ภาพ AFP
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินออกจากโรงพยาบาลศิริราช เพื่อประทับ ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์แล้ว ท่ามกลางพสกนิกรเฝ้าฯ ส่งเสด็จพร้อมเปล่งเสียงทรงพระเจริญกึกก้อง แพทย์เผยทั้งสองพระองค์พระอาการดีขึ้นมาก มีพระราชประสงค์อยากเปลี่ยนพระราชอิริยาบถ
วันนี้ (1 ส.ค. 56) เวลา 16.25 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเสด็จฯ ไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์
การนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองพระองค์ผ้าไหมสีส้ม และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถฉลองพระองค์ผ้าไหมสีฟ้า ทั้งสองพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์และแย้มพระสรวลให้แก่พสกนิกรที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จ
โดยขบวนรถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนฯ จากชั้นใต้ดินอาคารเฉลิมพระเกียรติฯ โรงพยาบาลศิริราชอย่างช้าๆ ตลอดเส้นทางเสด็จฯ มีพสกนิกรเฝ้าฯ รับเสด็จอย่างเนืองแน่นพร้อมเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องและโบกธงชาติ ธงตราสัญลักษณ์ ภปร.และ สก. บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้งใจเมื่อรถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนผ่าน
และเมื่อเวลา 18.49 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากโรงพยาบาลศิริราชถึงยังวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยตลอดเส้นทางถนนเพชรเกษมจนถึงหน้าวังไกลกังวล มีพสกนิกรจำนวนมาก เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พร้อมโบกธงชาติ ธงพระปรมาภิไธย ภปร. และธงพระนามาภิไธย สก.ท่ามกลางเสียงถวายพระพร ทรงพระเจริญอย่างกึกก้องตลอดเส้นทาง ที่รถยนต์พระที่นั่งผ่าน โดยเฉพาะบริเวณวังไกลกังวล โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการส่วนต่างๆ รวมถึงพสกนิกร และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จกันอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะพสกนิกรที่ต่างใจจดใจจ่อ รอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินไปยังวังไกลกังวลเป็นครั้งแรก ในรอบเกือบ 4 ปี หลังจากประทับ ณ วังไกลกังวลครั้งล่าสุด เมื่อปี 2552
นับได้ว่าเป็นวันแห่งความปลื้มปีติของพสกนิกรเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ จนเสด็จพระราชดำเนินไปยังวังไกลกังวล รวมระยะเวลาที่ประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทรงรักษาพระวรกายเป็นเวลา 3 ปี 10 เดือนเศษ
ก่อนหน้านั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในช่วงเช้าก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้มีพสกนิกรจำนวนมากที่ทราบข่าวต่างเข้ามาจับจองพื้นที่ภายในโรงพยาบาลศิริราชกันอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะบริเวณริมถนนบวรสถานภิมุข ใกล้กับประตูทางออกโรงพยาบาล ด้านท่าเรือวังหลังมีประชาชนนำเสื่อและผ้าพลาสติกมาปูเพื่อจับจองพื้นที่เพื่อเฝ้าฯ ส่งเสด็จกันยาวเหยียดตลอดทั้งแนว โดยประชาชนส่วนใหญ่ต่างพร้อมใจกันสวมเสื้อสีชมพู พร้อมกับนำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมกับธงชาติและธงตราสัญญาลักษณ์ ภปร. และ สก. เตรียมไว้เพื่อส่งเสด็จในช่วงเย็น
นายศักดา สัจจะมิตร อายุ 64 ปี อาชีพนักธุรกิจ อยู่บ้านเลขที่ 284 ถนนมหาจักร เขตสัมพันธวงศ์ กทม. หนึ่งในพสกนิกรที่เฝ้าฯ ถวายพระพรโดยตลอดที่ประทับอยู่โรงพยาบาลศิริราชเป็นเวลากว่า 3 ปี กล่าวด้วยใบหน้าปลื้มปีติว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้รับทราบข่าวการเสด็จฯ ไปประทับ ณ วังไกลกังวล หัวหิน แสดงให้เห็นว่าพระพลานามัยของทั้งสองพระองค์แข็งแรงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดี ถือว่าเป็นข่าวดีที่สุดในรอบปีก็ว่าได้ หากถามว่ารักพระองค์มากแค่ไหน ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นความรู้สึกได้
ผู้สื่อข่าวถามถึงสาเหตุที่มาเฝ้าฯ ที่โรงพยาบาลศิริราชเกือบทุกวันเป็นเวลากว่า 3 ปี นายศักดากล่าวว่า พระองค์ท่านเปรียบเสมือนพ่อ เมื่อพ่อป่วยเราในฐานะลูกจะต้องไปดูแลด้วยความห่วงใย ที่สำคัญพระองค์เป็นพ่อของแผ่นดิน ซึ่งตนรักและเทิดทูนเหมือนพ่อของตัวเอง นอกจากจะมาถวายพระพรทุกวันแล้ว ยังสวดมนต์ถวายทั้งที่โรงพยาบาลศิริราช และที่บ้านทุกวัน
แพทย์ชี้ทั้งสองพระองค์มีพระพลานามัยดี
ด้าน ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้แถลงข่าวถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ว่าอยู่ในช่วงที่มีพระพลานามัยดี ทำให้มีพระราชดำริที่จะเสด็จฯ ไปประทับที่วังไกลกังวล หัวหิน เพื่อเป็นการเปลี่ยนพระราชอิริยาบถ ถือเป็นการเสด็จฯ ไปประทับชั่วคราว แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าพระองค์ท่านจะประทับสักกี่วันยังไม่ได้มีรับสั่งตรงนี้ อย่างไรก็ตามถือว่าพระองค์ยังเป็นคนไข้อยู่ คณะแพทย์ที่ถวายการดูแลอยู่ในปัจจุบันก็ต้องตามไปถวายการดูแลที่วังไกลกังวลด้วย โดยประเด็นสำคัญที่สุดคือเพื่อความปลอดภัย
ศ.คลินิก นพ.อุดมกล่าวต่อว่า “อย่างที่พวกเราทราบว่า พระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช 3 ปีกับ 10 เดือน วันที่ 19 ก.ย.นี้ก็จะครบ 4 ปี ที่ผ่านมาพระโรคทั้งหลายอยู่ในเกณฑ์ดีเลย แต่ว่าจะมีบางช่วงยังมีพระอาการบ้างเป็นครั้งคราว เช่น มีการติดเชื้อเป็นต้น ก็จะทำให้พระสุขภาพทรุดลง พอคณะแพทย์ถวายการรักษาดีขึ้นแล้ว แต่พระสุขภาพต้องใช้เวลาฟื้นฟูสักระยะหนึ่ง เนื่องจากทรงเจริญพระชนม์มากแล้วอันนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ บางช่วงของพระองค์เป็นเหมือนคนไข้ที่รอพักฟื้นประมาณนั้น อยากให้เข้าใจว่าทำไมพระองค์ท่านไม่เสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาลสักที ก็คือพระองค์ท่านพักฟื้นอยู่ แต่การพักฟื้นของพระองค์ท่านบางทีจะกลับมาเป็นปกติต้องใช้เวลา และถ้ามีภาวะอะไรมาแทรกซ้อนก็จะทรุดไปอีก อันนี้ก็ถือเป็นธรรมชาติของคนที่สูงอายุ”
คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวเพิ่มเติมว่า “ช่วงนี้เป็นช่วงที่พระสุขภาพของพระองค์ทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ดีมาก คณะแพทย์ที่ถวายความปลอดภัยในเรื่องของพระสุขภาพเป็นสำคัญ ทางเราได้ไปเตรียมที่วังไกลกังวล ตั้งแต่เรื่องสถานที่ให้เหมาะสำหรับการที่จะต้องดูแลรักษาพยาบาล เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือไว้เรียบร้อยหมดแล้ว มีการเตรียมการไว้หลายวันแล้ว เป็นการเตรียมความพร้อมในกรณีที่เกิดปัญหา
จากนี้ไปทรงมีสองบ้าน
ศ.คลินิก นพ.อุดมกล่าวต่อว่า “ขณะเดียวกันเราก็ไปเตรียมโรงพยาบาลที่หัวหินด้วยในกรณีฉุกเฉินอาจต้องเข้าโรงพยาบาลที่หัวหินก่อนเบื้องต้นก่อนที่จะกลับมาศิริราช ในเรื่องของความพร้อมเราคิดว่าพร้อมเต็มที่ แพทย์พยาบาลก็ได้จัดไปอยู่เวรที่หัวหินเหมือนกับเวรที่ศิริราชเลยไม่ได้ลดจำนวนลงเลย ถือว่าเป็นการถวายความปลอดภัยในแง่สุขภาพสูงสุด อันนี้ก็ได้กราบบังคมทูลไปว่าให้ทรงสบายพระราชหฤทัยว่าต่อไปนี้ว่าเหมือนมีสองบ้าน
หนึ่งคือบ้านศิริราช สองบ้านที่วังไกลกังวล ถ้ามีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จฯ ไปประทับวังไกลกังวล จะไปเช้าเย็นกลับ หรือว่าจะทรงค้างคืนสามคืนทางศิริราชก็พร้อมที่จะไปถวายการดูแลรักษา และถ้ามีพระราชประสงค์จะกลับมาศิริราชทางเราก็พร้อมตลอดเวลา ซึ่งตรงนี้อยากให้ประชาชนเข้าใจว่า เนื่องจากทรงเจริญพระชนม์มากแล้ว โอกาสที่จะมีพระอาการอย่างโน้นอย่างนี้ก็เกิดได้ตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นช่วงไหนดีก็ประทับอยู่ศิริราชบ้าง อยู่วังไกลกังวลบ้างถือเป็นเรื่องปกติ
ยืนยัน สมเด็จพระราชินีเสด็จฯ กลับด้วย
ศ.คลินิก นพ.อุดมกล่าวย้ำว่า “ที่สำคัญประชาชนจะได้ชื่นชมพระบารมีของทั้งสองพระองค์ โดยเฉพาะสำคัญช่วงนี้เข้าใจว่าทุกคนคงอยากเห็นพระสิริโฉมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถหลังจากที่ทรงพระประชวรยังไม่ได้ให้ประชาชนได้เห็น ในวันนี้ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปด้วย
“พระสุขภาพทั่วไปดี แต่เนื่องจากว่าช่วงที่เสด็จพระราชดำเนิน คณะแพทย์ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ทั้งสองพระองค์ทรงใช้รถเข็นไฟฟ้าพระที่นั่งเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ประชาชนจะได้สบายใจ เพราะจริงๆ ทั้งสองพระองค์ทรงพระดำเนินได้อย่างเป็นปกติ ในกรณีที่มีอะไรเร่งด่วน ทางคณะแพทย์มีความพร้อม โดยเราได้เตรียมเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งได้ฝึกการรับทั้งสองพระองค์ขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง มีความพร้อมทุกอย่าง”
ทรงห่วงใยประชาชน
ศ.คลินิก นพ.อุดมกล่าวว่า ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลศิริราชนั้น แม้พระวรกายยังไม่แข็งแรงแต่ก็ทรงห่วงใยประชาชน อย่างเช่นเมื่อตอนน้ำท่วมเมื่อปี 2554 มีรับสั่งชัดเจนว่า ถ้าเราสบายดี ออกจากโรงพยาบาลได้น่าจะไปช่วยได้มากกว่านี้ เป็นการสะท้อนถึงพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยอย่างมาก นอกจากนี้ยังทรงดูแลความเป็นไปรอบๆ โรงพยาบาลศิริราช และรอบฝั่งธนบุรีตลอด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริการแก้ไขปัญหาการจราจรรอบโรงพยาบาลศิริราช และฝั่งธนบุรี
ศ.คลินิก นพ.อุดมกล่าวว่า ทั้งนี้ จากการที่พระองค์ทอดพระเนตรทางพระบัญชรทุกวันแล้วทรงเห็นว่ารถติด จึงมีพระราชดำริว่า “ยิ่งเปิดโรงพยาบาลใหม่ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ตรงรถไฟ ยิ่งจะทำให้รถยิ่งติดมากขึ้น” ดังนั้นพระองค์จึงพระราชทานโครงการพระราชดำริ 4 โครงการในการแก้ไขการจราจรดังนี้
โครงการที่ 1 ทรงให้ปรับพื้นถนนรอบๆ โรงพยาบาลให้กว้างขึ้นและดีขึ้น โครงการที่ 2 ขยายสะพานอรุณอมรินทร์จาก 4 เลนเป็น 6 เลน และจะมีสะพานยกระดับข้ามแยกศิริราชไปกองทัพเรือ ซึ่งได้งบประมาณมาแล้ว 1,400 ล้านบาท จะช่วยบรรเทารถติดไปได้
โครงการที่ 3 มีพระราชดำริให้ขยายถนนสุทธาวาส ซึ่งเป็นถนนที่ข้ามทางรถไฟไปทะลุถนนจรัญสนิทวงศ์ พระราชทานพระราชดำริให้ขยายถนนจาก 2 เลน เป็น 4 เลน และทำสะพานข้ามถนนจรัญสนิทวงศ์
โครงการที่ 4 มีพระราชดำริให้ทำทางยกระดับเหมือนทางยกระดับบรมราชชนนี จากปิ่นเกล้าข้ามคลองบางกอกน้อย แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนอิสรภาพ ถึงแยกพรานนกแล้วเลี้ยวขวา ผ่านแยกไฟฉาย เป็นถนนยกระดับไปลงที่พุทธมณฑลสาย 4 ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาจราจรได้มาก
“แม้จะทรงพระประชวรแต่ก็ทรงนึกถึงประชาชน นึกถึงการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับประชาชนเสมอ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น” ศ.คลินิก นพ.อุดมกล่าว
ผบ.ทร.สั่งจัด “หมู่เรือรักษาการณ์ไกลกังวล” ถวายความปลอดภัย “ในหลวง-ราชินี” พร้อมยิงสลุตหลวงเทิดพระเกียรติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน เพื่อทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถนั้น ทาง พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งให้จัดหมู่เรือรักษาการณ์วังไกลกังวลขึ้น โดยมี พล.ร.ต.สมชาย ณ บางช้าง ผู้บัญชาการกองเรือฟรีเกต ที่ 1 เป็นผู้บัญชาการหมู่เรือรักษาการณ์วังไกลกังวล โดยหมู่เรือนี้ประกอบไปด้วย เรือหลวงปิ่นเกล้า เรือหลวงสงขลา เรือหลวงจิก เรือตรวจการณ์ 995 เรือตรวจการณ์ 229 ซึ่งทุกลำมีความพร้อมและเรือหลวงปิ่นเกล้าพร้อมทุกระบบ ที่จะไปลอยลำถวายการรักษาความปลอดภัยที่วังไกลกังวล หัวหิน โดยจะมีการยิงสลุตหลวงเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ ตามประเพณี โดยหมู่เรือรักษาการณ์ 5 ลำมีกำลังพลรวมทั้งหมด 200 นายมีความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ที่จะถวายการรักษาความปลอดภัยทางทะเลครั้งนี้ ทั้งนี้ การยิงสลุตหลวงในการแปรพระราชฐานของทั้ง 2 พระองค์ในครั้งนี้ยังอยู่ระหว่างการขอพระบรมราชานุญาต และการจัดทำหนังสือกราบขอบังคมทูล ผ่านทางราชเลขาฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตจึงจะสามารถปฏิบัติได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการยิงสลุตหลวง ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทุกอารยประเทศทั่วโลกยึดถือสืบทอดกันมา เพื่อเป็นการแสดงความเคารพให้แก่ชาติ หรือธง หรือบุคคล โดยการยิงปืนใหญ่ด้วยดินดำ หรือดินไม่มีควัน โดยมีประเทศอังกฤษเป็นชาติแรกในการวางกฎระเบียบการยิงสลุต 21 นัด จากนั้นได้ถือเป็นกติกาสากลสืบต่อกันมาเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ชาติ และพระมหากษัตริย์ โดยประเทศไทยมีการยิงสลุตครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช