ASTVผู้จัดการ – ซีอีโอหนุ่มเครือเอเอสทีวีผู้จัดการยกย่อง “ราตรี-วีระ” วีรสตรี-วีรบุรุษเสียสละเพื่อปกป้องอธิปไตยชาติตัวจริง ชี้สื่อไทยและสังคมไทยควรเลิกแกล้งโง่ได้แล้ว ตั้งข้อสงสัย “พนิช” เป็นหมากในเกมขายอธิปไตยชาติ โดย “อภิสิทธิ์-สุเทพ” สมัยรัฐบาล ปชป.ใช่หรือไม่ แนะควรไปกราบเท้าขอขมาราตรีเสีย อัด ปชป.-สาวก ถ้ายังไม่ตาสว่างระวังเวรกรรมจะตามทัน
จากกรณีที่ทางการกัมพูชาได้ประกาศพระราชกำหนดพระราชทานอภัยโทษให้แก่ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ หนึ่งในคนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุมตัวในข้อหาบุกรุกแผ่นดินในช่วงปลายปี 2553 และถูกจำคุกที่เรือนจำเปรซอร์ ประเทศกัมพูชาเป็นเวลานานกว่า 2 ปี โดย น.ส.ราตรีได้เดินทางกลับถึงเมืองไทยในช่วงค่ำของวันศุกร์ที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา วันนี้ (4 ก.พ.) นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) สื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการได้ออกมาให้ความเห็นถึงกรณีดังกล่าวโดยระบุว่า ตนเห็นว่าคุณราตรีไม่ใช่นักโทษการเมืองธรรมดา แต่เป็นผู้ที่เสียสละและประกอบคุณงามความดีระดับวีรสตรีของชาติ โดยการ
“ผมติดตามข่าวที่คุณราตรีได้รับการปล่อยตัวกลับเมืองไทย โดยเฉพาะเมื่อมีคำถามจากคุณฐปนีย์ (เอียดศรีไชย) ช่องสามยื่นไมค์ไปสัมภาษณ์เธอตอนที่กลับมาว่า ‘ทำไมถึงไม่ได้รับการปล่อยตัวออกมาพร้อมกับคนไทยชุดแรก’ เมื่อฟังแล้วรู้สึกสะท้อนใจมาก ไม่อยากให้คุณราตรีที่กลับมาเมืองไทยได้แล้ว และคุณวีระที่ยังติดคุกเขมรอยู่ต้องติดคุกฟรีๆ และทุกอย่างก็เลือนหายไป
“ผมอยากให้คนไทยจดจำคุณราตรีในฐานะวีรสตรีของชาติ คุณงามความดีและความเสียสละของเธอที่มีต่อชาติไทยไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าวีรสตรีใดๆ ในประวัติศาสตร์ที่เราเรียนมาเลยนะครับ เมื่อเทียบกับนักกีฬาหญิงที่ได้เหรียญทองของไทยแล้วก็ยังต้องยกนิ้วให้เธอ” นายจิตตถาถกล่าว
ผู้บริหารสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการกล่าวต่อว่า คนไทยส่วนใหญ่คงทราบข่าวการถูกจำคุกของ นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี จากการโดยทหารกัมพูชาจับตัว 29 ธันวาคม 2553 ทั้งๆ ที่ยืนอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ทว่า คนไทยหลายคนคงจะไม่เข้าใจเช่นเดียวกับที่คุณฐปนีย์ นักข่าวช่อง 3 ว่าทำไมเธอกับคุณวีระไม่ได้รับการปล่อยตัวกลับมาพร้อมกับ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในเวลานั้น และ ร.ท.แซมดิน เลิศบุศย์ จากสันติอโศกที่ไปด้วยกัน นั่นก็เพราะ น.ส.ราตรีและนายวีระ ยอมเอาชีวิตและอิสรภาพเข้าแลก เพื่อยืนยันว่าพวกตนถูกจับตัวในพื้นที่ประเทศไทย ไม่ได้ถูกจับในพื้นที่เขมร ดังที่เขมรกล่าวอ้าง
ชี้ “พนิช” น่าจะเข้าข่ายสปายมากกว่า “วีระ-ราตรี”
“เรื่องที่ทุเรศที่สุดนายกสมัยนั้นคือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พากับรับลูกเขมรขายคนไทยด้วยกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย คุณราตรีปฏิเสธที่จะยอมรับข้อหาจากฝ่ายเขมรและขอพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์เขมร และทำให้เธอต้องสิ้นอิสรภาพอยู่ในคุกเขมรราวสองปี ขณะที่คุณวีระก็ยังติดอยู่ที่นั่น” นายจิตตนาถกล่าว และว่า
“สำหรับเรือโทแซมดินที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกับคุณราตรีและวีระนั้นได้ทำเรื่องเพื่อกลับมาประสานงานให้ทั้งสองคนจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะได้มีการพูดคุยกันแล้วถึงหน้าที่ของแต่ละคน แต่ที่น่าตลกและไม่อยากให้คนไทยลืมก็คือเขมรยัดข้อหาให้ทั้งสองคนเป็นสปาย ทั้งๆ ที่คุณวีระและราตรีเป็นแค่ประชาชนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง แต่กับกรณีของนายพนิชที่มีตำแหน่งเป็นถึง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ รัฐบาลในขณะนั้น ที่เบื้องหลังก็คือนายอภิสิทธิ์ส่งไป ซึ่งน่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของเขมรมากกว่ากลับได้รับการปล่อยตัวกลับมา”
ต่อมานายจิตตนาถ ได้กล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนจากช่อง 3 คือ น.ส.ฐปณีย์ ซึ่งในวันศุกร์ (1) ถาม น.ส.ราตรีว่า ครั้งก่อนมีโอกาสได้รับการปล่อยตัวพร้อมกับ 5 คนไทย แค่ทำไมเลือกที่จะไม่ออกมา น.ส.ราตรีจึงตอบกลับว่า รู้ได้อย่างไรว่าจะถูกปล่อยตัวเหมือนอีก 5 คน สิ่งที่ตนยืนยันต่อสู้มาตลอด คือ ไม่ได้ทำผิดหรือรุกล้ำแผ่นดินกัมพูชา และแนะนำว่านักข่าวจากช่อง 3 แทนที่จะถาม น.ส.ราตรีอย่างนั้น ควรจะไปทำสกู๊ปเพื่อค้นหาเบื้องหน้า-เบื้องหลังของเหตุการณ์ดังกล่าวมากกว่า
“ผมหวังว่าคุณฐปณีย์ ซึ่งเป็นสื่อมวลชนเหมือนกันและเกือบจากซวยเพราะไปทำท่าทางไม่เหมาะสมที่เขมรมาครั้งหนึ่งจะได้หายโง่เสียที (กรณีวางภาพสมเด็จนโรดมสีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชาไว้บนพื้นใกล้กับเท้าตัวเองเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 55) และอยากให้เธอไปทำสกู๊ปเพิ่มด้วยว่าคุณราตรีและคุณวีระโดนรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์สมัยนั้นหลอกให้ไปติดคุกหรือไม่
สงสัยแผนขายอธิปไตยของ รัฐบาลปชป.?
ซีอีโอสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ระบุต่อว่า เอเอสทีวีเป็นสื่อที่ไม่ได้แกล้งโง่อย่างสื่ออื่น และในฐานะที่เป็นสื่อที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอด คำถามจาก น.ส.ฐปนีย์ได้ตอกย้ำสิ่งที่ตนเคยคิดลึกๆ ในใจ และวันนี้ภาพมันก็ปรากฎอย่างชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ใจดำอำมหิตที่สุด เพราะเรื่องนี้ชี้ชัดเลยว่าเป็นเกมทางการเมืองที่เอาความรักชาติและชีวิตของคนไทยมาเป็นหมากให้ตัวเอง
“ถามว่านายพนิช สนิทกับนายอภิสิทธิ์ไหม เป็นที่รับรู้กันว่าสนิทกันทั้งส่วนตัว และหน้าที่การงานโดยเฉพาะเป็น ส.ส.สังกัดพรรคเดียวกัน การมาสำรวจพื้นที่โดยเฉพาะชายแดนที่มีปัญหาด้านการรุกล้ำของเขมรย่อมต้องเป็นที่รับรู้ของนายอภิสิทธิ์ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรครัฐบาล และเพื่อนสนิท รวมถึงนายสุเทพ เลขาพรรคฯ ที่ดูแลด้านความมั่นคง
“ผมไม่แปลกใจที่คณะของนายพนิชโดนเขมรจับตัวไปได้อย่างง่ายดายโดยปราศจากการคุ้มกันของเจ้าหน้าที่ไทยในการสำรวจพื้นที่ และก็ถึงบางอ้อเมื่อมีการพยายามล็อบบี้จากทนายฝ่ายไทยให้ทุกคนยอมรับผิดเพื่อจะได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์เขมร การที่นายพนิชโดนกักตัวด้วย นายพนิชจะรู้ว่าถูกพรรคและเพื่อนหลอกใช้หรือไม่ ไม่สำคัญเท่าการที่ภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยโดยเฉพาะพรรครัฐบาลยอมรับอธิปไตยเขมร ณ จุดที่โดนจับตัว และก็ยิ่งชัดเจนเมื่อมีการแบล็กเมล์ภายหลังจากสมเด็จฯ ฮุนเซ็น ที่ระบุว่า นายสุเทพพยายามไปเจรจาลับเรื่องผลประโยชน์กับรัฐมนตรีของกัมพูชา ซึ่งยังไม่นับการที่พรรคประชาธิปัตย์ยังคงยืนยันเอ็มโอยู 43 ที่ตนเป็นคนเซ็นซึ่งยอมรับแผนที่มาตราส่วนของเขมร และยอมเอาเรื่องเข้าศาลโลกยืมมือศาลโลกให้ตนและพรรคพ้นข้อหาขายชาติหากเสียดินแดน” นายจิตตนาถอธิบายอย่างเห็นภาพ พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า
“ถ้ายังจำกันได้ในเวลานั้นสิ่งที่สำคัญกว่าของพรรคประชาธิปัตย์คือความมั่นคงภายในของตน เพราะเป็นช่วงของการรณรงค์ของคนไทยหลายกลุ่มในเรื่องอธิปไตยไทยที่โดนเขมรรุกล้ำโดยเฉพาะพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารและจุดต่างๆตามแนวชายแดนอันมีแต่จะทำให้เราเสียเปรียบในการเจรจา คุณวีระ สมความคิดและกลุ่มสันติโอศกของคุณราตรีก็ถือเป็นตัวตั้งตัวตี รวมถึงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย เพียงแต่พันธมิตรฯ ไม่ไว้ใจพรรคประชาธิปัตย์จึงปฏิเสธในการร่วมสำรวจพื้นที่ด้วย
“ถึงแม้ว่าพันธมิตรฯ จะรอดพ้นจากแผนร้ายในครั้งนั้น แต่หากคุณราตรีและคุณวีระซึ่งเป็นตัวแทนของภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวในเรื่องนี้เช่นกันถอดใจยอมรับในแนวทางที่เขมรกล่าวหาและรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ทำทางถอยไว้ให้ การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในการรักษาอธิปไตยก็จะหมดความหมายไปทันทีซึ่งก็เป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการเป็นที่สุด
“ถึงแม้คำถามคุณฐปนีย์จะออกจะสะเหล่อเหมือนไม่ได้ทำการบ้าน แต่ผมเชื่อว่าคนไทยอีกหลายคนที่มองว่าเรื่องพวกนี้ธุระไม่ใช่ก็คงจะเข้าใจเรื่องนี้แค่งูๆ ปลาๆ เช่นกัน แต่ก็ต้องขอบคุณฐปนีย์ เธอที่ในอีกแง่สร้างความเหลืออดให้กับผมที่จะต้องเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำพวงมาลัยดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาคุณราตรี ที่ต้องติดคุกเขมรฟรีๆ จากความเห็นแก่ตัว ความเฮงซวยของคนเหล่านี้ ถ้าให้ดีควรกราบเท้าวีรสตรีคนนี้ด้วย
“คุณนึกเทียบง่ายๆดูละกัน ขนาดของหัวใจมันต่างกันแค่ไหน คนหนึ่งเป็นประชาชนคนธรรมดา ซ้ำยังเป็นผู้หญิงด้วยแต่ยอมที่จะไปติดคุกต่างแดนหลายปีแต่ไม่ยอมสยบเพื่อยืนยันอธิปไตยของเรา อีกสองคนเป็นถึงชายอกสามศอกคนหนึ่งเป็นอดีตนายกฯ อีกคนเป็นอดีตรองนายกฯ ห่วงแต่เรื่องตัวเองเรื่องพรรคเรื่องตำแหน่ง เล่นแต่เกมการเมือง ไม่รักษาผลประโยชน์อธิปไตยของชาติ นอกจากขายคนไทยด้วยกันเองแล้ว ยังเข้าข่ายขายชาติอีกต่างหาก และก็ไอ้พวกสาวกโง่ๆ ของพรรคนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกควายแดงที่โดนจูงจมูกไปเทอดทูนกษัตริย์เขมรแต่คิดล้มล้างกษัตริย์ไทย ไอ้สาวกพรรคนี้โดยเฉพาะยัยเจ๊ดัดจริตที่เคยกินบนเรือนขี้บนหลังคา นับถือนักโทษหนีคดีบางคนยิ่งกว่าพ่อแม่บังเกิดเกล้ามากล่าวหาว่าคุณราตรีออกมาครั้งนี้ทำให้หลายกลุ่มออกมาตีกินพรรคแมงสาบโคตรพ่อโคตรแม่เธอกันใหญ่ ก็อยากจะบอกว่าลองไปติดคุกเขมรสักสองปีครึ่งอย่างคุณราตรีดูซิ แล้วอยากจะรู้เหมือนกันว่าไอ้โรคกระแดะที่ชอบพูดหรือเที่ยวเขียนในเฟซบุ๊กจีบปากจีบคอแบบไฮโซไฮซ้อ เชียร์ไอ้พรรคอุบาทว์พรรคนี้จะหายไปไหม
“ผมอยากให้คนไทย ไม่ว่าคุณจะชอบพรรคใด สีใด ได้ตาสว่างในเรื่องนี้ และอยากให้คุณราตรีได้รับความเป็นธรรมจิตใจคุณราตรีสูงมากเมื่อเธอให้สัมภาษณ์ว่าเธอไม่ได้ดีใจที่ได้กลับมาเพราะคุณวีระ วีรบุรุษของคนไทยอีกคนยังติดคุกอยู่และดูท่าจะต้องเป็นตัวประกันทางการเมืองต่อไป แค่เรื่องนี้ส่วนตัวผมก็ก้มกราบให้กับความเสียสละของเธออย่างไม่มีตะขิดตะขวงแล้ว ส่วนไอ้คนที่มันทำเวรทำกรรมกะใครไว้ ถ้ามันยังไม่รู้สำนึก ผมแช่งเลย เวรกรรมมันจะตามสนอง อนาคตจบอยู่แค่นี้ล่ะ เป็นได้แค่หัวหน้าแมงสาบแค่นี้ละไม่เจริญหรอก ไม่เชื่อคุณไปดูสิทุกวันนี้ก็รับกรรมจากความห่วยแตกของตัวเองอยู่ไม่ใช่เหรอ” นายจิตตนาถกล่าวทิ้งท้าย