1. เขมร เตรียมปล่อยตัว “ศิวรักษ์” 14 ธ.ค.นี้ หลังได้รับอภัยโทษ ด้าน “ทักษิณ” รีบบินกัมพูชาร่วมพิธี!
ความคืบหน้ากรณีกัมพูชาจับกุมนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยบริษัท แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส หรือแคทส์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น โดยกล่าวหาว่านายศิวรักษ์จารกรรมตารางกำหนดการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เดินทางเข้าประเทศกัมพูชา โดยสัปดาห์ก่อน หลังจากนางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์ ได้เข้าพบ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ปรากฏว่า นางสิมารักษ์ได้ตัดสินใจไม่ยื่นขอประกันตัวบุตรชายพร้อมเปลี่ยนตัวทนายความคนใหม่ให้นายศิวรักษ์ โดยไม่ใช้ทนายความที่กระทรวงการต่างประเทศจัดให้ ขณะที่ พล.อ.ชวลิตพูดเป็นนัยว่า หลังศาลกัมพูชาพิพากษาคดีในวันที่ 8 ธ.ค. เชื่อว่าจะมีข่าวดี และว่า วันที่ 9-10 ธ.ค.นายศิวรักษ์น่าจะได้รับการปล่อยตัวนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.นางสิมารักษ์ได้เดินทางไปกัมพูชาพร้อมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อรอฟังคำตัดสินคดีของศาลกัมพูชาในวันที่ 8 ธ.ค.
ซึ่งเมื่อถึงกำหนด นายเค สกาน หัวหน้าคณะผู้พิพากษาของศาลกรุงพนมเปญ ได้อ่านคำพิพากษาว่า “นายศิวรักษ์มีความผิดจริงในข้อหาสอดแนมข้อมูลของ พ.ต.ท.ทักษิณระหว่างเยือนกัมพูชา ด้วยการส่งข้อมูลเกี่ยวกับกำหนดการเที่ยวบินให้กับสถานทูตไทย เนื่องจากข้อมูลการเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณถือเป็นความลับ การนำข้อมูลไปเปิดเผยต่อผู้อื่นจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยสำหรับบุคคลสำคัญ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชา ดังนั้นกัมพูชาจึงมีพันธกรณีที่จะให้การดูแลรักษาความปลอดภัยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ”
คำพิพากษา ยังระบุด้วยว่า “กำหนดการเที่ยวบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรัฐบาลไทย แต่ขณะเดียวกัน ข้อมูลดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อ พ.ต.ท.ทักษิณได้ และหากเกิดอะไรขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ กัมพูชาย่อมถูกตำหนิ และนั่นอาจนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่มีปัญหากับไทย”
ทั้งนี้ ศาลกัมพูชาได้พิพากษาลงโทษจำคุกนายศิวรักษ์ 7 ปี และปรับเป็นเงิน 10 ล้านเรียล หรือราว 85,000 บาท โดยระบุว่าเป็นโทษที่ต่ำสุดสำหรับความผิดเกี่ยวกับการละเมิดความมั่นคงแห่งชาติและความปลอดภัยของสาธารณะ
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้นายศิวรักษ์จะขอให้ศาลยกข้อหา เพราะไม่ได้จารกรรมข้อมูลใดใดตามที่ถูกกล่าวหา แต่ศาลกัมพูชาไม่ให้น้ำหนัก โดยระบุว่า นายศิวรักษ์ยอมรับว่าได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกของสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญจริง แม้จะระบุว่าเป็นเพียงการยืนยันว่าเที่ยวบินเช่าเหมาลำลงจอดแล้ว โดยที่ไม่รู้เลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณโดยสารมาในเที่ยวบินดังกล่าว
ด้านนางสิมารักษ์ ได้โอดครวญหลังฟังคำตัดสินของศาลกัมพูชาว่า “หลังจากนี้คงไม่มีที่พึ่งใดอีกแล้ว นอกจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ,พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ให้ช่วยลูกของดิฉันให้ได้รับอิสรภาพด้วยการขอพระราชทานอภัยโทษ...” นางสิมารักษ์ยังจี้ให้นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอก สถานทูตไทยในกัมพูชา ให้ออกมาแสดงความรับผิดชอบที่เป็นต้นเหตุให้นายศิวรักษ์ต้องถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุกด้วย “เรื่องนี้บุตรชายเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านจะปล่อยให้น้องเขารับกรรมแทนท่านหรือ ขอให้คุณคำรบออกมาแสดงความรับผิดชอบเสียหน่อย เพราะถ้าท่านไม่โทรศัพท์ไปหา เรื่องก็จะไม่เกิดขึ้น...”
นางสิมารักษ์ ยังได้โฟนอินเข้าโทรศัพท์มือถือของนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เพื่อแถลงข่าว(9 ธ.ค.) โดยให้เหตุผลที่ขอความช่วยเหลือจาก พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.ชวลิต และพรรคเพื่อไทยว่า เพื่อให้นายศิวรักษ์ได้รับการปล่อยตัวโดยเร็วที่สุด นางสิมารักษ์ยังได้ประกาศไม่ขอรับความช่วยเหลือจากกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลด้วย โดยอ้างว่า เพราะรัฐบาลเป็นคู่ขัดแย้งกับสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นางสิมารักษ์ ยังยืนยันด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้สร้างฉากเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ใคร และว่า ลูกชายไม่ได้ตั้งใจทำความผิด แต่อาจพลั้งเผลอหรือตกเป็นเครื่องมือของผู้อื่นกระทำการดังกล่าวด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ด้านนายพร้อมพงศ์ พูดถึงการขอพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์(10 ธ.ค.)ว่า พล.อ.ชวลิตได้เซ็นหนังสือขอความอนุเคราะห์จากสมเด็จฯ ฮุน เซนแล้ว ขณะที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้ลงชื่อขอความอนุเคราะห์ในหนังสืออีกฉบับหนึ่ง ส่วนอีกฉบับหนึ่งตนจะนำไปให้นางสิมารักษ์เซ็นที่ประเทศกัมพูชา ก่อนรวมทั้ง 3 ฉบับไปยื่นที่ทำเนียบรัฐบาลกัมพูชาในวันที่ 14 ธ.ค. อย่างไรก็ตาม บ่ายวันเดียวกัน(10 ธ.ค.) นายพร้อมพงศ์ได้เปิดแถลงเปลี่ยนแผนการที่จะเดินทางไปกัมพูชาเพื่อยื่นหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์ เป็นการยื่นหนังสือผ่านสถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยแทน โดยอ้างว่า นายสิมารักษ์โทรศัพท์มาขอร้องให้รีบดำเนินการ เป็นที่น่าสังเกตว่า ท่าทีของพรรคเพื่อไทยกลับไปกลับมา เพราะพอตกเย็นวันเดียวกัน นายพร้อมพงศ์ได้ออกมาเปลี่ยนแผนอีก โดยจะไม่ยื่นหนังสือผ่านสถานทูตกัมพูชาในไทยแล้ว แต่จะใช้วิธีเดินทางไปยื่นหนังสือที่กัมพูชาแทน โดยอาจจะไปให้เร็วขึ้นก่อนวันที่ 14 ธ.ค.
นายพร้อมพงศ์ ยังพูดถึงหนังสือของนางสิมารักษ์ที่ขอความช่วยเหลือจาก พ.ต.ท.ทักษิณด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ได้ลงนาม แต่ทราบจากนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้โทรศัพท์ประสานเป็นการส่วนตัวกับสมเด็จฯ ฮุน เซนแล้ว โดยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว และว่า “แม้นายศิวรักษ์จะมีเจตนาคิดร้ายต่อท่านหรือไม่ก็ตาม ตัวท่านเองไม่ได้ติดใจที่นายศิวรักษ์ให้ข้อมูลตารางการบิน จนทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย และถือว่านายศิวรักษ์เป็นแพะคนหนึ่งในวังวนของการไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ”
วันต่อมา(11 ธ.ค.) สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า กษัตริย์นโรดม สีหมุนี แห่งกัมพูชา ได้พระราชทานอภัยโทษแก่นายศิวรักษ์ตามการขอพระราชทานอภัยโทษจากครอบครัวและทนายความของนายศิวรักษ์แล้ว
ด้านนายเขียว กันนะริด โฆษกรัฐบาลกัมพูชา เผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีบทบาทสำคัญในการทำให้นายศิวรักษ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยการโทรศัพท์หาสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และขอให้สมเด็จฯ ฮุน เซน ให้ความเมตตาแก่นายศิวรักษ์ นายเขียว บอกด้วยว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน บอกว่า หากนายศิวรักษ์ยังต้องการที่จะทำงานในกัมพูชา ก็ยินดี
ทั้งนี้ กัมพูชาจะมอบตัวนายศิวรักษ์ให้กับนางสิมารักษ์ มารดา ในวันที่ 14 ธ.ค. โดยสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะเป็นผู้ทำพิธีส่งมอบตัวให้ด้วยตนเอง และมีความเป็นไปได้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณอาจเดินทางไปร่วมพิธีดังกล่าวด้วย
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทวิตข้อความในเว็บไซต์ทวิตเตอร์(12 ธ.ค.)โดยไม่บอกว่าจะเดินทางไปร่วมพิธีปล่อยตัวนายศิวรักษ์ที่กัมพูชาหรือไม่ เพียงแต่บอกว่า จะเดินทางไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำ 3 ประเทศแถบเอเชียสัก 7-8 วัน พ.ต.ท.ทักษิณ ยังปฏิเสธด้วยว่า กรณีนายศิวรักษ์ถูกกัมพูชาจับกุมและสุดท้ายได้รับพระราชทานอภัยโทษนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ตน “ชงเองกินเอง”แต่อย่างใด
ล่าสุดมีรายงานในวันนี้(13 ธ.ค.)ว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางถึงกัมพูชาแล้ว โดยได้เดินทางเข้าบ้านพักของสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา ก่อนเดินทางไปเยี่ยมนายศิวรักษ์ที่เรือนจำ
ด้าน พล.ท.พิรัช สวามิวัศดุ์ นายทหารคนสนิท พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เผยว่า พล.อ.ชวลิต จะไม่เดินทางไปร่วมพิธีส่งมอบตัวนายศิวรักษ์อย่างแน่นอน แค่ให้ความช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังยังถูกพรรคประชาธิปัตย์ด่าแล้ว หากเดินทางไปร่วมพิธีก็จะมีคำครหาว่าจัดฉากตามมาอีก ทั้งที่ความจริงเจตนาต้องการช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน
ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดแถลง(12 ธ.ค.)แสดงความยินดีที่คดีของนายศิวรักษ์จบลงด้วยดี พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยคนไทยที่ถูกจับกุม อย่างไรก็ตาม นพ.บุรณัชย์ เชื่อว่า เมื่อเวลาผ่านไป ข้อเท็จจริงจะปรากฏ ประชาชนจะฉุกคิดได้ว่าการถูกจับกุมครั้งนี้เกิดจากอะไร โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณและ พล.อ.ชวลิตที่ใช้สถานการณ์นี้เข้ามาแก้ปัญหา ทั้งที่ทั้งสองคนเป็นต้นเหตุ
2. “เสธ.แดง”ส่อถูกพักงาน หลังนำอดีตทหารพรานมาเป็นการ์ดให้กลุ่มเสื้อแดง!
ความคืบหน้ากรณีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ประกาศนัดชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 10 ธ.ค.โดยไม่สนใจเสียงท้วงติงจากหลายฝ่ายที่เห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของคนไทยที่รัฐบาลจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวระหว่างวันที่ 5-13 ธ.ค.ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าและถนนราชดำเนิน แต่แกนนำ นปช.ก็อ้างว่า การชุมนุมไม่กระทบกับการจัดงานดังกล่าว และแม้ว่าหลายฝ่ายจะเรียกร้องให้แกนนำ นปช.ยกเลิกการชุมนุมในวันที่ 10 ธ.ค.เพื่อสนองพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ว่า ความสุขสวัสดีของพระองค์จะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อบ้านเมืองมีความเจริญมั่นคงเป็นปกติสุข แต่แกนนำ นปช.ก็ยังยืนยันไม่เลื่อนการชุมนุม แถมขู่ว่า หากรัฐบาลสร้างสถานการณ์หรือใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง จะชุมนุมยืดเยื้อ ขณะที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้ออกมาเตือนรัฐบาลและทหารว่าอย่าออกมา เพราะขณะนี้กองกำลังทหารพรานค่ายปักธงชัย ที่เคยเป็นของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ได้เริ่มรวมตัวกันนับพันคนพร้อมอาวุธหนัก เพื่อปกป้องคนเสื้อแดงแล้วนั้น ปรากฏว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ออกมาประณามการกระทำของ เสธ.แดงที่พยายามนำอดีตทหารพรานค่ายปักธงชัยมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองด้วยการมาร่วมชุมนุมและเป็นการ์ดให้กลุ่มเสื้อแดง พล.อ.อนุพงษ์ บอกด้วยว่า ได้ให้ส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการกับ เสธ.แดงตามกฎระเบียบและกฎหมายแล้ว
ด้าน เสธ.แดง ออกอาการกร้าว โดยประกาศว่า “ถ้าจะปลดผม ไม่มีกฎหมายไหนทำได้ เพราะเรื่องถอดยศเป็นพระราชอำนาจ ถ้าจะพักราชการ ก็ต้องผิดอาญา พูดแค่นี้คดีขี้หมา แล้วถ้าพักราชการผมจริง แสดงว่าเป็นการกลั่นแกล้งส่วนตัว” เสธ.แดง ยังพูดเชิงข่มขู่ พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาด้วยว่า “ กูทำอะไรให้มึง กูนี่แหละออกมาช่วยมึงคนเดียวทั้งกองทัพ มาใช้อำนาจมิชอบแบบนี้ ก็ให้อยู่แต่ในกองทัพบก อย่าออกมาก็แล้วกัน ไม่ได้ขู่นาย แต่ถ้าทำผมแบบนั้น ก็ไม่ใช่นายผม”
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมอาสาสมัครทหารพรานค่ายปักธงชัย จ.นครราชสีมาเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีก่อตั้งชมรมนักรบดำ ค่ายปักธงชัย ซึ่งเป็นการรวมตัวของอดีตอาสาสมัครทหารพราน 3 จังหวัด ประกอบด้วย นครราชสีมา ,อุบลราชธานี และกทม.กว่า 900 นาย โอกาสนี้ พล.อ.อนุพงษ์ได้มอบเงิน 5 ล้านบาทสนับสนุนการจัดตั้งชมรมนักรบดำด้วย พล.อ.อนุพงษ์ ยังให้สติอาสาสมัครทหารพรานเหล่านี้ด้วยว่า “ทหารกองทัพบกทุกคนไม่มีสี... ถ้าข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ แยกไปคนละสีตามอำเภอใจ กลียุคจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าผู้ที่ถืออาวุธ หรือเคยถืออาวุธไปถูกกล่าวอ้างอย่างที่กำลังเป็นอยู่ เกิดกลียุคแน่นอน”
ขณะที่ เสธ.แดง ได้ออกมาหักหน้า พล.อ.อนุพงษ์ด้วยการนำภาพที่ตนถ่ายร่วมกับอดีตทหารพรานค่ายปักธงชัยมาโพสต์ขึ้นเว็บไซต์ของตน โดยอ้างว่าเป็นภาพที่ถ่ายเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ก่อนหน้าที่ พล.อ.อนุพงษ์จะเดินทางไปเยี่ยมอดีตทหารพรานเหล่านั้น ไม่เท่านั้น เมื่อถึงวันชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง 10 ธ.ค. เสธ.แดงก็ได้นำอดีตทหารพรานประมาณ 200 คนมาเปิดแถลงข่าวที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยประกาศเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง และจะรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม เสธ.แดง ยังท้าให้ พล.อ.อนุพงษ์ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกด้วย “ที่มีแม่ทัพนายกองบอกว่า ถ้าวันนี้ทหารพรานออกมาจะขอลาออก วันนี้ท่านต้องลาออกจากผู้บัญชาการทหารบก เพราะทหารพรานมาตามสัญญา...”
ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก เผยว่า กองทัพบกได้ตั้งคณะกรรมการสอบเอาผิดวินัย พล.ต.ขัตติยะ หรือเสธ.แดง โดยมีกรอบความผิดใหญ่ 2 เรื่อง 1.การลาราชการไปต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีที่ เสธ.แดงเดินทางไปประเทศกัมพูชา เพื่อพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และ 2.การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกองทัพและผู้บังคับบัญชา ซึ่งคณะกรรมการได้สรุปผลสอบและส่งเรื่องให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหมพิจารณาแล้ว
ทั้งนี้ มีรายงานจากกองทัพบกว่า คณะกรรมการสอบได้มีมติเสนอให้ พล.อ.อนุพงษ์ สั่งพักราชการ เสธ.แดง ฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของทหาร ซึ่งกองทัพบกส่งเรื่องผ่านไปยังกระทรวงกลาโหมเพื่อให้ พล.อ.ประวิตรพิจารณาแล้ว
ด้าน เสธ.แดงรีบออกมาโวยวาย(12 ธ.ค.)ว่า เรื่องพักราชการเป็นเรื่องมั่ว เพราะยังไม่มีการสอบ เสธ.แดง ยังไม่วายพูดข่มขู่ พล.อ.อนุพงษ์และกองทัพบกด้วยว่า “ผมยังไม่เห็นว่าทางกองทัพบกส่งผลสรุปให้พักราชการ ถ้าเห็น ผมบอกแล้วว่าไม่รับรองว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่กองทัพบก...”
ด้าน พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม เผยว่า ขณะนี้หนังสือเสนอให้ลงโทษ พล.ต.ขัตติยะ หรือเสธ.แดง อยู่ที่กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม เพื่อพิจารณาและตรวจสอบเพื่อนำเสนอตามขั้นตอนสู่ พล.อ.ประวิตร เพื่อพิจารณาตัดสินใจ ส่วนจะทำตามที่กองทัพบกเสนอมาหรือไม่ คาดว่าสัปดาห์หน้าอาจจะรู้ผล
ส่วนความเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้น ไฮไลต์อยู่ที่การวิดีโอลิงก์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งได้พูดโจมตีว่าบ้านเมืองที่วุ่นวายอยู่ในขณะนี้ เพราะมีอำนาจพิเศษมาล้มล้างทุกอำนาจ “วันนี้ราษฎรถูกปกครองโดยคนส่วนน้อย ไม่ได้ถูกปกครองโดยปวงชนอย่างแท้จริง ฉะนั้นจะต้องย้อนกลับไปถึงเจตนารมณ์การปกครองอย่างชั่วคราว ที่บอกว่าอำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของราษฎร...”
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ออกมายืนยันว่า จำนวนผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ไม่ได้น้อยหรืออ่อนกำลังลงแต่อย่างใด และว่า ถือเป็นการซ้อมใหญ่ ส่วนการชุมนุมใหญ่นั้น แกนนำยังไม่ได้หารือกัน แต่คาดว่าจากนี้ถึงช่วงปีใหม่จะไม่นัดชุมนุมใหญ่ โดยจะหารือและวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองอีกครั้งหลังปีใหม่
เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นและจับกุมชายคนหนึ่ง ซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์และสวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำมีข้อความว่า “การ์ด นปช.”โดยสะพายกระเป๋าและมีท่าทางพิรุธ จากการตรวจค้นพบอาวุธมีดสปาร์ตา ทราบชื่อคือ นายสายชล แพบัว อายุ 27 ปี ชาว จ.ชัยนาท สอบสวนเบื้องต้นให้การว่าเป็นการ์ด นปช. หลังเจ้าหน้าที่นำตัวไปสอบสวนที่ สน.สำราญราษฎร์ ได้ลงโทษด้วยการเปรียบเทียบปรับ
3. “เสธ.หนั่น” เตรียมคายเก้าอี้รัฐมนตรี ให้ลูกเสียบแทน ด้านฝ่ายค้าน เล็งเปิดซักฟอกนายกฯ + 5 รมต.!
หลังเกิดกรณีรัฐมนตรีหลายคนถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)มีมติว่าถือหุ้นขัดรัฐธรรมนูญ ขณะที่บางส่วนเจตนาปกปิดการถือหุ้นหรือซุกหุ้น โดย กกต.มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดอีกครั้งว่ารัฐมนตรีที่ กกต.มีมติ จะต้องพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ ประกอบกับพรรคเพื่อไทยฝ่ายค้านเตรียมขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหลังเปิดสมัยประชุมสภาในปีหน้า ส่งผลให้เกิดกระแสข่าวรัฐบาลอาจปรับ ครม.นั้น ปรากฏว่า ล่าสุด มีแกนนำในพรรคร่วมรัฐบาลส่งสัญญาณอยากสละเก้าอี้รัฐมนตรีเพื่อให้ทายาทรั้งตำแหน่งแทน นั่นคือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา โดยบอกถึงแนวคิดที่ต้องการลาออกจากรองนายกฯ ว่า ทำงานฝ่ายบริหารมาหลายกระทรวงแล้ว ได้เป็นรัฐมนตรีมาตั้งแต่สมัยที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯ เฉพาะตำแหน่งรองนายกฯ ก็ผ่านนายกฯ มา 5 คนแล้ว ฉะนั้น วันนี้จึงมองไม่เห็นความท้าทายในการทำหน้าที่ตรงนั้นแล้ว จึงอยากถอยให้คนรุ่นใหม่มาทำหน้าที่แทน และจะหันไปทำงานด้านสภานิติบัญญัติมากขึ้น ส่วนเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีของนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ ส.ส.พิจิตร พรรคชาติไทยพัฒนา บุตรขายของตนนั้น พล.ต.สนั่น บอกว่า ต้องรอมติพรรคว่าจะเลือกใคร
พล.ต.สนั่น ยังแสดงความมั่นใจด้วยว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะอยู่ยาว “ผมประเมินว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ได้ยาว เพราะดูนายกฯ อภิสิทธิ์มีความตั้งใจทำงาน ขยัน และซื่อสัตย์ มีความเฉียบแหลม และ 1 ปีที่ผ่านมามีผลงานออกมามาก ทั้งเรื่องรายได้ของประชากรที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น ประชาชนอยากให้อยู่นานขึ้น”
ด้านนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐมนตรีบางคนในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์พิจารณาตัวเอง เพราะ 1 ปีที่ผ่านมาไม่มีผลงาน โดยเฉพาะนายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และนายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม “ส่วนตัวเห็นว่า คนที่ควรพิจารณาตัวเอง ได้แก่ นายวีระชัย วีระเมธีกุล เพราะไม่เห็นว่ามีผลงานอะไรเลย หรือว่าคุยกับประเทศจีนอยู่เพียงอย่างเดียว แม้นายวีระชัยจะมาจากกลุ่มทุนที่สนับสนุนพรรค แต่เวลาที่ผ่านมา 1 ปีก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะยังมีหลายคนที่เหมาะสมกับการเป็นรัฐมนตรี แต่ขณะนี้ทำได้เพียงซ้อมอยู่ข้างสนามอย่างเดียว เช่น นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก หรือนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม. รัฐมนตรีอีกคนที่เห็นว่าผลงานเงียบมาก ได้แก่ นายธีระ สลักเพชร ขณะที่รัฐมนตรีคนอื่นผมถือว่าทำงานพอใช้ได้”
นายบุญยอด ยังพูดถึงกรณีที่ พล.ต.สนั่น เตรียมสละตำแหน่งรัฐมนตรีให้นายศิริวัฒน์ บุตรชายว่า “ตำแหน่งรัฐมนตรีไม่ใช่สมบัติผลัดกันชม ที่สำคัญอยากถามว่า ที่ผ่านมา พล.ต.สนั่นได้ทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศชาติบ้าง ถ้าบอกว่าเบื่อแล้ว เพราะเป็นรัฐมนตรีมาหลายครั้งแล้ว ก็น่าจะคืนโควตารองนายกฯ มาให้กับประชาธิปัตย์ จะได้ส่งคนที่มีกำลังไปช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง” นายบุญยอด ยังพูดถึงนายศิริวัฒน์ บุตรชาย พล.ต.สนั่นด้วยว่า “ถามว่า นอกจากอายุ 36 ปีแล้ว ที่ผ่านมานายศิริวัฒน์เคยทำอะไรให้กับใครบ้าง เพราะหากถามผม แม้แต่ชื่อก็ยังสะกดไม่ถูกเลย หากต้องการให้นายศิริวัฒน์เป็นรัฐมนตรี ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองก่อน ไม่ใช่มายกให้กันง่ายๆ เช่นนั้น”
ด้านนายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา พูดถึงกรณีที่ พล.ต.สนั่นอยากลาออกจากรองนายกฯ ว่า เป็นเพียงแนวคิดส่วนตัวของ พล.ต.สนั่นเท่านั้น คาดว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้ คงจะมีการหารือกันในระดับแกนนำของพรรคเพื่อพิจารณาว่าจะเห็นด้วยหรือคัดค้านแนวคิดนี้ นายวัชระ ยังส่งสัญญาณด้วยว่า หากพรรคเห็นชอบให้ พล.ต.สนั่นลาออกจากรองนายกฯ ก็จะไม่มีการคืนโควตาตำแหน่งดังกล่าวให้พรรคประชาธิปัตย์แน่นอน “พรรคขอขอบคุณเสียงท้วงติงจากหลายฝ่ายที่มีถึงแนวคิดของ พล.ต.สนั่น ในที่สุด หากพรรคเห็นชอบกับแนวคิดของ พล.ต.สนั่น โควตารัฐมนตรีของพรรค 4 ตำแหน่งก็จะเหมือนเดิม เพราะตำแหน่งรองนายกฯ เป็นของพรรคมาโดยตลอด ถ้า พล.ต.สนั่นลาออกไป ก็คงเป็นนายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวฯ หัวหน้าพรรค ที่จะดำรงตำแหน่งควบเก้าอี้รองนายกฯ”
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม.ของพรรค ออกมาจี้ให้นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และนายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พิจารณาตัวเองด้วยการลาออก เพราะไม่มีผลงาน โดยยืนยันว่า นายวีระชัยและนายธีระทำงานใช้ได้ แต่งานที่ทำเป็นงานที่ยากและคนไม่ค่อยเห็น “ผมติดตามดูแล้ว ทั้งสองคนเป็นคนที่ทำงานได้ดี และยังไม่เห็นเหตุผลหรือความจำเป็นที่จะปรับ ครม. เพราะรัฐมนตรีทั้งหลายทำงานได้ดี” นายสุเทพ ยังปฏิเสธด้วยว่า นายวีระชัยไม่ใช่นายทุนของพรรค แต่ที่นายวีระชัยได้เป็นรัฐมนตรี เพราะพรรคพิจารณาแล้วเห็นว่านายวีระชัยมีความรู้ความสามารถ
ขณะที่นายวีระชัย วีระเมธีกุล พูดถึงกรณีที่ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์กดดันให้พิจารณาตัวเองเพราะไม่มีผลงาน โดยยืนยันว่า ไม่ได้คิดอะไร เมื่อนายกฯ ยังให้โอกาสทำงาน ก็ขอทำงานอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับนายธีระ สลักเพชร ที่ไม่อยากพูดถึงกระแสกดดันให้พิจารณาตัวเองเช่นกัน โดยบอก ไม่อยากพูดเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องยุทธศาสตร์ทางการเมือง “ผมคงไม่มีอะไรต้องเคลียร์กับนายบุญยอด เพราะไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะตอนนี้งานเยอะจนทำไม่ไหวอยู่แล้ว...”
สำหรับความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยนั้น ได้เตรียมประชุมพรรคในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ เพื่อเตรียมข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมทั้งหาผู้ที่จะทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภา โดยนายวุฒิพงศ์ ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย แย้มว่า รัฐมนตรีที่จะถูกอภิปราย ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ,นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ ,นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ,นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีสาธารณสุข ,นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีคมนาคม และว่า หากนายกฯ ตัดสินใจปรับ ครม.เพื่อหนีการซักฟอก ถ้ารัฐมนตรีเหล่านั้นไม่อยู่ ก็ต้องด่านายกฯ แทนในฐานะเป็นคนแต่งตั้งรัฐมนตรี
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย หลังจากหายตัวเงียบไปนานกว่า 1 เดือน พร้อมกับมีข่าวลือว่าป่วยเป็นมะเร็ง ก็ได้เดินทางเข้าพรรคเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้ป่วยเป็นมะเร็ง แต่เกิดอาการหูดับฉับพลันเนื่องจากน้ำในหูไม่เท่ากัน จึงได้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้านาน 2 สัปดาห์
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ถาม ร.ต.อ.เฉลิม(11 ธ.ค.)ว่ามีหลักฐานเด็ดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือไม่ แต่ ร.ต.อ.เฉลิมไม่ยอมบอก โดยให้รอดูในวันอภิปรายในสภา แต่ยืนยันว่า จะไม่ทำให้ผิดหวัง
4. “อนันต์ อัศวโภคิน” ครองแชมป์เศรษฐีหุ้น 7 ปีซ้อน ด้านตระกูล “ชินวัตร”ขยับขึ้น 10 อันดับ!
วารสารการเงินการธนาคาร ฉบับเดือน ธ.ค.2552 ได้จัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยประจำปี 2552 โดยวัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศที่ถือหุ้นสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป ตามการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นก่อนวันที่ 30 ก.ย.2552 จำนวนกว่า 5 พันราย โดยมีการถือครองหุ้นทั้งสิ้นรวมมูลค่ากว่า 4.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 กว่า 5.6 หมื่นล้านบาท หรือ 14.21% ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ 30 ก.ย.2552 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 120.13 จุด เพิ่มขึ้น 20.12% ส่งผลให้ความมั่งคั่งของเศรษฐีหุ้นไทยในปีนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 56,000 ล้านบาท
สำหรับผลการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยในปีนี้ ปรากฏว่า แชมป์เศรษฐีหุ้นไทยยังคงเป็นนายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) โดยถือครองหุ้นมูลค่าสูงสุด 15,967.35 ล้านบาท รวยขึ้นกว่าปีที่แล้ว 1,309.90 ล้านบาท ทั้งนี้ นายอนันต์ครองแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 7 นับเป็นสถิติการครองแชมป์สูงสุดในทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทย
ส่วนเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 2 คือ นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ เจ้าของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท ที่ยังคงรักษาตำแหน่งเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ไว้ได้เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยปีนี้ถือครองหุ้นมูลค่ารวม 15,830.43 ล้านบาท รวยขึ้นกว่าปีที่แล้ว 6,231.27 ล้านบาท เศรษฐีหุ้นอันดับ 3 คือ นายนิติ โอสถานุเคราะห์ ทายาทนายสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ เจ้าของบริษัท โอสถสภา ก้าวขึ้นจากเศรษฐีหุ้นอันดับ 5 มาอยู่อันดับ 3 ในปีนี้ ด้วยมูลค่าหุ้นที่ถือครองทั้งสิ้น 5,733.57 ล้านบาท รวยขึ้นกว่าปีที่แล้ว 1,361.09 ล้านบาท
สำหรับตระกูลเศรษฐีหุ้นไทย ปรากฏว่า ตระกูลมาลีนนท์ ครองแชมป์ ตามด้วยตระกูลอัศวโภคิน และตระกูลวิจิตรพงศ์พันธุ์ ขณะที่ตระกูลจิราธิวัฒน์ เจ้าของเครือเซ็นทรัลตามมาอันดับ 4
ด้านตระกูลชินวัตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี ได้ก้าวขึ้นจากอันดับ 48 มาอยู่อันดับที่ 38 ในปีนี้ โดยรวยขึ้นกว่าปีที่แล้ว 588.81 ล้านบาท ทั้งนี้ ในตระกูลชินวัตรยังเหลือแค่ น.ส.พิณทองทา และ น.ส.แพทองธาร บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้นที่ยังคงติดอยู่ในทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทย โดย น.ส.แพทองธารอยู่อันดับ 78 ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น 29.13% มูลค่า 981.72 ล้านบาท ส่วน น.ส.พิณทองทา อยู่อันดับ 79 ถือหุ้นบริษัท เอสซีฯ 28.97% มูลค่า 976.40 ล้านบาท