ทหารบกพร้อมอาวุธครบมือ รุมสกรัม “สห.ทอ.” รับจ๊อบเป็นการ์ดผับย่านคลองหลวง เหตุฉุน นายถูก สห. เตือนสูบบุหรี่ในผับ ด้าน ผบ.หน่วยสั่งตั้งกรรมการสอบเอาผิดทางวินัย พร้อมรายงานถึงแม่ทัพภาค 1 และ “บิ๊กตู่” แล้ว อีกด้าน “บิ๊กหมู” สั่งฟันเด็ดขาด
วันนี้( 28 ส.ค.) ผู้ใช้เฟซบุ๊กในชื่อ “ความหมายของ ผู้ชายคนหนึ่ง” ได้โพสต์คลิปวิดีโอในกลุ่ม “ข่าวข้น คนโคราช” ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ขณะทหารบกนั่งรถยีเอ็มซี 1 คัน พร้อมอาวุธครบมือ เข้ารุมทำร้ายสารวัตรทหารอากาศ (สห.ทอ.) 3 คน ที่ไปรับงานพิเศษเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ในร้านเหล้าย่าน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และมีรายงานว่า ล่าสุด ผู้บังคับหน่วยทหารดังกล่าวได้รายงานถึงแม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกและนายกรัฐมนตรีแล้ว
วิดีโอคลิปดังกล่าวถูกระบุว่า เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 26 ส.ค. ที่ร้านคลองเพลง ย่านนวนคร อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยฝ่ายทหารบกได้นั่งรถยีเอ็มซี พร้อมอาวุธครบมือ เข้าไปจับ สห.ทอ. ใส่กุญแจมือแล้วรุมทำร้าย จนต้องนำส่งโรงพยาบาลภูมิพล จากการสอบสวนของตำรวจ พบว่า เหตุเกิดเนื่องจาก “พันตรี” คนหนึ่ง สูบบุหรี่ในร้าน ฝ่าย “สห.ทอ.” นอกเครื่องแบบที่มาเป็น รปภ.ร้านจึงเข้าไปเตือน 2 ครั้ง จนฝ่ายพันตรีไม่พอใจ จึงกลับไปนำทหารบกที่เป็นลูกน้อง นั่งรถบรรทุกทหารมารุมทำร้าย สห.ทอ. ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ต่อมามีรายงานว่า ผบ.หน่วยต้นสังกัดทหารบกนั้นไม่ใช่ “พันตรี” แต่เป็น “ร้อยเอก” ได้สั่งคุมตัวลูกน้องทันที และขังทหารหลายคนที่ไปรุมทำร้ายสารวัตรทหารอากาศเมื่อคืนก่อนแล้ว พร้อมกับมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย คาดว่า จะต้องถูกลงโทษหนัก ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า นายทหารและทหารที่ก่อเรื่องมาจากหน่วย ม.พัน.30 รอ.สังกัด กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ หรือที่เรียกว่าทหารกลุ่ม “บูรพาพยัคฆ์”
พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะหัวหน้ากองกำลังรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มนายทหารบก ทะเลาะวิวาทกับกลุ่ม สารวัตรทหารอากาศ ว่า เรื่องดังกล่าวตนได้รับรายงานแล้ว และได้สั่งการให้ตั้งกรรมการสอบสวนโดยให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย โดยหากการสอบสวนว่าอย่างไรก็จะดำเนินการลงโทษอย่างเต็มที โดยไม่มีการช่วยเหลือแต่อย่างใด เพราะถือว่าตนได้สั่งการไปแล้ว ว่าทหารมีหน้าที่รักษาความสงบและช่วยเหลือประชาชน อย่างไรก็ตามทางผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่าย ได้พูดคุยกันแล้ว ว่าต่างฝ่ายต่างไปดำเนินการสอบสวนโดยไม่มีการช่วยเหลือแต่อย่างใด
