เปิดตัวได้อย่างเผ็ดร้อนสำหรับการรณรงค์ “โหวตโน” ของภาคประชาชนโดยความร่วมมือของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” และ “พรรคเพื่อฟ้าดิน” ที่เริ่มต้นด้วยแคมเปญ “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” ที่จับเอาสัตว์ 5 ชนิด “หมา-เสือ-ควาย-ตัวเงินตัวทอง-ลิง” มาใส่สูทหรู เปรียบพฤติกรรมนักการเมืองและนำขึ้นประจานบนคัทเอาท์ขนาดใหญ่ และป้ายหาเสียงทั่วประเทศ
จนส่งผลบรรดา “นักกินเมือง” ทนไม่ได้ต้องออกมาเต้น ตีโพยตีพายเรียกผู้รับผิดชอบให้มาจัดการโดยด่วน
จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นเจ้าหน้าที่รัฐขี่ข้าผลัดกันออกมา “แอ็กชัน” เอาใจพวกนักกินเมืองด้วยกลวิธีต่างๆ นานา โดยพยายามอ้างว่าป้ายไม่เหมาะสม ไม่ใช่ป้ายเลือกตั้ง เพราะไม่มีรูปผู้สมัคร และหมายเลขประจำพรรค แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีผู้ใดที่กล้าลงมือจริงๆ
เพราะในความเป็นจริงทุกคนต่างรู้อยู่เต็มอกว่า ป้ายดังกล่าวไม่ได้ผิดข้อกฎหมาย หนำซ้ำยังเป็นการช่วยรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 3 ก.ค.เพียงแต่เชิญชวนให้ร่วมลงคะแนนใน “ช่องขวาล่างสุด” หรือไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครนั่นเอง
ที่สำคัญป้ายดังกล่าวยังติดตั้งในนามพรรคเพื่อฟ้าดิน ที่ส่งตัวผู้สมัครลงรับเลือกตั้งอย่างถูกต้อง ดังนั้นจึงมีสิทธิที่จะติดป้ายประชาสัมพันธ์เท่าเทียมกับพรรคการเมืองอื่นๆ
เมื่อมีคน “ลองของ” ในช่วงแรกโดย “เขตปทุมวัน” ที่ส่งเจ้าหน้าที่ออกมากวาดล้างป้ายสัตว์ทั้ง 5 ตัวที่โผล่อยู่ทั่วกรุงอย่างหนัก แถมยังยึดไปอีก 30 กว่าป้าย จนเป็นเหตุให้ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เลขาฯพรรคเพื่อฟ้าดิน ออกมายืนยันว่าไม่ผิดระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดไว้ พร้อมขอใช้สิทธิที่จะดำเนินคดีทางกฎหมายจนถึงที่สุด
สิ้นเสียง ร.ต.แซมดินไม่ทันข้ามคืน ป้ายทั้งหมดก็ถูกนำมาติดตั้งเข้าที่ทั้งหมดอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากนั้นก็ไม่เห็นว่าจะมีหน่วยงานใดกล้าลงมืออีกเลย มีเพียงการออกมาส่งเสียงข่มขู่ออกมาเป็นรายวัน อย่าง พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่ผิดคิวออกมาว่าจะส่งเจ้าหน้าที่ออกมาทำการรื้อถอนป้าย โดยลืมไปว่าเรื่องนี้ซึ่งอยู่ในช่วงการประกาศ พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เป็นอำนาจการชี้ขาดอยู่ที่ กกต. ไม่เกี่ยวข้องกับตำรวจแต่อย่างใด
เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ก็เกิดปรากฏการณ์ “อุ้มหาย” ลักพาป้ายโหวตโนในหลายจุด บางพื้นที่ก็เป็นไปในลักษณะทุบทำลาย และพ่นสีให้เกิดความเสียหาย พร้อมๆกับขบวนการคุกคามไม่ให้ติดตั้งป้ายก็มีให้เห็นในหลายพื้นที่ และมีบางฝ่ายยังไม่ลดละความพยายามในการหาข้ออ้างมาเล่นงานป้ายโหวตโนเหล่านี้ให้ได้
โดยล่าสุด กทม.ได้ส่งหนังสือไปยัง กกต.พิจารณาถึงความเหมาะสมแล้ว โดยหาก กกต.ชี้ว่าเป็นป้ายโฆษณาทั่วไป ก็จะเข้าดำเนินการจัดเก็บ โดยอ้าง พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ ทันที
แต่หากฟังเสียง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภา และประธานรัฐสภา ที่แตกต่างออกไปโดยเห็นว่า ป้ายโฆษณาอะไรที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสามารถปิดได้โดยไม่ผิด และหาก กกต.ไปห้ามการกระทำดังกล่าวก็อาจจะไปขัดต่อหลักการการมี “ส่วนร่วม” ของประชาชนในการปกครองระบอบประชาธิปไตยก็ได้
ไม่ทันที่ กกต.จะตัดสินชี้ขาดออกมา พันธมิตรฯ และพรรคเพื่อฟ้าดินก็ไม่รอช้า “ปล่อยของ” เป็นป้ายเวอร์ชันใหม่ออกมาเป็นที่เรียบร้อย 4 แบบด้วยกัน ที่ฉายภาพสัตว์การเมืองชัดเจนยิ่งขึ้น
ประกอบด้วย แบบที่ 1 ป้าย “หนีเสือปะจระเข้” ที่มีภาพ “เสือ” ใส่เสื้อฟ้า และ “จระเข้” ใส่เสื้อแดง สื่อความหมายว่า ไม่ว่าเลือกฝ่ายไหน ก็จะถูกนักการเมืองเข้ามาทำร้ายประเทศ
แบบที่ 2 เป็นป้ายระบุข้อความ “เลือกลำบากเพราะฉลาดทั้งคู่” โดยมีรูป “กระบือ” สวมเสื้อฟ้า และเสื้อแดงอยู่ภายในป้าย บ่งบอกว่ากระบือทั้ง 2 ตัวฉลาดทั้งคู่ แต่ก็ต้องถูกลากจูงไปในทิศทางใดก็ได้ หมายถึงการที่นักการเมืองต้องออกเสียงหรือยกมือตามมติของพรรค ซึ่งไม่สามารถนำการเมืองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นได้
แบบที่ 3 ป้ายระบุข้อความ “ร่วมประท้วงนักการเมืองโดยไม่ต้องมีการชุมนุม” สำหรับประชาชนที่เบื่อการเมืองและเบื่อการชุมนุมก็สามารถร่วมโหวตโน ซึ่งเป็นการใช้สิทธิประท้วงทางการเมืองได้ โดยไม่ต้องชุมนุม
และแบบที่ 4 ป้ายการ์ตูนล้อเลียนระบุข้อความ “3 ก.ค.วันตบโหลกนักการเมือง” ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่นโดยเฉพาะ โดยสื่อภาพการ์ตูนนักการเมืองถูกตบจนหัวโน แต่ไม่ได้หมายถึงใครเป็นการเฉพาะ แม้ว่าอาจจะดูคล้ายนักการเมืองบางคน แต่ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ก็ยืนยันว่าไม่ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
โดยป้ายเวอร์ชันใหม่ทั้ง 4 แบบจะถูกกระจายลงไปยังพื้นที่ต่างๆ ก่อนที่จะมีป้ายเวอร์ชันที่ 3 ออกมาอีกครั้งในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง พร้อมด้วยการรณรงค์โหวตโนครั้งใหญ่ในเร็วๆ นี้อีกด้วย
ในขณะที่ป้ายรณรงค์แบบต่างๆที่ออกมาเป็นการสะท้อนภาพของนักการเมืองที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนการเดินหน้ารณรงค์โดยไม่สนใจขบวนการคุกคามกลั่นแกล้ง ก็ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของภาคประชาชนที่จะเดินรณรงค์ต่อไป เพื่อหวังให้คะแนนเสียงโหวตโนจะเป็นการจุดประกายของการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่
โดยมีจุดยืนชัดเจนในการไม่ยอมเป็น “เบี้ยล่าง” ของระบบการเมืองที่ล้มเหลว และต่อต้านนักการเมืองไร้คุณภาพให้หมดไปจากแผ่นดิน