xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 29 พ.ย.-6 ธ.ค.2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย(5 ธ.ค.)
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ในหลวง” เสด็จออกมหาสมาคม พร้อมมีพระราชดำรัส ความสุขสวัสดีของพระองค์จะเกิดได้ ต่อเมื่อบ้านเมืองมีความมั่นคงปกติสุข”!

เมื่อวันที่ 30 พ.ย. สำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ประจำปี 2552 ออกไปก่อน รวมทั้งเลื่อนการเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลของคณะบุคคลและประชาชนออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จออกมหาสมาคมในช่วงเช้าวันที่ 5 ธ.ค. ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เพื่อให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ส่วนพระราชกรณียกิจในช่วงบ่ายวันที่ 5 ธ.ค. ช่วงเช้าวันที่ 6 ธ.ค. และช่วงบ่ายวันที่ 8 ธ.ค.นั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์

ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนดเสด็จออกมหาสมาคมในวันที่ 5 ธ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งอยู่ระหว่างประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ได้เสด็จประทับรถไฟฟ้าจากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ ลงมายังชั้นล่างในเวลา 10.59น. พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและพระบรมวงศานุวงศ์ ก่อนเสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเสด็จออกมหาสมาคม โดยตลอดเส้นทางพระราชดำเนิน มีประชาชนพร้อมใจกันใส่เสื้อสีชมพูเฝ้ารอรับเสด็จ พร้อมโบกธงชาติและธงตราสัญลักษณ์ และเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโบกพระหัตถ์และแย้มพระสรวล ทำให้พสกนิกรหลายคนปลาบปลื้มถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ที่เห็นพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงขึ้น

สำหรับพิธีการเสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เริ่มด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลแทนพระบรมวงศานุวงศ์ จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลตามลำดับ โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบขอบพระทัยและขอบใจสำหรับคำอวยพรและความปรารถนาดีที่มุ่งหมายให้พระองค์มีความสุข ความสวัสดี อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า “ความสุข ความสวัสดีของข้าพเจ้าจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อบ้านเมืองของเรามีความเจริญมั่นคงเป็นปกติสุข ความเจริญมั่นคงนั้นจะสำเร็จผลเป็นจริงได้ ก็ด้วยทุกคน ทุกฝ่ายในชาติมุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้เต็มกำลัง ด้วยสติรู้ตัว ด้วยปัญญารู้คิด และด้วยความสุจริต จริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าประโยชน์ส่วนอื่น จึงขอให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญ อยู่ในสถาบันหลักของประเทศและชาวไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่าทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่าง แล้วตั้งจิตตั้งใจให้ซื่อตรง หนักแน่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมอันไพบูลย์ คือ ชาติบ้านเมืองอันเป็นถิ่นที่อยู่ที่ทำกินของเรา มีความเจริญมั่นคง ยั่งยืนไกล...”

เมื่อถึงช่วงค่ำ เวลา 19.29น.ได้มีพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพร “5 ธันวามหาราช” ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยมีประชาชนมาร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรกันอย่างเนืองแน่น ทั้งนี้ นอกจากกิจกรรมถวายพระพรที่ท้องสนามหลวงแล้ว ปีนี้ยังพิเศษกว่าทุกปี โดยมีการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 82 พรรษาที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าและถนนราชดำเนินด้วย ภายใต้ชื่องาน “พ่อ...The Greatest of The Kings The Greetings of The Land” ระหว่างวันที่ 5-13 ธ.ค. โดยไฮไลต์ของกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติอยู่ที่การแสดงแสง สี เสียง 4 มิติ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยมีการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นฉากในการแสดง ซึ่งเป็นการถ่ายทอดพระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงานอย่างหนักเพื่อพสกนิกร

ส่วนที่โรงพยาบาลศิริราช ก็ได้มีพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรในช่วงค่ำวันที่ 5 ธ.ค.เช่นกัน หลังสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัสผ่าน รศ.นพ.สุรินทร์ ธนะพิทัศสิริ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ให้ประชาชนที่มารอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่เช้าได้มีโอกาสแสดงความจงรักภักดีด้วยการจุดเทียนชัย ทั้งนี้ ประชาชน รวมทั้งคณะแพทย์และพยาบาลได้รวมตัวกันที่บริเวณศาลาท่าน้ำโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นจุดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรลงมาเห็นได้จากอาคารที่ประทับ จากนั้นประชาชนได้ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสดุดีมหาราชา ก่อนจุดเทียนชัยถวายพระพร ทั้งนี้ ขณะจุดเทียนชัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรลงมาและทรงถ่ายภาพพสกนิกรด้วยกล้องส่วนพระองค์

2. “เสื้อแดง” ลั่น ชุมนุม 10 ธ.ค. อ้าง ไม่กระทบงานเฉลิมพระเกียรติ ด้าน รบ.ไม่ประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงฯ !

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย
ความคืบหน้ากรณีแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ประกาศงดชุมนุมใหญ่เพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภาในวันที่ 28 พ.ย.- 2 ธ.ค. หลังรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ใน กทม.ระหว่างวันที่ 28 พ.ย.-14 ธ.ค. โดยแกนนำ นปช.อ้างเหตุที่เลื่อนชุมนุมว่า เพื่อไม่ให้กระทบกับงานสำคัญการจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. ขณะที่รัฐบาลเตรียมพิจารณาว่าจะยกเลิก พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ใน กทม.หรือไม่ เพราะกลุ่มเสื้อแดงเลื่อนการชุมนุมแล้วนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ย. แกนนำ นปช.ประกาศว่า หลังวันที่ 5 ธ.ค.จะนัดชุมนุมใหม่ แต่ไม่ใช่ว่าจะชุมนุมทันทีหลังวันที่ 5 ด้านนายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร บอกว่า เบื้องต้นแกนนำคนเสื้อแดงคุยกันว่า น่าจะนัดชุมนุมใหญ่ช่วงก่อนวันปีใหม่ โดยกำหนดคร่าวๆ ว่า วันที่ 15 ธ.ค. โดยจะอยู่ยาว 10 วัน ถึงวันที่ 25 ธ.ค. จากนั้นจะยุติชุมนุม เนื่องจากเป็นช่วงปีใหม่ สำหรับสถานที่ที่จะชุมนุมใหญ่ ยังไม่ได้กำหนดว่าจะใช้พื้นที่ท้องสนามหลวงหรือทำเนียบรัฐบาล

เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่แกนนำเสื้อแดงบอกว่าจะนัดชุมนุมใหญ่ช่วงก่อนปีใหม่ แต่ทางแกนนำพรรคเพื่อไทย ซึ่งปกติจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับแกนนำเสื้อแดง คราวนี้กลับพูดไปอีกทาง โดยออกมาชวนรัฐบาลเพื่อพักรบชั่วคราว ผู้ที่พูดเรื่องนี้ก็คือ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยบอกว่า หลังคนเสื้อแดงประกาศยุติชุมนุม และผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของสถาบันการศึกษาพบว่า อยากให้เดือน ธ.ค.เป็นเดือนแห่งความสุข และลดบรรยากาศของความขัดแย้ง เนื่องจากอยู่ในช่วงเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมีวันสำคัญไปจนถึงเทศกาลแห่งความสุขตลอดทั้งเดือน จึงได้ โทร.หารือกับทุกฝ่ายในพรรค และเห็นร่วมกันว่าจะเชิญชวนรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ทำการพักรบชั่วคราว จากนั้นเมื่อถึงปี 2553 ค่อยมาต่อสู้กันอีกครั้งตามระบอบประชาธิปไตย นายปลอดประสพ ยืนยันด้วยว่า แนวทางนี้ไม่ใช่ว่าพรรคเพื่อไทยไปเกี้ยเซี้ยอะไรกับรัฐบาล แต่ต้องไม่สร้างเงื่อนไขในสิ่งที่ไม่ดีต่อกัน เช่น การใส่ร้ายป้ายสี ปั้นน้ำเป็นตัว ยั่วยุ เสียดสี

ทั้งนี้ เมื่อกลุ่มเสื้อแดงประกาศเลื่อนการชุมนุมออกไป รัฐบาล โดยที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.จึงได้มีมติยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ใน กทม.ระหว่างวันที่ 28 พ.ย.-14 ธ.ค. เนื่องจากประเมินแล้วเห็นว่าสถานการณ์เรียบร้อยดี อย่างไรก็ตาม นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า แม้จะยกเลิก พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ใน กทม.แล้ว แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รายงานที่ประชุม ครม.ว่า จะไม่ลดระดับการรักษาความมั่นคงลง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยที่มีการระเบิดในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2549 โดยจะมีการวางกำลังเจ้าหน้าที่เต็มที่

ด้าน พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ออกมายืนยัน(2 ธ.ค.)ว่า ตลอดเดือน ธ.ค. พรรคเพื่อไทยจะไม่เคลื่อนไหวหรือชุมนุมใดใด และว่า หากมีกลุ่มที่ไม่หวังดีก่อเหตุระเบิดช่วงปีใหม่ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงระบุ ก็ไม่ใช่ฝีมือพวกตนเช่นกัน เพราะตนได้คุยกับ พล.ท.อุดม เกษพรหม อดีตเสนาธิการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ แกนนำกลุ่ม จปร.9 สมาชิกพรรคเพื่อไทย และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกแล้วว่า จะไม่ทำอะไรในช่วงดังกล่าวแน่นอน หลังปีใหม่ค่อยมาหารือกันอีกครั้งว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย พูดถึงการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงว่า หลังผ่านการจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาวันสุดท้าย คือวันที่ 13 ธ.ค.แล้ว แกนนำคนเสื้อแดงจะประชุมกันเพื่อนัดหมายกำหนดวันชุมนุมใหญ่ หากที่ประชุมมีมติว่าเป็นเดือน ธ.ค.ก็เดือน ธ.ค. หากเป็นเดือน ม.ค.ก็มากันเดือน ม.ค. ส่วนกรณีที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยประกาศพักรบในเดือน ธ.ค.นั้น นายจตุพร บอกว่า ถือเป็นข้อเสนอของนายปลอดประสพ แต่คนเสื้อแดงมีคณะกรรมการ นปช.ที่จะตัดสินใจเรื่องความเคลื่อนไหวในส่วนของกลุ่ม ซึ่งพรรคเพื่อไทยและกลุ่ม นปช.ไม่ได้ขึ้นตรงต่อกัน

ขณะที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ก็ได้ออกมาข่มขวัญรัฐบาลและทหารว่า หากกลุ่มเสื้อแดงออกมาชุมนุมครั้งต่อไป อยากเตือนทหารไม่ให้ออกมาเหมือนเมื่อครั้งเหตุการณ์เดือน เม.ย. เพราะครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม เนื่องจากทราบข่าวมาว่า ขณะนี้กองกำลังทหารพรานค่ายปักธงชัย ที่เรียกว่า สปก.315 ที่เคยเป็นของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ แล้วพรรคประชาธิปัตย์มายุบไป ได้เริ่มรวมตัวกันเพื่อปกป้องคนเสื้อแดงแล้ว โดยมีประมาณ 1,000 คน และเตรียมอาวุธหนักพร้อมรบ “ลองนึกดูจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทหารเจอกับทหารพราน อะไรจะเกิดขึ้น ใครจะรับผิดชอบ จลาจลใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน”

ด้าน พล.ต.ดิฏฐพร ศศะสมิต โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) พูดถึงกรณีที่ เสธ.แดงระบุว่า มีกำลังทหารพรานประมาณ 1,000 นายเป็นแนวร่วมกับกลุ่มเสื้อแดง โดยยืนยันว่า คงไม่มีอะไร เป็นการเปิดแนวร่วม อย่างไรก็ตาม พล.ต.ดิฏฐพร เตือนว่า กองกำลังทหารพรานปัจจุบันอยู่ในระเบียบวินัย อย่าตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ประกาศเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ว่า หลังผ่านการจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาวันสุดท้ายคือวันที่ 13 ธ.ค.แล้ว แกนนำคนเสื้อแดงจะประชุมเพื่อกำหนดวันชุมนุมใหญ่ว่าจะชุมนุมในเดือน ธ.ค.หรือ ม.ค. ปรากฏว่า ให้หลังแค่ 1 วัน นายจตุพร นายวีระ มุสิกพงศ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.กลับออกมาพูดใหม่ โดยแถลงว่า จะชุมนุมในวันที่ 10 ธ.ค.ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพราะเป็นวันรัฐธรรมนูญ โดยชุมนุมตั้งแต่ 12.00น.-24.00น. พร้อมอ้างว่า ไม่ได้เป็นการชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาล เพราะไม่ได้ระดมพลคนเสื้อแดงทั้งประเทศ แต่จะชุมนุมเพื่อแสดงเจตนาของคนเสื้อแดงที่ต่อต้านเผด็จการและเรียกร้องประชาธิปไตย หรือจะเรียกว่าเป็นการอุ่นเครื่องสำหรับการชุมนุมใหญ่ โดยแกนนำคนเสื้อแดงได้เชิญนักวิชาการมาอภิปรายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญหลายคน

นายจตุพร ยังพูดถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ระบุว่า อาจมีผู้ไม่หวังดีก่อเหตุระเบิดในช่วงปีใหม่ด้วยว่า เป็นแผนของรัฐบาลที่จะโยนความผิดให้คนเสื้อแดง นายจตุพร ยังอ้างด้วยว่า “เรื่องนี้นายทหารคนหนึ่งยศนายพล มาเล่าให้ฟังว่า รัฐบาลชุดที่เคยทำเมื่อปี 2549 จะวางระเบิดเพื่อบลั๊ฟฟ์การชุมนุมใหญ่ล้านคนของคนเสื้อแดง เพื่อสร้างจำเลยเท็จขึ้นมาโดยเป็นคนเสื้อแดง แล้วนำเรื่องการฝึกเรื่องคนต่างด้าวเข้ามาร่วมกับคนเสื้อแดงเข้ามาเกี่ยวโยง จึงขอถามนายสุเทพว่า ยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่ การวางแผนวางระเบิดแบบนี้แล้วโยนความผิดแบบนี้ ผมขอกล่าวหากลับไปเลยว่ารัฐบาลนี้วางแผนวางระเบิดเอง เพื่อต่ออายุของรัฐบาล...”

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(3 ธ.ค.) เพื่อประเมินสถานการณ์กรณีกลุ่มเสื้อแดงนัดชุมนุมวันที่ 10 ธ.ค. หลังประชุม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง แถลงว่า จะไม่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ในวันที่กลุ่มเสื้อแดงชุมนุม 10 ธ.ค. “ผมเห็นว่าควรใช้กฎหมายปกติที่มีอยู่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาในวันที่ 10 ธ.ค. โดยจะใช้กำลังตำรวจเป็นหลักในการรักษาความสงบเรียบร้อย มีเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ตั้งความหวังในทางที่ดีว่า การชุมนุมจะไม่นำไปสู่ปัญหาบานปลาย อย่างไรก็ตาม จะกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดูแลป้องกันเป็นพิเศษ ไม่ให้กระเทือนประชาชนที่มาร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัว”

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ได้ออกมาพูดถึงการชุมนุมในวันที่ 10 ธ.ค.อีกครั้ง(4 ธ.ค.) โดยเตือนรัฐบาลว่า หากรัฐบาลสร้างสถานการณ์ปั่นกระแสใส่ร้ายกลุ่มเสื้อแดง ทางกลุ่มเสื้อแดงก็จะชุมนุมยืดเยื้อ นายจตุพร ยังอ้างด้วยว่า การชุมนุมวันที่ 10 ธ.ค.จะไม่กระทบต่อการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะกลุ่มเสื้อแดงชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งหางแถวคงอยู่ระหว่างสี่แยกคอกวัวกับสี่แยก จปร.เท่านั้น ขณะที่การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติบนถนนราชดำเนินจัดงานระหว่างวันที่ 3-7 ธ.ค. ส่วนที่ลานพระบรมรูปทรงม้า จัดงานระหว่างวันที่ 5-13 ธ.ค.

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ถามนายจตุพรว่าจะทบทวนการชุมนุมในวันที่ 10 ธ.ค.หรือไม่ หลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “ความสุขสวัสดีของข้าพเจ้าจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อบ้านเมืองมีความเจริญมั่นคงเป็นปกติสุข” ซึ่งนายจตุพร ตอบเลี่ยงๆ ว่า บ้านเมืองต้องเดินหน้าต่อไป วันรัฐธรรมนูญมีตั้งแต่ปี 2475 แล้ว แต่ปรากฏว่าคนที่ตั้งตัวเป็นผู้นำประชาธิปไตยจะเป็นจะตายกับวันนี้อย่างไม่มีเหตุผล นายจตุพร ยังอ้างพระราชดำรัสเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มตนด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย พระราชดำรัสของพระองค์ท่านจึงเปรียบเสมือนการเตือนสติว่า หากสังคมยังไร้ความเป็นธรรม ศาลยังดำเนินการอย่าง 2 มาตรฐาน บ้านเมืองจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ยิ่งถ้าฝ่ายหนึ่งยังไม่หยุดเข่นฆ่าทำลายคนเสื้อแดง

ด้าน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ที่มูลนิธิชัยพัฒนา(3 ธ.ค.)ว่า วันที่ 5 ธ.ค.เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราควรจะเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ โดยมุ่งสร้างความสงบสุข ความสามัคคี ความเป็นเอกภาพของประเทศให้มากๆ นับวันสภาพแวดล้อมของโลกลำบากไปทุกที ดังนั้น ควรอยู่ด้วยความระมัดระวัง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอนว่า ให้อยู่โดยมีภูมิคุ้มกัน แล้วอย่าประมาท รักษาความพอประมาณไว้ รักษาสติไว้ให้ได้ คิดแค่นี้ชีวิตก็สงบและมีความสุข” ดร.สุเมธ ยังพูดถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงในเดือน ธ.ค.ด้วยว่า ควรดูเหตุดูผล โดยสิทธิในการเคลื่อนไหวมีอยู่ แต่การเคลื่อนไหวอะไรต้องคิดดูเหตุผลว่ามีเหตุผลเพียงพอแค่ไหนอย่างไร หากใช้หลักการนี้คงไม่มีเหตุการณ์รุนแรงบานปลาย

3. แม่ “ศิวรักษ์” ขอเปลี่ยนทนาย-ยกเลิกประกันตัวลูกชาย ด้าน “ฮุน เซน” ลั่น ไม่มีความสุขถ้า “อภิสิทธิ์”ยังเป็นนายกฯ !
นางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุม
ความคืบหน้ากรณีกัมพูชาได้จับกุมนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยของหน่วยจราจรทางอากาศ(แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส หรือแคทส์) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น ที่จัดการเที่ยวบินภายในกัมพูชา โดยกัมพูชากล่าวหาว่านายศิวรักษ์จารกรรมข้อมูลด้วยการขโมยตารางกำหนดการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เดินทางเข้าประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 10 พ.ย. โดยทางการกัมพูชาอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทูตไทยพานางสิมารักษ์ ณ นครพนม และนายพงษ์สุรีย์ ชุติพงษ์ มารดาและน้องชายนายศิวรักษ์เข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ที่เรือนจำเพรซอได้เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับนายเกา โสภา ทนายความชาวกัมพูชาของนายศิวรักษ์เพื่อยื่นเรื่องขอประกันตัวในวันที่ 4 ธ.ค. ด้านศาลกัมพูชาได้นัดตัดสินคดีนายศิวรักษ์ในวันที่ 8 ธ.ค.นั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ย. นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เปิดแถลงพร้อมด้วยนางสิมารักษ์ มารดาของนายศิวรักษ์ที่พรรคเพื่อไทย โดยนายนพดล บอกว่า นางสิมารักษ์ติดต่อมาขอให้ช่วยเหลือให้ได้เข้าเยี่ยมลูกชายอีกครั้ง เพื่อนำของใช้ส่วนตัวไปให้ ซึ่งตนได้ประสานไปแล้ว ทางการกัมพูชายินดีโดยจะกำหนดวันให้ไปเยี่ยมได้ภายใน 1-2 วัน นายนพดล บอกด้วยว่า “ไม่ว่าศาลกัมพูชาจะตัดสินนายศิวรักษ์ออกมาอย่างไร ก็ขอให้ผู้เป็นมารดามั่นใจว่า เราจะช่วยอย่างเต็มที่ในฐานะคนไทยด้วยกัน แล้วเมื่อคำตัดสินออกมาว่าอย่างไรนั้น เราก็ต้องอาศัยบารมีของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.ชวลิตมาช่วยอีกขั้นหนึ่ง”

ด้านนางสิมารักษ์ พูดถึงเหตุที่ขอให้นายนพดลช่วยเหลือให้ได้เข้าเยี่ยมลูกชายอีกครั้งว่า หลังจากที่รอการประสานงานของกระทรวงการต่างประเทศมาหลายวัน ก็เกรงว่าหากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป บุตรชายอาจจะไม่สบายใจมากขึ้น ดังนั้นไม่ว่าวิธีไหนที่จะทำให้ลูกกลับมาได้อย่างปลอดภัย ตนพร้อมที่จะทำทุกอย่าง

2 วันต่อมา(2 ธ.ค.) นางสิมารักษ์ก็ได้เดินทางไปกัมพูชาเพื่อเยี่ยมนายศิวรักษ์ โดยมีนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยไปส่งขึ้นเครื่องบิน นางสิมารักษ์พูดถึงการประกันตัวบุตรชายว่า รัฐบาลเตรียมวงเงินประกันตัวเอาไว้แล้ว 50,000-200,000 บาท และว่า หากนายศิวรักษ์ได้รับการประกันตัว ก็ขอให้ได้อยู่กับบุตรชาย 1 คืนแล้วจะกลับ จากนั้นจะไปกัมพูชาอีกครั้งวันที่ 7 ธ.ค.กับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อฟังคำตัดสินคดีของศาลกัมพูชาในวันที่ 8 ธ.ค.

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการเดินทางไปกัมพูชาเพื่อเยี่ยมบุตรชายของนางสิมารักษ์ครั้งนี้ ได้รับการดูแลจากทางการกัมพูชาอย่างดี โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชามารับนางสิมารักษ์ถึงสนามบินกัมพูชาด้วย ทั้งนี้ หลังนางสิมารักษ์เดินทางกลับมาประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยก็ได้พานางสิมารักษ์เข้าพบ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย หลังเข้าพบ นางสิมารักษ์ บอกว่า ได้ขอปรึกษา พล.อ.ชวลิตเรื่องการประกันตัวบุตรชาย และได้ตัดสินใจเปลี่ยนตัวทนายความชาวกัมพูชาที่กระทรวงการต่างประเทศจัดให้ เป็นทนายความคนใหม่ ด้าน พล.อ.ชวลิต พูดเป็นนัยว่า “วันที่ 4 ธ.ค.จะมีข่าวใหญ่”

ต่อมาวันที่ 4 ธ.ค. นายพร้อมพงศ์ ได้พูดถึงกรณีที่นางสิมารักษ์เปลี่ยนตัวทนายความว่า ทนายความคนใหม่เป็นทนายที่เพื่อนนายศิวรักษ์แนะนำ และว่า นางสิมารักษ์ได้ปรึกษากับนายเขียว สัมโบ ทนายความคนใหม่แล้ว พร้อมยื่นคำร้องขอยกเลิกการประกันตัวนายศิวรักษ์ที่ทนายความคนเดิมทำไว้ เพื่อให้คดีเดินหน้าไปด้วยความรวดเร็ว นายพร้อมพงศ์ บอกด้วยว่า นางสิมารักษ์จะเดินทางไปกัมพูชาในวันที่ 7 ธ.ค.พร้อมเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศเพื่อฟังผลการตัดสินคดีในวันที่ 8 ธ.ค. หากตัดสินว่าไม่มีความผิด นางสิมารักษ์จะพานายศิวรักษ์กลับบ้านและบวชตามที่ตั้งใจไว้

ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงการช่วยเหลือนายศิวรักษ์ว่า “หากผลการตัดสินออกมาว่านายศิวรักษ์มีความผิดจริง เชื่อว่านางสิมารักษ์และทนายความจะไม่ยื่นเรื่องขออุทธรณ์ แต่จะกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษ โดยให้ทนายความดำเนินการ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.ชวลิต จะประสานทางการกัมพูชาขอพระราชทานอภัยโทษให้”

ด้าน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย พูดเป็นนัยอีกว่า “เชื่อว่าหลังวันที่ 8 ธ.ค.ที่ศาลจะพิพากษาคดี(นายศิวรักษ์)จะมีข่าวดี วันที่ 9-10 ธ.ค.น่าจะได้รับการปล่อยตัว”

ส่วนความเคลื่อนไหวของสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชนั้น เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้ออกมาโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอย่างรุนแรง โดยสมเด็จฯ ฮุน เซน ระบุว่า นายกษิตเป็นคนอันธพาล และมักจะร่วมมือกับนายอภิสิทธิ์ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชา-ไทยแย่ลงเรื่อยๆ และว่า กัมพูชาคงจะไม่มีความสุข ตราบใดที่ทั้งสองยังอยู่ในตำแหน่งและมีอำนาจในประเทศไทย “เคยทำงานกับนายกรัฐมนตรีไทยมาแล้ว 10 คน อภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำงานร่วมกันยากที่สุด และผมได้บอกกับอภิสิทธิ์ว่า ผมและคนกัมพูชารู้สึกเจ็บปวด เมื่อได้ยินพวกเขาพูดว่าจะระงับความช่วยเหลือและเงินกู้ที่จะให้กับกัมพูชา กัมพูชาขอประกาศว่าจะไม่รับความช่วยเหลือใดใดจากรัฐบาลของอภิสิทธิ์อีก”

ทั้งนี้ สื่อกัมพูชารายงานว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้สั่งการให้หน่วยงานทุกระดับของกัมพูชาระงับการรับความช่วยเหลือต่างๆ จากรัฐบาลไทยในยุคนายอภิสิทธิ์ทั้งหมด เพื่อไม่ให้ถูกนำไปอ้างเป็นหนี้บุญคุณได้ โดยสมเด็จฯ ฮุน เซน บอกว่า ถึงแม้ประเทศกัมพูขาจะยากจน แต่เรามีศักดิ์ศรี เรายินดีที่จะหลั่งเลือดดีกว่าให้พวกเขามาดูถูก

ด้านสื่อมวลชนไทยได้ไปถามนายอภิสิทธิ์ถึงกรณีที่สมเด็จฯ ฮุน เซนระบุว่า นายอภิสิทธิ์เป็นคนที่ทำงานด้วยยากที่สุด ซึ่งนายอภิสิทธิ์ บอกว่า “เพราะผมรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย” ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องชี้แจงเรื่องนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ บอกว่า คงไม่ต้องทำอะไร ก็ถือว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดเป็นแนวทาง คือคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศไทย คนไทย และขณะเดียวกันก็เป็นมิตรกับประชาชนชาวกัมพูชา

4. “พฤฒิชัย” ส่อพ้นเก้าอี้ รมต. หลัง กกต.ชี้ เจตนาซุกหุ้น!
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) แถลงว่า ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้มีหนังสือแจ้ง กกต.ว่า นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยคลัง จากพรรคเพื่อแผ่นดิน ถือหุ้นในบริษัทเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด คือไม่เกินร้อยละ 5 โดย นพ.พฤฒิชัยถือหุ้นบริษัท ครัวราสเบอรี่ จำกัด 200 หุ้น จากจำนวนทั้งหมด 1,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 20 และถือหุ้นในบริษัท อีสเทิร์น ดราก้อน จำกัด 450,000 หุ้น จากจำนวนทั้งหมด 4 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 11.25 จึงถือเป็นการถือหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และ นพ.พฤฒิชัยไม่ได้มีหนังสือแจ้งให้ประธาน ป.ป.ช.ทราบว่าประสงค์จะรับประโยชน์จากการเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในบริษัททั้ง 2 แห่ง ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการกระทำต้องห้ามตาม รธน.มาตรา 269 ประกอบมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตาม รธน.มาตรา 182(7) นั้น ที่ประชุม กกต.ได้มีมติเสียงข้างมากเห็นควรให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ นพ.พฤฒิชัย เพราะน่าจะเข้าข่ายการกระทำต้องห้ามตาม รธน. “การกระทำดังกล่าวของ นพ.พฤฒิชัยเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายโดยเจตนา เป็นการจงใจปกปิดการถือหุ้น ข้ออ้างที่ นพ.พฤฒิชัยหยิบยกขึ้นมาต่อสู้โดยระบุว่า บริษัททั้งสองแห่งเลิกกิจการไปแล้ว แต่เมื่อได้ตรวจสอบก็พบว่าบริษัทแห่งหนึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการชำระบัญชี และอีกแห่งหนึ่งยังไม่ได้ชำระบัญชี ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1,249 แม้บริษัทจะเลิกกิจการ แต่ก็ให้ถือว่ายังคงตั้งอยู่ตลอดระยะเวลาที่จำเป็นในการชำระบัญชี ดังนั้นจึงถือว่า บริษัททั้งสองแห่งยังคงอยู่”

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดถึงการถือหุ้นของ นพ.พฤฒิชัยว่า นพ.พฤฒิชัยจะเป็นผู้แถลงชี้แจงเรื่องนี้อีกครั้ง ผู้สื่อข่าวถามว่า จะถือจังหวะปรับ ครม.เลยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ยิ้มแต่ไม่ตอบคำถาม ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี บอกว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามกฎ กติกา และกฎหมาย อย่ากังวลใจ รัฐบาลจะไม่ฉวยโอกาสนี้ปรับ ครม.หรือทำด้วยประการใดใดทั้งสิ้น ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลัง บอกว่า “นพ.พฤฒิชัยเคยบอกกับผมว่า กรณีนี้เป็นประเด็นที่ตกหล่นจริงๆ เพราะเป็นหุ้นที่ถือมานานและไม่มาก และยังอยู่ในขั้นตอนการชำระบัญชี ไม่มีเจตนาในการปกปิดทรัพย์สินหรือถือหุ้นให้มีธุรกรรมเพื่อประโยชน์ทับซ้อนแต่อย่างใด แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็พร้อมรับคำตัดสินของศาล แต่ในระหว่างนี้ต้องให้ความเป็นธรรม และรอการตัดสินของศาลด้วย”

ด้านว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำกลุ่มโคราช พรรคเพื่อแผ่นดิน พูดถึงการถือหุ้นของ นพ.พฤฒิชัยว่า ผู้ใหญ่ของพรรคจะหารือเพื่อหาข้อสรุปในเร็วๆ นี้ แต่เท่าที่ทราบข้อมูลเบื้องต้น นพ.พฤฒิชัยได้ดำเนินการทุกอย่างโดยถูกต้องแล้ว และว่า “ในระหว่างรอผู้ใหญ่ตัดสินใจร่วมกัน เขา(นพ.พฤฒิชัย)อาจจะลาหยุด ไม่มาทำงานจนกว่าจะชัดเจน โดยส่วนตัวมองว่ายังไม่จำเป็นต้องลาออก หรือปรับคณะรัฐมนตรี”
กำลังโหลดความคิดเห็น