แถลงการณ์เอเอสทีวีผู้จัดการ
เป็นเรื่องน่าสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก ที่นายทหารผู้ยิ่งใหญ่อย่าง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกเกิดอาการเหวี่ยงวีนปรี๊ดแตก เจาะจงใส่สื่อมวลชนในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวทั้งหลายที่มีอาการสติแตก พาลคนรอบข้างเวลาฮอร์โมนพุ่งยามปวดท้องประจำเดือน
เมื่อนายทหารท่านนี้รับไม่ได้กับข้อเท็จจริงในการนำเสนอข่าวการปฏิบัติหน้าที่ ผบ.ทบ.ของตนที่ล้มเหลวในทุกๆ เรื่อง โดยไม่สามารถที่จะนำข้อเท็จจริงใดๆ มาแสดงผลงานอันเป็นรูปธรรมให้สังคมไทยได้ประจักษ์
แทนที่จะเร่งจัดการจุดอ่อนในเรื่องต่างๆ ให้เข้ารูปเข้ารอย ซึ่งประโยชน์ย่อมตกแก่ประเทศชาติเต็มๆ กลับเลือกที่จะบริภาษสื่อที่กล้าเป็นกระจกสะท้อนการทำงาน ซึ่งเป็นนิสัยเดิมๆ ที่ ผบ.ทบ.คนนี้มักจะทำเป็นประจำ คือ ขู่คำรามใส่สื่อ เพียงแต่คราวนี้คงจะอัดอั้นมากถึงกับระบุชื่อ “ผู้จัดการ” ออกมาอย่างเฉพาะเจาะจงพร้อมด้วยคำนำหน้าว่า “ไอ้”
และน่าหวั่นใจแทนประเทศไทย ประชาชนคนไทย และ ทหารหาญของกองทัพไทยเข้าไปใหญ่ กับถ้อยแถลงและพฤติกรรมอันแสดงถึงทัศนคติอันคับแคบ ดูถูกดูแคลน ต่อกระบวนการพิทักษ์รักษาอธิปไตยชาติไทยของภาคประชาชน ราวกับว่า เป็นการคลั่งชาติอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีการศึกษาข้อกฎหมาย และ เป็นชนวนยั่วยุให้เกิดสงคราม ถึงกับประกาศจะเอาผิดกับทหารในกองทัพ ถ้ามีการพบว่าได้เข้าร่วมในกระบวนการดังกล่าว ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ อ้างว่า ผิดกฎหมายซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีกฎหมายข้อไหนในรัฐธรรมนูญระบุเอาไว้ว่าห้ามประชาชนหรือทหารไทยทำการชุมนุมเพื่อรักษาอธิปไตยของไทย ในทางตรงข้าม นี่ควรจะเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนไม่ว่าจะเป็นทหารและพลเรือน
พลเอก ประยุทธ์ ประกาศออกมาว่าภาคประชาชนไม่ใช่รัฐบาล จึงไม่มีความจำเป็นต้องฟังข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะ และนั่นย่อมหมายรวมไปถึงข้อเสนอแนะจากสื่อมวลชนและนักวิชาการที่นำอาข้อเท็จจริง ข้อมูลเชิงลึก แผนที่เปรียบเทียบ หลักฐานเขตแดนและคำพิพากษาของศาลโลก ข้อได้เปรียบเสียเปรียบของการรักษาอธิปไตยมาตีแผ่ โดยเป็นข้อโต้แย้งที่แม้แต่รัฐบาลก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้
นั่นสะท้อนออกมาอยางชัดเจนว่า พลเอก ประยุทธ์ มิได้เอาอธิปไตยของชาติเป็นใหญ่ หากแต่พร้อมที่จะสนองภาคการเมืองที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ของนักการเมืองพรรคการเมืองและกลุ่มทุนเหนืออธิปไตยของชาติเพียงอย่างเดียว
แน่นอนการรักชาติไม่สามารถผูกขาดไว้คนเดียวได้ แต่วิธีรักชาติของ ผบ.ทบ.ท่านนี้ดังที่ยกมาได้สร้างความน่ากังขากับสังคมไทยยิ่งนัก โดยได้อ้างกรณีการวางยุทธศาสตร์รอบเขาพระวิหารที่ผ่านมาว่าได้ขยับปรับกำลังเพื่อให้สองประเทศ กล่าวคือ ไทยและกัมพูชาปลอดภัยไม่ได้มารุกรานต่อกัน
ข้อกล่าวอ้างนี้ตรงกันข้ามกับความจริงที่คนระดับ ผบ.ทบ.อย่าง พลเอก ประยุทธ์ ผู้เคยผ่านกองกำลังบูรพาที่ดูแลชายแดนฝังตะวันออกไทย-เขมร น่าจะรู้ดีกว่าใครว่าไทยเราได้เสียส่วนบนของเขาพระวิหารให้แก่เขมรตามคำตัดสินศาลโลก เราไม่เคยล้ำแดนเข้าไปสร้างสิ่งปลูกสร้าง หรือตั้งกำลังทหารในแดนเขมร หากแต่เขมรเป็นฝ่ายล้ำแดนเข้ามาตลอดเวลา ซ้ำร้ายเขมรยังเปิดฉากยิงโจมตีทหารและพลเรือนไทยก่อนขณะที่ทางไทยได้รับคำสั่งให้ตอบโต้นัดต่อนัดเท่านั้น
วันนี้ชาวบ้านที่ภูมิซรอลทุกคน พร้อมลุกขึ้นสู้ พร้อมตายในแผ่นดินที่เกิดที่เติบโตที่เก็บเกี่ยว ไม่หลีกลี้หนีหน้าไปไหน พากันขุดบังเกอร์รักษาที่มั่นและต้องการการสนับสนุนจากภาคประชาชนทั้งประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังทหารเพื่อความอุ่นใจความปลอดภัยในทรัพย์สินและสวัสดิภาพ แต่การเข้าไปตรวจพื้นที่ของพลเอก ประยุทธ์ กลับทำราวกับว่าคนไทยเหล่านี้คืออริราชศัตรูฝั่งตรงข้าม
ทั้งนี้ ไม่มีใครอยากให้เกิดสงคราม แต่ในเรื่องอธิปไตยของชาติก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ในประเทศเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงที่มีกรณีพิพาทอย่างจีนกับญี่ปุ่น จีนกับเวียดนามและฟิลิปปินส์ หรือไกลข้ามมหาสมุทรอย่างอังกฤษและอาร์เจนตินา ทั้งภาคการเมือง ทหารและประชาชนล้วนเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน คือ รักษาอธิปไตยของชาติตน มีแต่ประเทศไทยประเทศเดียวที่ภาคประชาชนถูกทิ้งให้ปกป้องชาติตามลำพัง ภาคการเมืองพากันลอยตัวและกลับเอนเอียงไปฝั่งเขมร ในขณะที่ทหารไทยล้วนแต่รู้สึกอึดอัดแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อมีแม่ทัพอย่าง ผบ.ทบ.ท่านนี้
ดังนั้น เมื่อ พลเอก ประยุทธ์ ถามว่า สื่อมวลชนในเครือผู้จัดการอย่างเรา เอาศักดิ์ศรีอะไรมาวิพากษ์วิจารณ์ตน ก็อยากจะบอกว่าเราเอาศักดิ์ศรีของสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาในการปกป้องประโยชน์ของประเทศชาติ ราชบัลลังก์ และสิทธิของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
การทำหน้าที่สื่อยืนหยัดเพื่อความถูกต้องของพวกเรา ได้ผ่านการพิสูจน์ทดสอบและเชี่ยวกรำมาแล้วในทุกรูปแบบ ไม่เว้นแม้แต่การถูกปองร้ายการพยายามลอบสังหารอย่างอุกอาจจากผู้เสียประโยชน์หลายฝ่าย หากแต่บททดสอบของพลเอกประยุทธ์นั้นยังมิได้ผ่านการทดสอบเลยสักเรื่อง
ในเรื่องศักดิ์ศรีที่ พลเอก ประยุทธ์ ท่านถือนักถือหนานั้น อยากจะถามท่านกลับไปเหมือนกันว่าศักดิ์ศรีความเป็นผู้นำกองทัพขอท่านอยู่ตรงไหน
-ในเรื่องชายแดนเขมรก็ดังที่ได้กล่าวข้างต้นไปแล้ว
-ในเรื่องภาคใต้จนบัดนี้เรือเหาะตรวจการณ์ที่ท่านเป็นผู้อนุมัติส่งซื้อก็ยังบินไม่ได้ ซ้ำร้ายเกือบพานักข่าวไปตาย ยังไม่นับรวมถึงเรื่องประสิทธภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่ทหารชั้นผู้น้อยต้องนำไปรักษาความสงบและปกป้องสวัสดิภาพของตัวเอง
-ในเรื่องความเป็นธรรมให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา จนบัดนี้ทหารหาญที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการรักษาความสงบเรียบร้อยถูกอาวุธสงครามและการประชาทัณฑ์จากม็อบติดอาวุธที่เผาบ้านเผาเมืองก็ยังคงไม่ได้รับการเหลียวแล ซ้ำรายยังต้องตกเป็นจำเลยโดยที่ผู้บังคับบัญชาอย่างพลเอกประยุทธ์ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ใส่ใจ ขณะที่คนร้ายเผาบ้านเผาเมืองได้รับการชดเชยเยียวยาเป็นเงินถึงรายละ 7 ล้านกว่าบาท
-ในเรื่องการพิทักษ์สถาบันที่พลเอกประยุทธ์พยายามสร้างภาพให้สัมภาษณ์เมื่อถึงคราวเรื่องกระทบถึงเบื้องสูงและสะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศอย่างกรณีที่รัฐมีคำสั่งห้ามหน่วยงานต่างๆ จุดพลุเฉลิมพระเกียรติวันที่ 5 ธันวาฯ เมื่อปีกลายก็เงียบเฉย หรือกรณีที่พลเอก ชัยสิทธิ์ ชินวัตร แบบอ้างถ้วยพระราชทานมอบรางวัลให้นักมวยที่บ่อนมาเก๊าร่วมกับทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ก็นิ่งเฉยปิดปากสนิท ดีแต่ปากดีกับสื่อมวลชนและประชาชนที่ไม่มีอำนาจใดในมือ
-ในเรื่องการวางตัวก็เปลี่ยนภาพจากทหารของพระราชาทหารของประชาชนมาเป็นข้าราชการการเมือง เดินตามนักการเมืองต้อยๆ ให้คนเขาดูถูกและเป็นที่น่าอดสูแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
ที่น่าอดสูที่สุด คือ พลเอก ประยุทธ์ กลับสำคัญตัวเองผิดว่าตนคือกองทัพ และกองทัพคือตนเอง การเอาแต่ตนเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ใส่ใจต่อนายทหารระดับปฏิบัติการนั้น เป็นที่รู้ดีกันทั้งกองทัพ ถ้าไม่มัวแต่หลงอยู่ในคำเยินยอของทหารที่ใกล้ชิดและนักการเมืองแล้วพลเอก ประยุทธ์ คงจะต้องอกแตกตายหากจะต้องเจอกับโลกความเป็นจริงว่าไม่เป็นที่ต้อนรับของทั้งทหารในระดับปฏิบัติการและทหารชั้นผู้น้อย ไม่เป็นที่ศรัทธาและโปรดปรานของประชาชนไม่ว่าจะเป็นสีใดกลุ่มใด แต่อาจกำลังขึ้นหม้อเป็นที่ถูกใจของใครบางคนที่อยู่ดูไบก็เป็นได้
ท้ายสุดนี้ เราขอฝากถึงท่าน ผบ.ทบ.ด้วยว่าถ้าคิดว่าตนเองดีกว่าใครรู้ทุกเรื่องทำไมไม่เห็นจะแก้ไขปัญหาได้สักเรื่อง ในทางตรงข้ามมีแต่ความล้มเหลวที่สะท้อนกลับมาอย่างเป็นรูปธรรมแทนที่ แล้วยังมาอวดเก่งอวดอำนาจบาตรใหญ่ขู่คำรามแสดงความเจ้ายศเจ้าอย่างผิดที่ผิดเวลาเสียอีก
วันนี้เชื่อว่าไม่ต้องพูดไป เสียงจากสังคมคงจะดังสะท้อนอยู่ในใจทุกคนกันแล้วว่า ไอ้ผู้จัดการมันเขียนห่วย หรือไอ้ ผบ.ทบ.ที่ชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนนี้ มันห่วยกันแน่!