คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“บิ๊กตู่” แถลงนโยบาย รบ.ต่อ สนช.แล้ว 11 ด้าน คาดเห็นผลใน 1 ปี พร้อมโต้ข่าวรวย 2.8 หมื่นล้าน!
เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ได้มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนกรณีคณะรัฐมนตรี(ครม.) แถลงนโยบายต่อ สนช. ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้แถลงนโยบายของรัฐบาลว่า มี 11 ด้าน ประกอบด้วย 1.การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยจะใช้มาตรการทางกฎหมาย สังคมจิตวิทยา และระบบสื่อสาร รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการกับผู้คะนองปาก หรือประสงค์ร้ายต่อสถาบันหลักของชาติ 2.การรักษาความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศ 3.การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ 4.การศึกษาและเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนาและศิลปวัฒนธรรม “สิ่งสำคัญคือการอ่านหนังสือ เพื่อเพิ่มความรู้... ทีวีก็ดูแต่ละคร แล้วจะเกิดอะไรขึ้นมาได้ วันหน้าอยากเป็นนางเอก อยากเป็นคุณชาย แล้วก็รักกัน ร่ำรวย ก็ได้แค่นี้ วันนี้เรากำลังสร้างหนังอยู่ โดยให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สร้างหนังแบบ Lost in Thailand พาคนมาเที่ยวประเทศไทย รักกัน ชอบกัน ระหว่างท่องเที่ยว...”
5.การยกระดับคุณภาพและบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน 6.เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ เช่น สานต่องบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ขยายฐานการเก็บภาษีใหม่ ได้แก่ ภาษีมรดก ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และว่า “การบริหารหนี้ภาครัฐที่เกิดขึ้นช่วงรัฐบาลที่ผ่านมามีมากกว่า 7 แสนล้าน... จะหาแหล่งเงินระยะยาวมาสะสางหนี้ทั้งหมด และยืดระยะเวลาชำระคืนให้นานที่สุด เพื่อลดภาระงบประมาณในอนาคต” 7.ส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน เช่น ขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน 8.พัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม เพื่อนำไปสู่การผลิตบริการที่ทันสมัย
9.รักษาความมั่นคงฐานทรัพยากร และสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน 10.ส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ 11.ปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยระยะเฉพาะหน้า จะเร่งปรับปรุงประมวลกฎหมายหลักและกฎหมายอื่นๆ ที่ล้าสมัยไม่เป็นธรรม เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน “ระยะต่อไป จะจัดตั้งองค์กรปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปราศจากการแทรกแซงของรัฐ นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและความรู้ทางนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ เพื่อเร่งรัดดำเนินคดีให้รวดเร็ว เป็นธรรม...”
พล.อ.ประยุทธ์ ยังบอกด้วยว่า นโยบายของรัฐบาลมีหลักชัยอยู่ที่การสร้างสังคมที่มีการปฏิรูป มีความเป็นธรรม และไม่ทุจริต โดยรัฐบาลสัญญาว่าจะใช้ความวิริยะอุตสาหะ ความอดทนอดกลั้นเพื่อฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคให้ได้ พร้อมย้ำให้ทุกกระทรวงยึดถือปฏิบัติ สิ่งไหนทำได้ก็ทำทันที และให้เกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 ปี อันไหนที่ยั่งยืนก็ทำต่อเพื่อรัฐบาลหน้า ส่วนการใช้งบประมาณสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำด้วยว่า ความต้องการของประชาชนถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้องไม่ใช่ประชานิยม ที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย พร้อมสั่งห้ามติดรูปตนตามถนนหรือสถานที่ราชการ “ตามโรงเรียนและสถานที่ราชการให้ติดบัญญัติ 12 ประการ โดยไม่ต้องมีรูปผม และห้ามติดรูปผมตามถนน”
พล.อ.ประยุทธ์ ยังปฏิเสธกรณีมีข่าวว่าตนมีเงินเป็นหมื่นๆ ล้านด้วย “มีอย่างที่ไหนว่าผมไปสั่งธนาคารไม่ให้เปิดเผยเงินฝากผมกับน้องจำนวน 2.8 หมื่นล้านบาท ถ้าผมมีถึงขนาดนั้น คงไม่มายืนอยู่อย่างนี้ คงเอาให้ชาวนาไปแล้ว หรือเอาไปสร้างสิ่งที่เกิดประโยชน์ แต่ผมไม่รวยขนาดนั้น วันนี้ขอให้ลดปัญหาความขัดแย้งให้เร็วที่สุด ต้องแก้ไขให้ได้... ผมไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อประเทศ นโยบายของรัฐบาลคือทำก่อน ทำจริง ทำทันที เกิดผลสัมฤทธิ์ และยั่งยืน ส่วนหลักการของรัฐบาลคือ จริงใจ จริงจัง และยั่งยืน” ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้เวลาแถลงนโยบายรัฐบาลประมาณ 2 ชั่วโมง
2.โปรดเกล้าฯ ย้ายทหาร “อุดมเดช” ผงาด ผบ.ทบ.-น้อง “บิ๊กตู่” ผช.ผบ.ทบ. ขณะที่โยกย้าย ตร. “ศรีวราห์” น.1- “อำนวย” ภ.1- “วินัย” เข้ากรุ!
เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง ให้นายทหารรับราชการ ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณจำนวน 1,092 คน
สำหรับการปรับย้ายนายทหารประจำปี 2557 นี้ มีตำแหน่งที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์เสนอ ขณะที่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ขยับเป็นรอง ผบ.ทบ. ส่วน พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งเป็น ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย หนึ่งในทหารสายบูรพาพยัคฆ์ ขยับเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ.เพื่อจ่อเป็น ผบ.ทบ.ในปี 2558 ขณะที่ พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ ขยับขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ.เพื่อลุ้นตำแหน่ง ผบ.ทบ.ในปี 2558 เช่นกัน
ด้าน พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) ตามที่ได้รับการสนับสนุนจาก พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. เพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ย้ายข้ามห้วยมาเป็นรอง ผบ.สส. ,พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการพัฒนา ขึ้นเป็นเสนาธิการทหาร ขณะที่ พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 ข้ามมาเป็นรองเสนาธิการทหาร(อัตรา พล.อ.)
ส่วนตำแหน่งแม่ทัพทั้ง 4 ภาคนั้น พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้ช่วย เสธ.ทบ.ฝ่ายยุทธการ ซึ่งเป็นหัวหน้าศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป และนายทหารสาย “วงศ์เทวัญ” ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ,พล.ต.ธวัช สุกปลั่ง รองแม่ทัพภาคที่ 2 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ,พล.ท.สาธิต พิธรัตน์ แม่ทัพน้อยที่ 3 เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ,พล.ต.ปราการ ชลยุทธ รองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ด้าน พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.กองพลที่ 1 รักษาพระองค์(พล.1รอ.) เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และขยับ พ.อ.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ รอง ผบ.พล.1รอ.เป็น ผบ.พล.1รอ.
สำหรับกองทัพเรือ พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ(ผบ.ทร.) ตามที่ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร.เพื่อน ตท.13 ผลักดัน ส่วนกองทัพอากาศ พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง เสนาธิการทหารอากาศ ขยับขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ(ผบ.ทอ.) ตามที่ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ.เสนอ สำหรับตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เสนาธิการทหาร ข้ามห้วยมานั่งปลัดกระทรวงกลาโหมแบบไร้คู่แข่ง
ส่วนการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับผู้บัญชาการถึงรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ได้มีมติเอกฉันท์เห็นชอบการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจ 57 ตำแหน่ง ที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นรอง ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.เรืองศักดิ์ จริตเอก ผู้ช่วย ผบ.ตร. นรต.รุ่น 31 รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ว่าที่ ผบ.ตร. เป็นรอง ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นรอง ผบ.ตร.
พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้ช่วย ผบ.ตร. หลานเขยคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกโยกไปเป็นรองจเรตำรวจแห่งชาติ สำหรับตำรวจระดับผู้บัญชาการที่ได้ขยับขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้แก่ พล.ต.ท.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ,พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ,พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ,พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ฯลฯ
ส่วนตำรวจที่ได้ขยับขึ้นเป็นผู้บัญชาการ ที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) ,พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการศึกษา ได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ,พล.ต.ท.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้(ผบช.ศชต.) โยกไปเป็นจเรตำรวจ(สบ.8) และให้ พล.ต.ท.อนุรุต กฤษณะการะเกตุ จเรตำรวจ(สบ.8) ไปเป็น ผบช.ศชต.แทน
3.“สมยศ” นำทีมแถลงรวบกลุ่มชายชุดดำฆ่า “พล.อ.ร่มเกล้า” ปี ’53 ชี้ “เสธ.ไก่” คนสั่งการ- “กริชสุดา” เอี่ยว!
เมื่อวันที่ 11 ก.ย. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำทีมตำรวจเปิดแถลงร่วมกับฝ่ายทหาร นำโดย พล.ต.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 และ พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการกฎหมาย กอ.รมน.หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานกฎหมายส่วนรักษาความสงบ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แถลงผลการจับกุมนายกิตติศักดิ์ หรืออ้วน สุ่มศรี อายุ 45 ปี ชาว กทม.ผู้ต้องหาตามหมายจับ ,นายปรีชา หรือไก่เตี้ย อยู่เย็น อายุ 24 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ ผู้ต้องหาตามหมายจับ ,นายชำนาญ หรือเล็ก ภาคีฉาย ชาว กทม.อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ,นายรณฤทธิ์ หรือนะ สุริชา อายุ 33 ปี ชาว จ.อุบลราชธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับ และนางปุณิกา หรืออร ชูศรี อายุ 39 ปี ชาว กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับ โดยจับกุมได้พร้อมอาวุธปืนเอ็ม 79 จำนวน 1 กระบอก
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาผู้ต้องหาทั้ง 5 คนร่วมกันมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ พกพาอาวุธปืนและระเบิดไปในเมือง หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่มีเหตุอันควร ก่อนนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม เพื่อดำเนินคดี นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องหาที่หลบหนีอีก 2 คน ทราบชื่อคือ นายวัฒนะโชค หรือโบ้ จีนปุ้ย อายุ 23 ปี เป็นชาว จ.เพชรบูรณ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับ และนายธนเดช หรือไก่ รถตู้ เอกอภิวัชร์ อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ส่วนผู้ต้องหาอีกราย เสียชีวิตไปแล้วก่อนหน้านี้ คือนายธรรมรัตน์ หรือดำ สุ่มสี
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดร่วมกันแต่งกายเป็นชายชุดดำ ใช้อาวุธสงครามยิงและขว้างระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ทหารและประชาชน เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายหลายราย รวมทั้ง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนตะนาว และบริเวณใกล้เคียง เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ในการปฏิบัติการขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) พล.ต.อ.สมยศ เผยด้วยว่า การจับกุมครั้งนี้ เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างทหารและตำรวจ และว่า การจับกุมผู้ต้องหาได้ครั้งนี้ทำให้เกิดความกระจ่างต่อสังคมว่า ชายชุดดำที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้ มีจริง และผู้ต้องหาทุกคนรับสารภาพ หลังจากนี้จะสืบสวนสอบสวนว่ามีความเชื่อมโยงกับใครบ้าง มีใครร่วมลงมือ และมีใครให้การสนับสนุน
พล.ต.อ.สมยศ ยังเผยตัวผู้อยู่เบื้องหลังผู้ต้องหากลุ่มนี้ด้วย “จากการสืบสวนทราบว่า ผู้สั่งการคือนายจักรรินทร์ หรือ เสธ.ไก่ เรืองศักดิ์วิชิต ตอนนี้ถูกศาลจังหวัดทหารบกสระบุรีออกหมายจับ เป็นบุคคลธรรมดา นอกจากนี้การสอบสวนขยายผลยังพบความเชื่อมโยงกับ น.ส.กริชสุดา คุณะเสน หรือเปิ้ล และจากการตรวจค้นบ้านของ น.ส.กริชสุดาก่อนหน้านี้ มีหลักฐานว่ามีการโอนเงินให้กลุ่มคนเหล่านี้อย่างชัดเจน ยังไม่สามารถเปิดเผยตัวเลข บอกได้แค่ว่าจำนวนมาก สำหรับสาเหตุนั้นเป็นลักษณะขบวนการ มีหัวโจก มีอุดมการณ์ มีความเกลียดชัง มีค่าจ้าง จึงร่วมกันทำ” พล.ต.อ.สมยศ บอกอีกว่า คดีนี้เป็นคดีพิเศษอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ซึ่งทางตำรวจจะขออนุญาตดีเอสไอให้คณะทำงานเข้าร่วมสอบสวนครั้งนี้ เพื่อนำคดีดังกล่าวเป็นคดีหลักต่อไป
พล.ต.อ.สมยศ เผยแผนการทำงานของกลุ่มคนร้ายทั้ง 8 คนด้วยว่า เริ่มด้วยการวางแผนและรับมอบอาวุธกันที่คอนโดมิเนียมบ้านริมน้ำ ถนนรามอินทรา 34 จากนั้นได้เดินทางด้วยรถตู้สีขาวมายังแยกคอกวัว ก่อนถึงแยกคอกวัวได้ผ่านจุดคัดกรองเจอการ์ดมีตำรวจร่วมด้วย แต่ตำรวจจุดนั้นไม่มีอาวุธ จากการตรวจจุดนี้พบว่า กลุ่มคนร้าย 3 คนมีอาวุธไปด้วย การ์ดเข้ามาตรวจ ถ่ายรูป จากนั้นปล่อยเข้าไปด้วยรหัสผ่าน “พิราบขาว” ก่อนที่คนร้ายจะตรงไปยังธนาคารออมสินและเริ่มใช้อาวุธระดมยิงใส่ชุดทหารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หลังจากยิงเสร็จ ได้ถอยย้อนกลับมาที่จุดรถตู้จอด ระหว่างนั้นนายธรรมรัตน์ถืออาวุธปืนเอ็ม 79 มาด้วย และถูกตำรวจล็อกไว้ ยึดปืนเอาไว้ได้ ส่วนคนร้าย ทางผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช.ใช้คนมากดดันแย่งตัวไปได้ จากนั้นคนร้ายทั้งหมดมารวมตัวกันอีกครั้งที่รถตู้ ก่อนขับอ้อมไปถนนตะนาว เข้าถนนดินสอ โดยสวนกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ใช้รถฮัมวี่ ซึ่งเป็นจุดที่คนค่อนข้างมาก และเบียดกัน คนร้ายได้ลดกระจกลง โดย 1 ในคนร้ายได้ตะโกนด่าทหาร ทำให้ทหารจำหน้าคนร้ายได้ 1 คน จากนั้นคนร้ายได้แยกย้ายกันหลบหนีไปหลายปี ซึ่งตำรวจและทหารได้เฝ้าสืบสวนสอบสวนอย่างต่อเนื่องจนมีหลักฐานแน่ชัด และขอศาลอนุมัติหมายจับจนจับกุมได้ในที่สุด
ทั้งนี้ นายกิตติศักดิ์ 1 ในผู้ต้องหา สารภาพว่า ได้กระทำการดังกล่าวจริงโดยไม่เคยรู้จักผู้ต้องหาด้วยกันมาก่อน มารู้จักกันเพราะมาร่วมทำงานนี้ โดยเจอกันที่สถานีวิทยุชุมชนเอฟเอ็ม 91.75 ส่วนอาวุธไม่เคยฝึกใช้มาก่อน วันเกิดเหตุไปรับอาวุธที่บ้านริมน้ำ จากนั้นนายธนเดช หรือไก่ สอนการใช้อาวุธว่าทำแบบไหน แล้วก็ตามๆ กันไป โดยไม่ได้เจาะจงว่าให้ยิงใครเป็นการเฉพาะ บอกให้ยิงในซอยนั้นก็ยิง ไม่ได้บอกให้ยิงทหารคนไหนเป็นพิเศษ
ซึ่งจากการสืบสวนสอบสวนทราบว่า ในวันเกิดเหตุ นายกิตติศักดิ์ใช้อาวุธเอ็ม 79 และระเบิดเอ็มเค-2 ,นายธรรมรัตน์ใช้อาวุธเอ็ม 79 ,นายธนเดชใช้อาวุธปืนเอ็ม 203 ,นายวัฒนะโชคใช้อาวุธปืนเอเค 47 ,นายปรีชาใช้อาวุธปืนเอเค 47 ,นายรณฤทธิ์เฝ้ารถ ไม่มีอาวุธ ,นายชำนาญใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 และนางปุณิกาใช้ระเบิดเพลิงเอ็ม 100 โดยตำรวจได้นำผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่บริเวณสี่แยกคอกวัวเมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ก่อนนำตัวไปขอศาลฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-24 ก.ย. โดยให้เหตุผลว่า การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบพยานเพิ่ม และคดีนี้ เป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ รวมทั้งยังมีผู้ต้องหาหลายคนที่อยู่ระหว่างติดตามจับกุม หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัว เกรงว่าจะหลบหนี
ด้าน น.ส.กริชสุดา คุณะเสน หรือเปิ้ล ได้โพสต์วิดีโอคลิปตอบโต้กรณี พล.ต.อ.สมยศ ระบุมีหลักฐานว่า น.ส.กริชสุดา เคยโอนเงินให้กับผู้ต้องหาเหล่านี้ โดยฝากถึง พล.ต.อ.สมยศว่า ตอนปี 2553 ตนยังเป็นวุ้นอยู่เลย จะมายัดข้อหาอะไรแบบหน้าด้านๆ อายแทนพี่น้องตำรวจชั้นผู้น้อยและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เขาไม่เห็นด้วย และว่า พล.ต.อ.สมยศน่าจะเอาเวลาไปปราบพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ หรือไปจับคดีฆ่าข่มขืนดีกว่า
ขณะที่นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กหลังตำรวจและทหารจับกุมผู้ต้องหาชายชุดดำได้ โดยขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ติดตามคดีให้หลังจากหมดความหวังไปแล้ว และว่า เหตุการณ์รุนแรงในปี 53 ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำให้การดำเนินคดีในช่วงที่ผ่านมา ไม่มีความโปร่งใส ไม่เป็นที่ยอมรับ ถึงจุดที่หมดความไว้วางใจในดีเอสไอ คนตายทั้งคน บอกว่าไม่มีหลักฐานใดๆ และไม่มีความพยายามติดตามคดีให้เลย
นางนิชา ยังฝากถึงผู้เกี่ยวข้องด้วยว่า อยากให้นำข้อเท็จจริงจากผลการสอบสวนของ คอป. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงคดี พล.อ.ร่มเกล้าของวุฒิสภา ฯลฯ มาประกอบสำนวนคดีให้ครบถ้วน เพื่อนำไปสู่การขยายผลให้ได้ข้อเท็จจริงอย่างสมบูรณ์ต่อไป พร้อมหวังว่า คดีนี้จะโยงถึงผู้สั่งการ ผู้เกี่ยวข้องกับคดีทั้ง 89 ศพ รวมทั้งอยากให้เร่งติดตามคดีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมปี 2556-2557 ด้วย อย่าปล่อยให้คดีล่วงเลยเหมือนปี 2553
4.กสท.มีมติห้ามช่อง 3 อนาล็อกออกเคเบิล-ดาวเทียม เหตุสิ้นสุดสถานะฟรีทีวี ด้านบิ๊ก ช่อง 3 ดิ้น ยื่น กสทช.ทบทวนมติ กสท.!
ความคืบหน้ากรณีที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์(กสท.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ให้สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในระบบอนาล็อกของบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด สิ้นสุดสถานะการเป็นฟรีทีวี ตามประกาศหลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป (Must Carry) โดยไม่ขยายเวลาให้อีก จากที่ก่อนหน้านี้เคยขยายเวลาการเป็นฟรีทีวีให้ช่อง 3 อนาล็อกมาแล้วเป็นเวลา 100 วัน นับแต่วันที่ 26 พ.ค. โดยครบกำหนดเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ซึ่งส่งผลให้ช่อง 3 อนาล็อก จะไม่สามารถออกอากาศในโครงข่ายทีวีดาวเทียมและเคเบิลได้อีกต่อไป แต่การรับชมผ่านเสาอากาศหนวดกุ้งและก้างปลายังเป็นไปตามปกติ ซึ่งเดิม กสท.ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 ก.พ.เห็นชอบให้ฟรีทีวี 6 ช่องเดิม(ช่อง 3-5-7-9-11 และไทยพีบีเอส) ในระบบอนาล็อก สิ้นสุดการเป็นฟรีทีวีตามประกาศ Must Carry ตั้งแต่วันที่เริ่มต้นแพร่ภาพในระบบดิจิตอล คือวันที่ 25 พ.ค. แต่ช่อง 3 ไม่พอใจ จึงไปฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนมติของ กสท.เมื่อวันที่ 3 ก.พ.พร้อมขอให้ศาลทุเลาการบังคับใช้มติของ กสท.ดังกล่าว เพื่อให้ช่อง 3 ยังคงออกอากาศผ่านเคเบิลและทีวีดาวเทียมได้ต่อไป จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา แต่ศาลยกคำร้องของช่อง 3 ไม่ทุเลาการบังคับใช้มติของ กสท. แต่ถึงกระนั้น กสท.ก็ได้ขยายเวลาให้ช่อง 3 ไม่จอดำในโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมเป็นเวลา 100 วัน กระทั่งครบกำหนดเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ที่ประชุม กสท.จึงมีมติไม่ขยายเวลาให้อีก
จากนั้นช่อง 3 ได้อ้างประกาศ คสช.ฉบับที่ 27 ว่าคุ้มครองให้โทรทัศน์ทุกช่องออกอากาศได้ทุกช่องทาง ทั้งภาคพื้นดิน ดาวเทียมและเคเบิล แต่ทาง คสช.ยืนยันว่า ไม่มีประกาศฉบับใดของ คสช.ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องระบบอนาล็อกหรือทีวีดิจิตอล จากนั้นช่อง 3 พยายามอ้างจำนวนคนดูช่อง 3 ผ่านระบบเคเบิลและดาวเทียมว่ามีมากถึง 70% ดังนั้นช่อง 3 จึงไม่ควรจอดำจากเคเบิลและดาวเทียม ซึ่งการอ้างดังกล่าวส่งผลให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ช่อง 3 กำลังจับคนดูเป็นตัวประกัน
กระทั่ง กสท.บางคนเสนอให้ช่อง 3 ออกอากาศคู่ขนานกับระบบดิจิตอลแบบที่ช่อง 7 ทำอยู่ หรือไม่ก็ให้ช่อง 3 สมัครเป็นโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก(เพย์ทีวี) เพื่อให้สามารถแพร่ภาพทางเคเบิลและดาวเทียมได้ต่อไป แต่ช่อง 3 ก็ปฏิเสธ โดยอ้างว่า ช่อง 3 เตรียมแผนไว้ว่าจะออกอากาศในระบบดิจิตอลเมื่อหมดสัญญาในระบบอนาล็อกในปี 2563 หากจะให้ช่อง 3 ออกอากาศคู่ขนาน ต้องไม่ตัดเนื้อหาหรือโฆษณาของช่อง 3 ลง ส่วนสาเหตุที่ไม่เปลี่ยนเป็นเพย์ทีวี ช่อง 3 อ้างว่า เพราะกลัวแพ้คดีในศาล เนื่องจากศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาคดีที่ช่อง 3 ฟ้องให้เพิกถอนมติของ กสท.
หลังจากนั้น ได้มีการประชุม กสท.เมื่อวันที่ 5 ก.ย. แต่ปรากฏว่า พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท. และ พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ งามสง่า กรรมการ กสท.ไม่เข้าประชุม ทำให้การประชุมล่มและนัดประชุมใหม่ในวันที่ 8 ก.ย. อย่างไรก็ตาม กสท.3 คน ที่เข้าประชุม ประกอบด้วย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ,พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ และ ผศ.ดร.ธวัชชัย จิตภาษ์นันท์ ได้เปิดแถลงจุดยืนส่วนตัวต่อปัญหาช่อง 3 ว่า กสท.ต้องปฏิบัติตามมติเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ด้วยการออกคำสั่งทางปกครองแจ้งให้โครงข่ายเคเบิลและดาวเทียมห้ามออกอากาศช่อง 3 อนาล็อก เนื่องจากไม่มีสถานะเป็นฟรีทีวีแล้ว และให้เคเบิลและดาวเทียมแจ้งผู้ชมทราบเป็นเวลา 15 วันว่าจะไม่สามารถรับชมช่อง 3 อนาล็อกได้อีก
หลังการแถลงดังกล่าว ปรากฏว่า ช่อง 3 ไม่พอใจ จึงได้ส่งทนายไปฟ้องต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 8 ก.ย.กล่าวหาว่า กสท.ทั้งสามคนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดย น.ส.สุภิญญาถูกกล่าวหามากสุด 3 ข้อหา คือ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมิ่นประมาท และฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งศาลได้นัดฟังคำสั่งว่าจะรับไว้ใต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ในวันที่ 18 ก.ย.เวลา 09.00น.
ด้าน น.ส.สุภิญญา กล่าวถึงกรณีที่ถูกช่อง 3 ฟ้องว่า อาจพิจารณาฟ้องกลับ เนื่องจากเห็นว่าช่อง 3 มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เพราะส่งทนายไปฟ้องก่อนที่จะมีการประชุมบอร์ด กสท. จึงเห็นว่าการกระทำของช่อง 3 อาจเข้าข่ายขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐได้
ทั้งนี้ วันเดียวกัน(8 ก.ย.) ที่ประชุม กสท.ได้มีมติ 3 ต่อ 2 ให้มีคำสั่งทางปกครองไปยังผู้ให้บริการโครงข่ายกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ เช่น ทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวี ให้นำช่อง 3 อนาล็อก ออกจากการให้บริการในโครงข่ายของตนเองภายใน 15 วัน นับตั้งแต่ได้รับหนังสือคำสั่ง เนื่องจากช่อง 3 อนาล็อกสิ้นสุดสถานะการให้บริการที่เป็นการทั่วไปหรือฟรีทีวีแล้ว
ขณะที่นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ได้ออกมาชี้ช่องว่า หากผู้เกี่ยวข้องจะฟ้องร้องมติบอร์ด กสท.ดังกล่าว ขอให้ผู้ที่ต้องการฟ้อง ทำเรื่องอุทธรณ์มายังสำนักงาน กสทช.ก่อน ซึ่งตามกฎหมายให้เวลา 15 วัน หากผู้เสียหายยื่นอุทธรณ์มาก่อนวันที่ 17 ก.ย. ทางสำนักงาน กสทช.จะนำเสนอเรื่องดังกล่าวให้บอร์ด กสทช.พิจารณาในวันที่ 17 ก.ย.นี้
ด้านช่อง 3 รีบรับลูก โดยนายประวิทย์ มาลีนนท์ กรรมการบริหารบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด หรือช่อง 3 ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อ กสทช.เมื่อวันที่ 12 ก.ย. จากนั้นได้หารือเป็นการส่วนตัวกับนายฐากรประมาณ 10 นาที ก่อนเดินทางกลับไป และเดินทางกลับมายัง กสทช.อีกครั้ง เพื่อยื่นเอกสารเพิ่มเติม
หลังจากนั้นนายประวิทย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ที่เดินทางมาพบ กสทช. เพื่อยื่นหนังสือให้บอร์ด กสทช.ทบทวนมติของ กสท.เมื่อวันที่ 8 ก.ย. พร้อมยืนยันจุดยืนของช่อง 3 คือ ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ช่อง 3 อนาล็อกบนทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีเกิดสภาพจอดำ ด้านนายฐากร เผยว่า ผู้บริหารช่อง 3 ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ประเด็น คือ 1.ขอให้บอร์ด กสทช.ทบทวนมติบอร์ด กสท.เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่ได้มีการส่งคำสั่งทางปกครองให้ผู้ประกอบการทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีนำช่อง 3 อนาล็อกออกจากการให้บริการบนโครงข่ายของตนเอง 2.ขอให้บอร์ด กสทช.ทบทวนมติบอร์ด กสท.เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่มีมติให้ช่อง 3 อนาล็อกสิ้นสุดการเป็นฟรีทีวี และ 3.ในระหว่างที่บอร์ด กสทช.รับเรื่องไว้พิจารณา ขอมาตรการเยียวยาให้ช่อง 3 อนาล็อกได้ออกอากาศในรูปแบบเดิมไปก่อน
ทั้งนี้ นายฐากร เผยว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะนำหนังสือของช่อง 3 ทำเป็นสำเนาส่งให้บอร์ด กสทช.พิจารณา พร้อมทั้งทำบทวิเคราะห์ส่งให้บอร์ด กสทช.พิจารณาด้วยในการประชุมบอร์ด กสทช.วันที่ 17 ก.ย.นี้ นายฐากร ยังพูดเชิงชี้นำ กสทช.ด้วยว่า ในทางปฏิบัติเชื่อว่า กสทช.สามารถนำเรื่องที่บอร์ด กสท.พิจารณาไปแล้ว กลับมามีมติใหม่ในชั้นของบอร์ด กสทช.ได้ เนื่องจากเคยมีกรณีตัวอย่างจากการที่บอร์ด กสท.มีมติให้ อสมท คืนคลื่นความถี่ภายหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานกับบริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด แต่ทางบอร์ด กสทช.ได้มีมติให้นำกลับไปตรวจสอบใหม่ โดยขณะนี้อยู่ในชั้นการตรวจสอบของอนุกรรมการ
ด้าน พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการ กสทช.และกรรมการ กสท.ด้านกำกับดูแลเนื้อหาและผังรายการ บอกว่า เมื่อเรื่องช่อง 3 เข้าที่ประชุมบอร์ด กสทช.ก็ต้องฟังบอร์ดฝั่ง กสท.อยู่ดี เพราะบอร์ด กสท.มีความรู้เรื่องดังกล่าวมากกว่า และว่า ข้อเรียกร้องของช่อง 3 ที่เสนอมาทั้ง 3 ข้อ ต้องดูข้อกฎหมายว่าดำเนินการได้หรือไม่ ซึ่งเบื้องต้นเห็นว่า กสทช.ไม่ใช่พวกที่ใช้อำนาจบ้าบอ แต่ต้องรักษาเกณฑ์ทางกฎหมาย
1.“บิ๊กตู่” แถลงนโยบาย รบ.ต่อ สนช.แล้ว 11 ด้าน คาดเห็นผลใน 1 ปี พร้อมโต้ข่าวรวย 2.8 หมื่นล้าน!
เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ได้มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนกรณีคณะรัฐมนตรี(ครม.) แถลงนโยบายต่อ สนช. ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้แถลงนโยบายของรัฐบาลว่า มี 11 ด้าน ประกอบด้วย 1.การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยจะใช้มาตรการทางกฎหมาย สังคมจิตวิทยา และระบบสื่อสาร รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการกับผู้คะนองปาก หรือประสงค์ร้ายต่อสถาบันหลักของชาติ 2.การรักษาความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศ 3.การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ 4.การศึกษาและเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนาและศิลปวัฒนธรรม “สิ่งสำคัญคือการอ่านหนังสือ เพื่อเพิ่มความรู้... ทีวีก็ดูแต่ละคร แล้วจะเกิดอะไรขึ้นมาได้ วันหน้าอยากเป็นนางเอก อยากเป็นคุณชาย แล้วก็รักกัน ร่ำรวย ก็ได้แค่นี้ วันนี้เรากำลังสร้างหนังอยู่ โดยให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สร้างหนังแบบ Lost in Thailand พาคนมาเที่ยวประเทศไทย รักกัน ชอบกัน ระหว่างท่องเที่ยว...”
5.การยกระดับคุณภาพและบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน 6.เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ เช่น สานต่องบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ขยายฐานการเก็บภาษีใหม่ ได้แก่ ภาษีมรดก ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และว่า “การบริหารหนี้ภาครัฐที่เกิดขึ้นช่วงรัฐบาลที่ผ่านมามีมากกว่า 7 แสนล้าน... จะหาแหล่งเงินระยะยาวมาสะสางหนี้ทั้งหมด และยืดระยะเวลาชำระคืนให้นานที่สุด เพื่อลดภาระงบประมาณในอนาคต” 7.ส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน เช่น ขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน 8.พัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม เพื่อนำไปสู่การผลิตบริการที่ทันสมัย
9.รักษาความมั่นคงฐานทรัพยากร และสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน 10.ส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ 11.ปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยระยะเฉพาะหน้า จะเร่งปรับปรุงประมวลกฎหมายหลักและกฎหมายอื่นๆ ที่ล้าสมัยไม่เป็นธรรม เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน “ระยะต่อไป จะจัดตั้งองค์กรปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปราศจากการแทรกแซงของรัฐ นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและความรู้ทางนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ เพื่อเร่งรัดดำเนินคดีให้รวดเร็ว เป็นธรรม...”
พล.อ.ประยุทธ์ ยังบอกด้วยว่า นโยบายของรัฐบาลมีหลักชัยอยู่ที่การสร้างสังคมที่มีการปฏิรูป มีความเป็นธรรม และไม่ทุจริต โดยรัฐบาลสัญญาว่าจะใช้ความวิริยะอุตสาหะ ความอดทนอดกลั้นเพื่อฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคให้ได้ พร้อมย้ำให้ทุกกระทรวงยึดถือปฏิบัติ สิ่งไหนทำได้ก็ทำทันที และให้เกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 ปี อันไหนที่ยั่งยืนก็ทำต่อเพื่อรัฐบาลหน้า ส่วนการใช้งบประมาณสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำด้วยว่า ความต้องการของประชาชนถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้องไม่ใช่ประชานิยม ที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย พร้อมสั่งห้ามติดรูปตนตามถนนหรือสถานที่ราชการ “ตามโรงเรียนและสถานที่ราชการให้ติดบัญญัติ 12 ประการ โดยไม่ต้องมีรูปผม และห้ามติดรูปผมตามถนน”
พล.อ.ประยุทธ์ ยังปฏิเสธกรณีมีข่าวว่าตนมีเงินเป็นหมื่นๆ ล้านด้วย “มีอย่างที่ไหนว่าผมไปสั่งธนาคารไม่ให้เปิดเผยเงินฝากผมกับน้องจำนวน 2.8 หมื่นล้านบาท ถ้าผมมีถึงขนาดนั้น คงไม่มายืนอยู่อย่างนี้ คงเอาให้ชาวนาไปแล้ว หรือเอาไปสร้างสิ่งที่เกิดประโยชน์ แต่ผมไม่รวยขนาดนั้น วันนี้ขอให้ลดปัญหาความขัดแย้งให้เร็วที่สุด ต้องแก้ไขให้ได้... ผมไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อประเทศ นโยบายของรัฐบาลคือทำก่อน ทำจริง ทำทันที เกิดผลสัมฤทธิ์ และยั่งยืน ส่วนหลักการของรัฐบาลคือ จริงใจ จริงจัง และยั่งยืน” ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้เวลาแถลงนโยบายรัฐบาลประมาณ 2 ชั่วโมง
2.โปรดเกล้าฯ ย้ายทหาร “อุดมเดช” ผงาด ผบ.ทบ.-น้อง “บิ๊กตู่” ผช.ผบ.ทบ. ขณะที่โยกย้าย ตร. “ศรีวราห์” น.1- “อำนวย” ภ.1- “วินัย” เข้ากรุ!
เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง ให้นายทหารรับราชการ ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณจำนวน 1,092 คน
สำหรับการปรับย้ายนายทหารประจำปี 2557 นี้ มีตำแหน่งที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์เสนอ ขณะที่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ขยับเป็นรอง ผบ.ทบ. ส่วน พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งเป็น ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย หนึ่งในทหารสายบูรพาพยัคฆ์ ขยับเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ.เพื่อจ่อเป็น ผบ.ทบ.ในปี 2558 ขณะที่ พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ ขยับขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ.เพื่อลุ้นตำแหน่ง ผบ.ทบ.ในปี 2558 เช่นกัน
ด้าน พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) ตามที่ได้รับการสนับสนุนจาก พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. เพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ย้ายข้ามห้วยมาเป็นรอง ผบ.สส. ,พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการพัฒนา ขึ้นเป็นเสนาธิการทหาร ขณะที่ พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 ข้ามมาเป็นรองเสนาธิการทหาร(อัตรา พล.อ.)
ส่วนตำแหน่งแม่ทัพทั้ง 4 ภาคนั้น พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้ช่วย เสธ.ทบ.ฝ่ายยุทธการ ซึ่งเป็นหัวหน้าศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป และนายทหารสาย “วงศ์เทวัญ” ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ,พล.ต.ธวัช สุกปลั่ง รองแม่ทัพภาคที่ 2 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ,พล.ท.สาธิต พิธรัตน์ แม่ทัพน้อยที่ 3 เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ,พล.ต.ปราการ ชลยุทธ รองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ด้าน พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.กองพลที่ 1 รักษาพระองค์(พล.1รอ.) เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และขยับ พ.อ.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ รอง ผบ.พล.1รอ.เป็น ผบ.พล.1รอ.
สำหรับกองทัพเรือ พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ(ผบ.ทร.) ตามที่ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร.เพื่อน ตท.13 ผลักดัน ส่วนกองทัพอากาศ พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง เสนาธิการทหารอากาศ ขยับขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ(ผบ.ทอ.) ตามที่ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ.เสนอ สำหรับตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เสนาธิการทหาร ข้ามห้วยมานั่งปลัดกระทรวงกลาโหมแบบไร้คู่แข่ง
ส่วนการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับผู้บัญชาการถึงรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ได้มีมติเอกฉันท์เห็นชอบการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจ 57 ตำแหน่ง ที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นรอง ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.เรืองศักดิ์ จริตเอก ผู้ช่วย ผบ.ตร. นรต.รุ่น 31 รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ว่าที่ ผบ.ตร. เป็นรอง ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นรอง ผบ.ตร.
พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้ช่วย ผบ.ตร. หลานเขยคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกโยกไปเป็นรองจเรตำรวจแห่งชาติ สำหรับตำรวจระดับผู้บัญชาการที่ได้ขยับขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้แก่ พล.ต.ท.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ,พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ,พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ,พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ฯลฯ
ส่วนตำรวจที่ได้ขยับขึ้นเป็นผู้บัญชาการ ที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) ,พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการศึกษา ได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ,พล.ต.ท.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้(ผบช.ศชต.) โยกไปเป็นจเรตำรวจ(สบ.8) และให้ พล.ต.ท.อนุรุต กฤษณะการะเกตุ จเรตำรวจ(สบ.8) ไปเป็น ผบช.ศชต.แทน
3.“สมยศ” นำทีมแถลงรวบกลุ่มชายชุดดำฆ่า “พล.อ.ร่มเกล้า” ปี ’53 ชี้ “เสธ.ไก่” คนสั่งการ- “กริชสุดา” เอี่ยว!
เมื่อวันที่ 11 ก.ย. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำทีมตำรวจเปิดแถลงร่วมกับฝ่ายทหาร นำโดย พล.ต.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 และ พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการกฎหมาย กอ.รมน.หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานกฎหมายส่วนรักษาความสงบ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แถลงผลการจับกุมนายกิตติศักดิ์ หรืออ้วน สุ่มศรี อายุ 45 ปี ชาว กทม.ผู้ต้องหาตามหมายจับ ,นายปรีชา หรือไก่เตี้ย อยู่เย็น อายุ 24 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ ผู้ต้องหาตามหมายจับ ,นายชำนาญ หรือเล็ก ภาคีฉาย ชาว กทม.อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ,นายรณฤทธิ์ หรือนะ สุริชา อายุ 33 ปี ชาว จ.อุบลราชธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับ และนางปุณิกา หรืออร ชูศรี อายุ 39 ปี ชาว กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับ โดยจับกุมได้พร้อมอาวุธปืนเอ็ม 79 จำนวน 1 กระบอก
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาผู้ต้องหาทั้ง 5 คนร่วมกันมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ พกพาอาวุธปืนและระเบิดไปในเมือง หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่มีเหตุอันควร ก่อนนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม เพื่อดำเนินคดี นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องหาที่หลบหนีอีก 2 คน ทราบชื่อคือ นายวัฒนะโชค หรือโบ้ จีนปุ้ย อายุ 23 ปี เป็นชาว จ.เพชรบูรณ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับ และนายธนเดช หรือไก่ รถตู้ เอกอภิวัชร์ อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ส่วนผู้ต้องหาอีกราย เสียชีวิตไปแล้วก่อนหน้านี้ คือนายธรรมรัตน์ หรือดำ สุ่มสี
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดร่วมกันแต่งกายเป็นชายชุดดำ ใช้อาวุธสงครามยิงและขว้างระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ทหารและประชาชน เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายหลายราย รวมทั้ง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนตะนาว และบริเวณใกล้เคียง เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ในการปฏิบัติการขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) พล.ต.อ.สมยศ เผยด้วยว่า การจับกุมครั้งนี้ เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างทหารและตำรวจ และว่า การจับกุมผู้ต้องหาได้ครั้งนี้ทำให้เกิดความกระจ่างต่อสังคมว่า ชายชุดดำที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้ มีจริง และผู้ต้องหาทุกคนรับสารภาพ หลังจากนี้จะสืบสวนสอบสวนว่ามีความเชื่อมโยงกับใครบ้าง มีใครร่วมลงมือ และมีใครให้การสนับสนุน
พล.ต.อ.สมยศ ยังเผยตัวผู้อยู่เบื้องหลังผู้ต้องหากลุ่มนี้ด้วย “จากการสืบสวนทราบว่า ผู้สั่งการคือนายจักรรินทร์ หรือ เสธ.ไก่ เรืองศักดิ์วิชิต ตอนนี้ถูกศาลจังหวัดทหารบกสระบุรีออกหมายจับ เป็นบุคคลธรรมดา นอกจากนี้การสอบสวนขยายผลยังพบความเชื่อมโยงกับ น.ส.กริชสุดา คุณะเสน หรือเปิ้ล และจากการตรวจค้นบ้านของ น.ส.กริชสุดาก่อนหน้านี้ มีหลักฐานว่ามีการโอนเงินให้กลุ่มคนเหล่านี้อย่างชัดเจน ยังไม่สามารถเปิดเผยตัวเลข บอกได้แค่ว่าจำนวนมาก สำหรับสาเหตุนั้นเป็นลักษณะขบวนการ มีหัวโจก มีอุดมการณ์ มีความเกลียดชัง มีค่าจ้าง จึงร่วมกันทำ” พล.ต.อ.สมยศ บอกอีกว่า คดีนี้เป็นคดีพิเศษอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ซึ่งทางตำรวจจะขออนุญาตดีเอสไอให้คณะทำงานเข้าร่วมสอบสวนครั้งนี้ เพื่อนำคดีดังกล่าวเป็นคดีหลักต่อไป
พล.ต.อ.สมยศ เผยแผนการทำงานของกลุ่มคนร้ายทั้ง 8 คนด้วยว่า เริ่มด้วยการวางแผนและรับมอบอาวุธกันที่คอนโดมิเนียมบ้านริมน้ำ ถนนรามอินทรา 34 จากนั้นได้เดินทางด้วยรถตู้สีขาวมายังแยกคอกวัว ก่อนถึงแยกคอกวัวได้ผ่านจุดคัดกรองเจอการ์ดมีตำรวจร่วมด้วย แต่ตำรวจจุดนั้นไม่มีอาวุธ จากการตรวจจุดนี้พบว่า กลุ่มคนร้าย 3 คนมีอาวุธไปด้วย การ์ดเข้ามาตรวจ ถ่ายรูป จากนั้นปล่อยเข้าไปด้วยรหัสผ่าน “พิราบขาว” ก่อนที่คนร้ายจะตรงไปยังธนาคารออมสินและเริ่มใช้อาวุธระดมยิงใส่ชุดทหารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หลังจากยิงเสร็จ ได้ถอยย้อนกลับมาที่จุดรถตู้จอด ระหว่างนั้นนายธรรมรัตน์ถืออาวุธปืนเอ็ม 79 มาด้วย และถูกตำรวจล็อกไว้ ยึดปืนเอาไว้ได้ ส่วนคนร้าย ทางผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช.ใช้คนมากดดันแย่งตัวไปได้ จากนั้นคนร้ายทั้งหมดมารวมตัวกันอีกครั้งที่รถตู้ ก่อนขับอ้อมไปถนนตะนาว เข้าถนนดินสอ โดยสวนกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ใช้รถฮัมวี่ ซึ่งเป็นจุดที่คนค่อนข้างมาก และเบียดกัน คนร้ายได้ลดกระจกลง โดย 1 ในคนร้ายได้ตะโกนด่าทหาร ทำให้ทหารจำหน้าคนร้ายได้ 1 คน จากนั้นคนร้ายได้แยกย้ายกันหลบหนีไปหลายปี ซึ่งตำรวจและทหารได้เฝ้าสืบสวนสอบสวนอย่างต่อเนื่องจนมีหลักฐานแน่ชัด และขอศาลอนุมัติหมายจับจนจับกุมได้ในที่สุด
ทั้งนี้ นายกิตติศักดิ์ 1 ในผู้ต้องหา สารภาพว่า ได้กระทำการดังกล่าวจริงโดยไม่เคยรู้จักผู้ต้องหาด้วยกันมาก่อน มารู้จักกันเพราะมาร่วมทำงานนี้ โดยเจอกันที่สถานีวิทยุชุมชนเอฟเอ็ม 91.75 ส่วนอาวุธไม่เคยฝึกใช้มาก่อน วันเกิดเหตุไปรับอาวุธที่บ้านริมน้ำ จากนั้นนายธนเดช หรือไก่ สอนการใช้อาวุธว่าทำแบบไหน แล้วก็ตามๆ กันไป โดยไม่ได้เจาะจงว่าให้ยิงใครเป็นการเฉพาะ บอกให้ยิงในซอยนั้นก็ยิง ไม่ได้บอกให้ยิงทหารคนไหนเป็นพิเศษ
ซึ่งจากการสืบสวนสอบสวนทราบว่า ในวันเกิดเหตุ นายกิตติศักดิ์ใช้อาวุธเอ็ม 79 และระเบิดเอ็มเค-2 ,นายธรรมรัตน์ใช้อาวุธเอ็ม 79 ,นายธนเดชใช้อาวุธปืนเอ็ม 203 ,นายวัฒนะโชคใช้อาวุธปืนเอเค 47 ,นายปรีชาใช้อาวุธปืนเอเค 47 ,นายรณฤทธิ์เฝ้ารถ ไม่มีอาวุธ ,นายชำนาญใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 และนางปุณิกาใช้ระเบิดเพลิงเอ็ม 100 โดยตำรวจได้นำผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่บริเวณสี่แยกคอกวัวเมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ก่อนนำตัวไปขอศาลฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-24 ก.ย. โดยให้เหตุผลว่า การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบพยานเพิ่ม และคดีนี้ เป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ รวมทั้งยังมีผู้ต้องหาหลายคนที่อยู่ระหว่างติดตามจับกุม หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัว เกรงว่าจะหลบหนี
ด้าน น.ส.กริชสุดา คุณะเสน หรือเปิ้ล ได้โพสต์วิดีโอคลิปตอบโต้กรณี พล.ต.อ.สมยศ ระบุมีหลักฐานว่า น.ส.กริชสุดา เคยโอนเงินให้กับผู้ต้องหาเหล่านี้ โดยฝากถึง พล.ต.อ.สมยศว่า ตอนปี 2553 ตนยังเป็นวุ้นอยู่เลย จะมายัดข้อหาอะไรแบบหน้าด้านๆ อายแทนพี่น้องตำรวจชั้นผู้น้อยและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เขาไม่เห็นด้วย และว่า พล.ต.อ.สมยศน่าจะเอาเวลาไปปราบพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ หรือไปจับคดีฆ่าข่มขืนดีกว่า
ขณะที่นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กหลังตำรวจและทหารจับกุมผู้ต้องหาชายชุดดำได้ โดยขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ติดตามคดีให้หลังจากหมดความหวังไปแล้ว และว่า เหตุการณ์รุนแรงในปี 53 ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำให้การดำเนินคดีในช่วงที่ผ่านมา ไม่มีความโปร่งใส ไม่เป็นที่ยอมรับ ถึงจุดที่หมดความไว้วางใจในดีเอสไอ คนตายทั้งคน บอกว่าไม่มีหลักฐานใดๆ และไม่มีความพยายามติดตามคดีให้เลย
นางนิชา ยังฝากถึงผู้เกี่ยวข้องด้วยว่า อยากให้นำข้อเท็จจริงจากผลการสอบสวนของ คอป. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงคดี พล.อ.ร่มเกล้าของวุฒิสภา ฯลฯ มาประกอบสำนวนคดีให้ครบถ้วน เพื่อนำไปสู่การขยายผลให้ได้ข้อเท็จจริงอย่างสมบูรณ์ต่อไป พร้อมหวังว่า คดีนี้จะโยงถึงผู้สั่งการ ผู้เกี่ยวข้องกับคดีทั้ง 89 ศพ รวมทั้งอยากให้เร่งติดตามคดีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมปี 2556-2557 ด้วย อย่าปล่อยให้คดีล่วงเลยเหมือนปี 2553
4.กสท.มีมติห้ามช่อง 3 อนาล็อกออกเคเบิล-ดาวเทียม เหตุสิ้นสุดสถานะฟรีทีวี ด้านบิ๊ก ช่อง 3 ดิ้น ยื่น กสทช.ทบทวนมติ กสท.!
ความคืบหน้ากรณีที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์(กสท.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ให้สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในระบบอนาล็อกของบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด สิ้นสุดสถานะการเป็นฟรีทีวี ตามประกาศหลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป (Must Carry) โดยไม่ขยายเวลาให้อีก จากที่ก่อนหน้านี้เคยขยายเวลาการเป็นฟรีทีวีให้ช่อง 3 อนาล็อกมาแล้วเป็นเวลา 100 วัน นับแต่วันที่ 26 พ.ค. โดยครบกำหนดเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ซึ่งส่งผลให้ช่อง 3 อนาล็อก จะไม่สามารถออกอากาศในโครงข่ายทีวีดาวเทียมและเคเบิลได้อีกต่อไป แต่การรับชมผ่านเสาอากาศหนวดกุ้งและก้างปลายังเป็นไปตามปกติ ซึ่งเดิม กสท.ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 ก.พ.เห็นชอบให้ฟรีทีวี 6 ช่องเดิม(ช่อง 3-5-7-9-11 และไทยพีบีเอส) ในระบบอนาล็อก สิ้นสุดการเป็นฟรีทีวีตามประกาศ Must Carry ตั้งแต่วันที่เริ่มต้นแพร่ภาพในระบบดิจิตอล คือวันที่ 25 พ.ค. แต่ช่อง 3 ไม่พอใจ จึงไปฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนมติของ กสท.เมื่อวันที่ 3 ก.พ.พร้อมขอให้ศาลทุเลาการบังคับใช้มติของ กสท.ดังกล่าว เพื่อให้ช่อง 3 ยังคงออกอากาศผ่านเคเบิลและทีวีดาวเทียมได้ต่อไป จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา แต่ศาลยกคำร้องของช่อง 3 ไม่ทุเลาการบังคับใช้มติของ กสท. แต่ถึงกระนั้น กสท.ก็ได้ขยายเวลาให้ช่อง 3 ไม่จอดำในโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมเป็นเวลา 100 วัน กระทั่งครบกำหนดเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ที่ประชุม กสท.จึงมีมติไม่ขยายเวลาให้อีก
จากนั้นช่อง 3 ได้อ้างประกาศ คสช.ฉบับที่ 27 ว่าคุ้มครองให้โทรทัศน์ทุกช่องออกอากาศได้ทุกช่องทาง ทั้งภาคพื้นดิน ดาวเทียมและเคเบิล แต่ทาง คสช.ยืนยันว่า ไม่มีประกาศฉบับใดของ คสช.ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องระบบอนาล็อกหรือทีวีดิจิตอล จากนั้นช่อง 3 พยายามอ้างจำนวนคนดูช่อง 3 ผ่านระบบเคเบิลและดาวเทียมว่ามีมากถึง 70% ดังนั้นช่อง 3 จึงไม่ควรจอดำจากเคเบิลและดาวเทียม ซึ่งการอ้างดังกล่าวส่งผลให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ช่อง 3 กำลังจับคนดูเป็นตัวประกัน
กระทั่ง กสท.บางคนเสนอให้ช่อง 3 ออกอากาศคู่ขนานกับระบบดิจิตอลแบบที่ช่อง 7 ทำอยู่ หรือไม่ก็ให้ช่อง 3 สมัครเป็นโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก(เพย์ทีวี) เพื่อให้สามารถแพร่ภาพทางเคเบิลและดาวเทียมได้ต่อไป แต่ช่อง 3 ก็ปฏิเสธ โดยอ้างว่า ช่อง 3 เตรียมแผนไว้ว่าจะออกอากาศในระบบดิจิตอลเมื่อหมดสัญญาในระบบอนาล็อกในปี 2563 หากจะให้ช่อง 3 ออกอากาศคู่ขนาน ต้องไม่ตัดเนื้อหาหรือโฆษณาของช่อง 3 ลง ส่วนสาเหตุที่ไม่เปลี่ยนเป็นเพย์ทีวี ช่อง 3 อ้างว่า เพราะกลัวแพ้คดีในศาล เนื่องจากศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาคดีที่ช่อง 3 ฟ้องให้เพิกถอนมติของ กสท.
หลังจากนั้น ได้มีการประชุม กสท.เมื่อวันที่ 5 ก.ย. แต่ปรากฏว่า พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท. และ พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ งามสง่า กรรมการ กสท.ไม่เข้าประชุม ทำให้การประชุมล่มและนัดประชุมใหม่ในวันที่ 8 ก.ย. อย่างไรก็ตาม กสท.3 คน ที่เข้าประชุม ประกอบด้วย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ,พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ และ ผศ.ดร.ธวัชชัย จิตภาษ์นันท์ ได้เปิดแถลงจุดยืนส่วนตัวต่อปัญหาช่อง 3 ว่า กสท.ต้องปฏิบัติตามมติเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ด้วยการออกคำสั่งทางปกครองแจ้งให้โครงข่ายเคเบิลและดาวเทียมห้ามออกอากาศช่อง 3 อนาล็อก เนื่องจากไม่มีสถานะเป็นฟรีทีวีแล้ว และให้เคเบิลและดาวเทียมแจ้งผู้ชมทราบเป็นเวลา 15 วันว่าจะไม่สามารถรับชมช่อง 3 อนาล็อกได้อีก
หลังการแถลงดังกล่าว ปรากฏว่า ช่อง 3 ไม่พอใจ จึงได้ส่งทนายไปฟ้องต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 8 ก.ย.กล่าวหาว่า กสท.ทั้งสามคนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดย น.ส.สุภิญญาถูกกล่าวหามากสุด 3 ข้อหา คือ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมิ่นประมาท และฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งศาลได้นัดฟังคำสั่งว่าจะรับไว้ใต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ในวันที่ 18 ก.ย.เวลา 09.00น.
ด้าน น.ส.สุภิญญา กล่าวถึงกรณีที่ถูกช่อง 3 ฟ้องว่า อาจพิจารณาฟ้องกลับ เนื่องจากเห็นว่าช่อง 3 มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เพราะส่งทนายไปฟ้องก่อนที่จะมีการประชุมบอร์ด กสท. จึงเห็นว่าการกระทำของช่อง 3 อาจเข้าข่ายขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐได้
ทั้งนี้ วันเดียวกัน(8 ก.ย.) ที่ประชุม กสท.ได้มีมติ 3 ต่อ 2 ให้มีคำสั่งทางปกครองไปยังผู้ให้บริการโครงข่ายกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ เช่น ทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวี ให้นำช่อง 3 อนาล็อก ออกจากการให้บริการในโครงข่ายของตนเองภายใน 15 วัน นับตั้งแต่ได้รับหนังสือคำสั่ง เนื่องจากช่อง 3 อนาล็อกสิ้นสุดสถานะการให้บริการที่เป็นการทั่วไปหรือฟรีทีวีแล้ว
ขณะที่นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ได้ออกมาชี้ช่องว่า หากผู้เกี่ยวข้องจะฟ้องร้องมติบอร์ด กสท.ดังกล่าว ขอให้ผู้ที่ต้องการฟ้อง ทำเรื่องอุทธรณ์มายังสำนักงาน กสทช.ก่อน ซึ่งตามกฎหมายให้เวลา 15 วัน หากผู้เสียหายยื่นอุทธรณ์มาก่อนวันที่ 17 ก.ย. ทางสำนักงาน กสทช.จะนำเสนอเรื่องดังกล่าวให้บอร์ด กสทช.พิจารณาในวันที่ 17 ก.ย.นี้
ด้านช่อง 3 รีบรับลูก โดยนายประวิทย์ มาลีนนท์ กรรมการบริหารบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด หรือช่อง 3 ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อ กสทช.เมื่อวันที่ 12 ก.ย. จากนั้นได้หารือเป็นการส่วนตัวกับนายฐากรประมาณ 10 นาที ก่อนเดินทางกลับไป และเดินทางกลับมายัง กสทช.อีกครั้ง เพื่อยื่นเอกสารเพิ่มเติม
หลังจากนั้นนายประวิทย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ที่เดินทางมาพบ กสทช. เพื่อยื่นหนังสือให้บอร์ด กสทช.ทบทวนมติของ กสท.เมื่อวันที่ 8 ก.ย. พร้อมยืนยันจุดยืนของช่อง 3 คือ ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ช่อง 3 อนาล็อกบนทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีเกิดสภาพจอดำ ด้านนายฐากร เผยว่า ผู้บริหารช่อง 3 ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ประเด็น คือ 1.ขอให้บอร์ด กสทช.ทบทวนมติบอร์ด กสท.เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่ได้มีการส่งคำสั่งทางปกครองให้ผู้ประกอบการทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีนำช่อง 3 อนาล็อกออกจากการให้บริการบนโครงข่ายของตนเอง 2.ขอให้บอร์ด กสทช.ทบทวนมติบอร์ด กสท.เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่มีมติให้ช่อง 3 อนาล็อกสิ้นสุดการเป็นฟรีทีวี และ 3.ในระหว่างที่บอร์ด กสทช.รับเรื่องไว้พิจารณา ขอมาตรการเยียวยาให้ช่อง 3 อนาล็อกได้ออกอากาศในรูปแบบเดิมไปก่อน
ทั้งนี้ นายฐากร เผยว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะนำหนังสือของช่อง 3 ทำเป็นสำเนาส่งให้บอร์ด กสทช.พิจารณา พร้อมทั้งทำบทวิเคราะห์ส่งให้บอร์ด กสทช.พิจารณาด้วยในการประชุมบอร์ด กสทช.วันที่ 17 ก.ย.นี้ นายฐากร ยังพูดเชิงชี้นำ กสทช.ด้วยว่า ในทางปฏิบัติเชื่อว่า กสทช.สามารถนำเรื่องที่บอร์ด กสท.พิจารณาไปแล้ว กลับมามีมติใหม่ในชั้นของบอร์ด กสทช.ได้ เนื่องจากเคยมีกรณีตัวอย่างจากการที่บอร์ด กสท.มีมติให้ อสมท คืนคลื่นความถี่ภายหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานกับบริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด แต่ทางบอร์ด กสทช.ได้มีมติให้นำกลับไปตรวจสอบใหม่ โดยขณะนี้อยู่ในชั้นการตรวจสอบของอนุกรรมการ
ด้าน พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการ กสทช.และกรรมการ กสท.ด้านกำกับดูแลเนื้อหาและผังรายการ บอกว่า เมื่อเรื่องช่อง 3 เข้าที่ประชุมบอร์ด กสทช.ก็ต้องฟังบอร์ดฝั่ง กสท.อยู่ดี เพราะบอร์ด กสท.มีความรู้เรื่องดังกล่าวมากกว่า และว่า ข้อเรียกร้องของช่อง 3 ที่เสนอมาทั้ง 3 ข้อ ต้องดูข้อกฎหมายว่าดำเนินการได้หรือไม่ ซึ่งเบื้องต้นเห็นว่า กสทช.ไม่ใช่พวกที่ใช้อำนาจบ้าบอ แต่ต้องรักษาเกณฑ์ทางกฎหมาย