xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 5-11 มิ.ย.2554

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ยิ่งลักษณ์” แห้ว “ประยุทธ์” ไม่ให้พบ ด้าน “แก้วสรร-หมอตุลย์” ล่าชื่อประชาชนจี้ “ดีเอสไอ”สอบยิ่งลักษณ์ซุกหุ้น!
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงทุนชงกาแฟ ขณะลงพื้นที่ช่วยผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยหาเสียงที่ จ.หนองคาย
สถานการณ์การเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีหลายกรณีที่น่าสนใจ เช่น กรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย บอกว่า มีแนวคิดอยากเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) เพื่อขอคำแนะนำ ส่งผลให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแขวะทำนองว่าเป็นการเสแสร้งแกล้งทำเพื่อลบภาพการกระทำที่ไม่ดีในอดีต “ผมไม่เชื่อว่าความพยายามหรือว่าการเสแสร้งแกล้งทำในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จะมากลบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาในอดีต เพราะทุกคนเห็นภาพชัดเจนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตคราวที่เขาเผาบ้านเผาเมืองเป็นอย่างไร”

ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะขอพบ พล.อ.ประยุทธ์ในช่วงเลือกตั้งแบบนี้คงไม่เหมาะสม “กองทัพบกยินดีเปิดพื้นที่ให้พรรคการเมืองเข้ามาหาเสียงอย่างเป็นธรรมทุกพรรคการเมือง แต่หากจะขอเข้ามาพบพูดคุยปรึกษาหารือแบบส่วนตัว ช่วงเวลานี้ถือว่าไม่เหมาะสม...”

ทั้งนี้ คำพูดของ พ.อ.สรรเสริญ สร้างความไม่พอใจให้แกนนำพรรคเพื่อไทยอย่างมาก โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ออกมาสวนกลับ พ.อ.สรรเสริญว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็แค่บอกว่าพร้อมที่จะพบกับ ผบ.ทบ.เพื่อขอคำแนะนำเท่านั้น ไม่ได้คาดคั้นที่จะเข้าพบให้ได้ ดังนั้น เมื่อน้ำแกงยังไม่เคลื่อนไหว น้ำล้างชามอย่าเพิ่งขยับ พ.อ.สรรเสริญควรรอให้ผู้ใหญ่ได้สื่อสารกันเองว่าจะคุยกันหรือไม่อย่างไร ไม่ใช่ออกมาแถลงข่าวแบบนี้

ด้าน พ.อ.สรรเสริญ เมื่อถูกนายณัฐวุฒิเปรียบเป็น “น้ำล้างชาม” จึงออกมาสวนกลับแบบเกทับนายณัฐวุฒิบ้าง “ที่นายณัฐวุฒิหาว่าผมเป็นน้ำล้างชาม ทำเป็นขยับก่อนน้ำแกงนั้น ถ้าผมเป็นน้ำล้างชาม ณัฐวุฒิก็เคยเป็นน้ำล้างเท้า” พ.อ.สรรเสริญ ย้ำด้วยว่า ที่ตนออกมาพูดถึงความไม่เหมาะสมที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเข้าพบ ผบ.ทบ.นั้น เพราะตนเป็นโฆษกกองทัพบก ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ทบ.ให้ชี้แจงเรื่องระเบียบหลักเกณฑ์และความเหมาะสมต่างๆ ให้สังคมได้ทราบ

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ออกมาขอบคุณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่อยากเข้าพบ เพราะถือเป็นการให้เกียรติกองทัพ ไม่ได้ให้เกียรติตน แต่คิดว่าไม่เหมาะสมที่จะพบช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ขอให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปก่อน พล.อ.ประยุทธ์ ชี้ด้วยว่า สิ่งที่น่าห่วงยิ่งกว่าเรื่องเลือกตั้ง ก็คือ เลือกตั้งมาแล้วจะอยู่กันได้หรือไม่ เพราะความขัดแย้งในบ้านเมืองมากขึ้นทุกวัน จะอยู่กันอย่างไร

นอกจากเรื่อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ขอเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ถูกปฏิเสธแล้ว ยังมีกรณีที่นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) และ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอรัปชั่นทักษิณ(คนท.) เปิดแถลงจี้ให้สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)ตรวจสอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย คดีร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระทำการซุกหุ้น ทั้งนี้ นายแก้วสรร ชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณพูดชัดว่า จะแก้กฎหมายเพื่อคืนความเป็นธรรมให้ตนเอง โดยผู้ที่มาทำหน้าที่เป็นหุ่นเชิดคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเท่ากับว่า กำลังนำการเลือกตั้งมาเป็นส่วนหนึ่งของการหาเสียงเพื่อผลักดันร่างแก้ไขกฎหมายนิรโทษกรรมความผิดให้กับคนในตระกูลชินวัตร พร้อมย้ำว่า “การนิรโทษกรรมคดีคอรัปชั่นทำไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้คุณชนะถึง 500 ที่นั่งก็ทำไม่ได้ เพราะคดีนี้เป็นคดีความผิดต่อแผ่นดิน...”

นายแก้วสรร ยังย้ำด้วยว่า การกระทำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือว่าเป็นความผิดที่สำเร็จแล้ว เพราะให้การอันเป็นเท็จในคดีซุกหุ้น แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการ ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ลงสมัครรับเลือกตั้งและเป็นร่างทรงให้พี่ชาย หากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) มีการกล่าวโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตกเป็นผู้ต้องหา และจะได้รับอานิสงส์จากนโยบายนิรโทษกรรมที่พรรคเพื่อไทยชูขึ้นมาด้วย “คดีนี้เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นคดีพิเศษโดยสภาพ เราก็หวังว่าดีเอสไอจะทำหน้าที่ หากไม่ทำก็จะไปบอก ป.ป.ช.ว่าท่านละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” ทั้งนี้ ทางเครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอรัปชั่นทักษิณ จะรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อกล่าวโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก่อนยื่นต่อดีเอสไอในวันที่ 21 มิ.ย.นี้

ด้านแกนนำพรรคเพื่อไทยไม่พอใจการกระทำของนายแก้วสรรและ นพ.ตุลย์ จึงได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจกองปราบปราม เพื่อดำเนินคดีบุคคลทั้งสอง ฐานหมิ่นประมาทด้วยการใส่ร้ายป้ายสี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าให้การเท็จต่อศาลคดีซุกหุ้น นอกจากทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เสื่อมเสียชื่อเสียงแล้ว ยังเป็นการกระทำที่หวังผลทางการเมืองเพื่อให้ประชาชนเข้าใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ผิด จึงจำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดี

2. กกต.มีมติ 4 : 1 ให้ปลดป้ายรณรงค์โหวตโน “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” ที่สะพานมัฆวานฯ อ้าง ขนาดใหญ่เกิน กม.กำหนด!
ป้ายรณรงค์โหวตโนขนาดใหญ่ที่ด้านหลังเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯ บริเวณสะพานมัฆวานฯ
หลังกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและพรรคเพื่อฟ้าดินได้จัดทำป้ายรณรงค์โหวตโนออกเผยแพร่ เป็นรูปสัตว์ชนิดต่างๆ ใส่สูทผูกเน็คไท พร้อมข้อความว่า “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” ปรากฏว่านักการเมืองและพรรคการเมืองต่างๆ ออกอาการไม่พอใจ พยายามหาทางให้มีการปลดป้ายดังกล่าว โดยอ้างว่าสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับนักการเมืองไทย โดยแกนนำพรรคเพื่อไทย(นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค)ได้ส่งหนังสือจี้ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)พิจารณาปลดป้ายดังกล่าว โดยอ้างว่า การติดป้ายดังกล่าวเคียงคู่กับป้ายของผู้สมัคร ส.ส.พรรคต่างๆ เป็นเรื่องไม่สมควร และอาจทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีนำไปอ้างเพื่อล้มล้างการเลือกตั้งได้

ด้าน กกต.ก็รับลูก โดยหลังจากพิจารณาป้าย “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา”แล้ว ได้มีมติ 4 :1 ให้พรรคเพื่อฟ้าดินปลดป้ายดังกล่าวออก โดย กกต.เสียงข้างมากมองว่าป้ายดังกล่าวเป็นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง แต่ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. และฝ่าฝืนระเบียบของ กกต. ส่วนขั้นตอนการปลดป้ายนั้น กกต.กทม.ซึ่งดูแลพื้นที่ต้องทำหนังสือไปยังพรรคเพื่อฟ้าดินและผู้ว่าฯ กทม.ให้ปลดป้ายดังกล่าว

สำหรับ กกต.เสียงข้างน้อย 1 เสียงที่ไม่เห็นด้วยกับการปลดป้ายดังกล่าวก็คือ นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง โดยมองว่า ป้ายดังกล่าวไม่ใช่ป้ายหาเสียงเกี่ยวกับการเลือกตั้ง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า รูปภาพบางภาพในป้ายดังกล่าวก็ดูน่ารักดี น่าจะช่วยกระตุ้นให้คนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากขึ้นด้วย

ด้านนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ขยายความกรณีที่ กกต.เสียงข้างมากมีมติให้ปลดป้าย “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา”ว่า ให้ปลดเฉพาะป้ายที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ระเบียบ กกต.กำหนดเท่านั้น “เราวินิจฉัยจุดเดียวว่า เป็นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือไม่เท่านั้น ไม่ได้วินิจฉัยลึกเข้าไปถึงถ้อยคำหรือเนื้อหาสาระจากป้าย หากทำป้ายตามขนาดที่ กกต.กำหนดและติดตามสถานที่ที่ได้รับอนุญาต ก็สามารถทำได้ บางคนยังเห็นว่า ภาพสิงห์สาราสัตว์ต่างๆ ก็น่ารักดี และยังเป็นการกระตุ้นการไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้สำหรับเด็กๆ ทำให้ตื่นตัว ผมก็ยอมรับในจุดนี้”

ทั้งนี้ คำชี้แจงของนายอภิชาตชัดเจนว่า การปลดป้าย “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” หมายถึงป้ายขนาดใหญ่ที่ด้านหลังเวทีปราศรัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงป้ายขนาดเล็กที่ติดตามริมถนนเคียงคู่กับป้ายของผู้สมัคร ส.ส.พรรคต่างๆ แต่อย่างใด

ด้าน กทม.ยังไม่ดำเนินการปลดป้ายขนาดใหญ่ดังกล่าว เนื่องจากต้องรอหนังสือคำวินิจฉัยอย่างเป็นทางการจาก กกต.ก่อน เช่นเดียวกับทางกลุ่มพันธมิตรฯ และพรรคเพื่อฟ้าดินที่ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถปลดป้ายดังกล่าวได้ เพราะ กกต.ยังไม่ได้มีหนังสือแจ้งให้พรรคเพื่อฟ้าดินทราบอย่างเป็นทางการ โดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ยืนยัน(9 มิ.ย.)ว่า “ขณะนี้ยังไม่มีหนังสือหรือความชัดเจนของ กกต.มายังพรรคเพื่อฟ้าดิน จึงทำให้ไม่ทราบว่ากระทำด้วยเหตุผลใด หรือต้องทำการแก้ไขภายในกี่วัน ดังนั้นเจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่มีอำนาจที่จะมาปลดป้ายในตอนนี้”

นายปานเทพ ยังพูดดักคอเจ้าหน้าที่ด้วยว่า ไม่มีสิทธิปลดป้ายรณรงค์โหวตโนทั้งหมด เพราะขณะนี้พรรคเพื่อฟ้าดินได้จัดทำป้ายรณรงค์โหวตโนชุดที่ 2 ออกมาแล้ว โดยมี 4 แบบ แบบที่ 1 มีข้อความ “ร่วมประท้วงนักการเมืองโดยไม่ต้องมีการชุมนุม” เพื่อเอาใจคนที่เบื่อการเมืองและเบื่อการชุมนุม ให้กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน แบบที่ 2 ป้ายเสือใส่เสื้อสีฟ้า จระเข้ใส่เสื้อสีแดง ซึ่งเปรียบได้กับหนีเสือเสื้อฟ้ามาเจอจระเข้เสื้อแดงเรียกว่าไปทางไหนก็ถูกนักการเมืองงาบ จึงควรใช้สิทธิไม่ประสงค์ลงคะแนน แบบที่ 3 ป้ายกระบือเสื้อฟ้าและกระบือเสื้อแดง พร้อมข้อความ “เลือกลำบากเพราะฉลาดทั้งคู่” แบบที่ 4 ป้ายการ์ตูนล้อเลียน “3 ก.ค.วันตบโหลกนักการเมือง” ซึ่งเป็นป้ายเอาใจวัยรุ่น โดยยืนยันว่า รูปการ์ตูนนักการเมืองในป้ายที่ถูกตบหัวจนหัวโน ไม่ได้หมายถึงใคร ส่วนป้ายชุดที่ 3 ที่ยังไม่ออกมา จะมีลักษณะเป็นข้อความที่ทำให้ประชาชนรู้ข้อมูลบางอย่าง แล้วตัดสินใจเลือกโหวตโน

เป็นที่น่าสังเกตว่า ป้ายรณรงค์โหวตโน นอกจากจะมีการจัดทำออกมาหลากหลายรูปแบบแล้ว ยังได้มีการติดป้ายขนาดใหญ่ที่สุดในชุด หนีเสือปะจระเข้ ที่ข้างตึกร้าง “สาทรยูนิคทาวเวอร์”ย่านบางรัก กรุงเทพฯ ด้วย

3. ไทย จับกุมสายลับชาวเขมร ขณะเข้ามาสอดแนมที่ อ.กันทรลักษณ์ ด้านกัมพูชา ยังปากแข็ง อ้าง ไทยสร้างเรื่อง!
โฉมหน้าสายลับของกัมพูชาที่ถูกทางการไทยจับกุม
สัปดาห์ที่ผ่านมา ปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชายังคงมีหลายประเด็นให้พูดถึง เริ่มด้วยกรณีที่กัมพูชากล่าวหาว่าเครื่องบินของไทยรุกล้ำน่านฟ้าประเทศกัมพูชา พร้อมอ้างว่ากองกำลังติดอาวุธของไทยเตรียมโจมตีกัมพูชาอีกครั้ง กระทรวงต่างประเทศกัมพูชาจึงได้เรียกเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญเข้าพบเพื่อยื่นหนังสือประท้วงมายังรัฐบาลไทย ร้อนถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทยต้องชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง โดยนายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งข้อสังเกตว่า “เป็นไปได้ว่า หากมองจากฝั่งกัมพูชา อาจจะเห็นว่า(เครื่องบินของไทย) ล้ำในดินแดนกัมพูชา เนื่องจากมองในมุมเฉียง อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจะมีหนังสือปฏิเสธข้อกล่าวหาและชี้แจงไปยังกัมพูชา เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ”

นอกจากเรื่องที่กัมพูชากล่าวหาว่าเครื่องบินไทยรุกล้ำน่านฟ้าแล้ว ยังมีกรณีที่ พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก เผยก่อนหน้านี้ว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยสมเด็จฯ ฮุน เซน ได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาพิพาทระหว่าง 2 ประเทศ 3 ข้อ คือ 1.ให้ไทยและกัมพูชาถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาทกลับไปอยู่ที่ตั้งปกติ 2.ให้ไทยและกัมพูชาทำธุรกิจร่วมกันในพื้นที่ 4.6 ตร.กม. และ 3.การปักปันเขตแดน ให้คณะกรรมการปักปันเขตแดนไปตกลงกันเอง โดยสมเด็จฯ ฮุน เซน พร้อมจะจับมือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หากยินยอมรับข้อเสนอนี้ ปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ ได้ออกมาพูดถึงเรื่องดังกล่าวว่า พร้อมจะพูดคุยข้อเสนอดังกล่าว แต่ฝ่ายกัมพูชาต้องแสดงความจริงใจด้วยการถอนเรื่องตีความคดีปราสาทพระวิหารออกจากศาลโลกก่อน รวมทั้งบอกคณะกรรมการมรดกโลกด้วยว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารฝ่ายเดียวจะหยุดเอาไว้เพื่อมาคุยกับฝ่ายไทยก่อน

ด้านสมเด็จฯ ฮุน เซน ได้ฟังคำพูดนายอภิสิทธิ์แล้วไม่พอใจ รีบออกมายืนยันว่า กัมพูชาจะไม่ถอนคดีที่ยื่นให้ศาลโลกตีความคดีปราสาทพระวิหารแน่นอน พร้อมปฏิเสธว่าจะไม่มีการหารือเพื่อร่วมจัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตร.กม.กับฝ่ายไทยด้วย สมเด็จฯ ฮุน เซน ยังย้ำด้วยว่า จะไม่ถอนทหารออกจากดินแดนของตัวเอง เพื่อแลกกับการเข้ามาประจำการของนักสังเกตการณ์จากอินโดนีเซียเพียงไม่กี่คนแน่

เป็นที่น่าสังเกตว่า คำกล่าวหาที่กัมพูชาเคยว่าคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มนายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ว่ารุกล้ำดินแดนกัมพูชาและจารกรรมข้อมูลทางทหารของกัมพูชา กระทั่งถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุกไปแล้วนั้น ขณะนี้ความจริงเริ่มปรากฏแล้วว่า ชาวกัมพูชาต่างหากที่พยายามจารกรรมข้อมูลทางทหารจากฝ่ายไทย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. โดยตำรวจ สภ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ร่วมกับทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษณ์ สามารถจับกุมสายลับได้ 3 คนที่ถนนกันทรลักษณ์-เขาพระวิหาร ต.เมือง อ.กันทรลักษณ์ โดยมีคนไทยร่วมขบวนการด้วย ทราบชื่อคือ นายอึ้ง กิมไทย สัญชาติและเชื้อชาติกัมพูชา ,นายเหวียง เติ้งยัง สัญชาติและเชื้อชาติเวียดนาม และนายสุชาติ มูฮัมหมัด สัญชาติและเชื้อชาติไทย

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จับกุมสายลับดังกล่าวได้พร้อมรถกระบะโตโยต้า ขณะที่ทั้งสามได้เข้ามาสอดแนมฐานที่ตั้งของทหารพรานและหลุมหลบภัยบริเวณบ้านภูมิซรอล จากการตรวจค้นพบแผนที่ทางทหารของกัมพูชา มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 และแผนที่ประเทศไทย มาตราส่วน 1 ต่อ 1,200,000 พร้อมโทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง โดยในแผนที่ประเทศไทยมีการจดข้อความพิกัดหมายเลข 10 หลัก ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันเฉพาะผู้ต้องหา นอกจากนี้จากการตรวจสอบยังพบว่านายสุชาติและนายอึ้งมีสารเสพติดด้วย โดยทั้งสองสารภาพว่าได้เสพยาบ้ามาก่อนหน้านี้

ด้านเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาสายลับทั้งสามว่า ร่วมกันกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งความลับสำหรับความปลอดภัยของประเทศ โดยนายสุชาติและนายอึ้งถูกเพิ่มข้อหาอีก 1 ข้อหา คือเสพยาเสพติด จากนั้นได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสามส่งให้ สภ.กันทรลักษณ์ ดำเนินคดีต่อไป

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังสายลับทั้งสามถูกทางการไทยจับกุม ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ฝั่งกัมพูชาได้ประสานมายังฝ่ายความมั่นคงของไทย เพื่อขอตัวผู้ต้องหาทั้งสาม แต่ฝ่ายไทยปฏิเสธ เนื่องจากไม่มีคำสั่งจากหน่วยเหนือให้ปล่อยตัว ด้านนายแมน วันนา กงสุลใหญ่กัมพูชาประจำจังหวัดสระแก้ว ได้เข้าเยี่ยม 3 ผู้ต้องหาที่ สภ.กันทรลักษณ์ โดยบอกว่า มาดูแลและหาทางช่วยเหลือ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่า จะนำตัวสายลับทั้ง 3 คน ไปแลกกับนายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ผู้สื่อข่าวเอฟเอ็มทีวี ที่ติดคุกอยู่ในกัมพูชาหรือไม่ แต่นายอภิสิทธิ์ เลี่ยงตอบ โดยบอกว่า กำลังดูรายละเอียด เพราะต้องสอบสวนต้นเหตุและวัตถุประสงค์ของคนทั้งสามก่อน เนื่องจากมีเอกสารหลายอย่าง รวมทั้งแผนที่ด้วย นายอภิสิทธิ์ ยังบอกด้วยว่า จะแจ้งให้กัมพูชาทราบถึงการจับกุมสายลับทั้ง 3 คน พร้อมย้ำว่า ไทยรับไม่ได้กับการกระทำดังกล่าว “ขณะเดียวกันนายสุวิทย์จะนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในเวทีอื่นๆ ว่านี่คือการแสดงออกถึงเจตนาของกัมพูชา นอกจากนี้ยังสามารถส่งให้คณะกรรมการมรดกโลก รวมถึงอาจยื่นต่อศาลโลกด้วย ผมมั่นใจว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับฝ่ายไทย และหากต่างชาติได้เห็นข้อมูลนี้จะเห็นได้ว่า สิ่งที่กัมพูชาอ้างมาตลอดว่าไทยรุกรานเขาก่อนนั้น ไม่มีหลักฐานใดเลย ตรงกันข้ามกลับมากระทำอย่างนี้อีก”

ด้านกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์โดยปฏิเสธว่า บุคคลทั้งสามที่ถูกทางการไทยจับกุม ไม่ใช่สายลับของกัมพูชาตามที่นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวหา แต่เป็นการสร้างเรื่องขึ้นมาของเจ้าหน้าที่และนายกรัฐมนตรีไทย เพื่อเป็นข้ออ้างในการรุกรานกัมพูชาในอนาคตเท่านั้น และกัมพูชาเสียใจมากที่นายกรัฐมนตรีไทยได้เอาการโกหกเป็นนโยบายต่างประเทศของไทย

4. ทั่วโลก ผวาเชื้อ อี.โคไล สายพันธุ์ โอ 104 เอช 4 หลังคร่าชีวิตชาวยุโรปแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ราย ขณะที่ไทย ยังลุ้นผลตรวจ “กะหล่ำปลีปม”!


ข่าวที่ทำให้ทั่วโลกหวาดผวาในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ก็คือ การแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรีย อี.โคไล สายพันธุ์ โอ 104 เอช 4 ที่กำลังแพร่ระบาดในทวีปยุโรป ส่งผลให้มีผู้ป่วยแล้วเกือบ 3,000 ราย เสียชีวิตแล้วไม่น้อยกว่า 30 ราย ส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตอยู่ในเยอรมนี

เป็นที่น่าสังเกตว่า การแพร่ระบาดของเชื้อ อี.โคไล สายพันธุ์ โอ 104 เอช 4 ทำให้ประเทศในยุโรป(อียู)ต่างผวาไม่กล้ารับประทานผักสด แตงกวา และมะเขือเทศ เพราะสงสัยว่าอาจเป็นต้นเหตุของการแพร่เชื้อ อี.โคไล สายพันธุ์ดังกล่าว ขณะที่หลายประเทศประกาศห้ามนำเข้าผักผลไม้จากอียูเป็นการชั่วคราว

นอกจากผักสด แตงกวาและมะเขือเทศแล้ว ถั่วงอก ถั่วเขียว ถั่ว หัวผักกาด และบร็อกโคลี ก็ถูกสงสัยว่าเป็นต้นเหตุแพร่เชื้อ อี.โคไลสายพันธุ์ดังกล่าวเช่นกัน แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า จริงๆ แล้วต้นเหตุการแพร่ระบาดของเชื้อ อี.โคไลสายพันธุ์ดังกล่าวมาจากผักชนิดใดและจากแหล่งใดกันแน่

ขณะที่ประเทศไทยได้เตรียมพร้อมรับมือและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าวเช่นกัน โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ออก 4 มาตรการ คือ 1.แจกเอกสารให้ความรู้และการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ที่เดินทางมาจากอียู 2.สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) สุ่มตรวจอาหารที่นำเข้าจากอียูอย่างต่อเนื่อง 3.สั่งการให้โรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนใช้มาตรการเดียวกันในการดูแลผู้ป่วย 2 กลุ่มที่มีอาการต่อไปนี้ กลุ่มที่ถ่ายเหลว มีมูกปนเลือด และกลุ่มที่ถ่ายเป็นมูกเลือดร่วมกับอาการไตวายเฉียบพลัน โดยอาการจะเกิดขึ้นหลังกลับจากประเทศในอียูภายใน 1 สัปดาห์ และ 4.ให้กรมควบคุมโรคเป็นหน่วยงานหลักในการติดตามประสานงาน

ด้าน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี รองเลขาธิการ อย. เผยว่า ผักผลไม้ที่ไทยนำเข้าจากอียูในปี 2554 นี้ มีการนำเข้าจากฝรั่งเศสและอิตาลีเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าผลไม้ ส่วนถั่วงอกจากเยอรมนี ไทยนำเข้าน้อยมากหรือเกือบจะไม่ได้นำเข้าเลย

ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยว่า จากการสุ่มตรวจอโวคาโด 2 กิโลกรัมที่สนามบินสุวรรณภูมิซึ่งนำเข้าจากยุโรปเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. เบื้องต้นพบเชื้อ อี.โคไล แต่เมื่อตรวจสอบต่อว่าเป็นสายพันธุ์ใด พบว่า ไม่ใช่เชื้อ อี.โคไล สายพันธุ์ โอ 104 เอช 4 แต่อย่างใด โดยเป็นเชื้อ อี.โคไลที่พบได้ทั่วไปในสิ่งแวดล้อม และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่วนผลการตรวจกะหล่ำปลีปมที่นำเข้าจากยุโรปนั้น เบื้องต้นพบเชื้อ อี.โคไลเช่นกัน แต่ต้องตรวจสอบอีกครั้งว่าเป็นสายพันธุ์ โอ 104 เอช 4 หรือไม่ คาด ต้องใช้เวลา 2-3 วันจึงจะรู้ผล

นายจุรินทร์ ยังฝากถึงประชาชนด้วยว่า ไม่ต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อ อี.โคไล สายพันธุ์ โอ 104 เอช 4 เพราะสามารถป้องกันได้ด้วยการรับประทานผักที่ปรุงสุกหรือผ่านความร้อนหรือลวก เพราะเชื้อแบคทีเรียจะตายเมื่อถูกความร้อน 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป แต่หากจะรับประทานผักสดหรือผลไม้ ควรล้างให้สะอาดด้วยการเปิดน้ำไหลจากก๊อกแรงพอประมาณ ให้น้ำไหลผ่านผักสดผลไม้นานอย่างน้อย 2 นาที หรือใช้สารละลายอื่นๆ ล้างควบคู่ไปด้วย เช่น น้ำส้มสายชู และเกลือ เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น