจอใครเลย ไม่ต้องฟังเพลงเปิดทีวี เปิดวิทยุ อาบน้ำ ทำร่างกายให้สบายๆ แล้วลองนั่งดูตัวเอง ตรงนี้ต่อให้ไม่รู้เรื่องสมาธิ ไม่รู้เรื่องการทำสมาธิหรือการเจริญวิปัสสนา ก็ทำได้ แค่คุณหลับตาแล้วอยู่กับตัวเอง อยู่กับลมหายใจของตัวเอง ให้รู้สึกว่าเราหายใจยังไงแค่นั้นล่ะ ในสิบนาที ถ้าคุณอยู่ตรงนี้ได้ คุณจะรู้สึกสงบ แล้วคุณจะค้นพบความสุขของตัวเอง"
สำคัญที่ 'เห็น'
สำคัญที่ 'เป็น'
"กว่าจะถึงวันนี้ได้ ผมเสียเวลาไปมาก สมัยก่อน ตั้งแต่เริ่มเล่นหนังเล่นละคร ผมใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยสุดๆ กลุ่มเพื่อนพ้องของผมเป็นคนชอบกินเหล้า เล่นหนังเล่นละครเสร็จก็กินเหล้ากัน คือตอนนั้นคิดว่ามันเป็นความบันเทิง คิดว่ามันเป็นความสุข ซึ่งมันใช่หรือเปล่าไม่รู้ แต่ ณ ตอนนั้น เราสนุกกับมัน มีเพื่อนมีฝูงมานั่งกินเหล้าเยอะ เราก็อยู่กับตรงนั้นมา 20 ปี แล้วพอมาวันหนึ่ง 'ไอ้เหล้า' นี่ล่ะที่มันทำให้เราได้เห็น เราเสียครอบครัว เสียภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย เขาขอออกไปจากชีวิตเรา มันเป็นจุดหนึ่งซึ่งทำให้เราคิดได้ว่า ชีวิตแบบนี้มันไม่มีประโยชน์แล้ว ชีวิตเราล้มเหลวสิ้นเชิง"
หลังจากที่คู่ชีวิตเดินจากไป กำลังแขนแรงขาที่เคยถูกออกกำลังด้วยการยกแก้วที่ปริ่มน้ำสีอำพันเป็นเนืองนิตย์ก็ยุติลงทันใด เมื่อภาพลูกๆ สองคนที่ต้องดูแล ภาพความผิดพลาดขาดตกบกพร่องในหน้าที่ 'สามี' และ 'พ่อ' ประดังประเดเข้ามา เหมือนกับว่าภาพชีวิตเบื้องหน้าพังทลายลงต่อหน้าต่อตา...
“ผมหยุดกินเหล้าเลยนะในวันที่ผมเลิกกับภรรยา ผมรู้สึกผิดมาก เรารู้สึกว่าตัวเราไม่มีค่าเลย มันเลวร้ายมาก คนคนหนึ่งอยู่ด้วยกันมา มีลูกกันสองคน แล้วเขาเดินออกไปจากเรา เพราะเรานี่แหละ ถ้าเราดี เขาคงไม่เดินจากไปหรอก ถ้ามีความสุข เขาก็ต้องอยู่ ผมเลยกลับมาทบทวนดู ถึงได้เห็นความจริง จากแต่ก่อนที่อยู่กับเพื่อน ติดเพื่อน เฮฮาสนุกสนานตลอดเวลา เราก็เริ่มอยู่คนเดียว มองตัวเอง เห็นตัวเอง มันก็คิดได้ การที่อยู่คนเดียวแล้วคุณกลับบ้านไปเห็นลูกๆ ตัวเล็กๆ นอนอยู่สองคน คุณจะรู้สึกอย่างไร คุณต้องดูแลเขา มันดราม่ามากมันเหมือนละคร น้ำตามันไหลออกมาเอง”
“หลังจากนั้นถามว่าเป็นอย่างไร ผมตอบได้เลยว่าโลกเปลี่ยนครับ ชีวิตเปลี่ยน เพราะผมได้ชนวนตรงนี้ที่ทำให้ผมได้ไปเรียนวิปัสสนากับอาจารย์ท่านหนึ่ง แล้วผมก็พบว่า ชีวิตคนเรามันไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ผมเห็นลูกผมยิ้ม เห็นลูกผมหัวเราะ ผมก็มีความสุขแล้ว ผมได้มองเห็นอะไรต่อมิอะไรที่เราควรจะทำตัวอย่างนั้น”
แม้หลายคนอาจจะจำกัดความคำว่า 'ใช้ชีวิตเป็น' ในรูปแบบไหน แต่สำหรับนักแสดงรุ่นใหญ่ในวันนี้ คำว่า 'ใช้ชีวิตเป็น' คือ รู้จักมีสติและเดินสายกลาง
“ชีวิตคนเรา ถ้าเจริญสติได้ตลอดเวลา เราอยู่กับตัวเรา จิตเราไม่ฟุ้งซ่าน มันก็ไม่มีเรื่องอะไรมากระทบเราได้ ไม่ว่าจะในชีวิตประจำวัน การงาน ทำทุกอย่างต้องมีสมาธิ ไม่เว้นกระทั่งเรื่องออกกำลังกาย ก็ต้องใช้สมาธิความตั้งมั่น ไม่งั้นเราก็อาจจะล้มเลิกกลางคันเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ก็อย่าไปเคร่งเครียดมาก ทำได้ก็ทำ อันไหนทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ คือเกิดเป็นคน อย่ายึดติดกับอะไร ต้องอยู่กับสิ่งที่มี
“ถึงตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมโชคดี มันอาจจะเป็นเพราะบุญเก่าก็ได้นะที่ทำให้ผมรู้ ไม่งั้นชีวิตผมเจ๊งบ๊งไปนานแล้ว ความต้องการของผมในชีวิตตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้อยากได้นาฬิกาเรือนหมื่นครั้งละ 3-4 เรือนพร้อมกัน ไม่ได้ฟุ้งเฟื้อมื้อละหนักๆ กับค่ากับข้าว ค่ากับแกล้มเหล้า
“ทุกวันนี้ผมใช้เงินไม่เกินวันละสองร้อยบาท เพราะลูกเต้าก็โตกันหมดแล้ว เราอยู่คนเดียว กินข้าวมื้อละไม่กี่บาท บางวันกินที่กองถ่ายละคร เดินทางก็ใช้รถจักรยานเป็นส่วนใหญ่ ชีวิตมันสบายขึ้นเยอะ ไม่ต้องไปคิดว่าเดี๋ยวจะต้องไปนั่นไปนี่ ในอนาคตจะต้องไปเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยู่ไป ใช้ชีวิตให้มีความสุข เดินทางสายกลางอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอน”
สำคัญที่ 'ให้'
โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
จากความสุขที่เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ อย่างการยกเวต การปั่นจักรยาน และการเลิกสุรา นำพาชีวิตมาไกลเกินคาด ซึ่งเจ้าตัวคิดว่าเป็นเพราะบุญญาวาสนาส่งที่ช่วยปลุกให้พ้นจากโคลนตม เมื่อพ้นแล้วก็เอื้อเฟื้อแบ่งปันกันและกัน ระหว่างตัวเองกับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก อย่างกรณีของการร่วมกันบริจาคจักรยานให้กับเด็กน้อยผู้ด้อยโอกาส ซึ่งกระทำมาโดยตลอดในหลายครั้งครา
“การปั่นจักรยานมันมีประโยชน์มากกว่าจุดหมายเพื่อตัวเอง” ดาวร้ายอาวุโสเผย ก่อนจะชี้แจงว่า “เรื่องตรงนี้มันไม่ใช่กระแส จริงอยู่ที่การปั่นจักรยานมันเป็นเทรนด์ แต่วันใดที่คุณได้มาปั่นจริงๆ จังๆ คุณไม่เลิกปั่นแน่ ยิ่งคุณขี่เป็นทริป ปั่นไปไกลๆ ไปต่างจังหวัด คุณจะเห็นอะไรเยอะแยะ เห็นชีวิตผู้คน นั่งรถ เราไม่เห็นอะไรหรอกเพราะมันเร็วเกิน
“แล้วสังคมคนขี่จักรยานน่ารัก ทุกคนเป็นมิตรมากๆ ร่วมด้วยช่วยกันเสมอ ผมได้เพื่อนดีๆ จากการปั่นจักรยานเยอะแยะไปหมด เพราะเวลาขี่ เราขี่คนเดียวไม่สนุกหรอก มันต้องมีเพื่อน ฉะนั้นเวลาออกไปกันเป็นทริป ระหว่างที่เราปั่น ระหว่างที่หยุดพัก เราได้เห็นสิ่งต่างๆ ร่วมกัน อย่างไปเห็นเด็กๆ เขาเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนระยะทางกว่า 5-6 กิโลเมตร เราก็คิดว่าเรายังมีจักรยานเป็นของเราเองเลย เด็กๆ เขาก็น่าจะมีจักรยานขี่เป็นของตัวเองบ้าง เราก็เลยรวบรวมเพื่อนฝูงที่มีกำลังซื้อจักรยานไปให้เขา
“คือมันสร้างสรรค์ มันให้สังคมได้ ในระหว่างทาง ถ้าเราแวะ เราให้ มันมีประโยชน์มากกว่าจุดหมายเพื่อตัวเอง หรือเพื่อตัวเราคนเดียว ก็อยากให้คนในสังคมมีคนให้เยอะๆ ถ้ามีคนให้มากกว่ารับ บ้านเมืองมันก็น่าจะร่มเย็น”
ถึงตรงนี้ คงจะไม่ต้องเอ่ยคำใดๆ ถามถึงความรู้สึกกับชีวิตในวันนี้ เพราะตลอดระยะเวลาในระหว่างสนทนา เรารับรู้ถึงสายตาและรอยยิ้มที่มากกว่ารอยยิ้มธรรมดา หากแต่มันเผยออกมาซึ่งความสงบสุขในชีวิตของคนผู้หนึ่งที่ผ่านโลก ผ่านเรื่องราวมามากมาย
“เส้นทางจักรยานมันนำพาทุกสิ่งทุกอย่างที่สวยงามเข้ามา ทั้งคุณค่าชีวิต การมองโลก ได้เพื่อน ได้พบเห็นผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ ได้ให้ ได้รับ แค่นี้ชีวิตตอนนี้ก็มีความสุขมากแล้ว ได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองรัก ตัวเองชอบ พอแล้ว เราจะทำอะไรให้เยอะแยะมากมาย เราดูแลตัวเองให้ดีๆ ไม่เป็นภาระสังคม ลูกหลานก็แฮปปี้แล้ว”
ขอบคุณสถานที่ : ร้าน MOD BIKE SHOP
125 ถ.สุคนธสวัสดิ์ ลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10320
โทรศัพท์ 08-3338-3883
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
คนรุ่นใหญ่วัยเดียวกันต้องชิดขวา...หลีกทางให้(เขา)!!
แนะนำกันอย่างนี้ อย่าเพิ่งสงสัยว่าพี่แกเป็น 'นักเลงใหญ่' หรือ 'ผู้มีอิทธิพล' มาจากแห่งหนตำบลใด เพราะที่จริงแล้ว เราๆ ท่านๆ ต่างก็คุ้นหน้าค่าตากันเป็นอย่างดีและอาจได้ยินได้ฟังเรื่องราวของชายคนนี้มาแล้วไม่มากก็น้อย
"สุเชาว์ พงษ์วิไล" คือใครคนนั้นที่เรากำลังกล่าวถึง...
ในวันวัยที่ยาวไกลกว่าหกสิบร้อนหนาว “สุเชาว์ พงษ์วิไล” เก็บเกี่ยวความสำเร็จตามวิถีของมืออาชีพด้านการแสดงมาจนเป็นที่ประจักษ์ ขณะที่ชีวิตอีกด้านก็ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อย แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น คือมวลสารชั้นดีที่นำไปสู่การตกตะกอนทางความคิด ถึงขั้นที่เขาสารภาพว่า เหมือนชีวิตได้เกิดใหม่
ในวัย 68 สุเชาว์ พงษ์วิไล บนอานจักรยาน เป็นภาพแรกๆ ที่ทำให้เรารู้สึกสนอกสนใจในตัวของนักแสดงสูงวัยผู้นี้ บวกกับบอดี้ที่ฟิตเฟิร์ม ใบหน้าที่แจ่มใส ยิ่งจูงใจให้เราก้าวเข้าไปเพื่อสนทนาด้วย
โปรดอย่าคาดหวังเรื่องราวที่สดสวยร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะทุกชีวิตก็คงจะเป็นกันเช่นนี้
มันมีเรื่องราวงามๆ เท่าๆ กับที่มีโมงยามของความผิดพลาด
แต่นั่นจะสำคัญอย่างไร
ถ้าเพียงใครสักคนกล้าหาญพอที่จะลุกขึ้นมา
เปลี่ยนแปลงตัวเอง...
“อยู่ที่เราจะใช้เวลาที่มี
อยู่บนโลกนี้กันยังไง”
"มันเริ่มจากที่ผมได้รับบทแสดงในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง แล้วมันมีฉากที่ต้องถอดเสื้อเล่น ผมก็เลยไปเล่นเวต หุ่นจะไม่ได้น่าเกลียด" ดาวร้ายรุ่นใหญ่บอกกล่าวเล่าย้อนถึงเหตุผลที่ริเริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจัง จนกระทั่งถึงตอนนี้ ซึ่งหากนับระยะเวลาก็ร่วม 8 ปีเข้าไปแล้ว
"ตั้งแต่ตอนนั้นมาก็ออกกำลังกายมาตลอด จะเรียกว่ามันติดก็ได้นะ มันเสพติด เพราะเล่นไปแล้วมันรู้สึกดี ร่างกายเรามีประสิทธิภาพขึ้น แข็งแรงขึ้น ก็เลยไม่อยากหยุดเล่น คือวันไหนเหงื่อไม่ออก มันไม่มีความสุข ไม่สบายเนื้อสบายตัว พอได้เหงื่อได้น้ำ มันก็แจ่มใส"
จากการจับพลัดจับผลูเพียงเพื่อต้องการให้รูปร่างเหมาะกับบทบาทบนจอเงิน ผลพลอยได้ที่มากกว่าหุ่นฟิตๆ บอดี้เป๊ะๆ ได้นำพาความรู้สึกอ่อนวัยมาให้ ชนิดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อน
"แรกๆ ที่เล่น เราก็คิดแค่ว่ามันได้ความสวยงามของรูปร่าง แต่จริงๆ ตรงนี้มันเป็นผลพลอยได้มากกว่า จุดประสงค์หลักๆ ของการเล่นเวต ผมรู้หลังจากลองเล่นเองโดยไม่มีเทรนเนอร์อยู่ 2-3 เดือน เล่นแบบไม่เข้าใจแล้วมันก็ไม่รู้จะเล่นไปทำไม พอได้คุยกับเทรนเนอร์ถึงรู้ว่าการเล่นเวตมันมี 2 อย่าง คือเล่นให้แข็งแรงกับเล่นสร้างกล้ามเนื้อให้สวยงาม
"เราต้องการเล่นให้แข็งแรง เล่นเพื่อสุขภาพ ฟิตเนสก็ตอบโจทย์นี้ได้ มันช่วยพยุงกล้ามเนื้อ ทำให้ไม่ปวดหลังปวดข้อต่างๆ เพราะกล้ามเนื้อมันช่วยรับน้ำหนักแทน เนื่องจากร่างกายคนเรากระดูกมันเป็นแค่โครง ไอ้ที่หุ้มกระดูกมันคือกล้ามเนื้อ ถ้ากล้ามเนื้อแข็งแรงมันก็ช่วยรับน้ำหนักได้
"มันให้อะไรมากกว่าที่คิดไว้มาก" เจ้าตัวยืนยัน ก่อนจะเผยว่า ทั้งเบาหวาน ความดัน รวมไปถึงโรคชราภาพต่างๆ ไม่มีย่างกรายเข้ามาในชีวิต อาการปวดหลังปวดเมื่อยไขข้อรึ..."ผมไม่เคยเจ็บป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล" ดาวร้ายนักปั่น กล่าว
"เมื่อก่อนโน้น ยืนแค่สิบนาทีก็ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวนี้ยืนได้เป็นชั่วโมงๆ เป็นหวัดน้ำมูกไหลพอมีบ้าง แต่ไม่ทันข้ามวันมันก็หายไปเอง พูดได้ว่าไม่เคยเป็นไข้นานเกิน 2-3 วัน แป๊บๆ เดี๋ยวก็หาย"
ขณะที่สุขภาพขยับลี้หนีจากโรคภัยไข้เจ็บประหนึ่งย้อนทวนเข็มนาฬิกาเวลาชีวิต สภาวะจิตใจของ “อาสุเชาว์” หรือ “ลุงสุเชาว์” แล้วแต่ใครจะเรียกขานในวันนี้ ก็ดูเบิกบานแจ่มใสไร้กังวล ไร้ความเครียด สังเกตได้จากใบหน้าที่แลดูผุดผ่อง อ่อนกว่าวัย แถมร่างกายก็ยังดูดีทะมัดทะแมงกว่าเก่าก่อนเสียอีก
"ผมว่าการออกกำลังกายมีส่วนสำคัญมากๆ เลย เพราะเวลาออกกำลังกายแล้วเหงื่อออก ร่างกายมันจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข แล้วถ้ายิ่งรู้จักกินรู้จักอยู่ มันก็ไม่น่าจะมีปัญหา เรื่องความเครียดอะไรพวกนั้นก็ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตของเราด้วย มันอยู่ที่ว่าเราใช้ชีวิตอย่างไร ต้องมีการเตรียมตัวเตรียมทางแก้ไขปัญหา
"คือแล้วแต่คุณจะให้ความสำคัญกับอะไรเท่านั้นเอง ถ้ารู้ว่าการออกกำลังกายทำให้สุขภาพร่างกายจิตใจดี แข็งแรง แต่คุณไม่ออกกำลังกาย ก็แปลว่าคุณไม่ได้ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายก็เท่านั้น เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ตัวเรา ว่างไม่ว่าง อยู่ที่เราให้ความสำคัญ ถ้าเราบอกว่าเราไม่มีเวลา เราไม่ว่างก็เพราะเราไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งนั้น ถ้าเราให้ความสำคัญ เราก็ต้องหาวิธี หาเวลาจนได้ จริงไหม”
ถ่ายละครกว่า 4-5 เรื่อง ตกก็ประมาณเรื่องละร้อยกว่าตอน ตารางเวลาไม่มีแน่นอนตายตัว บางวันถ่ายเสร็จเร็วเลิกไว บ่ายแก่ๆ ก็แวะเวียนไปโรงยิมหรือไม่ก็หยิบสองล้อคู่ใจออกมาปั่น วันไหนถ่ายสายเลิกค่ำหรือไม่มีธุระปะปังอันใดสำคัญ โลเกชันสถานที่ถ่ายบริเวณกรุงเทพฯ การเดินทางด้วยแรงปั่นจากซอยอารีย์จนถึงที่หมายก็จะเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปบริเวณย่านนั้นกระทั่งคนในกองเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
"ผมเอาจักรยานไปกองถ่ายด้วยทุกครั้ง บางครั้งถ่ายเสร็จแล้วว่าง ชั่วโมงสองชั่วโมง ผมก็เอาไปขี่ แค่นี้ผมก็ได้ออกกำลังกายแล้ว คือการออกกำลังกายมันมีหลายแบบ ไม่มีจำกัด อย่างสมมติ ผมมีคิวถ่ายที่ซอยสุขุมวิท 107 ผมก็ขี่จักรยานไป หิ้วจักรยานขึ้น-ลงรถไฟฟ้า วันไหนไม่รีบ ผมยังแวะเข้าเส้นอโศกมาเข้ายิมออกกำลังกายต่ออีก (ยิ้ม)
"มันอยู่ที่เราจริงๆ ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราอยากทำอะไร มันก็มีเวลาเสมอ 24 ชั่วโมงใน 1 วัน คุณแบ่งปันมาให้ร่างกาย 1-2 ชั่วโมง มันก็ได้อะไรตั้งเยอะแยะแล้ว อย่างผมมาออกกำลังตอนอายุเกือบ 60 แล้ว ยังไม่สายเลย เพราะมันไม่มีอะไรสาย มันทำได้หมดแหละ แต่คนเราส่วนมากมักจะไม่ให้เวลากับตัวเอง มันขึ้นอยู่กับตัวเราใจเรา นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งด้วยนะที่ผมเป็นอย่างนี้ เพราะจะพูดว่าผมปฏิบัติธรรมด้วยมันก็ส่วนหนึ่ง
"คือใน 1 วัน หากคุณลองจัดเวลาให้กับตัวเองสักสิบนาที ไม่ต้องยุ่งกับใคร ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น อยู่กับตัวเอง อยู่กับจิต เราจะรู้สึกว่าตัวเราสงบ แล้วเราจะเห็นความจริง อย่างที่คำพระท่านว่า 'อยู่กับปัจจุบัน' จริงๆ คือให้เราอยู่กับตัวเอง คนเราต้องมีเวลา ต้องจัดการเวลาให้กับตัวเอง ลองดูก็ได้ว่าวันใดที่เราทำงานเหนื่อยๆ แล้วเรากลับมาบ้าน เราไม่ต้องเจอใครเลย ไม่ต้องฟังเพลงเปิดทีวี เปิดวิทยุ อาบน้ำ ทำร่างกายให้สบายๆ แล้วลองนั่งดูตัวเอง ตรงนี้ต่อให้ไม่รู้เรื่องสมาธิ ไม่รู้เรื่องการทำสมาธิหรือการเจริญวิปัสสนา ก็ทำได้ แค่คุณหลับตาแล้วอยู่กับตัวเอง อยู่กับลมหายใจของตัวเอง ให้รู้สึกว่าเราหายใจยังไงแค่นั้นล่ะ ในสิบนาที ถ้าคุณอยู่ตรงนี้ได้ คุณจะรู้สึกสงบ แล้วคุณจะค้นพบความสุขของตัวเอง"
สำคัญที่ 'เห็น'
สำคัญที่ 'เป็น'
"กว่าจะถึงวันนี้ได้ ผมเสียเวลาไปมาก สมัยก่อน ตั้งแต่เริ่มเล่นหนังเล่นละคร ผมใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยสุดๆ กลุ่มเพื่อนพ้องของผมเป็นคนชอบกินเหล้า เล่นหนังเล่นละครเสร็จก็กินเหล้ากัน คือตอนนั้นคิดว่ามันเป็นความบันเทิง คิดว่ามันเป็นความสุข ซึ่งมันใช่หรือเปล่าไม่รู้ แต่ ณ ตอนนั้น เราสนุกกับมัน มีเพื่อนมีฝูงมานั่งกินเหล้าเยอะ เราก็อยู่กับตรงนั้นมา 20 ปี แล้วพอมาวันหนึ่ง 'ไอ้เหล้า' นี่ล่ะที่มันทำให้เราได้เห็น เราเสียครอบครัว เสียภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย เขาขอออกไปจากชีวิตเรา มันเป็นจุดหนึ่งซึ่งทำให้เราคิดได้ว่า ชีวิตแบบนี้มันไม่มีประโยชน์แล้ว ชีวิตเราล้มเหลวสิ้นเชิง"
หลังจากที่คู่ชีวิตเดินจากไป กำลังแขนแรงขาที่เคยถูกออกกำลังด้วยการยกแก้วที่ปริ่มน้ำสีอำพันเป็นเนืองนิตย์ก็ยุติลงทันใด เมื่อภาพลูกๆ สองคนที่ต้องดูแล ภาพความผิดพลาดขาดตกบกพร่องในหน้าที่ 'สามี' และ 'พ่อ' ประดังประเดเข้ามา เหมือนกับว่าภาพชีวิตเบื้องหน้าพังทลายลงต่อหน้าต่อตา...
“ผมหยุดกินเหล้าเลยนะในวันที่ผมเลิกกับภรรยา ผมรู้สึกผิดมาก เรารู้สึกว่าตัวเราไม่มีค่าเลย มันเลวร้ายมาก คนคนหนึ่งอยู่ด้วยกันมา มีลูกกันสองคน แล้วเขาเดินออกไปจากเรา เพราะเรานี่แหละ ถ้าเราดี เขาคงไม่เดินจากไปหรอก ถ้ามีความสุข เขาก็ต้องอยู่ ผมเลยกลับมาทบทวนดู ถึงได้เห็นความจริง จากแต่ก่อนที่อยู่กับเพื่อน ติดเพื่อน เฮฮาสนุกสนานตลอดเวลา เราก็เริ่มอยู่คนเดียว มองตัวเอง เห็นตัวเอง มันก็คิดได้ การที่อยู่คนเดียวแล้วคุณกลับบ้านไปเห็นลูกๆ ตัวเล็กๆ นอนอยู่สองคน คุณจะรู้สึกอย่างไร คุณต้องดูแลเขา มันดราม่ามากมันเหมือนละคร น้ำตามันไหลออกมาเอง”
“หลังจากนั้นถามว่าเป็นอย่างไร ผมตอบได้เลยว่าโลกเปลี่ยนครับ ชีวิตเปลี่ยน เพราะผมได้ชนวนตรงนี้ที่ทำให้ผมได้ไปเรียนวิปัสสนากับอาจารย์ท่านหนึ่ง แล้วผมก็พบว่า ชีวิตคนเรามันไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ผมเห็นลูกผมยิ้ม เห็นลูกผมหัวเราะ ผมก็มีความสุขแล้ว ผมได้มองเห็นอะไรต่อมิอะไรที่เราควรจะทำตัวอย่างนั้น”
แม้หลายคนอาจจะจำกัดความคำว่า 'ใช้ชีวิตเป็น' ในรูปแบบไหน แต่สำหรับนักแสดงรุ่นใหญ่ในวันนี้ คำว่า 'ใช้ชีวิตเป็น' คือ รู้จักมีสติและเดินสายกลาง
“ชีวิตคนเรา ถ้าเจริญสติได้ตลอดเวลา เราอยู่กับตัวเรา จิตเราไม่ฟุ้งซ่าน มันก็ไม่มีเรื่องอะไรมากระทบเราได้ ไม่ว่าจะในชีวิตประจำวัน การงาน ทำทุกอย่างต้องมีสมาธิ ไม่เว้นกระทั่งเรื่องออกกำลังกาย ก็ต้องใช้สมาธิความตั้งมั่น ไม่งั้นเราก็อาจจะล้มเลิกกลางคันเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ก็อย่าไปเคร่งเครียดมาก ทำได้ก็ทำ อันไหนทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ คือเกิดเป็นคน อย่ายึดติดกับอะไร ต้องอยู่กับสิ่งที่มี
“ถึงตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมโชคดี มันอาจจะเป็นเพราะบุญเก่าก็ได้นะที่ทำให้ผมรู้ ไม่งั้นชีวิตผมเจ๊งบ๊งไปนานแล้ว ความต้องการของผมในชีวิตตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้อยากได้นาฬิกาเรือนหมื่นครั้งละ 3-4 เรือนพร้อมกัน ไม่ได้ฟุ้งเฟื้อมื้อละหนักๆ กับค่ากับข้าว ค่ากับแกล้มเหล้า
“ทุกวันนี้ผมใช้เงินไม่เกินวันละสองร้อยบาท เพราะลูกเต้าก็โตกันหมดแล้ว เราอยู่คนเดียว กินข้าวมื้อละไม่กี่บาท บางวันกินที่กองถ่ายละคร เดินทางก็ใช้รถจักรยานเป็นส่วนใหญ่ ชีวิตมันสบายขึ้นเยอะ ไม่ต้องไปคิดว่าเดี๋ยวจะต้องไปนั่นไปนี่ ในอนาคตจะต้องไปเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยู่ไป ใช้ชีวิตให้มีความสุข เดินทางสายกลางอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอน”
สำคัญที่ 'ให้'
โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
จากความสุขที่เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ อย่างการยกเวต การปั่นจักรยาน และการเลิกสุรา นำพาชีวิตมาไกลเกินคาด ซึ่งเจ้าตัวคิดว่าเป็นเพราะบุญญาวาสนาส่งที่ช่วยปลุกให้พ้นจากโคลนตม เมื่อพ้นแล้วก็เอื้อเฟื้อแบ่งปันกันและกัน ระหว่างตัวเองกับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก อย่างกรณีของการร่วมกันบริจาคจักรยานให้กับเด็กน้อยผู้ด้อยโอกาส ซึ่งกระทำมาโดยตลอดในหลายครั้งครา
“การปั่นจักรยานมันมีประโยชน์มากกว่าจุดหมายเพื่อตัวเอง” ดาวร้ายอาวุโสเผย ก่อนจะชี้แจงว่า “เรื่องตรงนี้มันไม่ใช่กระแส จริงอยู่ที่การปั่นจักรยานมันเป็นเทรนด์ แต่วันใดที่คุณได้มาปั่นจริงๆ จังๆ คุณไม่เลิกปั่นแน่ ยิ่งคุณขี่เป็นทริป ปั่นไปไกลๆ ไปต่างจังหวัด คุณจะเห็นอะไรเยอะแยะ เห็นชีวิตผู้คน นั่งรถ เราไม่เห็นอะไรหรอกเพราะมันเร็วเกิน
“แล้วสังคมคนขี่จักรยานน่ารัก ทุกคนเป็นมิตรมากๆ ร่วมด้วยช่วยกันเสมอ ผมได้เพื่อนดีๆ จากการปั่นจักรยานเยอะแยะไปหมด เพราะเวลาขี่ เราขี่คนเดียวไม่สนุกหรอก มันต้องมีเพื่อน ฉะนั้นเวลาออกไปกันเป็นทริป ระหว่างที่เราปั่น ระหว่างที่หยุดพัก เราได้เห็นสิ่งต่างๆ ร่วมกัน อย่างไปเห็นเด็กๆ เขาเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนระยะทางกว่า 5-6 กิโลเมตร เราก็คิดว่าเรายังมีจักรยานเป็นของเราเองเลย เด็กๆ เขาก็น่าจะมีจักรยานขี่เป็นของตัวเองบ้าง เราก็เลยรวบรวมเพื่อนฝูงที่มีกำลังซื้อจักรยานไปให้เขา
“คือมันสร้างสรรค์ มันให้สังคมได้ ในระหว่างทาง ถ้าเราแวะ เราให้ มันมีประโยชน์มากกว่าจุดหมายเพื่อตัวเอง หรือเพื่อตัวเราคนเดียว ก็อยากให้คนในสังคมมีคนให้เยอะๆ ถ้ามีคนให้มากกว่ารับ บ้านเมืองมันก็น่าจะร่มเย็น”
ถึงตรงนี้ คงจะไม่ต้องเอ่ยคำใดๆ ถามถึงความรู้สึกกับชีวิตในวันนี้ เพราะตลอดระยะเวลาในระหว่างสนทนา เรารับรู้ถึงสายตาและรอยยิ้มที่มากกว่ารอยยิ้มธรรมดา หากแต่มันเผยออกมาซึ่งความสงบสุขในชีวิตของคนผู้หนึ่งที่ผ่านโลก ผ่านเรื่องราวมามากมาย
“เส้นทางจักรยานมันนำพาทุกสิ่งทุกอย่างที่สวยงามเข้ามา ทั้งคุณค่าชีวิต การมองโลก ได้เพื่อน ได้พบเห็นผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ ได้ให้ ได้รับ แค่นี้ชีวิตตอนนี้ก็มีความสุขมากแล้ว ได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองรัก ตัวเองชอบ พอแล้ว เราจะทำอะไรให้เยอะแยะมากมาย เราดูแลตัวเองให้ดีๆ ไม่เป็นภาระสังคม ลูกหลานก็แฮปปี้แล้ว”
ขอบคุณสถานที่ : ร้าน MOD BIKE SHOP
125 ถ.สุคนธสวัสดิ์ ลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10320
โทรศัพท์ 08-3338-3883
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร