xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 22-28 พ.ย.2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ แทนพระองค์พระราชทานน้ำหลวงอาบศพนายสมัคร สุนทรเวช(25 พ.ย.)
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.“สมัคร สุนทรเวช” ถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบ หลังป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ!

เมื่อวันที่ 24 พ.ย. นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้ถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบหลังป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ และเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา สิริรวมอายุ 74 ปี พญ.จามรี เชื้อเพชระโสภณ ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ แถลงว่า ตลอดระยะเวลาของการรักษา นายสมัครรู้ตัวดี เพิ่งจะมีอาการไม่รู้ตัวเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งปกติอาการของผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งตับในระยะสุดท้าย จะส่งผลให้ตับไม่ทำงาน และจะทำให้ร่างกายรับไม่ไหวไปเรื่อยๆ ฉะนั้นการรักษาระยะสุดท้ายจึงเป็นการรักษาตามอาการและประคับประคอง

ด้านญาติได้เคลื่อนศพนายสมัครไปบำเพ็ญกุศลที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานน้ำหลวงอาบศพนายสมัคร รวมทั้งพระราชทานโกศแปดเหลี่ยม และเครื่องอัฐบริขาร โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ แทนพระองค์ไปในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พร้อมทรงรับไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์เป็นเวลา 7 วัน

สำหรับพิธีรดน้ำศพนายสมัคร ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 25 พ.ย. ได้มี ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล รวมทั้ง ส.ว. และประชาชนมาร่วมพิธีจำนวนมาก ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งติดภารกิจเดินทางไปเยือนประเทศกาตาร์ ได้ส่งพวงหรีดมาร่วมไว้อาลัย เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เดินทางมาร่วมงานศพนายสมัคร ปรากฏว่า คนกลุ่มเสื้อแดงหลายสิบคนที่อยู่ในงานได้โห่ร้องแสดงความไม่พอใจและหยิบตีนตบขึ้นมากระพือ ส่งผลให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ต้องรีบเดินเข้างานและเดินทางกลับอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อแกนนำคนเสื้อแดงเดินทางร่วมงาน กลุ่มเสื้อแดงกลับปรบมือต้อนรับด้วยความดีใจ

อนึ่ง นายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของไทย โดยดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 29 ม.ค.-9 ก.ย.2551 แต่หลุดจากตำแหน่งเนื่องจากถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้ตนและพวกพ้อง ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัด รธน.จากกรณีเป็นพิธีกรรายการ “ชิมไปบ่นไป”

2. “เสื้อแดง” ผวา พ.ร.บ.มั่นคงฯ เลื่อนชุมนุมไม่มีกำหนด อ้าง เพื่อแสดงความจงรักภักดี!

ตำรวจเชียงใหม่จับกุมนายณรงค์ บุญจงเจริญ แนวร่วมเสื้อแดง พร้อมยึดระเบิดปิงปอง 6,000 ลูก และอาวุธปืนจำนวนหนึ่ง คาด ไว้เตรียมประทุษร้ายนายกฯ(26 พ.ย.)
หลังแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ประกาศชุมนุมใหญ่เพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภาในวันที่ 28 พ.ย.นี้ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนจะเคลื่อนไปปักหลักที่บริเวณแยกมิสกวันและทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 29 พ.ย. รวมทั้งดาวกระจายไปตามถนนสายต่างๆ ทั่ว กทม.ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.จนถึงวันที่ 2 ธ.ค. โดยจะหยุดชุมนุมระหว่างวันที่ 3-5 ธ.ค. หากรัฐบาลยังไม่ยุบสภา จะกลับมาชุมนุมใหม่จนกว่าจะได้รับชัยชนะนั้น ปรากฏว่า ผู้สื่อข่าวได้ไปถามนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ถึงกรณีที่มีข่าวว่ากัมพูชาส่งอาวุธให้กลุ่มคนเสื้อแดงในการชุมนุมวันที่ 28 พ.ย. โดยนายสุเทพ บอกว่า ยังไม่ได้รับรายงาน แต่มีรายงานว่าจะมีการนำแรงงานต่างด้าวมาร่วมชุมนุม ซึ่งตนได้สั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว หากพบผู้ประกอบการปล่อยปละให้ลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าวมาร่วมชุมนุมจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะการชุมนุมโดยสันติวิธีเป็นสิทธิเสรีภาพตาม รธน.เฉพาะประชาชนคนไทยเท่านั้น ซึ่งไม่อยากให้ผู้จัดการชุมนุมนำคนต่างด้าวมาร่วมชุมนุม เพราะหากเกิดปัญหาจะพูดกันไม่รู้เรื่อง และไม่สามารถควบคุมได้

ทั้งนี้ นายสุเทพ ได้เรียกประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง(23 พ.ย.) เพื่อหารือถึงการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงทั้งกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงจะชุมนุมใน กทม.และกรณีที่แกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่ขู่ฆ่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมหอการค้าทั่วประเทศที่เชียงใหม่ในวันที่ 29 พ.ย. โดยหลังประชุม นายสุเทพ เผยว่า จะเสนอให้ ครม.ประกาศ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ใน กทม.เฉพาะเขตดุสิต แขวงโสมนัส และแขวงบางขุนพรหม ระหว่างวันที่ 28 พ.ย.-14 ธ.ค. ครอบคลุมพื้นที่ลานพระราชวังดุสิต ทำเนียบรัฐบาล และถนนราชดำเนินบางส่วน เพื่อป้องกันการปะทะระหว่างผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ทหาร และผู้เดินทางมาร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ

อย่างไรก็ตาม หลังที่ประชุม ครม.วันที่ 24 พ.ย.พิจารณาแล้ว มีมติให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ครอบคลุมทุกพื้นที่ของ กทม.ระหว่างวันที่ 28 พ.ย.-14 ธ.ค. เนื่องจากช่วงเวลาตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย.ถึงต้นเดือน ธ.ค. รัฐบาลต้องเตรียมจัดงานพระราชพิธี รัฐพิธี และงานเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะที่ทหารต้องรวมพลและซ้อมสวนสนาม ประกอบกับการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมมีแผนจะกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ดังนั้นรัฐบาลต้องดูแลให้ทุกอย่างอยู่ในความสงบเรียบร้อย ไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชน ส่วนการประชุมหอการค้าทั่วประเทศที่เชียงใหม่ที่นายอภิสิทธิ์จะเดินทางไปร่วมด้วยนั้น ที่ประชุม ครม.ยังไม่มีมติประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ โดยนายอภิสิทธิ์ เผยว่า ฝ่ายความมั่นคงกำลังคุยในรายละเอียด หากจำเป็นต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงที่เชียงใหม่จริงๆ ต้องเรียกประชุม ครม.ในวันที่ 27 พ.ย.เพื่อประกาศใช้

ด้านแกนนำ นปช. หลังทราบว่าที่ประชุม ครม.มีมติประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงใน กทม.ระหว่างวันที่ 28 พ.ย.-14 ธ.ค. จึงได้ประชุมเพื่อทบทวนว่าจะยกเลิกหรือเลื่อนการชุมนุมออกไปหรือไม่ ซึ่งในที่สุดได้มีมติเลื่อนการชุมนุมออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.ให้เหตุผลที่เลื่อนการชุมนุมว่า เพื่อไม่ให้กระทบต่องานสำคัญของวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. นายวีระ ยังอ้างด้วยว่า รัฐบาลมีอคติและคิดว่าประชาชนผู้รักประชาธิปไตยมีเจตนาไม่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้พวกเราต้องกลับมาคิดใคร่ครวญจะจัดชุมนุมไม่ให้กระทบต่อสถาบัน ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.อีกคน ยืนยันว่า การชุมนุมใหญ่ครั้งต่อไปมีแน่นอน หากนายอภิสิทธิ์อยากเห็นคนจำนวน 1 ล้านคน ได้เห็นแน่ หลังงานมหามงคลจะกำหนดท่าทีอีกครั้ง

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พูดถึงแนวโน้มการยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ใน กทม. หลังกลุ่ม นปช.ประกาศเลื่อนการชุมนุมออกไปแล้วว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเสนอที่ประชุม ครม.วันที่ 1 ธ.ค.พิจารณายกเลิกการประกาศ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ

ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์จะเดินทางไปร่วมประชุมหอการค้าทั่วประเทศที่เชียงใหม่ในวันที่ 29 พ.ย.นั้น มีข่าวว่า ระหว่างประชุม ครม.เมื่อวันที่ 24 พ.ย. รัฐมนตรีหลายคนได้เสนอให้นายกฯ งดเดินทางไป เพราะเป็นห่วงความปลอดภัย หลังแกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่ นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล ประกาศเอาชีวิตนายกฯ ทั้งนี้ 1 ในรัฐมนตรีที่ออกมาเตือนนายอภิสิทธิ์ว่าไม่ควรเดินทางไปเชียงใหม่ ก็คือ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย โดยให้เหตุผลว่า เพื่อไม่ให้มีปัญหา พร้อมเปรียบเทียบว่า ไฟจะติดได้ ต้องมีไม้ขีดกับกลักไม้ขีด ถ้ามีแต่กลักไม่มีก้านไม้ขีด ไฟก็ไม่ติด ดังนั้น ถ้าเราเป็นก้าน ส่วนทางโน้นเป็นกลัก แล้วเราไม่เอาก้านไปเจอ ไฟก็ไม่ปะทุขึ้น ส่วนตนได้รับเชิญแต่จะไม่ไป เพราะจังหวัดเชียงใหม่พื้นที่แดงเถือก ไม่รู้ว่าไข่เน่า กระป๋องเบียร์จะลอยมาจากไหน ไม่อยากหาเรื่องเจ็บตัว

เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากแกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่จะขู่เอาชีวิตนายกฯ ระหว่างเดินทางไปเชียงใหม่แล้ว ยังมีสิ่งที่ตอกย้ำว่ากลุ่มเสื้อแดงจะใช้ความรุนแรงแน่นอน โดยตำรวจเชียงใหม่ได้เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 138 หมู่ 2 บ้านวังน้ำหยาด ต.แม่สอย อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ของนายณรงค์ บุญจงเจริญเมื่อวันที่ 26 พ.ย. พบระเบิดปิงปองมากถึง 6,000 ลูก นอกจากนี้ยังพบอาวุธปืนพกสั้นชนิดลูกโม่ขนาด .38 จำนวน 4 กระบอก ปืนออโตเมติก 2 กระบอก และปืนยาวขนาด .22 และปืนลูกซองรวม 2 กระบอก ด้านนายณรงค์ ซึ่งเจ้าหน้าที่สืบทราบว่ามีพฤติกรรมพัวพันกับกลุ่มเสื้อแดง ได้ให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่า ซื้อระเบิดปิงปองมาไว้เพื่อจำหน่ายช่วงเทศกาลลอยกระทง แต่จำหน่ายไม่หมด

ด้านนายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่ตำรวจจับกุมนายณรงค์พร้อมระเบิดปิงปอง 6,000 ลูกว่า สอดคล้องกับข่าวที่ตนได้รับมาก่อนหน้านี้ว่ามีการเตรียมแผนประทุษร้ายนายกฯ จริง และว่า ยังมีตำรวจและทหารบางส่วนแอบให้ความร่วมมือกับแกนนำคนเสื้อแดงเพื่อพยายามปองร้ายนายกฯ โดยมีข่าวการตั้งค่าหัวนายกฯ กว่า 10 ล้านบาท ดังนั้น ทีมรักษาความปลอดภัยนายกฯ ต้องเข้มแข็งกว่านี้

ทั้งนี้ หลังมีข่าวตำรวจเชียงใหม่จับกุมนายณรงค์พร้อมระเบิดปิงปอง 6,000 ลูก ปรากฏว่า คณะกรรมการหอการค้าไทยได้ทำหนังสือถึงนายกฯ ขอให้ระงับการเดินทางไปร่วมประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 27 ที่เชียงใหม่ในวันที่ 29 พ.ย. เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งและความวุ่นวาย รวมทั้งคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวนายกฯ และผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบกับการรักษาความปลอดภัยต้องใช้งบจำนวนมาก

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อเห็นว่าคณะกรรมการหอการค้าไทยขอให้ระงับการเดินทางไปร่วมประชุมหอการค้าทั่วประเทศที่เชียงใหม่ จึงได้ตัดสินใจยกเลิกการเดินทางดังกล่าว และว่า “ความจริงแล้ว ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าผมไปตัวผมปลอดภัย แต่คิดว่ามันมีความเสี่ยงในเรื่องความเดือดร้อนกับผู้ชุมนุมเอง เจ้าหน้าที่ หรือผู้เข้าร่วมประชุม เพราะเท่าที่ผมทราบในตอนหลัง ถ้าผมไปจะมีการปรับในเรื่องสถานที่ การเดินทางของผู้เข้าร่วมประชุม ซึ่งจะมีความเสี่ยง เพราะทราบว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่ ผู้ชุมนุมก็แสดงออกชัดเจนว่าต้องการให้เกิดปัญหา ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็จำเป็นต้องทำตามที่หอการค้าต้องการ”

ส่วนความคืบหน้ากรณีที่นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ขู่ฆ่านายกฯ ผ่านวิทยุชุมชนเอฟเอ็ม 92.5 ที่เชียงใหม่นั้น ปรากฏว่า หลังพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้ออกหมายเรียกนายเพชรวรรต แต่นายเพชรวรรตไม่ยอมมาพบ พนักงานสอบสวนจึงได้ขอศาลออกหมายจับนายเพชรวรรตข้อหาขู่ฆ่านายกฯ ซึ่งมีโทษสูงสุดประหารชีวิตตามประมวลกฎหมายมาตรา 85 ประกอบมาตรา 288 แต่มีรายงานว่า ศาลจังหวัดเชียงใหม่ไม่อนุมัติหมายจับ โดยขอให้พนักงานสอบสวนทบทวนข้อกล่าวหา พร้อมทั้งให้รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม

ด้านนายเพชรวรรต สบช่องที่ศาลไม่อนุมัติหมายจับ จึงระดมคนเสื้อแดงกว่า 200 คนไปชุมนุมหน้า สภ.เมืองเชียงใหม่(26 พ.ย.) ขับไล่ พ.ต.อ.ยุทธชัย พัวประเสริฐ ผู้กำกับ สภ.เมืองเชียงใหม่ ให้ออกจากพื้นที่ นายเพชรวรรต บอกด้วยว่า อยากให้ พ.ต.อ.ยุทธชัยพูดความจริง และระบายความรู้สึกว่าถูกกดดันหรือไม่ ...หากตำรวจทำผิดพลาด ตนก็พร้อมให้อภัย ไม่คิดกลั่นแกล้ง ถ้า พ.ต.อ.ยุทธชัยออกมายอมรับและขอโทษ ก็พร้อมยุติเรื่องดังกล่าว

ด้าน พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ยืนยันว่า หากผู้กำกับ สภ.เมืองเชียงใหม่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็ไม่มีใครมีสิทธิมากดดันให้ตนย้ายใครออกจากพื้นที่ได้ ส่วนการขออนุมัติหมายจับนายเพชรวรรตนั้น เป็นขั้นตอนที่เราสามารถทำได้ในการรักษากฎหมาย ไม่ใช่การเอาชนะคะคานหรือมุ่งเป้าเพื่อเอานายเพชรวรรตไปขังคุก

เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มเสื้อแดงดังกล่าวได้สลายตัวไปในช่วงดึกของคืนเดียวกัน(26 พ.ย.) โดยอ้างว่า ได้เจรจาและตกลงกับผู้กำกับ สภ.เมืองเชียงใหม่แล้วว่าจะยุติการออกหมายจับนายเพชรวรรตเพื่อแลกกับการที่กลุ่มเสื้อแดงยอมสลายการชุมนุม อย่างไรก็ตาม มีรายงานจาก สภ.เมืองเชียงใหม่ว่า ตำรวจไม่ได้รับปากกับกลุ่มเสื้อแดงว่าจะยกเลิกหมายเรียกและหมายจับเพื่อแลกกับการปิดล้อมของกลุ่มเสื้อแดงแต่อย่างใด

3. “เขมร” ยอมให้แม่เยี่ยม “ศิวรักษ์”แล้ว ด้าน “เจ้าตัว” เขียน จม. ยืนยันไม่ใช่สายลับ พร้อมขอบคุณรัฐบาลและคนไทยทุกคน!

 นางสิมารักษ์ ณ นครพนม โชว์ภาพนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ บุตรชายที่เคยถ่ายไว้
ความคืบหน้ากรณีกัมพูชาได้จับกุมนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยของหน่วยจราจรทางอากาศ(แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส หรือแคทส์) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น ที่จัดการเที่ยวบินภายในกัมพูชา โดยกัมพูชากล่าวหาว่านายศิวรักษ์จารกรรมข้อมูลด้วยการขโมยตารางกำหนดการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เดินทางเข้าประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ซึ่งทางการกัมพูชาคุมขังนายศิวรักษ์ไว้ที่เรือนจำเพรซอ และอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทูตไทยเข้าเยี่ยมได้ครั้งหนึ่งแล้ว พร้อมอนุญาตให้ทูตไทยต่อสายโทรศัพท์ให้นายศิวรักษ์ได้พูดคุยกับมารดาในประเทศไทยเป็นเวลาสั้นๆ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ทูตไทยยังได้ประสานเพื่อขอเข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์อีกครั้ง เพื่อให้นางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์ได้เข้าเยี่ยมด้วยนั้น ปรากฏว่า ขณะที่ยังไม่มีคำตอบจากทางการกัมพูชาว่าจะให้เข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ได้อีกครั้งเมื่อใด นายเกา โสภา ทนายความชาวกัมพูชาของนายศิวรักษ์ ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์(24 พ.ย.) โดยยืนยันว่า นายศิวรักษ์ไม่ได้เป็นสายลับหรือทำการจารกรรมข้อมูลตามที่ถูกกล่าวหา เพราะนายศิวรักษ์เป็นเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการควบคุมการจราจรทางอากาศ ซึ่งต้องรู้ข้อมูลเที่ยวบินต่างๆ อยู่แล้ว “ลูกความของผมไม่ได้ให้ความสนใจกับการเดินทางเยือนกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเขาอยู่นอกกัมพูชา 4 วันก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางมาถึง ถ้าเขาต้องการสอดแนมความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณจริง เขาคงไม่เดินทางออกไปจากกัมพูชาในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังจะเดินทางมาถึงที่นี่แน่” นายเกา บอกด้วยว่า คาดว่าศาลกัมพูชาจะตัดสินคดีนายศิวรักษ์ในวันที่ 8 ธ.ค.นี้

ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ พูดถึงกรณีที่หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์รายงานว่า นายศิวรักษ์ยอมรับว่าได้ให้ข้อมูลเที่ยวบินของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า นายศิวรักษ์ไม่ได้ยอมรับ สื่อกัมพูชาไปตีข่าวผิด “ผมได้เห็นเอกสารชี้แจงของนายศิวรักษ์ที่เขียนเป็นภาษาไทยแล้ว โดยเจ้าตัวยืนยันว่า ทำตามกฎหมาย ไม่ได้โจรกรรมหรือกระทำการใดใดที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐบาลกัมพูชา และข้อมูลตารางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่ความลับ ตัวนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกสถานทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมายกัมพูชา”

ด้านนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ได้เขียนจดหมายด้วยลายมือปฏิเสธข้อหาจารกรรมข้อมูล พร้อมขอบคุณรัฐบาลที่พยายามหาทางช่วยเหลือ รวมทั้งขอบคุณคนไทยที่ห่วงใย “ผมมาที่นี่เพื่อที่จะมาทำงานสุจริต ไม่เคยคิดร้ายกับใคร อยู่ที่กัมพูชามาเกือบ 8 ปี ไม่เคยทำอะไรผิด และผมก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองด้วย... เรื่องที่เกิดขึ้น ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ผมก็ทำงานของผมตามปกติ ข่าวสารที่กล่าวหาผมก็เป็นข้อมูลทั่วๆ ไปที่สามารถรู้กันได้ มันอาจจะเป็นการเข้าใจผิด หรือไม่เข้าใจของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย... สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณพี่น้องชาวไทยทุกคนที่เป็นห่วงและสนใจข่าวสารของผมและเป็นกำลังใจให้ ขอบคุณรัฐบาลที่พยายามช่วยเหลือผม หวังว่าผมคงจะได้ออกไปและบอกขอบคุณทุกๆ คนจากปากของผมเอง”

ส่วนความคืบหน้ากรณีที่เจ้าหน้าที่ทูตไทยประสานทางการกัมพูชาเพื่อขอเข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์อีกครั้ง โดยจะพามารดานายศิวรักษ์ไปเยี่ยมด้วยนั้น ปรากฏว่า ทางกัมพูชาอนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้เมื่อวันที่ 27 พ.ย. น.ส.มธุรพจนา อินทะรงค์ รองอธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ จึงได้พานางสิมารักษ์ ณ นครพนม และนายพงษ์สุรีย์ ชุติพงษ์ มารดาและน้องชายนายศิวรักษ์เดินทางจากประเทศไทยไปเยี่ยมนายศิวรักษ์ที่เรือนจำเพรซอในวันดังกล่าว

ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เผยหลังจากนางสิมารักษ์เข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ว่า ได้เข้าเยี่ยมนานถึง 1.30 ชั่วโมง ซึ่งปกติอนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้เพียงครึ่งชั่วโมง นอกจากนี้ยังเข้าเยี่ยมโดยไม่จำกัดจำนวนผู้เยี่ยม ซึ่งปกติให้เข้าเยี่ยมได้เพียง 4 คน โดยจัดห้องประชุมชั้นบนของเรือนจำเพื่อพูดคุยกัน ยืนยันว่ามีความเป็นอยู่ดี มีอาหารพร้อม

ด้านนางสิมารักษ์ มารดานายศิวรักษ์ ได้เปิดแถลงทั้งน้ำตาที่สถานทูตไทยในกรุงพนมเปญว่า ลูกชายซูบผอมลง แต่ยังมีสุขภาพแข็งแรง ต้องขอบคุณทางการกัมพูชาที่ให้การดูแลลูกอย่างดี และหวังว่าลูกจะได้รับอิสรภาพโดยเร็ว ขอบคุณที่เปิดโอกาสให้แม่ลูกได้พบกัน เนื่องจากรอมานานถึง 16 วัน ขอให้ทางการกัมพูชาเมตตาลูกด้วย ยืนยันว่าลูกชายไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่คิดว่าลูกตนเป็นเหยื่อ แต่ถือเป็นโชคร้ายมากกว่า

ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า รัฐบาลไทยได้ให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนการให้เงินกู้แก่กัมพูชาในโครงการก่อสร้างถนนหมายเลข 68 ช่องจอม จ.สุรินทร์-กัมพูชา มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาทนั้น ปรากฏว่า ล่าสุด(27 พ.ย.) ทางกัมพูชาได้ชิงยกเลิกการกู้เงินดังกล่าวจากไทยแล้ว โดยสำนักข่าวเอพีรายงานว่า กัมพูชาได้แจ้งให้ไทยทราบแล้วว่า จะยกเลิกข้อตกลงที่จะกู้เงิน 1,400 ล้านบาทจากไทยที่จะนำไปสร้างถนนหลวงที่มีเส้นทางจากชายแดนของไทย โดยนายกอย กวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา บอกว่า กัมพูชาจะไม่รับเงินกู้จากไทย เนื่องจากทางกัมพูชามีงบประมาณมากพอที่จะใช้ในการสร้างถนนได้เอง

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดถึงกรณีที่กัมพูชาประกาศยกเลิกการกู้เงินจากไทย 1,400 ล้านบาทว่า จริงๆ แล้วมีการประสานกันอยู่ตลอดเวลา แต่กัมพูชาไปเข้าใจว่าไทยยกเลิก ทั้งที่คณะรัฐมนตรียังไม่ได้มีมติในเรื่องของเงินกู้ ดังนั้นเชื่อว่า หากมีการพูดคุยทำความเข้าใจให้ตรงกันก็จะคลี่คลายลงได้

ทั้งนี้ หลังเกิดกรณีกัมพูชาจับกุมนายศิวรักษ์ วิศวกรชาวไทยของบริษัท แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส หรือแคทส์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น โดยกล่าวหาว่าจารกรรมข้อมูลตารางบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ จากนั้นทางการกัมพูชาได้ส่งคนเข้าไปดูแลการบริหารงานของบริษัทแคทส์ พร้อมห้ามเจ้าหน้าที่คนไทยเข้าไปปฏิบัติงาน โดยมีข่าวว่าบุตรสาวของสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชาจ้องยึดธุรกิจบริษัทแคทส์นั้น ปรากฏว่า นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น เผย(23 พ.ย.)ว่า บริษัทได้รับแจ้งว่า รัฐบาลกัมพูชาได้แถลงอย่างเป็นทางการว่า มิได้มีความประสงค์ที่จะยึดสัมปทานหรือซื้อคืนบริษัทแคทส์ รวมทั้งมิได้ต้องการที่จะใช้ธุรกิจเอกชนเป็นเครื่องมือทางการเมืองตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด แต่เนื่องจากคดีของนายศิวรักษ์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องเป็นพนักงานบริษัทนี้ ยังอยู่ในกระบวนการของศาล รัฐบาลกัมพูชาจึงยังต้องส่งตัวแทนเข้าร่วมดูแลกิจการของบริษัทเป็นการชั่วคราวจนกว่าคดีจะสิ้นสุด

4. “สุนัย” เบิกความคดียึดทรัพย์ มัด “ทักษิณ” เจ้าของ “วินมาร์ค”- ตั้งบริษัทนอมินีซุกหุ้น ด้าน “สัก กอแสงเรือง”ถูกมือมืดคุกคาม!
นายสัก กอแสงเรือง อดีต คตส.1 ในพยานคดียึดทรัพย์ทักษิณ 7.6 หมื่นล้าน ชี้ให้นักข่าวดูจุดที่คนร้ายยิงปืนเข้าใส่สำนักงาน
ความคืบหน้าคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยึดทรัพย์สินจำนวน 76,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากมีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ โดยขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งศาลฎีกาฯ ได้ไต่สวนพยานบางปากไปแล้ว เช่น นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ศาลฎีกาฯ ได้ไต่สวนพยานต่อ โดยอัยการนำนางเนติมา เอื้อธรรมาภิมุข อดีต ผอ.ฝ่ายกฎหมายบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือแทค และนายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแทค เข้าเบิกความเกี่ยวกับการทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือเอไอเอส ที่ทำให้เอไอเอสได้เปรียบแทค เนื่องจากเอไอเอสไม่ต้องเสียค่าเชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์ หรือแอ็คเซสชาร์จ ให้กับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) ส่วนแทคต้องเสียค่าเชื่อมต่อสัญญาณในอัตรา 200 บาทในการให้บริการแบบลงทะเบียน(โพสต์เพด) ส่วนการให้บริการแบบระบบเติมเงิน(พรีเพด) ต้องเสียในอัตรา 18% ซึ่งเป็นความเหลื่อมล้ำของการทำสัญญา ทำให้แทคไม่สามารถแข่งขันกับเอไอเอสได้อย่างเป็นธรรม

ต่อมา อัยการได้นำนายวิบูลย์ สิทธาพร อดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงก์ เข้าเบิกความ โดยยืนยันว่า การที่เอ็กซิมแบงก์ให้รัฐบาลพม่ากู้เงิน 4,000 ล้านบาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 3% ซึ่งต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่กู้ยืมมา ส่งผลให้กระทรวงการคลังต้องจ่ายเงินส่วนต่างคืนเอ็กซิมแบงก์ประมาณ 670 ล้านบาทนั้น เป็นการทำตามนโยบายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณที่มีมติ ครม.ออกมาในขณะนั้น โดยเอ็กซิมแบงก์ทำสัญญาโอนเงินให้กับธนาคารการค้าต่างประเทศของพม่า ซึ่งได้ทำสัญญาให้จ่ายเงิน 15 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับบริษัท ชินแซทเทลไลท์(ของครอบครัวชินวัตร) หลังจากนั้น บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จึงโอนเงิน 5.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับบริษัท ฮาตาริ ประเทศพม่า นายวิบูลย์ ยังยอมรับด้วยว่า “จากนโยบายดังกล่าว จนถึงปัจจุบัน เอ็กซิมแบงก์ยังต้องแบกรับดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินมาให้ประเทศพม่ากู้ดอกเบี้ยต่ำ แม้กระทรวงการคลังจะจ่ายเงินชดเชยให้กับเอ็กซิมแบงก์ก็ตาม”

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน (24 พ.ย.) อัยการได้นำนายสุนัย มโนมัยอุดม ผู้พิพากษาอาวุโสศาลอุทธรณ์ ในฐานะอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ขึ้นเบิกความเกี่ยวกับการสอบสวนคดี พ.ต.ท.ทักษิณปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ที่ดีเอสไอเคยทำสำนวนส่งฟ้องบริษัท เอสซีฯ แล้ว แต่อัยการสั่งไม่ฟ้อง โดยอ้างว่า ประกาศ ก.ล.ต.(คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์)ออกภายหลังจากเกิดคดีบริษัท เอสซีฯ ทำให้ไม่เป็นความผิด แต่นายสุนัยยืนยันว่า น่าจะเป็นความผิดเกี่ยวกับการปกปิดสาระสำคัญเกี่ยวกับการถือหุ้น เหมือนที่ พ.ต.ท.ทักษิณเคยซุกหุ้นไว้ที่คนใช้ แต่กรณีนี้เป็นการซุกหุ้นไว้ในบริษัทนิติบุคคลที่เป็นนอมินี

ทั้งนี้ นายสุนัย เบิกความให้เห็นถึงอุบายในการซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า หลังดีเอสไอรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ ได้ตรวจสอบพบว่า ครอบครัวชินวัตรถือหุ้นในบริษัท เอสซีฯ 60.82% โดยมีกองทุนโอเวอร์ซี โกรธ ฟันด์(โอจีเอฟ) และกองทุนออฟชอร์ ไดนามิก ฟันด์(โอดีเอฟ) ถือหุ้นอีก 20% จากนั้นช่วงที่บริษัท เอสซีฯ นำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรากฏว่า ทั้ง 2 กองทุนขอสละสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุน จึงสงสัยว่า ทั้ง 2 กองทุนเกี่ยวข้องกับครอบครัวชินวัตรหรือไม่ ซึ่ง ก.ล.ต.ตรวจสอบพบว่า ทั้ง 2 กองทุนถือหุ้นโดยกองทุนวีไอเอฟ(Value Investment Mutual Fund) “เมื่อตรวจสอบการซื้อหุ้นกลุ่มบริษัท เอสซีฯ ของบริษัท วินมาร์ค มูลค่า 1,527 ล้านบาท พบว่า มีการนำเงินในบัญชี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ในประเทศสิงคโปร์จำนวน 300 ล้านบาท ไปซื้อหุ้นบริษัท เอสซีฯ และเมื่อได้เงินมา ได้โอนเข้าบัญชี พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น ก.ล.ต.จึงสงสัยว่า บริษัท วินมาร์ค น่าจะเป็นบุคคลเดียวกันหรือมี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของ”

นายสุนัย เบิกความถึงผลการตรวจสอบการจัดตั้งบริษัท เอสซีฯ และบริษัท วินมาร์คด้วยว่า ก่อตั้งเมื่อปี 2537 โดย พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน โดยมีการตั้งบริษัทต่างๆ เป็นบริษัทลูก เพื่อแบ่งหน้าที่กันทำ ต่อมาหลังปี 2543 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัท เอสซีฯ โดยนำบริษัทที่คุณหญิงพจมานได้ก่อตั้งขึ้นก่อนหน้านี้ เช่น บริษัท บลูไดมอนด์ ,บริษัท ซิเนตร้า ทรัสต์ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซีฯ ซึ่งดีเอไอมีเอกสารหลักฐานที่ได้รับการรับรองจากประเทศสิงคโปร์ที่เกี่ยวกับเรื่องเงินฝากบัญชีธนาคารจากฮ่องกงและมาเลเซีย เรื่องการจัดตั้งบริษัทที่เป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ซึ่งบริษัทต่างๆ ไม่มีอำนาจ เพราะคนคุมและจัดการคือ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน “ต่อมาบริษัท วินมาร์คขายหุ้นกลุ่มบริษัท เอสซีฯ คืนให้กับ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ในราคาพาร์ พร้อมสละสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุน โดยมีนางบุษบา ดามาพงศ์ กรรมการผู้มีอำนาจในบริษัท เอสซีฯ เป็นผู้แจ้ง ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า สามารถดำเนินการแทนกองทุนโอดีเอฟ และโอจีเอฟได้ แล้วนำเงินเข้าบัญชีบริษัท วินมาร์ค ที่มีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของ อีกทั้งตอนที่หุ้นบริษัท เอสซีฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานไม่เปิดเผยว่า เป็นผู้ถือหุ้นในกองทุนโอดีเอฟและโอจีเอฟว่าเป็นของตัวเอง อันเป็นการปกปิดสาระสำคัญที่ควรแจ้งให้ประชาชน ผู้ถือหุ้นทราบ เพราะถือหุ้นรวมกันกว่า 80% ซึ่งจะสามารถบริหารงานได้อย่างเบ็ดเสร็จ และไม่รายงานการได้มาหรือขายไปซึ่งหุ้นทุก 5% ให้ ก.ล.ต.ทราบ”

ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯ มีกำหนดไต่สวนคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณนัดสุดท้ายในวันที่ 15 ธ.ค. อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างที่ศาลฯ ทยอยไต่สวนพยานอยู่ในขณะนี้ ได้มีความพยายามข่มขู่คุกคามพยานเป็นระยะๆ โดยล่าสุด เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 27 พ.ย. คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปภายในสำนักงานทนายความของนายสัก กอแสงเรือง อดีต คตส. ที่ย่านบางพลัด กทม. ส่งผลให้กระจกห้องทำงานของทนายความบริเวณชั้น 2 แตกกระจาย นอกจากนี้ยังพบรูกระสุนปืนอีก 1 รูบริเวณชั้น 3 ด้วย

ด้านนายสัก บอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามาจากสาเหตุใด เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น และว่า ก่อนหน้านี้ เคยถูกข่มขู่ทุกรูปแบบขอให้ระวังตัว คตส.ทุกคนเคยถูกข่มขู่มาแล้ว แต่ละครั้งไม่สามารถตรวจสอบได้ และเมื่อวันที่ 26 พ.ย.อัยการได้ส่งหมายศาลมาที่บ้านให้ไปเป็นพยานในคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ก็จะทำหน้าที่พยานตรงนั้นต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น