อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวถึงเรื่อง การปฏิวัติน้ำมันพืช ทำไมเราถึงต้องเปลี่ยนมาใช้น้ำมันมะพร้าว? ในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี เมื่อวันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา โดยมี น.ส.จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และ น.ส.กมลพร วรกุล ดำเนินรายการ ซึ่งมีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้
ปานเทพ - ที่ผมมาเดือนละ 1 ครั้ง ก็ต้องมีเรื่องที่ผมคิดว่า เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เมื่อปีที่แล้ว ผมพูดเรื่องน้ำด่างเป็นเรื่องที่คนยังไม่รู้จักน้ำด่างเลย ในช่วงเวลาใกล้เคียงต่อเนื่อง ตอนนี้มันครบ 1 ปีแล้ว ผมคิดว่าจะมาเพิ่มไปอีก 1 ขั้นตอน ในเรื่องที่มีความสำคัญมากๆ แต่ก่อนจะไปเล่าเรื่องที่มีความสำคัญมากๆ ขออนุญาตรายงานผลเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องนึงก่อน คือว่าเรารู้ว่าเครื่องทำน้ำด่างมีความสามารถในการรักษาสมดุลความเป็นกรดด่างในร่างกาย มักจะมีหมอบางคนโต้แย้งผมนะครับ ผ่านหนังสือพิมพ์บ้าง บอกว่าคนเราร่างกายมีบัฟเฟอร์เป็นกรดเป็นด่าง ผมเข้าใจทุกอย่าง แต่เราจะรู้ว่ากรดมากไป ด่างเกินไปต้องไม่ใช่เรา หมอก็จะเตือนว่า เป็นด่างมากไปไม่ดี เป็นด่างหรือไม่ให้วัดเอาว่า ปัสสาวะเราเป็นกรดหรือด่างเท่าไหร่ มาตรฐานเรา 6.5-8 ถ้าพฤติกรรมเรากินไม่ถูกต้องเป็นกรดมาก เราจะไม่แปลกที่เรากินน้ำด่าง เพื่อรักษาสมดุล ทุกอย่างก็วัดได้ ต้องไม่ใช่แค่ความเห็นต้องพิสูจน์ได้
เรื่องที่สองก็คือว่า มีคนเขาใช้น้ำด่างไปล้างพิษตับเยอะ ในการสวนล้างลำไส้ เพื่อจะทำให้การขับพิษได้มาก ซึ่งก็ได้ผลเยอะ โดยเฉพาะการแยกชั้นน้ำมันกับน้ำด่างมันเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน นี่คนก็ใช้กันแล้ว ด้านที่ 2 ด้านที่ 3 ที่เราเพิ่งรายงานผลหลังจากที่เราไปส่งห้องแล็บ ก็คือส่งไปที่บริษัทห้องปฏิบัติการประเทศไทย เราก็มีความรู้มาว่า สารเมโทมิล ซึ่งตกค้างในผักคะน้า เราก็เอาไปล้าง ปรากฏว่าวิธีที่ดีที่สุด ดีกว่าการล้างด้วยเครื่องอัลตราโซนิค ดีกว่าการล้างด้วยโอโซน ดีกว่าการล้างด้วยน้ำประปา ก็คือการแช่ด้วยน้ำด่าง 2 รอบ เบอร์ 3 นะครับ แช่ 1 ครั้ง ยก เทน้ำออก แช่อีก 1 ครั้ง อีก 15 นาที รวมแล้ว 30 นาที สารพิษตกค้างหายไป 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ดีที่สุดในทุกระบบ
มาวันนี้ก็มีท่านผู้ชมสนใจเรื่องอาหารทะเล ซึ่งบางคนก็ยังงดเนื้อสัตว์ไม่ได้ ก็บอกว่าดีกว่าไปกินสัตว์ใหญ่ ก็กินอาหารทะเล กินปลา กินปลาหมึก อย่างนี้เป็นต้น แล้วเราก็ไม่เคยมีข้อมูลมาก่อนเลยว่า มีสัตว์ทะเลจำนวนมาก พอจับเสร็จ มีการราดฟอร์มาลีน คือน้ำยาอาบศพ คุณเก๋เคยได้ยิน คุณแอนเคยได้ยิน แล้วเราก็ไม่มีทางจะรู้ตัวว่าเรากินสารพิษเป็นสารอาบศพนี้ไปหรือเปล่า ในที่สุดเราก็เลยไปทำการตรวจสอบ เอาปลาหมึกตลาดแห่งหนึ่ง ขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อนะครับ แล้วเราก็ไปทดสอบ ปรากฏว่ามีฟอร์มาลินจริง เมื่อมีฟอร์มาลิน หรือน้ำยาอาบศพ เราก็มาทดลองดูว่า ถ้าเราเอามาล้างด้วยน้ำด่างเบอร์ 3 ด้วยวิธีการเดียวกับล้างผัก ฟอร์มาลีนจะหลุดมั้ย ผมขออนุญาตรายงานผลการทดสอบ เป็นผลแล็บนะครับ อันนี้เป็นรายงาน ปลาหมึกจากตลาด เป็นการรายงานเมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมานี้เอง เมื่อไม่นานมานี้ ก็ปรากฏว่า เราสนใจว่ามีผลการทดสอบ มีฟอร์มาลินอยู่เท่าไร ปรากฏว่ามีอยู่ทั้งสิ้น 11,466.39 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ถ้าเป็นอย่างนี้ จะทำยังไงดี ก็ปรากฏว่า เราก็เอาปลาหมึกนี้ไปลองแช่น้ำด่าง 15 นาที ยก เปลี่ยนน้ำ แล้วแช่อีก 15 นาที ปรากฏว่าประเภทตัวอย่าง คือปลาหมึก ซึ่งล้างด้วยน้ำด่าง 15 นาที ผลการทดสอบคือ ไม่พบฟอร์มาลินเหลืออยู่เลย คือไม่เจอเลย อันนี้ก็เป็นรายงานให้ทราบว่า นอกจากคุ้มค่าในการดื่มเพื่อรักษาสมดุลกรดด่างแล้ว ยังล้างพิษในผัก ล้างฟอร์มาลีนจากอาหารสัตว์ทะเลด้วย
จินดารัตน์ - จะทำให้แม่บ้านโล่งใจขึ้น
ปานเทพ - คุ้มค่ามากครับ มันไม่ใช่แค่ดื่มอีกต่อไป แล้วเราพูดถึงเรื่องที่ดูแลสุขภาพของคนในครอบครัว เพื่อลดสารพิษ ในภาวะที่คนยังไม่ค่อยรับผิดชอบในการราดสารพิษให้กับผู้บริโภคกิน นี่ก็จะเป็นหนทางหนึ่ง ท่านผู้ชมก็สามารถสั่งจองได้จนถึงวันที่ 18 ตุลาคม จะเอาเข้ามาเป็นล็อตถัดไป ตอนนี้ไม่มีสต๊อกแล้ว เวลาเราเตือนว่ามีสต๊อก ให้รีบมา คือมีอยู่แค่นั้น เพราะเราไม่ได้มีเงินเยอะที่จะเก็บสต๊อกได้ ท่านผู้ชมที่พอรู้ข้อมูลนี้ ก็ขอให้รีบ เพราะว่าในจำนวนจำกัดเรามีถึงวันที่ 18 ตุลาคม ชิปนี้พอส่งของมา ถ้าท่านผู้ชมมาช้า ก็ต้องรออีกยาว นี่อีกไม่กี่วันเอง วันนี้ก็วันที่ 4 เข้าไปแล้ว อีกไม่กี่วัน เพราะฉะนั้นใครสนใจก็เชิญได้ที่ 02-633-5353 หรือไปที่เอเอสทีวีช็อป นี่ก็เป็นเรื่องที่สองที่ผมอยากจะรายงาน
เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องที่ผมจะมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการยกระดับในการเปลี่ยนความคิดท่านผู้ชม เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย หลังจากนี้ผมอาจจะถูกโต้แย้งอีกเยอะ และผมก็รู้ว่าอาจจะต้องโดน เพราะมีคนพยายามทำมาสิบกว่าปีในเรื่องของการเอาข้อเท็จจริงมานำเสนอกับท่านผู้ชม แต่ไม่สามารถฝ่ากระแสการโฆษณาได้ เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผมใคร่ครวญแล้ว แล้วก็คุยกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ว่า เราจำเป็นต้องเปลี่ยนชีวิตของคน ผู้บริโภค ที่ชมเอเอสทีวี และเปลี่ยนความคิดใหม่ เกี่ยวข้องกับการใช้ น้ำมันพืช
สิ่งที่ท่านผู้ชมกำลังอยู่ตอนนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผมและคุณสนธิ และพวกเราทั้งหมด ตั้งใจอย่างมากว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด ไม่ใช่เพื่อขายของสิ่งนี้ เดี๋ยวเราจะนำเสนอทางวิชาการว่า ทำไมท่านผู้ชมต้องเปลี่ยน มันคือน้ำมันมะพร้าว ที่เราใช้ชื่อตราว่า Man Nature โลโก้นี้คิดค้นโดยคุณสายัณห์ เล็กอุทัย ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วนะครับ หลักคิดคือ มนุษย์อยู่กับธรรมชาติ ถ้าจะอธิบายสโลแกนที่ผมคิดไว้ก็คือ สุขกายสบายจิต ชีวิตธรรมชาติ สิ่งที่เรานำเสนอตอนนี้ก็คือน้ำมันมะพร้าว ทั้งสกัดเย็น ทั้งสำหรับปรุงอาหาร คือ Cooking Oil ซึ่งหายากในตลาดมากนะครับ น้ำมันชนิดนี้บริสุทธิ์มาก แค่ไหนเดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง ผมจะข้ามมันไปก่อน เพื่อให้ท่านผู้ชมเปลี่ยนวิธีคิด ท่านผู้ชมอาจไม่ต้องซื้อแบรนด์นี้ก็ได้ ท่านผู้ชมคิดว่ามีแบรนด์ที่ถูกใจ แต่ผมอยากจะชวนท่านผู้ชมเปลี่ยนความคิด ท่านผู้ชมลองตามผมมานะครับ ว่าท่านผู้ชม คุณแอน คุณเก๋ ท่านผู้ชมเปลี่ยนความคิดเรื่องอะไร
คือผมเริ่มสำรวจหลังจากทำหลักสูตรล้างพิษตับมาสักระยะหนึ่ง ผมมาสนใจเรื่องน้ำมัน เพราะว่าผมเห็นไขมันพอกตับหลุดออกมาจากการล้างพิษตับ ผมเห็นการใช้น้ำมันมะกอก ผมก็เลยสนใจว่า ทำไมบางคนผื่นแพ้ ภูมิแพ้ขึ้น ก็เลยมาสนใจเรื่องน้ำมัน โดยเฉพาะคนเป็นภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ และผมก็มาค้นพบว่า คนเป็นไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำยุคนี้เยอะมาก ตัวเย็น อ้วนง่าย คอเลสเตอรอลในเลือดสูง มาจากภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ คือเผาผลาญแย่ลง แล้วผมก็มาค้นว่า น้ำมันมะพร้าวมันเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้สูงขึ้น ผมก็เลยมาสนใจเรื่องนี้มาก และก็เริ่มมาสนใจอย่างเป็นระบบว่า ทำไมคนถึงป่วยกันมากในเวลาตอนนี้
ผมอยากชวนท่านผู้ชม คุณเก๋ คุณแอน มาดูแผนภูมิชิ้นนี้ดูนะครับ แผนภูมิชิ้นนี้หยิบเฉพาะ 10 เหตุผล ที่คนตายในประเทศไทย ว่าเป็นเหตุผลอะไรบ้าง เมื่อปี พ.ศ.2505 กับปี พ.ศ.2554 ด้านซ้ายมือเป็นปี พ.ศ.2505 ด้านขวามือคือปี 2554 คือประมาณ 50 ปีที่แล้วนะครับโดยประมาณ ทางซ้ายมือจะเห็นว่าคนเสียชีวิตเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เฉพาะ 10 หัวข้อที่คนตายมากที่สุดตัดทิ้งก่อนนะครับ เราจะค้นพบว่า ทารกตาย เพราะว่าระบบการคลอดเราไม่ค่อยถนัด การแพทย์ไม่ค่อยพัฒนามาก กระเพาะลำไส้อักเสบก็เพราะติดเชื้อ วัณโรค ระบบลมหายใจก็ติดเชื้อ ปอดอักเสบก็ติดเชื้อ ไข้จับสั่นก็ติดเชื้อ มีหัวใจอยู่นิดหน่อยประมาณ 8% และอุบัติเหตุ การตั้งครรภ์ คลอด บิด รากสาด กะเพาะอาหาร เหน็บชา ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ว่าด้วยเรื่องของการติดเชื้อทั้งสิ้น นี่เป็นเหตุผลที่คนตายเมื่อ 50 ปีที่แล้วนะครับ
มาดูในปี 2554 ปรากฏว่า โรคที่คนตายในยุคหลัง มันไม่เหมือนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว กลายเป็นว่าเป็นโรคมะเร็งอันดับที่ 1 ถึงประมาณ 23% แล้วทิ้งขาดเลยนะครับ และอันดับ 2 คือระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจประมาณ 70% ที่เหลือติดเชื้อปรสิต อุบัติเหตุ ทางเดินหายใจ ระบบสืบพันธุ์ หรือปัสสาวะ ต่อมไร้ท่อ ย่อยอาหาร ระบบประสาท เลือดและระบบภูมิคุ้มกันเป็นต้น ทำไมคน 50 ปีที่แล้วไม่รู้จักโรคเลือดมีปัญหา หัวใจ เส้นโลหิตในสมองตีบ ทำไมคน 50 ปีที่แล้วไม่เป็นอะไร ทำไมคน 50 ปีที่แล้วไม่รู้จักโรคมะเร็ง ทำไมเราถึงเป็นโรคมะเร็งกันในยุคนี้ ผมจะชวนท่านผู้ชมหาคำตอบในเรื่องนี้ และผมก็มาค้นพบว่าส่วนหนึ่งที่สำคัญมากคือ น้ำมันพืชที่เรากิน เรากำลังถูกหลอกมา 50 ปี เป็นเรื่องที่ใหญ่มากนะครับ
ผมจะเริ่มต้นจากว่า 50 ปีที่แล้ว หรือ 50 กว่าปีที่แล้ว เราไม่ได้ใช้น้ำมันแบบนี้หรอกครับ เราย้อนกลับไปคนสมัยโบราณ เขาใช้น้ำมันมะพร้าวในการปรุงอาหาร ขนมไทยจำนวนมาก ใช้น้ำมันมะพร้าว ถูกมั้ยครับ เราใช้กะทิทำขนม กะทิทำอาหาร และใช้น้ำมันหมู คนโบราณ ไม่มีใครใช้น้ำมันถั่วเหลือง ทำไมคนยุคนั้นไม่มีใครเป็นโรคหัวใจ หรือว่าโรคมะเร็ง ผมก็มาดูเส้นทาง การเดินทางของมะพร้าวในสมัยโบราณ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ผมก็มาค้นพบว่า แหล่งผลิตสำคัญอยู่แถวๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พวกหมู่เกาะทั้งหลาย รวมถึงประเทศไทยด้วยนะครับ เราเริ่มต้นจากชาวหมู่เกาะนำมะพร้าวแปซิฟิกไปที่มาดากัสการ์ และอีกส่วนหนึ่งคือแถวๆ อินเดียว ก็ส่งไปที่ชาวอาหรับ และชาวเปอร์เซียน นำจากอินเดียมาที่แอฟริกาฝั่งตะวันออก และชาวโปรตุเกสก็เอามา ข้ามฝั่งจากฝั่งอินเดีย แล้วก็มาที่แอฟริกาฝั่งตะวันตก ชาวฝั่งแถวๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวสเปน ก็บุกเบิกมะพร้าวไปยังเม็กซิโก บางส่วนก็ไปยังที่ปานามา พูดง่ายๆ ก็คืออเมริกาใต้ และชาวยุโรปก็บุกเบิกจากอินเดีย ไปยังแคริบเบียน บราซิล แล้วก็เข้าอเมริกา ในที่สุดคนทั่วโลกก็รู้จักน้ำมันมะพร้าวในการปรุงอาหาร ก่อนสงครามโลก
ทีนี้ ผมถามว่า เขาใช้อะไรกัน ผมมาค้นพบเรื่องที่น่าสนใจและน่าอัศจรรย์มาก คือ ทุกชาติที่ใช้น้ำมันมะพร้าว ใช้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ระบบสื่อสารแย่มาก ไม่มีอินเทอร์เน็ตเหมือนกับยุคนี้ แต่ทำไมทุกคนใช้ตรงกัน เช่น ชาวอินเดีย ใช้น้ำมันมะพร้าวมาเป็นเวลา 4-5 พันปีแล้ว เป็นยาอายุรเวช เป็นส่วนสำคัญในการแพทย์ทางเลือก และรักษาควบคู่กับยาแผนโบราณของอินเดียมา 5 พันปีแล้ว หรือแม้กระทั่งชาวปาปัวนิวกินี ก็ใช้มาหลายทศวรรษในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว บำรุงรักษาเส้นผม ผสมอาหาร รักษาอาการเจ็บ บาดเจ็บของมีคม และบาดแผลฟกช้ำ แม้กระทั่งชาวปานามาที่มีการส่งออกไปนั้น ก็มีการใช้น้ำมันมะพร้าว 1 แก้ว ดื่มทุกวัน เพื่อป้องกันจากความเจ็บป่วย และทำให้หายอาการเจ็บป่วย ฟื้นอย่างรวดเร็ว ชาวจาเมกา ก็ฝั่งตะวันออกของอเมริกาใต้ ก็ใช้มะพร้าวเป็นยาบำรุงรักษาสุขภาพ ช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง และใช้เป็นยารักษาโรคชนิดแรกๆ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม มาจนถึงแม้กระทั่งไนจีเรีย แถวแอฟริกาใต้ ไนจีเรีย โซมาเลีย เอธิโอเปีย นิยมใช้น้ำมันมะพร้าวอย่างมากเพื่อการใช้บรรเทาและรักษาโรค อาการเจ็บป่วยเกือบทุกชนิดเหมือนกัน ในแถบเดียวกัน แอฟริกากลางและใต้ ก็ใช้กับแพทย์แผนโบราณ ใช้น้ำมันมะพร้าวในการแก้ไขอาการปวดหลัง ใช้บำรุงสุขภาพ รวมไปถึงการปรุงอาหารและยา พอเราข้ามฟากมาอีกฝั่งหนึ่ง คือหมู่เกาะซามัวร์ ใช้น้ำมันมะพร้าวเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย บาดเจ็บ และแม่จะนวดให้ลูกเพื่อป้องกันโรค เด็กที่หมู่เกาะแถวนี้ กระดูกแข็งแรง ผิวสวยงาม ไม่มีอาการติดเชื้อ นวดเหงือก รักษาแผลในปาก แล้วพอมาดูที่ฝั่งไทยและศรีลังกา เราใช้กะทิเป็นหลัก ใช้กะทิปรุงอาหาร ใช้เป็นเครื่องสำอาง ประทินผิว และยารักษาโรคในแพทย์แผนไทยหลายชนิด
แล้วก็รวมไปถึงชาวฟิลิปปินส์ ก็ใช้น้ำมันมะพร้าวบำรุงผมให้ดำเงา คนฟิลิปปินส์แม้ว่าจะแก่ ผมก็ดำ เขาใช้น้ำมันมะพร้าว และใช้รักษาแผลไฟไหม้ แผลจากของมีคม แผลฟกช้ำ กระดูกหัก ใช้นวดในจุดที่เจ็บปวดตามข้อและตามกล้ามเนื้อ มาจนถึงชาวอินโดนีเซีย ในแถบข้างล่างเรา ก็ปรากฏว่าใช้น้ำมันมะพร้าวในการทาผิวทั่วร่าง และทำให้เส้นผมมีความแข็งแรง และใช้ในการปรุงอาหาร แม้แต่คนยุโรปและอเมริกา ในก่อนสงครามโลก ใช้น้ำมันมะพร้าวสำหรับคนป่วยที่มีปัญหาระบบย่อยอาหาร หรือการดูดซึมอาหารไม่ดี และเด็กที่ยังย่อยไขมันชนิดอื่นไม่ได้ เขาใช้น้ำมันมะพร้าวแทน และเพิ่มภูมิคุ้มกัน
ผมถามว่าทำไมระบบในยุคนั้น การสื่อสารไม่ดี ทุกคนใช้ตรงกันหมด เดี๋ยวนี้เราเลิกใช้น้ำมันมะพร้าวหมดแล้ว มันต้องมีอะไรผิดปกติ ทั้งที่คนทั่วโลกระบบการสื่อสารแย่ แต่ใช้เหมือนกันหมด ใช้เป็นยาปรุงอาหาร เห็นผลดีรักษาโรคหัวใจ ทาแผล เดี๋ยวนี้คนเลิกใช้น้ำมันมะพร้าวกันหมด มันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้นเพราะอย่างนี้ครับ พอเราดูแหล่งผลิตน้ำมันมะพร้าว มันขึ้นแถว อุณหภูมิที่ร้อนชื้นก็คือ แถวเส้นศูนย์สูตรมีไทย มีอินเดีย ฟิลิปปินส์ ข้างล่างอินโดนีเซียไปถึงอเมริกาใต้ทั้งแถบ เป็นแถบที่ทรงอิทธิพลในการผลิตน้ำมันมะพร้าว ที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก แต่ปรากฏว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์สงคราม มหาสงครามเอเชียบูรพา ก็ปรากฏว่า ญี่ปุ่นบอกว่าตัวเองเป็นลูกพระอาทิตย์ ต้องการปลดปล่อยชาวเอเชียจากผู้ล่าอาณานิคมชาวตะวันตก ก็สามารถได้พวกแนวร่วม รวมถึงแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก็คือ ไทย ฟิลิปปินส์ แถวนี้ผลิตน้ำมันมะพร้าวเป็นจำนวนมาก
เสร็จเลยครับ เมื่อเกิดสงครามแบบนี้ก็ลามไปถึงสงครามโลก น้ำมันมะพร้าวก็ไม่ได้ไปยังอเมริกาอีก ขาดแคลนอีก แล้วเมื่อขาดแคลนก็จบสงครามโลกด้วยการระเบิดนิวเคลียร์ทิ้ง และทำอย่างไรครับ เวลาขาดน้ำมันมะพร้าวคนใช้แล้วก็ติด ก็เริ่มมีการประดิษฐ์น้ำมันชนิดใหม่ น้ำมันจากชนิดนี้ที่เรียกว่าเป็นน้ำมันอิ่มตัว เขาก็เริ่มประดิษฐ์ใช้น้ำมันจากถั่วเหลือง มาเป็นไขมันชนิดใหม่เรียกว่า ไขมันไม่อิ่มตัว แล้วก็บอกว่า ไขมันชนิดนี้ดีเยี่ยม หลังสงครามโลกจบ น้ำมันมะพร้าวเริ่มกลับส่งออกไปที่อเมริกา แต่คราวนี้สมาคมถั่วเหลืองที่อเมริกาก็เริ่มรวมตัวกันสิครับ เพราะเริ่มมีคู่แข่ง จากเดิมฉันครองตลาดอยู่ดีๆ ในช่วงสงครามโลก จะทำอย่างไรได้ ก็ต้องเริ่มโจมตีว่า น้ำมันมะพร้าวไม่ดี ทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูง ทำให้เป็นโรคหัวใจ ทำให้เป็นอัมพาต การต่อสู้ครั้งนี้รบกันนานครับ ดูภาพนี้ครับ ก็ปรากฏว่าที่อเมริกามีการออกงานวิจัย 2 ชิ้น แต่เป็นงานที่ประดิษฐ์ตั้งใจโจมตีน้ำมันมะพร้าว คือปี 2500 และปี 2507 ในงานวิจัย 2 ชิ้นนี้คือของ อาเรน และ เดวิด คริกเชสกี ออกรายงานว่าน้ำมันมะพร้าวทำให้คอเลสเตอรอลสูงในเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว และทำให้กระต่ายในการทดลองเป็นโรคหัวใจ และทำให้เกิดเป็นโรคอ้วน เป็นโรคอัมพาต ทั้งๆ ที่น้ำมันมะพร้าวเหล่านี้เป็นน้ำมันมะพร้าวที่ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความจงใจ ด้วยการเอานิกเกิลไปทำปฏิกิริยา เติมไฮโดรเจนเข้าไปด้วยความร้อน แล้วก็ฟอกมัน แล้วก็ถอนนิกเกิล พูดง่ายๆ ก็คือไม่ใช่น้ำมันมะพร้าวตามธรรมชาติ แต่เอาผลการวิจัยชิ้นนี้ไปประดิษฐ์ให้น้ำมันมะพร้าวเป็นผู้ร้าย แล้วก็บอกว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง หลอดเลือดแข็ง อัมพฤกษ์ อัมพาต
คุณแอนครับ มันเป็นสงครามธุรกิจ สมาคมถั่วเหลืองตัดสินใจเอางานวิจัยเหล่านี้เริ่มมาโจมตีด้วยการโฆษณา ที่อเมริกา ผลปรากฏว่า ในช่วงเวลาการโฆษณาครั้งนั้น หลังสงครามโลกนะครับ ผมจะชี้ให้ดู นี่คือแผนภูมิที่เกิดขึ้น นี่คือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 - สิ้นสุดสงครามโลก น้ำมันมะพร้าวเริ่มกลับไป น้ำมันถั่วเหลืองก็เริ่มมีการออกงานวิจัยช่วงปี พ.ศ.2505 ก็เริ่มบูมมาเรื่อยๆ จนกระทั่งช่วงนี้ เอางานวิจัยมาตีแผ่ ก้าวกระโดดของน้ำมันถั่วเหลือง จนกระทั่งน้ำมันมะพร้าวไม่มีใครใช้อีกเลย เพราะกลัว น้ำมันถั่วเหลืองแซงน้ำมันทุกชนิด ไม่มีใครกล้าใช้น้ำมันชนิดอื่น ในที่สุดน้ำมันถั่วเหลืองก็ครองอเมริกาเป็นน้ำมันอันดับ 1 ที่มีการใช้มากที่สุดในอเมริกา เพราะทุกคนกลัวคอเลสเตอรอล กลัวโรคหัวใจ กลัวโรคอัมพาต กลัวโรคเบาหวาน กลัวโรคอื่นๆ อีกมากมาย แต่เชื่อมั้ยครับ หลังจากนั้นปรากฏว่า เมื่อชัยชนะของน้ำมันถั่วเหลืองเกิดขึ้นที่อเมริกา ก็เกิดขึ้นที่เมืองไทยด้วย เพราะเรารับข้อมูลและวัฒนธรรมแบบเดียวกัน ยุคหนึ่ง ในช่วงปี พ.ศ.2523 ถ้าผมจำไม่ผิด หรือช่วง 2530 กว่า มีการโฆษณาของน้ำมันถั่วเหลืองยี่ห้อหนึ่งบอกว่า ไม่เป็นไข และน้ำมันอิ่มตัว เป็นไข ทุกคนก็กลัวว่า ถ้ามันเป็นไขเดี๋ยวมันจะต้องเป็นคอเลสเตอรอลในเลือดแน่ๆ เลย โดยไม่มีใครเอะใจเลยว่า น้ำมันมะพร้าวมันเป็นไขที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเท่านั้น แต่ร่างกายมนุษย์อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ไม่มีทางเป็นไขได้เลย แต่เราก็เลิกใช้น้ำมันมะพร้าวครับ เชื่อไหมครับว่าหลังจากนั้นมะพร้าวราคาตกลง แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โคนต้นมะพร้าวทิ้งปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างอื่นแทน โดยเฉพาะต้นปาล์ม เพราะเรื่องนี้แหละครับโดนโจมตีอย่างหนัก
ในที่สุดสิ่งที่ได้กลับมาของชัยชนะของชาวอเมริกันกลับหลายเป็นว่าอย่างนี้ครับ เมื่อปี พ.ศ.2443 ที่ใช้แต่น้ำมันมะพร้าวอย่างเดียวคนอเมริกัน คือปี พ.ศ.2443 คนอเมริกันป่วยเป็นโรคมะเร็งแค่ 37 ใน 10 อันดับแรกนะครับ โรคหัวใจ 8 เปอร์เซ็นต์ และเป็นโรคท้องร่วง ปอดบวม วัณโรค เหมือนคนไทยเลยครับ โรคสมอง โรคตับ แต่มะเร็งกับโรคหัวใจมีน้อย หลังจากนั้นปี พ.ศ.2552 มะเร็งกลายเป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 และโรคหัวใจอันดับ 1 มะเร็งอันดับ 2 คือ 23-24 เปอร์เซ็นต์ของ 10 อันดับแรกของการเสียชีวิตของคนอเมริกัน ไหนเขาบอกว่าถ้าเปลี่ยนเป็นน้ำมันถั่วเหลืองแล้วจะไม่มีคนเป็นโรคหัวใจ ไม่มีคนเป็นโรคหลอดเลือด ทำไมมีคนเป็นโรคหัวใจตายเป็นเบือเลย เมื่อเทียบกับก่อนที่มีการใช้น้ำมันถั่วเหลือง เราถูกหลอกหรือเปล่าครับ ปรากฏว่าหลังจากนั้นก็มีการพบว่าช่วงที่น้ำมันถั่วเหลืองบูมมากๆ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะขาดลอยของน้ำมันถั่วเหลืองแล้ว ณ ปีนั้นใน 10 คน จะมีคนมีน้ำหนักปกติวัดตามส่วนสูงประมาณสัก 6 คน คนปกติน้ำหนักพอดีตัว มีคนน้ำหนักเกินสัก 3 คน มีคนเป็นถึงขั้นโรคอ้วน 1 คน หลังจากนั้นปรากฏว่าผ่านไปประมาณสัก 20 ปี ปรากฏว่าคนเป็นโรคอ้วนมีอยู่ 3 คนจาก 10 คน คนปกติเหลือ 3 คน น้ำหนักเกินเป็น 4 คน จากเดิมคนส่วนใหญ่ถึง 6 คน หรือ 60 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนน้ำหนักปกติกลายเป็นคนส่วนน้อยมีแค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เหลือไม่น้ำหนักเกินก็กลายเป็นโรคอ้วน ไหนว่าเปลี่ยนจากน้ำมันอิ่มตัวเป็นน้ำมันไม่อิ่มตัวแล้ว อย่างน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด โรคอ้วนจะหายไป มันกลายเป็นว่าคนอเมริกันกลายเป็น
กมลพร - โรคอ้วนเยอะ
ปานเทพ - ไม่ใช่เยอะนะครับ อันดับ 1 ของโลกไปแล้วตอนนี้ มาพร้อมๆ กับน้ำมันถั่วเหลือง ผมก็เริ่มสนใจในเรื่องนี้ว่านี้เราถูกหลอกหรือเปล่า ในที่สุดผมก็มาพบข้อมูลดังนี้ครับ ว่า ดร.เรย์ พีท เขาเป็นนักชีวเคมี นักชีววิทยา สอนที่มหาวิทยาลัยออเรกอนที่อเมริกา และก็สอนอยู่หลายมหาลัยวิทยาลัย เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ผมคิดว่าน่าทึ่งมาก เขาก็อุตส่าห์ไปค้นว่าช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการโจมตีน้ำมันมะพร้าว ว่าเป็นน้ำมันอิ่มตัว กินแล้วอ้วนทุกอย่าง ราคามะพร้าวก็เลยตก เกษตรกรทั้งหลาย ปศุสัตว์เชื่อเลยครับว่ามันคงทำให้อ้วนแน่เลย ก็เลยมีความคิดว่าถ้างั้นเอามาเลี้ยงหมูดีกว่า ก็อยากได้หมูอ้วนๆ นี่ เขาฉลาด เพราะเขาเชื่อตามโฆษณาอย่างนั้น ดร.เรย์ พีท ก็เลยไปเปิดในเอนไซโคลปิเดีย ในปี 1946 ปรากฏว่ามีรายงานในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่าราคาน้ำมันมะพร้าวตกลง เพราะมีข่าวว่าน้ำมันมะพร้าวทำให้อ้วน ขายไม่ค่อยได้ ผู้เลี้ยงหมูในอเมริกาจึงซื้อน้ำมันมะพร้าวเอาไปเลี้ยงหมู เพราะคิดว่าหมูอ้วนขึ้น แต่ปรากฏว่าหมูผอมลงทั้งเล้าครับ นับตั้งแต่นั้นไม่มีใครใช้น้ำมันมะพร้าวเลี้ยงหมูอีกเลย และเลี้ยงสัตว์จนถึงปัจจุบัน เขาเลี้ยงด้วยอะไร ถั่วเหลือง ข้าวโพด ล้วนเป็นธัญพืช ไขมันไม่อิ่มตัวทั้งสิ้น กลายเป็นอาหารสัตว์แล้วเขาก็ค้นพบว่า อ๋อ! ที่แท้น้ำมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งก็คือถั่วเหลือง ข้าวโพดพวกนี้ มันกดไทรอยด์ให้ต่ำ คือการเผาผลาญต่ำ วเลากิน กินน้อย อ้วนง่าย น้ำหนักเยอะ ขุนเยอะ ขายได้เร็ว เรากำลังกินน้ำมันแบบเดียวกันกับที่สัตว์เหล่านี้กำลังกิน
จินดารัตน์ - คือถ้าเผาผลาญดีจะไม่อ้วน
ปานเทพ - ทีนี้ผมเลยมีภาพเล็กๆ อันนี้จากสารคดี Food Inc.นะครับ ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ 58 ปี เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2493 กับปี พ.ศ.2551 ไก่กินแต่ถั่วเหลืองตัดแต่งพันธุกรรม เรามาดูว่า 58 ปีที่แล้วกับยุคนี้ ไข่ 1 ฟอง ไก่มันโตต่างกันอย่างไร ดูภาพนี้นะครับ ดูจำนวนวันนะครับ
นี่เลี้ยงจำนวนฝั่งซ้ายมือนี่ 70 วัน ฝั่งขวา 48 วัน แล้วก็อยากได้หน้าอกใหญ่ๆ ไก่ทางขวามือท่านผู้ชมเป็นไก่ที่เลี้ยงด้วยถั่วเหลืองตัดแต่งพันธุกรรม มันจะก้าวได้ไม่เกิน 2 ก้าว และนั่งลงเพราะน้ำหนักเกินครับ เราถูกหลอกหรือเปล่าครับ ผมเริ่มตั้งข้อสงสัย แต่ท่านผู้ชมตามผมมาอย่าเพิ่มเชื่อนะครับ เพราะผมกำลังจะรองรับกับคำถามที่ผมไม่อยากจะเชื่ออะไรง่ายๆ เลยชวนท่านผู้ชมมาต่อนะครับว่า ผมเคยให้ดูภาพนี้ว่า คนกินมังสวิรัติ และกินน้ำด่างลำไส้จะสะอาดใช่ไหมครับ ถ้ากินเนื้อสัตว์มากลำไส้จะเป็นแบบนี้ แน่นอนครับเป็นการส่องกล้องของ ดร.ฮิโรมิ ชินยา ผมถามคำถาม ผมเข้าใจ เนื้อสัตว์มันเน่าเหม็นในลำไส้ ผมถามว่า อะไรที่มันอยู่ข้างในลำไส้ตอนนี้ ไขมัน แล้วไขมันมันมาพอกแบบนี้ได้อย่างไร มันคือไขมันชนิดไหน และมันเป็นไขมันอะไร และมันจะอยู่ในกระแสเลือดเราไหม ผมมาค้นพบว่า การกินเนื้อสัตว์ไม่สามารถกินสด นอกจากใช้น้ำมันพืช หรือน้ำมันอย่างอื่นไปทอดมันเท่านั้น และเราก็เชื่อว่า สิ่งที่เราเห็นอยู่นั้น มีส่วนสำคัญจากไขมันจากที่เราเอาไปทอดทั้งสิ้น
ดูต่อนะครับท่านผู้ชม ภาพต่อไปนี้ ผมเลยมาสนใจว่า ประเทศไทยก็เหมือนกัน ค่อนข้างจะคล้ายกันคือเดิมใช้น้ำมันมะพร้าว แล้วเราก็มาเชื่อว่า มันเป็นไข ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นไขในร่างกายเราหรอก มันเป็นไขเมื่ออุณหภูมิเย็น แล้วเราก็มากินน้ำมันถั่วเหลืองมากขึ้น โดยเฉพาะชนชั้นกลางนะครับ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน ไม่อิ่มตัวทั้งสิ้นนะครับ แต่ปรากฏว่า เราเป็นโรคมะเร็งเนื้องอกเช่นเดียวกันกับคนอเมริกัน โรคหัวใจหลอดเลือดเช่นเดียวกัน อันดับ 1 และอันดับ 2 เหมือนกันเลยครับ คุณเก๋ คุณแอน มันต้องมีอะไรเหมือนกันสักอย่าง ทำไมเราถึงเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค แล้วเราเป็นโรคเหมือนๆ กัน กับคนอื่นๆ ทั่วโลกนะครับ
เอาแหละครับ ผมจะชวนท่านผู้ชมมาดูภาพนี้ครับ อันนี้เทียบเมื่อ 26 ปีที่แล้วว่า ผมมาดูอัตราผู้ป่วยนอกที่เป็นโรคมะเร็งต่อประชากร 1,000 คน ในประเทศไทยว่า เราเพิ่มขึ้นมา 792 เปอร์เซ็นต์ ผิดปกตินะครับ แล้วก็ถ้าพูดถึงอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยมะเร็ง เราจะเห็นข้อมูลที่น่าสนใจอีกว่า ผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นเป็นอัตราก้าวหน้า หรือ 26 ปีผ่านมา อัตราผู้เสียชีวิตจากประชากร 1 แสนคนเพิ่มขึ้นเป็น 252 เปอร์เซ็นต์ เดี๋ยวนี้เราไปงานศพมีแต่โรคมะเร็งเป็นส่วนใหญ่นะครับ ต่อมาก็คือว่า พอมาดูปัญหาเรื่องหลอดเลือด เดี๋ยวนี้เขาเรียกรวมกันว่า เป็นโรคระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ คือถ้าหลอดเลือดมีปัญหาเป็นโรคหัวใจ เส้นเลือดสมองตีบทุกอย่างได้หมด ถ้าหลอดเลือดมีปัญหา เต็มไปด้วยคอเลสเตอรอล หรือไขมันที่ไม่ดี ปรากฏว่า มีผู้ป่วยนอกที่เป็นโรคระบบไหลเวียนเลือดเพิ่มขึ้นใน 26 ปี อัตราของประชากรที่เป็นโรคนี้จากประชากร 1,000 คน เพิ่มขึ้นเป็น 2,297 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่กี่สิบเปอร์เซ็นต์นะครับ 2,297 เปอร์เซ็นต์
จินดารัตน์ - 26 ปีเองหรอคะ
ปานเทพ - มันต้องเป็นปัญหากับการบริโภค เพราะเมื่อก่อนคนไทยนี่เป็นโรคอย่างนี้ครับ ต่อนะครับ ผมเลยมีความจำเป็นต้องไปหาเหตุผลว่าทำไมเป็นแบบนี้ และเรื่องต่อไปนี้จำเป็นต้องให้ท่านผู้ชมต้องตีให้ขาด ในเรื่องทำความเข้าใจกับไขมัน แม้จะเป็นเรื่องยาก ผมก็ใคร่ครวญแล้วว่าผมจำเป็นต้องอธิบาย ถ้าไม่อธิบายเรื่องนี้จนท่านผู้ชมไม่สามารถตามทัน เราจะหลงคารมกับการโฆษณา จนกระทั่งเราเป็นเหยื่อเหมือนกับอีกหลายๆประเทศ เขาอำมหิตในการที่จะทำให้เราเชื่อในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ
ผมจะเริ่มต้นจากคำว่า ไขมันอิ่มตัว ก็คือน้ำมันมะพร้าว น้ำมันหมู ที่เราคนไทยเคยใช้เป็นส่วนใหญ่มันคืออะไร ท่านผู้ชมมองสูตรโครงสร้างเคมีแล้วอยากจะปิดทีวีเปลี่ยนหนีแล้ว ผมเข้าใจ เพราะผมก็เข้าใจความรู้สึกนี้ แต่ผมจะอธิบายให้ง่ายที่สุด นี่คือคาร์บอน ท่านผู้ชมเห็นมันจับต่อแถวให้คิดว่าผม คุณแอน คุณเก๋ มีรถไฟต่อขบวนกัน นั่งต่อแถว แล้วเราเอาเชือกมาคล้องกันทุกคน ต่อเนื่องกันเป็นสายเดียวกัน เราเรียกว่า คาร์บอน ผมคิดว่าเป็นคุณเก๋ คุณแอน ผม ต่อคิวกัน แล้วก็มีโซ่ คล้องเอาไว้ต่อๆกัน เราเรียกว่าแขนต่อๆ กัน แต่เนื่องจากมันมีแค่ 2 แขน คาร์บอนมี 4 แขน ต่อมาท่านผู้ชมก็จะเห็นการจับไฮโดรเจน คือว่าแขนของเขาอีก 2 แขน จะจับไฮโดรเจนเข้าไป จับไว้ๆ สังเกตว่าทุกแขนจับไว้หมดเลย ไม่มีแขนไหนว่างเลย อันนี้หมายความว่า พวกเขาเหล่านี้เป็นไขมันอิ่มตัวเพราะว่าเขาจะเปิดให้ช่องว่างนำปฏิกิริยาออกซิเจนเข้าทำลายเขา นึกถึงเหล็กโดนอากาศเป็นสนิม เขาเรียกว่าอนุมูลอิสระจากออกซิเจน น้ำมันตั้งทิ้งไว้ เหม็นหืนเมื่อโดนออกซิเจน เขาถึงห้ามโดนอากาศหลักการฉันใดก็ฉันนั้นครับ การที่แขนมันเป็น หมายถึงว่ามันไม่เปิดโอกาสในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน หรือ ไฮโดรเจนใดๆ อีกแล้ว หรือถ้าใดก็สุดแท้แต่ ถ้าเปรียบเสมือนให้ท่านผู้ชมเข้าใจเหมือนกับว่า พวกผม 3 คนต่อคิวกันอยู่ เรียงแถวกันอยู่ เรามีเชือกคล้องกันอยู่ คำว่าอิ่มตัวหมายความว่า แขน 2 แขนเราไม่ว่าง เช่น ผมจับ 2 ขวดนี้ กางแขนอยู่เหมือนลูกคาร์บอนเลยนะครับ ถามว่าผมจับอะไรได้อีกไหม
จินดารัตน์ - ไม่ได้
ปานเทพ - ถ้าเราจับได้สิ่งเดียว ขอให้ผมเอาแก้วน้ำมา ผมก็ไม่มีสิทธิที่จะหยิบแก้วน้ำที่คุณแอนใช้ผมอีก นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า อิ่มตัว โอเคนะครับ แต่ไม่อิ่มตัวมีความหมายว่าอย่างไร หมายความว่า แทนที่ผมจะจับ 2 แขนอย่างนี้ รับประกันได้ว่า ผมไม่มีสิทธิจับน้ำแก้วไหนมาทำปฏิกิริยากับผมอีก หรือจับมีดจับของมีคม จับอาวุธไม่มีสิทธิเลย ผมจับแค่ 2 แขนนี้ นี่เขาเรียกว่าอิ่มตัว มั่นใจได้ว่า ไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน น้ำมันพวกนี้ถึงไม่หืน
จินดารัตน์ - ไม่มีกลิ่นเหม็นหืนเลย
ปานเทพ - ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน แต่ถ้าว่าไม่อิ่มตัวจะมีความหมายว่า ผมต่อคิวคุณแอน แทนที่ผมจะจับสิ่งนี้ ผมลักไก่ ผมเอามือมาแตะไหล่คุณแอน ก็กลายเป็นว่าผมมีโซ่คล้อง 1 เส้น ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว ผมจะไปจับซ้ำอีก แปลว่าแขนของผมนี้ มีโอกาสจะไปจับอย่างอื่นได้ นี่เขาเรียกว่า ไม่อิ่มตัว พร้อมทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จนเหม็นหืน ทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนได้ ก็คือทำให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี จนเปลี่ยนสภาพได้ ไขมันอิ่มตัวจึงไม่มีทางเปลี่ยนสภาพได้ เพราะจับอย่างอื่นจนไม่มีสิทธิจะไปจับอะไรแล้ว ไขมันไม่อิ่มตัวจึงมีสิทธิจะไปจับอย่างอื่นแทนได้ ของไม่ดีก็ได้ จนกระทั่งมันเปลี่ยนสภาพ
ดังนั้นไขมันไม่อิ่มตัวจึงมีสภาพอย่างนี้ครับ ท่านผู้ชมดูนะครับ ที่ผมบอกว่าผมเอาแขนมาจับคุณแอน คืออย่างนี้ครับ กล้องเข้ามาครับ คือบรรดาคาร์บอนแทนที่จะจับไฮโดรเจนทุกจุดนี้นะครับ มีหนึ่งจุดเอามาคู่กัน ฆ่ากัน แทนที่จะจับไฮโดรเจน ดันไม่จับกัน นี่เขาเรียกว่า กรดไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง หมายถึงว่า มี 1 ตำแหน่งพร้อมที่จะหืน พร้อมทำปฏิกิริยากับออกซิเจน โดนความร้อนก็แปรสภาพได้ ไปจับกับไฮโดรเจน หรือจะจับให้มันบิดไปบิดมา เพราะมันไม่เสถียร ดังนั้นไขมันพวกนี้จึงเป็นไขมันที่ไม่เหมาะกับการโดนความร้อน นี่คือเหตุผล และถ้ามันหลายตำแหน่ง ก็หมายความว่ามีคนลักไก่ เอาแตะแขน มากกว่า 1 ตำแหน่ง 1 คน อาจจะมีผม 1 คนมาแตะ คนอื่นไม่ยอมจับมือกับไฮโดรเจน อีกคนหนึ่งก็จับต่อๆ กันไป อย่างนี้เขาเรียกว่าหลายตำแหน่ง ยิ่งหืนง่าย เพราะยิ่งทำปฏิกิริยากับออกซิเจนง่าย กับไฮโดรเจนง่ายๆ ฟังอย่างนี้เข้าใจไหมครับ ดังนั้นการโดนความร้อนก็ยิ่งอันตรายใหญ่ เพราะยิ่งทำปฏิกิริยากับอะไรก็ได้ ง่ายๆ เพราะมันมีช่องว่างในการทำปฏิกิริยา ผิดจากน้ำมันอิ่มตัว ซึ่งไม่มีทางทำปฏิกิริยากับอะไรได้แล้ว
จินดารัตน์ - แม้จะโดนความร้อน
ปานเทพ - แม้จะโดนความร้อนก็ตาม ทีนี้เมื่อท่านผู้ชมเข้าใจหลักการแล้ว ผมก็จะมาดูว่า เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว น้ำมันชนิดไหนที่มันอิ่มตัวที่สุด ผมไปวัดมาแล้วครับ ไปศึกษามาแล้ว สีฟ้านี่คือไขมันอิ่มตัว น้ำมันมะพร้าวมีไขมันอิ่มตัวสูงถึง 86-92 เปอร์เซ็นต์ สูงที่สุด สูงมาก และอาจจะมีไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง ซึ่งหืนนิดหน่อย เช่น น้ำมันมะกอก เป็นต้น 6 เปอร์เซ็นต์ อีก 2 เปอร์เซ็นต์ หลายตำแหน่ง หืนง่าย แสดงว่าส่วนใหญ่โอเคเลย ไม่เป็นปัญหา รองลงมา คือแก่นปาล์ม ไม่ใช่น้ำมันปาล์มนะครับ เดี๋ยวท่านผู้ชมจะคิดว่าซื้อถูกๆ ได้ น้ำมันปาล์ม ไม่ใช่แก่นปาล์ม แก่นปาล์มคือไส้ในสุด ไม่ใช่เปลือกๆ นะครับ ที่เรากินส่วนใหญ่อยู่เปลือกๆ ข้างนอก
จินดารัตน์ - ไม่มีขายทั่วไปใช่ไหมคะ
ปานเทพ - ไม่มีขายครับ มันอิ่มตัว 83 เปอร์เซ็นต์ รองถัดมาคือเนยเหลว 69 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้อิ่มตัวไม่ถึงครึ่ง นี่คือแก่นปาล์ม แก่นปาล์ม ในผลหนึ่งมันจะให้น้ำมันเพียงแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ น้อย นิดเดียว ในขณะที่ส่วนใหญ่ที่เรากินคือ แถวๆ นี้ เขาเรียกว่าไฟเบอร์น้ำมัน ที่จะผลิตน้ำมันได้มาก สรุปว่า น้ำมันมะพร้าวจึงเป็นน้ำมันที่อิ่มตัวที่สุดในโลก นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงเหมาะแก่การโดนความร้อน เพราะมันไม่ทำปฏิกิริยากับอะไรแล้ว
ส่วนไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง มีประโยชน์เหมือนกัน แต่ไม่เหมาะกับการโดนความร้อน เพราะเราเข้าใจแล้วว่าโดนความร้อน มีปัญหา หรือทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ก็เป็นอนุมูลอิสระ ถึงไม่ทำข้างนอก กินข้างใน ก็หืนได้ถ้าโดนความร้อน หรือว่าทำกับไฮโดรเจน เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันมะกอกก็ถือว่าดีนะครับ เพราะอย่างน้อยก็แค่ 1 ตำแหน่งเท่านั้น ไม่ได้หลายตำแหน่ง และก็เป็นไขมันอิ่มตัวประมาณ 72 เปอร์เซ็นต์ และกรดสำคัญ คือกรดโอเลอิก ก็ช่วยล้างหลอดเลือดได้ดี เพียงแต่ไม่เหมาะกับการโดนความร้อน ด้วยเหตุผลเพราะว่ามันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง
จินดารัตน์ - ฝรั่งเขาถึงเอามาคลุกสลัด เขาไม่ได้เอามาทอด มาผัดเหมือนบ้านเรา
ปานเทพ - ไม่ทอด ส่วนถ้าไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ก็หมายความว่า เช่น 1 ตำแหน่ง 2 ตำแหน่ง จะมีมากในไหนครับ เช่น 60 เปอร์เซ็นต์ ในน้ำมันข้าวโพด 60 เปอร์เซ็นต์ ในน้ำมันถั่วเหลือง พวกนี้มีปัญหาทั้งหมดเวลาโดนความร้อน มันก็เลยเกิดอนุมูลอิสระง่าย เพราะเขาทำปฏิกิริยา ออกซิเจนเข้าไปก็เกิดอนุมูลอิสระ เข้าเป็นไขมัน ก็ทำให้หลอดเลือดอักเสบและเกิดโรคง่าย มันสอดคล้องไหมครับกับคนที่อเมริกาก็ดี หรือคนไทยที่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคมารับประทานไขมันไม่อิ่มตัวมากขึ้น แต่เราได้โรคใหม่ๆ มากขึ้น ที่ก่อนที่เราจะบริโภคอย่างนี้ เราไม่เคยเป็นเลย ต่อนะครับ
ต่อมาก็คือว่า ที่น่าสนใจคือ ความที่ไขมันไม่อิ่มตัว อย่างเช่นอย่างนี้เป็นต้น เวลาโดนความร้อน เนื่องจากมันมีช่องว่างอยู่ โดนความร้อนมากๆ เนื่องจากมันไม่เสถียร มันจะเริ่มบิดตัว จากที่เขาเรียกว่า ซิสฟอร์ม ซิสไอโซเมอร์ มาเป็นทรานส์ไอโซเมอร์ หมายความว่า มันเหมือนกับพลาสติกย้วย คือมันจะบิดตัว เพราะมันโดนความร้อน รูปร่างมันเปลี่ยน โครงสร้างมันเปลี่ยน เช่น สมมุติผมจับขวดนี้อย่างนี้ ถ้าผมบิด มันจะเป็นอย่างนี้ เหนียวกว่าเดิม มันถึงเป็นไขมันเหนียวๆ ไง
จินดารัตน์ - ใช่ ถ้าคนทำครัว จะรู้
ปานเทพ - มันจะเหนียวขึ้น ถ้าทอด เขาถึงบอกว่าอย่าทอดซ้ำ เพราะมันจะเหนียว และเหนียวที่ว่านี้มันน่าแปลกมาก คือเหนียวจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่า ถ้าปล่อยอุณหภูมิห้องปกติ มันก็ยังเหนียวอยู่ เพราะว่าจุดที่มันเป็นไข มันอยู่ระหว่าง 36-40 องศาเซลเซียส
จินดารัตน์ - อุณหภูมิร่างกาย
ปานเทพ - ใช่ครับ อุณหภูมิร่างกายมนุษย์คือ 37 องศาเซลเซียส เมื่อจุดที่มันเป็นไข คือต่ำกว่า 40-36 องศาเซลเซียส ใกล้เคียงกับร่างกายมนุษย์ มันก็เป็นไขในร่างกายมนุษย์
จินดารัตน์ - อ๋อ มันถึงเป็นคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด ในเม็ดเลือด
ปานเทพ - ใช่ เข้าใจหรือยังครับ เขาถึงห้ามกินไขมันทอดซ้ำด้วยเหตุผลนี้ นี่ไง คราบเหนียวๆ ที่เราเห็นจากสภาพที่มันเปลี่ยนโครงสร้าง มันจะเป็นอย่างนี้ครับท่านผู้ชม คือกระทะที่เราวาง มันก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้าท่านผู้ชมเป็นคนทำครัวจะรู้เลย น้ำมันถั่วเหลืองกับน้ำมันมะพร้าว ถ้าทอดด้วยกัน น้ำมันมะพร้าวเช็ดออกได้ง่ายกว่าเยอะมาก แต่น้ำมันที่ทอดซ้ำจะดำ จะเหนียว และคิดสิครับ ถ้ามันอยู่ในร่างกาย มันจะเป็นยังไง แต่ทีนี้ อย่างที่เรารู้ว่า น้ำมันที่ไม่อิ่มตัวมันหืนง่าย เพราะมันทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ก็เลยมีนักวิทยาศาสตร์หัวใส อยากทำให้ไขมันไม่อิ่มตัวเหล่านี้ เป็นไขมันอิ่มตัว ด้วยการทำอย่างนี้ ด้วยการเติมไฮโดรเจนโดยเจตนา จะเหมือนกับเมื่อกี้เลยครับ แต่เดี๋ยวท่านผู้ชมจะงง ผมจะทิ้งตรงนี้ไว้ก่อน เอาเฉพาะเรื่องทอดซ้ำก่อน เวลามันบิดตัว มันจะเกิดปฏิกิริยาที่เขาเรียกว่า ไฮโดรจิเนต คือ ไฮโดรเจนเขาทำปฏิกิริยา แล้วก็บิดตัว ไฮโดรจิเนต เป็นไขมันที่เรียกว่า ภาษาอังกฤษ คือ ไขมันทรานส์ ภาษาไทยคือ ไขมันผ่านกรรมวิธี คือ โดนความร้อน ผลร้ายของมันจากงานวิจัยชัดเจนมาก คือ ทำให้เยื่อบุเซลล์เสียหาย ทำให้เชื้อโรคและสารพิษเข้าไปในเซลล์ได้ กลายเป็นคราบน้ำมันที่ทำให้น้ำซึมผ่านผนังลำไส้ไม่ได้ เป็นโรคเบาหวาน เพราะว่าสารอาหารไม่สามารถเข้าไปทำถึงตัวเซลล์ได้ ดูดซึมได้ รวมถึงการกลายพันธุ์ของรหัสพันธุกรรม คือ ดีเอ็นเอ และก่อให้เกิดโรคมะเร็งตามมา นอกจากนี้ เมื่อทอดถึงจุดเดือด 180 องศาเซลเซียส จะเกิดสารเคมีที่เป็นพิษกับร่างกายหลายชนิด เรียกรวมๆ กันว่า กลุ่มสารโพลาร์ โพลาร์คอมพาวนด์ ทำให้แสบจมูก เกิดมะเร็งที่ปอด เนื้องอกที่ตับ และปอด ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดที่หัวใจ และมะเร็งในเม็ดเลือดขาว ทอดซ้ำอย่างเดียว จากน้ำมันไม่อิ่มตัวนะครับ เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมที่ชอบไปรับประทาน สมมุติ ปาท่องโก๋ ร้อนจัดๆ ทอดซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ให้ตระหนักว่าท่านผู้ชมมีความเสี่ยง ถ้าพวกเขาใช้ไขมันไม่อิ่มตัว
แต่มีความคิดว่า ถ้ามันไม่อิ่มตัว มันก็หืนง่าย อย่างนี้ เพราะมันไม่จับกับไฮโดรเจน ก็มีเทคนิคว่า ถ้าอย่างนั้นเติมไฮโดรเจนไปดีมั้ย มันจะได้จับไฮโดรเจนให้หมด ผมถามว่า เอ๊ะ! ถ้ามาต่อว่าไขมันอิ่มตัวไม่ดี ทำไมต้องหาวิธีเติมไฮโดรเจน ตรรกะง่ายๆ เลย ปรากฏว่า เป็นเรื่องที่ฮิตมาก เขาจัดการเอานิกเกิลมาทำเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้ร้อน และตัวไฮโดรเจนก็จะบิดตัว และเติมไฮโดรเจนใส่เข้าไป แล้วก็ฟอกให้สีขาว แล้วก็เอานิกเกิลออก นี่คือกระบวนการที่เขาเรียกว่า การเติมไฮโดรเจนใส่เข้าไป แล้วก็ฟอกให้สีขาว แล้วก็เอานิเกิลออก นี่คือกระบวนการเติมไฮโดรเจนเข้าไปในน้ำมันปกติ ให้มันไม่หืน ผลก็คือ น้ำมันถั่วเหลืองซึ่งหืนง่าย น้ำมันข้าวโพดซึ่งหืนง่ายๆ เติมไฮโดรเจนเข้าไป กลายเป็นไขมันทรานส์ 4 ชนิด เพราะบิดตัวเหมือนกัน และข้อสำคัญคือว่า เราจะไม่มีทางรู้เลย แต่ตั้งทิ้งไว้เท่าไหร่ก็ไม่หืนสักที
จินดารัตน์ - แล้วมันต่างจากอันเดิมอย่างไรคะ
ปานเทพ - มันบิดตัวไปแล้ว มันก็เป็นคราบเหนียวเหมือนกัน แล้วมันคืออะไร มันเป็นไขมันชนิดใหม่ครับ ซึ่งมันเหนียวๆ เหมือนยางยืด ถ้าท่านผู้ชมนึกไม่ออก แอนนึกไม่ออก ก็คือมาการีน พีนัทบัทเตอร์ เนื่องจากมันไม่หืน ทนนานมันก็เลยไปทาข้าวโพดคั่ว ใส่ซอง ใส่ไมโครเวฟ ขนมกรุบกรอบที่วางอย่างไรก็ไม่หืน เพราะมันทาไขมันทรานส์เอาไว้ เฟรนช์ฟรายทอดซ้ำ ครัวซองส์ โดนัท ของอร่อยทั้งนั้น เนยเทียม ในกาแฟ คุกกี้ที่มันไม่หืน
กมลพร - ของโปรดทั้งนั้นเลยค่ะ
ปานเทพ - ใช่ เพราะมันคงทนนานไง เขาฉลาดมีเทคนิค แต่อย่างที่ผมบอกอุณหภูมิของมันก่อนที่จะเริ่มเป็นไข 36-40 องศาเซลเซียส ที่ลงมามันคือร่างกายมนุษย์ ปรากฏว่าศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อผลประโยชน์ต่อสาธารณะแห่งกรุงวอชิงตัน ประเทศอเมริกา ได้รายงานเอาไว้ว่า ถ้าให้งดไขมันทรานส์ในอาหารของคนอเมริกัน จะสามารถช่วยชีวิตคนอเมริกันไว้ได้ถึงปีละ 30,000 คน หรือมากกว่านั้น ต่อนะครับ ยิ่งไปกว่านั้นก็มีการลุกขึ้นสู้กับไขมันชนิดนี้ ปี พ.ศ.2545 สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา ได้รายงานว่าไขมันทรานส์ทำให้หลอดเลือดอุดตันได้เร็วกว่าไขมันสัตว์ ไขมันทรานส์แบบนี้เพิ่มระดับแอลดีแอล คือไขมันเลว ติดตามหลอดเลือด และไขมันทรานส์ลดระดับไขมันชนิดอี คือเอสดีแอล ทำให้ไม่สามารถหยิบไขมันเลวๆ เหล่านี้มาเก็บที่ตับ เพื่อไปเผาไหม้ได้ ค้างตามหลอดเลือด มันเหนียวครับคุณแอน
นพ.วอเตอร์ วิลเลจ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขาบอกว่า คนที่กินไขมันทรานส์เป็นประจำมีโอกาสเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าคนที่ไม่กินไขมันทรานส์ได้กว่า 50% และไขมันทรานส์ยังสัมพันธ์กับการเกิดเนื้องอกในอวัยวะต่างๆ เป็นอย่างมาก พอเข้าใจหรือยังครับว่าทำไมคนอเมริกัน และคนไทย ถึงได้เป็นโรคที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน
กมลพร - น้ำมันถั่วเหลืองถูกเปลี่ยนโครงสร้าง
ปานเทพ - และตัวมันโดนความร้อนก็เป็นปัญหา ทีนี้ ผมก็เริ่มมาค้นต่อว่า มันมีงานวิจัยในปี พ.ศ.2540 เขาบอกว่า รายงานแสดงให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันระหว่างการบริโภคไขมันทรานส์ กับการเกิดมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้โดยตรง ซึ่งก็แปลว่ามันมี 2 ทาง คือเรากินคุ้กกี้ โดนัท กินมาการีน พีนัทบัตเตอร์ บ่อยๆ เนยถั่ว กินไขมันพืช แต่เราไม่รู้ตัวเลยว่า ไขมันเหล่านี้แอบเติมไฮโดรเจนเพื่อไม่ให้หืนเพราะมันเสียง่าย แต่ไขมันจากมะพร้าวไม่เป็นนะครับ ไม่ต้องเติม เพราะมันอิ่มตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้กระบวนการในการผลิตเพื่อแปลงสภาพมัน
ทีนี้ เรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ ก็เกิดการลุกขึ้นสู้ของประชาชนในหลายประเทศ ปี พ.ศ.2549 อาหารที่ขายอยู่ในอเมริกา ต้องระบุฉลากโภชนาการว่า มีไขมันทรานส์ผสมอยู่กี่เปอร์เซ็นต์เป็นกฎหมายบังคับ แคนาดามีการประกาศห้ามใช้ไขมันทรานส์เกิน 2 % สำหรับอาหารที่จำหน่ายปลีก หรือไม่เกิน 5 % สำหรับน้ำมันประกอบอาหาร เดนมาร์กได้ประกาศจำกัดปริมาณไขมันทรานส์ให้มีในน้ำมันได้ไม่เกิน 2-5 กรัม ต่อ 100 กรัม นี่เป็นกฏหมาย แต่ ทว่า นี่เป็นประเทศที่เขาลุกขึ้นสู้ และห้ามบางส่วน ให้ติดฉลากไว้ คือสีเขียว สีเหลืองไม่ห้ามแต่ติดฉลากไว้ให้ประชาชนรู้ไว้ก็ยังดี ออสเตรเลีย แม้แต่มาเลย์ ยุโรป ก็ตาม ส่วนประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่ไม่ห้าม และไม่บังคับให้ติดฉลาก แล้วแต่ความสมัครใจ เราไม่มีทางจะรู้เลยว่า น้ำมันถั่วเหลืองที่เรากิน เป็นไขมันทรานส์ ข้าวโพดเป็นไขมันทรานส์ไหม ไม่มีใครบอก เพราะมันไม่บังคับให้เราติด และติดเราก็คงไม่กิน และถ้าไม่ติดมันก็คงหืนง่าย ซึ่งเราไม่เคยเจอนะครับที่เจอหืนง่ายๆ มันต้องไม่มีใครบอกเราเท่านั้นเองนะครับ นี่คือปัญหาที่ทำให้โรคที่เราเป็น เป็นโรคที่เราไม่รู้ว่าควรกินอะไร และไม่ควรกินอะไร
ต่อมาเพื่อความเข้าใจไหม่ ผมจะปูพื้นให้ท่านผู้ชมใหม่ โบราณบอกว่ากินกะทิเยอะ กินน้ำมันมะพร้าวเป็นคอเลสเตอรอลในน้ำมันสูง มีตัวเลขมาชี้แจงให้ฟังครับ น้ำมันมะพร้าวและกะทิ มีคอเลสเตอรอลต่ำที่สุดในบรรดาน้ำมันพืชทุกชนิด คือ 14 ส่วนในล้านส่วน คุณแอนนึกสภาพ มันจะเรียกว่าสร้างคอเลสเตอรอลได้อย่างไร มีแค่ 14 ส่วนในล้านส่วน น้ำมันถั่วเหลืองมีเป็น 2 เท่า คือ 28 ส่วนในล้านส่วน และน้ำมันหมู และเนย มีมากกว่า 3,000 ส่วน ในล้านส่วน แต่ก็ยังน้อยเมื่อเทียบกับล้านส่วน พูดง่ายๆ ก็คือน้ำมันมะพร้าวจะเรียกว่าสร้างคอเลสเตอรอล ไม่มีเหตุผลเลย จริงไหมครับ ถ้าดูจากจำนวนตัวเลขและคณิตศาสตร์
ปรากฏว่ามีข้อมูลใหม่ชี้น่าสนใจมากปี พ.ศ.2537 มีงานวิจัย 2 ชิ้นเลย ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 และปี พ.ศ.2542 ตรงกันเลย เขาไปตรวจสอบ สงสัยมานานแล้วว่า ไขมันที่อุดตันในเส้นเลือด ที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ ตกลงมันเป็นไขมันชนิดใด คือหยิบมาก็วิเคราะห์เลย วิธีนี้ตอบโจทย์หมด พบว่า สารที่เขาเรียกว่าอาเทอริโอ ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นของสารอุดตันพลาค (Plaque) ในหลอดเลือด เป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ก็ถั่วเหลือง ข้าวโพด และจากการวิเคราะห์แผ่นไขมันที่เกาะเส้นเลือดพบว่า ในอนุพันธ์คอเลสเตอรอล 74% เป็นไขมันไม่อิ่มตัว และมีไขมันอิ่มตัวเพียงแค่ 26% และกรดไขมันที่อิ่มตัวแค่ 26% เหล่านี้ก็ไม่ใช่กรดลอริก และก็ไม่ใช่กรดไมริสติก จากน้ำมันมะพร้าวเลย ชัดไหมครับจากงานวิจัย 2 ชิ้นนี้ เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราก็ต้องเริ่มทำความเข้าใจใหม่ อย่าให้เขาหลอกพวกเราอีกต่อไป
ผมจะชวนท่านผู้ชมมาคิดเรื่องนี้ต่อว่า ถ้าอย่างนั้นเราควรจะเลือกบริโภคอย่างไร เป็นแผนภูมิ ผมเรียงน้ำมันทุกชนิดเพื่อให้ท่านผู้ชมเลือกว่า อะไรดีกว่าอะไร น้ำมันมะพร้าว ผมเรียงจากความอิ่มตัว เมื่ออิ่มตัวดีแล้ว แผนภูมินี้นะครับ จะเห็นได้ว่าา สีฟ้าที่เราเห็นภาพต่อไปนี้ เป็นไขมันอิ่มตัว ข้างบนสุดน้ำมันมะพร้าวอิ่มตัว 92% นัมเบอร์ 1 ในโลกเลย อันดับ 2 แก่นปาล์มไม่ใช่น้ำมันปาล์มนะครับ 83% ไม่มีขายในท้องตลาด อันดับ 3 เนยเหลว 69% อันดับ 4 ไม่ถึงครึ่งด้วยนะครับ น้ำมันหมูครับ อันดับ 5 ถึงค่อยมาเป็นน้ำมันปาล์ม น้ำมันปาล์มยังด้อยกว่าน้ำมันหมูนะครับ ว่าด้วยเรื่องของการโดนความร้อนนะครับ น้ำมันมะกอกไม่ได้เลยครับ มีไขมันอิ่มตัวแค่ 14% ที่เหลือไม่เหมาะกับการโดนความร้อนครับ น้ำมันรำข้าวหนักใหญ่ครับ เป็นไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งถึง 37% ไม่เหมาะแก่การโดนความร้อนหนักขึ้นไปอีก แม้ว่าน้ำมันรำข้าวจะดีมาก ที่มีแกมมาออริซานอล ในการล้างหลอดเลือด แต่เหมาะกับการกินสดๆ ไม่ใช่โดนความร้อน
ต่อนะครับ น้ำมันข้าวโพดหนักกว่านั้นอีกครับ และน้ำมันถั่วเหลืองเลวที่สุดในบรรดาน้ำมันว่า ด้วยเรื่องของความอิ่มตัว ไม่อิ่มตัว ท่านผู้ชมเลือกได้ยังครับ ท่านผู้ชมเลือกอันไหนครับ ในทุกวันนี้ที่ท่านผู้ชมเอาไปทอดเอาไปทำความร้อน
จินดารัตน์ - ก็ต้องน้ำมันมะพร้าว
ปานเทพ - เห็นหรือยังครับว่า ทำไมคนโบราณกินน้ำมันมะพร้าว น้ำมันหมู ในขณะที่คนยุคนี้กินน้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลืองถึงได้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ แล้วก็จ่ายแพงด้วยนะครับ เป็นโรคหลอดเลือด เป็นโรคหัวใจ และเป็นโรคมะเร็งมากกว่าคนอื่นเขา ต่อนะครับ ผมมีเรื่องเล่าให้ฟัง เพราะผมอ่านแล้วผมประทับใจ กับการอธิบายเรื่อง น้ำมันกับอุณหภูมิ คุณเก๋ คุณแอนดูภาพนี้นะครับ ท่านผู้ชมดูภาพนี้ แผนที่โลกฉบับนี้ว่าด้วยเรื่องของการ มะพร้าวมันไปขึ้นที่ไหน ปรากฏว่ามะพร้าวมันไปขึ้นตรงเส้นศูนย์สูตรทั้งโซนเลยครับ ที่มันติดทะเลนะครับ มะพร้าวขึ้นอยู่ตามเส้นศูนย์สูตร และคุณผู้ชมต้องเข้าใจว่า การที่มันขึ้นอยู่เส้นศูนย์สูตร หมายความว่ามันขึ้นในอุณหภูมิที่ร้อน การขึ้นในอุณหภูมิที่ร้อนแปลว่า น้ำมันชนิดนี้มันมีชีวิตได้แม้โดนความร้อน มันจึงผลิตน้ำมันที่เหมาะแก่การโดนความร้อน
อันนี้ผมพูดมายาวแล้วนะจะพยายามที่จะกระชับขึ้น ต่อมาความยาวเรื่องของกรดไขมันสำคัญเช่นเดียวกัน นอกจากวัดในเรื่องของความอิ่มตัว ไม่อิ่มตัวแล้ว เรายังมาวัดเรื่องของสั้น หรือยาวด้วย ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติผมมีไฟอยู่กล่องหนึ่งเล็กๆ ถ้าผมโดยนท่อนซุงออก วางโยนลงไป ไฟก็จะดับ เขาเรียกว่าเหมือนไขมันอุดตัน ใช้งานอะไรไม่ได้เลย ไฟก็จะดับ ต่อมา ถ้าผมเสียเวลา ในการสับทำให้ท่อนฟืนกลายเป็นกลีบเล็กๆ ผมโยนลงไปในกองไฟ ไฟลุกทันทีเลย แล้วไหม้ซุงที่เหลือ ฉันใดฉันนั้น ความยาวของกรดไขมันก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ยิ่งสั้นก็เหมือนเศษฟืนเล็กๆ เกิดพลังงานได้ทันที ยิ่งยาวคุณก็ยิ่งเสียเวลาสับมาก เปลืองเอนไซม์ในการย่อยอย่างมโหฬาร และถ้ามันมีมากจนเราไม่มีแรงที่จะสับ คือหมดเอนไซม์แล้วมันก็อุดตันค้างอยู่ตามเส้นเลือด ก็เลยมาสนใจเรื่องกรดไขมันสายสั้น คือประมาณ 2-6 ตัว มีคาร์บอนสั้นๆอย่างนี้ เช่น 1 2 3 4 ตัวสั้นๆ 1 2 3 4 5 6 เป็นกรดไขมันสายสั้นมีในมะพร้าว เนย และเนยใส ต่อมากรดไขมันสายปานกลาง พวกนี้ก็ถือมีคาร์บอน 8- 12 ตัว และกรดไขมันเหล่านี้อยู่ในน้ำนมแม่ ดูดซึมง่าย เข้าถึงระดับเซลล์เร็วมาก ไม่เปลืองเอนไซม์ในการย่อย เป็นพลังงานทันที มีมากในน้ำมันมะพร้าว มากที่สุดในโลก แต่กรดไขมันยาวๆมันก็จะเกิดปัญหาตามมา เราต้องไปเอนไซม์ในการย่อย แล้วมันเข้าไปมันก็จะเริ่มม้วนตัวเป็นก้อน ดูสิครับ ว่ามีกรดไขมันชนิดไหนที่มีสายปานกลาง พร้อมจะดูดซึมเร็ว อันดับ 1 มะพร้าว 62 % แกนปาล์ม 52 % ซึ่งหาไม่ได้ ที่เหลือเนยเหลว มีนิดหน่อย 7 % ที่เหลือยาวหมดเลย เราก็เลยมาดูตารางนี้นะครับ น้ำมันมะพร้าวผมสรุปง่ายๆเลย มีไขมันอิ่มตัวมากที่สุด เป็นกรดไขมันสายสั้น และปานกลางถึง 62% มากที่สุดในบรรดาทั้งหมดเลย จึงเป็นไขมันที่เหมาะแก่การบริโภคที่สุดทั้งในแง่ของอุณหภูมิความร้อน ทั้งในแง่ของความอิ่มตัว ทั้งในแง่ของความสั้นในการดูดซึมเป็นพลังงานทันที
โอเคนะครับ แต่ถ้าเรากินกรดไขมันสายยาวๆ ห่วงโซ่สายยาวๆ ซึ่งเป็นไขมันส่วนใหญ่ๆ เราจะพบว่ามันจะม้วนตัวเข้าไปในหลอดเลือดเราจนกลายเป็นไลโคไมครอนเป็นไขมันที่พบมาก ที่สร้างจากเยื่อบุลำไส้เล็กทำหน้าที่ขนส่งไตรกลีเซอไรด์ที่ได้จากอาหารนำไปสะสมในเนื้อเยื่อไขมัน แล้วถ้าพวกนี้ผ่านไปเจออนุมูลอิสระ เพราะว่ามันไม่อิ่มตัวไง พอมันเจออนุมูลอิสระมันก็กระฉอกเอาไส้ข้างใน ซึ่งมีคอเลสเตอรอล มีไตรกลีเซอไรด์หกกระฉอกตามหลอดเลือด เพราะมันยาวมาก ก็เลยมีคนคิดว่าถ้าอย่างนี้เราก็น่าจะบริโภคกรดไขมันสายปานกลางและกรดไขมันสั้นให้ได้มากที่สุด ซึ่งมีในน้ำมันมะพร้าว ก็ปรากฏว่า 1.ถ้าเรากินน้ำมันมะพร้าวจะเปลี่ยนเป็นพลังงานอย่างรวดเร็วด้วย เมื่อเราบริโภคเข้าไปจะผ่านจากกระเพาะไปยังลำไส้เข้าไปในกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นพลังงานที่ตับอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งชั่วโมง เป็นพลังงานเลย และเผาไหม้ไขมันตัวอื่นด้วย 24 ชั่วโมงพลังงานคุ้มมาก เพราะว่ามันสั้่นนะครับ เป็นเชื้อฝืนอย่างเร็ว นึกออกใช่ไหมครับ ก็การเผาผลาญดีเราก็ต้องเอาคอเลสเตอรอลเอาไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว
2.ที่มีความสำคัญถัดมา คือ เร่งอัตราเม็ดเมตาบอลิซึม เพราะมันดูดซึมเร็ว เมื่อเป็นพลังงานอัตราการเผาผลาญก็เลยสูงขึ้น ก็เลยทำให้ไทรอยด์ฮอร์โมนสูงขึ้น เมื่อไทรอยด์ฮอร์โมนสูงขึ้นเราก็จะแปลงคอเลสเตอรอลที่ในหลอดเลือดเอามาเป็นฮอร์โมน ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนต้านการอักเสบ ฮอร์โมนควบคุมเกลือแร่ทั้งหมายได้ดีขึ้น แทนที่ตกค้างมาเฉยๆ ถ้าระบบเผาผลาญเราดีขึ้น เห็นไหมครับ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือตัวเราจะอุ่นขึ้น ถ้าเรากินน้ำมันมะพร้าว และทำให้เกิดความร้อนที่เรียกว่า thermogenic effect ประมาณ 1-2 องศา เข้าถึงแก้โรคไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำด้วยการกินน้ำมันมะพร้าว 4 วีค 4 สัปดาห์ 4 ช้อนโต๊ะ หายเลยครับ โอเคนะครับ
อันดับที่ 3 ที่ผมคิดว่าผมยกตัวอย่างน่าสนใจก็คือว่า ผมเคยพูดเรื่องไทรอยด์ฮอร์โมนคือยังไง มือเท้าเย็น แขนบวม ขาบวม ท้องผูก ลำไส้เคลื่อนช้า เพราะพลังงานต่ำ อาการซึมเศร้า มีปัญหาเรื่องอารมณ์ นอนไม่หลับ อ้วนง่าย มีปัญหาที่ผิวหนัง และเส้นผม ทั้งหมดนี้คอเลสเตอรอลในเลือดสูงด้วย ทั้งหมดนี้ถ้าเรากินน้ำมันมะพร้าว ดร.เรย์ พีท บอกว่ากิน 4 ช้อนโต๊ะ 4 สัปดาห์ติดต่อกันการจะดีขึ้นตัวจะอุ่นขึ้น อาการพวกนี้จะหายไปนะครับ ต่อมาก็คือเนื่องจากมันสั้นและกลางเป็นกรดไขมันสายสั้นและปานกลางดูดซึมเร็วมาก มันเลยผ่านเข้าไปผนังเซลล์ใช้เป็นอาหารของเซลล์ได้ในกรณีที่เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน หรืออินซูลินพอ น้ำตาลจะเข้าไปในเซลล์ไม่ได้ทำให้เซลล์ขาดสารอาหาร ขาดพลังงาน แล้วเซลล์ก็จะตายลง แต่เมื่อมีโมเลกุลเล็กๆ อย่างเช่นน้ำมันมะพร้าว ซึ่งเป็นกรดไขมันสายสั้นและปานกลางมากๆ มันจะดูดซึมกลายเป็นอาหารของเซลล์แล้วก็ชุบชีวิตเซลล์ขึ้นมาได้ ผลก็คือเป็นอย่างนี้ครับ ถ้าเราหยิบ 3 หัวข้อนี้มา เราจะค้นพบว่าการที่เรา เปลี่ยนเป็นพลังงานให้ตับได้อย่างรวดเร็ว สร้างอัตราการเผาผลาญได้ดีขึ้น และผ่านเข้าไปในเซลล์ เป็นอาหารของเซลล์ได้ดีขึ้น มันจะป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดแดงแข็งตัว เพราะมันเผาผลาญคอเลสเตอรอล เพิ่ม HDL ไขมันที่ดี ไม่ต้องทำอะไรมาก เก็บไว้เฉยๆ ก็เกิดพลังงานแล้ว ไม่ต้องลากไขมันอย่างอื่นมา
สามก็คือ เพิ่มฮอร์โมนเพศ และฮอร์โมนต้านการอักเสบ ป้องกันโรค รักษาอัลไซเมอร์ เพราะสารอาหารเข้าไปไม่ถึงเซลล์สมอง พอมันถึงปั๊บมันก็จะฟื้นขึ้นมา ป้องกันและรักษาโรคพาร์กินสัน แก้ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ เบาหวานด้วยโดยปริยาย แก้โรคอ้วน ทำไมแก้โรคอ้วน เพราะมันเผาผลาญ แก้ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลที่ค้างตามหลอดเลือดก็ลดลง
ตัวอย่างหนึ่งที่คลาสสิคมากก็คือผู้ชายคนนี้ ผู้ชายทางขวามือ ชื่อคุณสตีฟ และผู้หญิงทางซ้ายมือชื่อ คุณหมอแมรรี นิวพอร์ต อยู่ที่ฟลอริดา ประเทศอเมริกา ก็ลงในนิตยสารไทมส์ เรื่องใหญ่มาก ผู้ชายทางขวา เป็นโรคอัลไซเมอร์จนถึงขั้นพูดไม่ได้ และจำคนไม่ได้ จำชื่อคนไม่ได้ เขาก็เลยรักษาว่า คุณหมอแมร์รี บอกไม่รู้จะหาทางรักษายังไง ก็เลยไปค้นคว้ามาว่า ถ้าเรากินกรดไขมันสายสั้นและปานกลาง มันดูดซึมเข้าเซลล์โดยตรง ก่อให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน เซลล์ก็จะฟื้นตัวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ เพราะมันเร็วมาก เร็วมากในการเข้าถึงเซลล์ ปรากฏว่า คุณสตีฟ ก่อนกินน้ำมันมะพร้าว วาดรูปนาฬิกา 1-12 แล้วก็เป็นกลมๆ เขาวาดไม่ได้ วาดเป็นอย่างนี้ แม้แต่รูปนาฬิกาก็วาดไม่ได้ ต่อมาให้กินน้ำมันมะพร้าว 7 ช้อนชา 3 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา 14 วัน เขามาวาดใหม่ ได้เป็นอย่างนี้ หลังจากนั้นกินต่อแบบนี้อีก 37 วัน เป็นอย่างนี้ ในที่สุด 1 ปีผ่านมา เขาก็จำผู้คนได้ แล้วกลับมาฟื้นขึ้นใหม่ รวมถึงพาร์กินสันด้วย โรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด คล้ายคลึงกัน
เอาล่ะครับ เปรียบเทียบ 3 ภาพสิครับ ว่าเกิดอะไรขึ้น อันนี้ลงนิตยสารไทมส์เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ปี 2008 ต่อมาที่น่าสนใจก็คือว่า เรามาค้นพบเพิ่มเติมว่าหนูที่ตั้งครรภ์มาทดลองระหว่างกินน้ำมันมะพร้าวกับน้ำมันไม่อิ่มตัวพบว่าแม่หนูกินน้ำมันไม่อิ่มตัว พบว่าแม่หนูเมื่อกินน้ำมันมะพร้าวเมื่อคลอดลูกมาแล้วลูกของเขาจะมีสมองปกติและฉลาด แต่แม่หนูที่กินน้ำมันไม่อิ่มตัวมากๆ ลูกสมองจะเล็กลงและด้อยกว่า และยังมีการทดลองด้วยว่าน้ำมันถั่วเหลืองไม่สนองตอบเชิงบวกต่อสมองในหนูู ลูกหนูนะครับ ทำให้เซลล์มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างไปหลายหลังจากรายงานนี้่เผยแพร่ไปปี 2523 กระทรวงเกษตรของอเมริกาได้ให้คำแนะนำไม่ให้ใช้น้ำมันถั่วเหลืองในอาหารของทารกครับ อันนี้เป็นงานวิจัย
และที่สำคัญถัดมาก็คือว่าเมื่อเรามาดูสถานการณ์น้ำมันในครั้งนี้แล้วนะครับ เราไปสนใจตอนแรกแล้วว่าคนที่ไม่กินน้ำมันถั่วเหลืองมาก่อนแล้วเป็นโรคเยอะแยะ เราก็ลองศึกษาในเชิงระบาดวิทยาบ้าง ระบาดวิทยาคือดูคน ประเทศ หรือกลุ่มคนที่กินน้ำมันมะพร้าวอย่างเดียวว่าเก็บสำรวจแล้วเป็นยังไง ปี พ.ศ.2512 ชอว์ แลน และคณะ ได้เสนองานวิจัยโดยไปพบว่าชาวโพลินีเซีย ซึ่งอยู่แถวออสเตรเลียถัดมาจะมีหมู่เกาะเยอะแยะเลย กินมะพร้าวเป็นอาหารประจำวันและจำนวนมาก พบว่าคอเลสเตอรอลต่ำและมีโรคเส้นเลือดแข็งต่ำกว่าชาวยุโรป รวมทั้งชาวเกาะที่กินอาหารแบบตะวันตกก็มีปัญหาเรื่องนี้น้อยกว่า ต่อมาก็ปรากฏในปี 2524 ก็มีการสำรวจ 2 เกาะ ชื่อปูก้าปูก้าและเกาะ Tokelau ซึ่งอยู่ในโซนใกล้เคียงกัน ก็ค้นพบว่าปกติเขาห้ามกินไขมันเกิน 30 เปอร์เซ็นต์ คนที่ปู้ก้าปูก้ากินเกิน 30 เปอร์เซ็นต์ คอเลสเตอรอลก็ไม่เกินเกณฑ์ 170-176 ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย Tokelau ก็เช่นกันกินถึง 56 เปอร์เซ็นต์ เกินมาตรฐานไปเยอะมากแต่คอเลสเตอรอลในเลือดก็ไม่ถึง เกินเกณฑ์อีกเช่นเดียวกัน ก็แสดงว่าน้ำมันมะพร้าวศึกษาโดยระบาดวิทยาไม่ก่อให้เกิดปัญหา เช่นเดียวกันต่อมาก็คือ มีการศึกษาเพิ่มเติมมาอีก นี้ครับประชากรทั้ง 2 เกาะ กินน้ำมันมะพร้าวร้อยกรัมครึ่งถ้วย ซึ่งให้คอเลสเตอรอลถึง 900 กิโลคอเลสเตอรอลอยู่แล้ว ไม่ปรากฏเป็นโรคหัวใจ ไม่มีโรคเบาหวาน ไม่มีโรคมะเร็ง และไม่มีโรคไทรอยด์ฮอร์โมน และประการสำคัญที่ผมพยายามจะสรุป ก็มีการศึกษาในเชิงระบาดวิทยาอีกหลายเกาะไม่ว่าปาปัวนิวกินี ว่าไม่มีคนเป็นโรคหัวใจเลย แล้วเขาก็มาค้นพบตัวเลขที่น่าสนใจกับเรื่องโรคหัวใจว่าเดี๋ยวนี้เขาต้องไม่วัดแล้ว ว่าคอเลสเตอรอลในเลือดเท่าไร เขาต้องวัดว่ามีไขมันชนิดดีที่จะพาไปเก็บที่ตับ ที่เรียกว่า HDL มันมีจำนวนมากเท่าไร เขาบอกว่าคอเลสเตอรอลในเลือดไม่ควรเกิน 5 เท่าของ HDL ก็ปรากฏว่า เขามีการสำรวจค้นพบว่า น้ำมันของคนที่กินน้ำมันมะพร้าวในศรีลังกา ไม่มีใครคอเลสเตอรอลเกินเลย และเมื่อเปลี่ยนเป็นข้าวโพด พบว่าคอเลสเตอรอลเกินกว่า 5 เท่าของ HDL ทันที มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
เอาล่ะ ผมจะพยายามสรุปปิดท้ายแล้ว ปี 2545 มหาวิทยาลัยแมคกิล ประเทศแคนาดา ให้กลุ่มอาสาสมัครเปลี่ยนจากน้ำมันพืชทุกชนิด ให้มาเป็นน้ำมันมะพร้าวที่มีกรดไขมันสายสั้นและปานกลางมาก โดยที่ไม่ต้องปรับพฤติกรรมการกินเลย กินเหมือนเดิม ผลการวิจัยครั้งนั้นพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่แค่เปลี่ยนจากอย่างอื่นมาเป็นน้ำมันมะพร้าว ลดน้ำหนักได้ถึง 15 กิโลกรัม ภายใน 1 ปี และทดสอบอีกชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจ งานวิจัยสองชิ้นตรงกันเลยครับ คือทดสอบเอาน้ำมันทานตะวัน กับน้ำมันมะพร้าว งานวิจัยสองชิ้นนี้ค้นพบว่า หนูที่กินน้ำมันทานตะวัน มีคอเลสเตอรอลในเนื้อเยื่อมากกว่าหนูที่กินน้ำมันมะพร้าว 6 เท่าตัว นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอีก 2 ข้อที่สำคัญ คือ น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริกอยู่ประมาณ 48-53 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ เชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว เชื้อรา และยีสต์ รวมไปถึงมีรายงานว่า ลด HIV ด้วย คางทูม เชื้อซาร์ส แต่ไม่ฆ่าจุลินทรีย์ที่ดี เพราะว่าจุลินทรีย์ที่เป็นปัญหาก่อโรคนั้น ล้วนแล้วแต่มีไขมันห่อหุ้ม กรดลอริกจะจัดการกับโรคเหล่านี้ และประการที่ 5 ที่สำคัญมากก็คือว่า กรดไขมันเหล่านี้จะเป็นกรดไขมันที่มีวิตามินอีจำนวนมาก ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระได้มาก ผลก็คือว่า มันสามารถช่วยโรคมะเร็งได้ในหลายกรณี เช่น งานวิจัยทดลองในหนู ของมะเร็งลำไส้ ก็ค้นพบว่า หนูที่เป็นมะเร็งลำไส้นั้น กินน้ำมันทุกชนิดมีมะเร็งลำไส้หมด แม้แต่น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด น้ำมันมะพร้าวไม่มีเนื้องอกแม้กระทั่งกระตุ้นด้วยสารก่อมะเร็งก็ตาม หรือแม้กระทั่งมะเร็งเต้านมก็เช่นเดียวกัน แม้กระทั่งมะเร็งผิวหนัง
อันนี้มีงานบรรยายที่เชียงใหม่ด้วยซ้ำไป คือมะเร็งผิวสี จะเห็นชัดเจนเลยว่า ใน 3 เดือนโดยที่ไม่ได้ใช้วิธีรักษาอะไรเลย ทาด้วยน้ำมันมะพร้าวอย่างเดียว ด้านซ้ายมือคือก่อนน้ำมันมะพร้าว ผิวสีที่เป็นมะเร็งเป็นแบบนี้ ขวามือ 3 เดือนผ่านไป มะเร็งที่ผิวสีลดลงอย่างชัดเจน โดยไม่ใช้วิธีอื่น โดยการคีโม ฉายแสง หรือผ่าตัดเลย
นอกจากนี้ ผมอยากจะสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าเราจะเลือกน้ำมันมะพร้าว จะบริโภคยังไง อีก 2 ชาร์ตนะครับ หนึ่ง ข้อแนะนำการบริโภคน้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น ดีที่สุด ถ้าน้ำหนักตัว 79 กิโลกรัมขึ้นไป วันหนึ่งกินตอนเช้า 4 ช้อนโต๊ะ 68-78 กิโลกรัม 3 ช้อนโต๊ะครึ่ง 57 กิโลกรัม กิน 3 ช้อนโต๊ะ 45-57 กิโลกรัม กิน 2 ช้อนโต๊ะครึ่ง 34 กิโลกรัม กิน 2 ช้อนโต๊ะ 23-34 กิโลกรัม 1 ช้อนโต๊ะครึ่ง และ 11 กิโลกรัม คือเด็ก 1 ช้อนโต๊ะ
กมลพร - ทุกเช้าเลยเหรอคะ
ปานเทพ - ทุกเช้า ฮอร์โมนเราจะเพิ่มขึ้น
จินดารัตน์ - กินทีเดียวเหรอคะ
ปานเทพ - กินทีเดียวอยู่ได้ 24 ชั่วโมง มื้อเดียว นี่คือสองผลิตภัณฑ์ที่เราเอามาทำ ดีที่สุด ขออนุญาตตรงนี้นะครับว่า เราทำแต่น้ำมันมะพร้าว ที่เราคิดเราเห็นแล้วว่าเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้ชม แต่น้ำมันสองชนิดนี้มันพิเศษจริงๆ ที่พิเศษก็เพราะว่าเราไม่ได้ใช้วิธีการหมัก ทำให้น้ำมันสกัดเย็นเปรี้ยว เพราะมีจุลินทรีย์ลง หรือหืนได้ในอนาคต หรือเปรี้ยว หรือเสีย หรือตะกอนเกิดขึ้น มันอาจจะเกิดไขได้ ถ้าอุณหภูมิเย็น ไม่ใช่ปัญหา แต่ว่าเราก็ไม่ใช้วิธีบีบที่กระทบกระเทือนต่อคุณภาพของมะพร้าว เราใช้เนื้อมะพร้าวมาเหวี่ยง เอาความหนาแน่นส่วนที่แตกต่างน้ำออก จนเหลือไขมันที่บริสุทธิ์ลอยสูงสุด เป็นไขมันบริสุทธิ์ เป็นน้ำมันสกัด บริสุทธิ์มากจริงๆ แล้วก็มีความอิ่มตัวสูงกว่ามาตรฐานปกติ แล้วถามว่าบริโภคยังไง แนะนำนะครับ เช่น ค่ำๆ ก่อนนอน เราเอาธัญพืช ถั่วเขียว ข้าวกล้อง ถั่วดำ ถั่วขาว ลูกเดือย อย่างนี้เป็นต้น ธัญพืชหลายๆ อย่าง ใส่เข้าไป แล้วก็เตรียมหุงข้าว จนตอนเช้างอกเป็นปุ่ม กดเครื่องหม้อหุงข้าว
จินดารัตน์ - ในเครื่องหุง แช่ไว้ก่อน
ปานเทพ - แช่ไว้จนมันงอกแล้ว พอมันงอกแล้วกดปุ่ม ตอนเช้ากดปุ่มหุง แล้วก็โรยงาดำ แล้วก็ใส่น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ หอม อร่อยมาก
จินดารัตน์ - ในขณะที่หุงใช่มั้ยคะ
ปานเทพ - ขณะที่หุง แล้วทีนี้ ถ้าอยากกินสด เนื่องจาก 92 เปอร์เซ็นต์ มันอิ่มตัว แต่นี่หนักกว่านั้นอีก คือ 93 อิ่มตัว อีก 6 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ทำยังไง บางคนบอกว่า ฉันจะกินวิตามินซีต้านอนุมูลอิสระใน 7 เปอร์เซ็นต์ ไม่ให้เหลือเลย ก็กินน้ำส้ม หรือน้ำมะนาว ผสมกับน้ำมันมะพร้าว ดื่มสดตอนเช้าได้ด้วย
ทีนี้ เมื่อมีสกัดเย็น แล้ว Cooking oil คืออะไร เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นที่เราทำ ใช้ระบบเหวี่ยง เหวี่ยงแบบนี้ที่บริสุทธิ์มาก เรายังคัดแหล่งที่มาของมะพร้าวด้วย ว่าเอาเฉพาะแหล่งที่ไม่มีมลภาวะ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรม ไม่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่มีมลภาวะแย่ๆ เราคัดที่เกาะพะงัน ที่ยังบริสุทธิ์อยู่ และเราก็คัดเฉพาะที่ อ.หลังสวน ชุมพร ที่ยังบริสุทธิ์อยู่ เอามาเป็นน้ำมันมะพร้าว และด้วยนวัตกรรมที่เหวี่ยง ถือเป็นกระบวนการผลิตน้ำมันธรรมชาติ ของผู้ผลิตที่ได้รับประกาศเป็นนวัตกรรมแห่งชาติรายเดียวในประเทศ จากสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี น่าสนไหมครับ แล้วอันนี้คืออะไร Cooking oil ก็เพราะว่าบางคนบริโภคจากนี้ไม่ได้ในการทอด เหตุผลเพราะว่ากลิ่นน้ำมันมะพร้าวมันฉุน กลิ่นมะพร้าวแรง แต่อันนี้ดื่มสด กลิ่นมะพร้าวเราใช้วิธีเหวี่ยงนะครับ แต่ว่าบางคนก็ยังไม่ค่อยคุ้น
กมลพร - มันๆ
ปานเทพ - กลัวจะกลิ่น เขียวไข่เจียวมีกลิ่นน้ำมันมะพร้าว กลิ่นกะทินะครับ เราเลยตัดสินว่า เมื่อเราเหวี่ยงเสร็จแล้ว มันจะเหลือเนื้อมะพร้าวเป็นกาก ก็เอามาอบไล่ควันไล่กลิ่น แล้วเอามาเหวี่ยงใหม่ ได้น้ำมันชุดที่ 2 เป็นน้ำมัน Cooking oil หายากในตลาดมาก และใช้น้อยกว่าน้ำมันปกติ น้ำมันพืช ถั่วเหลือง เพราะร้อนเร็ว สมมุติ 4 ส่วนที่เคยใช้ เหลือแค่ 3 ส่วน และก็ไข่เจียวจะสวยขึ้นกว่าเดิม และจะอมน้ำมันน้อยกว่าเดิม
จินดารัตน์ - ไม่มีกลิ่นมะพร้าวเลย
ปานเทพ - คุณแอนใช้แล้ว
จินดารัตน์ - ใช่ค่ะ
ปานเทพ - ไม่มีกลิ่นเลย
กมลพร - เวลาผัดต้องใส่เยอะไหม
ปานเทพ - นิดเดียว
จินดารัตน์ - เหมือนผัดทั่วไปแต่ว่าลดปริมาณน้ำมัน แล้วไม่มีกลิ่นน้ำมันมะพร้าวเลย คุณจะไม่รู้เลยว่า ผัดมาจากน้ำมันมะพร้าว
ปานเทพ - แล้วมันต่างกันมากแค่ไหน ผมเลยส่งทดสอบแล็บ และมาดูว่า 2 สิ่งนี้ต่างกันยังไง กล้องมาดูนะครับ ผลปรากฏว่า สิ่งที่แตกต่างกันคืออย่างนี้ครับ มันจะดรอปคุณภาพลงมานิดนึง คืออย่างนี้ครับ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น จากชุดนี้นะครับที่บริสุทธิ์มาก ปกติเขาทำได้ 86-92% เราอิ่มตัวได้ถึง 93.1 % แต่ว่าถ้าเป็นชนิดที่ 2 ที่เอากาก แล้วเอามาเหวี่ยงซ้ำนะครับ ได้ 89.16 ดีกว่าแก่นปาล์มอีก แต่ก็ด้อยลงมาหน่อย
จินดารัตน์ - นิดเดียวเอง
ปานเทพ - นิดเดียวเอง เพียงแต่ว่ามันทำให้กรดไขมันสาย สั้นและปานกลาง จาก 62.62% ซึ่งเหมาะแก่การดื่มสดมากที่สุดลดลงเหลือ 55.9 % ก็ยังสูงกว่าน้ำมันแก่นปาล์ม และน้ำมันทุกชนิดทั่วโลกถือเป็นดีที่สุด เป็นลำดับที่ 2 ต่อจากน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น มีจำนวนจำกัดเหตุผลเพราะว่า เราเอาแหล่งเฉพาะมา เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน และหนาวจะเริ่มน้อย ราคาจะสูงขึ้น ดังนั้นราคาจะปรับตามราคาน้ำมันมะพร้าว และมะพร้าว ท่านผู้ชมตอนนี้รีบโทร คนดูเอเอสทีวีมีแค่นี้เราก็สนใจแค่นี้ ท่านผู้ชมรีบสั่งจองที่ 02-633-5353
จินดารัตน์ - ที่เอเอสทีวีของเรา
จินดารัตน์ - วันนี้จะยาวหน่อยนะคะ คืออาจารย์ปานเทพไปศึกษามา ต้องเป็นงานด้านวิชาการ ต้องยืนยันกับคุณผู้ชมว่า มันดีจริง เรามีงานวิจัยรองรับ ไม่ใช่แบบมั่วๆ ซั่วๆ มา ดีนะบอกแค่นั้นแล้วมาซื้อกัน
ปานเทพ - ไม่ใช่อย่างนั้น
จินดารัตน์ - เวลาจะฝ่าวิกฤตทุนใหญ่ๆ บางทีเราต้องเอาข้อมูลให้ ไม่งั้นเดี๋ยวเราก็แพ้
ปานเทพ - แล้วผมอยากให้เร็วเพราะผมรู้ว่า มี 2-3 ข้อ ข้อ 1.มันใกล้ฤดูหนาว ราคามันขึ้น 2.ก็คือว่าพอผมพูดไป คนมันจะซื้อมาก ถ้าท่านผู้ชมมาช้าอาจจะหมดเหมือนรอเครื่องทำน้ำด่าง เป็นเดือนเลยครับ เพราะเราไม่ได้เหมือนน้ำมันมะพร้าวทั่วไป เราคัดแหล่งผลิต เราใช้วิธีการของเรา และอันที่ 3.สำคัญมากก็คือว่า ผมคิดว่ากำลังการผลิตของเรา ถ้าท่านผู้ชมมีมากก็ต้องทำให้เราต้องผลิตช้าด้วย เมื่อความต้องการมาเยอะ ดังนั้นเร่งดำเนินการก่อนที่ราคาจะขึ้น ด้วยความปรารถนาดี
จินดารัตน์ - ที่สำคัญคือต้องรู้ว่ามันดีอย่างไร ดีกว่าน้ำมันถั่วเหลืองอย่างไร จะได้เอาไปเล่าถูก ไม่งั้นเดี๋ยวคนถามว่า แล้วมันดีอย่างไรวะ
กมลพร - ไม่รู้อาจารย์ปานเทพพูด
จินดารัตน์ - แล้วอาจารย์ปานเทพจะทยอยเขียนบทความ ขอบคุณอาจารย์ปานเทพมากๆ เลยค่ะ ขอบคุณค่ะ