xs
xsm
sm
md
lg

‘วีระ สมความคิด’ คู่ปรับคอร์รัปชัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ภาพของชายร่างผอม ทรงผมดำเกรียนแซมสีดอกเลา สวมแว่นตาสีดำทรงเหลี่ยม และหนวดเคราที่ขึ้นประปรายบนริมฝีปาก กลายเป็นภาพที่คนไทยแทบทุกครัวเรือนต้องรู้จัก ทั้งนี้ไม่ว่าคุณจะรักเขา เกลียดเขา สนับสนุนเขา หรือต่อต้านเขา แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ก็คือ สิ่งที่เขาทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นเป็นไปเพื่อสังคมส่วนรวมอย่างแท้จริง

ณ วันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักชายที่ชื่อ วีระ สมความคิด เพราะบุคคลผู้นี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน นอกจากเขาจะเป็นคนที่ทำให้นักการเมืองใหญ่อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องกลายสภาพเป็น “นช.ทักษิณ” จากกรณีตรวจสอบการทุจริตในการซื้อขายที่ดินรัชดาแล้ว หากใครยังจำได้เมื่อ 10 ปีก่อน เขาคนเดียวกันนี้เองที่เป็นผู้สร้างความฮือฮาให้สังคมและ    แวดวงการเมืองไทย ด้วยการยื่นตรวจสอบ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น กรณียื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จต่อคณะกรรมการป้องกันและปรบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จนเป็นเหตุให้ พล.ต.สนั่น ถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลาถึง 5 ปี

อะไรที่ทำให้ผู้ชายธรรมดาอย่างเขาหาญกล้าลุกขึ้นมาต่อกรกับนักการเมือง และข้าราชการคอร์รัปชัน ทั้งๆ ที่การขุดคุ้ยข้อมูลการทุจริตแต่ละครั้งนั้นล้วนต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายถึงขั้นต้อง ‘เอาชีวิตเป็นเดิมพัน’?

ขอเป็นอิฐก้อนแรก

กล่าวได้ว่า วีระ สมความคิด เป็นลูกชายที่สืบทอด “พันธุกรรมตงฉิน” จากคุณพ่อซึ่งเป็นข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์มาอย่างเต็มตัว เขาซึมซับแนวคิดของคุณพ่อซึ่งยืนหยัดในความถูกต้องจึงถูกกลั่นแกล้งจากผู้บังคับบัญชาในกรมประชาสัมพันธ์ จนสุดท้ายต้องลาออกราชการ อีกทั้งยังศรัทธาในปณิธานของ ครูโกมล คีมทอง ครูของแผ่นดินที่มีความกล้าหาญและเสียสละ อุทิศตนทำงานเพื่อสังคม วีระจึงเข้าร่วมเดินขบวนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนใส่ขาสั้นที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และหลังจากการล้อมปราบในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เขาก็ต้องหนีเข้าป่าขณะที่ยังเรียนอยู่ในคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

“ผมสนใจการเมืองมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะคุณพ่อเป็นข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์ อยู่ฝ่ายต่างประเทศ แต่ต้องออกจากราชการเพราะเห็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบของหัวหน้าคืออธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในขณะนั้น (ช่วงก่อนปี พ.ศ.2500) คืออธิบดีจะให้ลูกน้องของคุณพ่อซึ่งเป็นหญิงสาวหน้าตาดีไปปรนนิบัติ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่คุณพอผมขัดขวางเลยถูกเจ้านายบีบ คุณพ่อผมจึงตัดสินใจลาออกจากราชการแล้วหันมาทำธุรกิจส่วนตัว เวลาเพื่อนคุณพ่อซึ่งเป็นข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์ที่ลาออกมาพร้อมกันมาที่บ้าน ผมก็จะได้ยินคุณพ่อกับเพื่อนท่านคุยกันเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ความไม่เป็นธรรมในบ้านเมือง การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ผมก็เลยซึมซับเรื่องเหล่านี้และเป็นคนที่ไม่ชอบการเอารัดเอาเปรียบ ไม่ชอบการทุจริตคอร์รัปชัน ต่อต้านคนที่ใช้อำนาจโดยไม่ถูกต้อง พ่อผมจะสอนเสมอว่าอย่าไปเอาเปรียบใครและต้องช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่า ความคิดแบบนี้ก็เลยติดตัวมา

แต่แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมลุกขึ้นมาต่อการการทุจริตคอร์รัปชันและมีความเชื่อมั่นในเรื่องของการช่วยเหลือสังคมก็คือข้อเขียนของ ครูโกมล คีมทอง คือครูโกมลเป็นคนบ้านหมี่ จ.ลพบุรี แกจบเกียรตินิยมครุศาสตร์ จุฬาฯ แต่แกเลือกที่จะไปเป็นครูที่ อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี แล้วถูกตำรวจยิงตาย เพราะหาว่าแกเป็นคอมมิวนิสต์ ก่อนที่แกจะตายในปี 2513 แกเขียนจดหมายถึงอาจารย์แถม สุขนุ่มนนท์ เพื่อนของแกซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ในจดหมายเขียนบอกว่า ‘สังคมไทยมันอ่อนแอเพราะเมืองไทยมันไม่มีใครยอมเป็นอิฐก้อนแรกที่จะยอมทิ้งตัวเองอยู่ก้นบ่อตราบชั่วนิรันดร์ เพื่อให้อิฐก้อนอื่นๆ ทับถมต่อๆ กันกระทั่งวันหนึ่งสามารถโผล่พ้นน้ำขึ้นมา’ ผมก็รู้สึกว่าผมอยากเป็นอิฐก้อนแรก เพราะสังคมไทยในขณะนั้นมันไม่มีใครที่จะออกมาทำเพื่อสังคมอย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ ทุกคนก็จะเลือกทำเรื่องที่ตัวเองไม่ต้องเสี่ยง แต่ได้ทั้งชื่อเสียงได้ทั้งเงิน ได้ทั้งผลประโยชน์ แนวคิดของครูโกมลจึงเป็นสิ่งที่ผมยึดถือตลอดมา” วีระ พูดถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาเข้าร่วมการต่อสู้กับภาคประชาชน

หลังออกจากป่า วีระตัดสินใจบวชเรียนเพื่อศึกษาหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาเป็นเวลาถึง 5 ปี เขาเดินตามรอยพระสายกรรมฐาน อย่าง หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี เดินตามรอยหลวงพ่อพุทธทาส วัดสวนโมกข์ และสมณะโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก เขาศึกษาธรรมอย่างเข้มข้นและเคยเดินธุดงค์จนถึงประเทศพม่า เมื่อสึกออกมาวีระได้เข้าไปช่วยครอบครัวทำธุรกิจขายผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน และปลอกหมอนให้แก่โรงแรมต่างๆ แต่เขาก็ยังไม่ละทิ้งอุดมการณ์ที่จะงานเพื่อสังคม โดยวีระและกลุ่มเพื่อนซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการได้ร่วมกันก่อตั้ง กลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน ขึ้นในปี 2531 เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง เมื่อเกิดวิกฤตการเมืองในปี 2535 เขากับเพื่อนๆได้ร่วมเดินขบวนขับไล่รัฐบาลคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งครั้งนั้นเขาถูกจับไปขังที่คุกบางขวางอยู่ 3 วัน

หลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 กลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนจึงเริ่มเคลื่อนไหวตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันของบรรดาข้าราชการและนักการเมือง โดยมีวีระเป็นหัวหอก ขณะที่กลุ่มเพื่อนๆ ที่ไม่อาจเปิดเผยตัวจะคอยให้การสนับสนุนด้านการเงินและอยู่เบื้องหลังในการหาข้อมูล ซึ่งวีระและกลุ่มเพื่อนๆ ก็ยังคงเดินหน้าตรวจสอบการทุจริตมาจนถึงปัจจุบัน และกลุ่มของเขาได้เปลี่ยนชื่อเป็น เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) มาจนถึงปัจจุบัน

เสี่ยงตายล้วงข้อมูล

อย่างไรก็ตาม การขุดคุ้ยข้อมูลการทุจริตคอร์รัปชันของบรรดาข้าราชการและนักการเมืองของ คปต. นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องทำงานชนิดเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกๆ ที่วีระและกลุ่มของเขาเพิ่งเริ่มเข้าไปตรวจสอบการทุจริตในแวดวงราชการ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ท้าทายต่ออิทธิพลของกลุ่มผู้มีอำนาจ ผู้ที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่จึงไม่กล้าให้ข้อมูล

“เราเริ่มตรวจสอบการทุจริตมาตั้งแต่ ปี 2538-2539 เริ่มแรกยื่นตรวจสอบการทำงานของระดับนายกรัฐมนตรีเลย คนแรกคือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คนต่อมาคือ คุณบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับกรณีทุจริตประพฤติมิชอบทั้งคู่ การหาข้อมูลตอนแรกนี่ยากมากและก็เสี่ยงมากด้วย ครั้งที่เสี่ยงที่สุด คือ ตอนหาข้อมูลในกรณีของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย โดยเราเตรียมยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบเรื่องการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ตอนนั้นผมต้องเข้าไปแอบอยู่ในสำนักงานของหน่วยงานด้านความมั่นคงของชาติแห่งหนึ่ง เพื่อเข้าไปเอาข้อมูลเกี่ยวกับ พล.ต.สนั่น โดยผมได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นระดับหัวหน้าของหน่วยงานนั้น ห้องที่เก็บเอกสารที่ผมต้องการก็คือห้องใหญ่ซึ่งเป็นห้องทำงานรวม และเจ้าหน้าที่คนนี้เขาก็นั่งทำงานในห้องนี้ด้วย แต่เขาไม่สามารถหยิบเอกสารออกมาได้เพราะจะเป็นที่สังเกตของพนักงานคนอื่นๆ พอผมเข้าไปหาเขา เขาก็ชี้ให้ผมดูชั้นเก็บเอกสาร บอกว่าเอกสารที่ผมต้องการอยู่ชั้นที่สอง ซึ่งผมไม่ต้องไปค้น เขาจะดึงเอกสารชิ้นนี้ออกมาไว้ให้หน่อยหนึ่งให้สังเกตเห็นได้ง่าย แล้วผมก็ไปลอกเอา จากนั้นเขาก็เอาผมไปหลบอยู่ใต้โต๊ะทำงานของเขาตั้งแต่ตอนเย็นๆ ผมก็เตรียมไฟฉาย ขนมปังก้อนหนึ่ง และที่ใส่ปัสสาวะของคนไข้

ผมต้องเข้าไปนั่งคู้ตัวอยู่ใต้โต๊ะทำงานตั้งแต่ 6 โมงเย็น เกือบความแตกเพราะหลังจากเจ้าหน้าที่กลับไปหมดแล้ววันนั้นดันมีแม่บ้านมาทำความสะอาด ซึ่งตามปกติไม่มี ผมก็ใจหายใจคว่ำเพราะถ้าถูกจับได้นี่ตายแน่ ถูกเก็บแน่ แม่บ้านก็กวาดล้วงเข้าไปใต้โต๊ะหมดทุกโต๊ะแต่โชคดีโต๊ะที่ผมแอบอยู่เขาไม่ล้วงเข้ามา ผมเนี่ยเหงื่อแตกไปหมดเลย เจ้าหน้าที่เขาก็บอกไว้ว่าหลัง 4 ทุ่ม รปภ.ที่อยู่ชั้น 1 จะหลับหมด ส่วนห้องที่ผมอยู่มันอยู่ชั้น 2 พอ 4 ทุ่มผมก็ออกมา เอาไฟฉายส่องเพื่อคัดลอกข้อมูลในเอกสารที่ต้องการออกมา ตั้งแต่ 4 ทุ่มจนถึงตีสี่ ไม่หิว ไม่ง่วง เพราะมันตื่นเต้น เสร็จแล้วผมก็กลับไปนั่งซุกอยู่ใต้โต๊ะเหมือนเดิม


จะหลับก็ไม่กล้าเพราะกลัวใครจะเข้ามาเห็นเข้า ในใจก็นึกว่าทำไมผมต้องมาทำอะไรอย่างนี้ ตีสามตีสี่คนเขาก็หลับกันอย่างมีความสุข ไอ้วีระมึงมานั่งทำอะไรวะเนี่ย ถูกจับได้มึงตายนะ แต่อีกใจหนึ่งผมก็รู้สึกภาคภูมิใจว่าผมกำลังสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง เดี๋ยวต่อจากนี้มันจะพลิกการเมืองไปอีกโฉมหน้าหนึ่งเลย ผมก็นั่งอยู่อย่างนั้นจนเช้า เจ้าหน้าที่ที่ช่วยผมเขาก็มาตั้งแต่ 6 โมงเช้าเลย แล้วก็พาผมออกมา

ออกมาแล้วก็ไม่ได้นอนนะ มานั่งพิมพ์จนเสร็จเอาตอนบ่าย แล้วก็ไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.วันนั้นเลย จนสุดท้าย ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาตัดสินว่า พล.ต.สนั่นมีความผิด และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี แต่หลังจากคดี พล.ต.สนั่นประสบความสำเร็จผมก็ไม่ต้องไปเสี่ยงแบบเดิมอีก ข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาเพราะข้าราชการต่างๆ เขาเชื่อมือผมแล้ว เขาก็เอาข้อมูลมาให้ แล้วกลุ่มผมคือเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น คนที่มาใช้บริการร้อยละ 90 เป็นข้าราชการ เขาจะเอาข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นในหน่วยงานของเขามาให้และให้เราช่วยเดินเรื่องตรวจสอบ ด้วยเหตุนี้ข้อมูลของผมจึงไม่เคยผิดเพราะเป็นข้อมูลที่ออกมาจากหน่วยราชการเอง แต่หลังจากได้ข้อมูลมาผมก็จะมีวิธีเช็คนะว่าเป็นของจริงหรือเปล่า”  วีระเล่าถึงวิธีการหาข้อมูลของเขา

ทำถูกให้เป็นถูก-ผิดให้เป็นผิด

แม้จะมีบางคนมองว่าการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันของวีระ และเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่นอาจกลายเป็นเครื่องมือในการเลื่อยขาเก้าอี้ของบรรดาข้าราชการเขี้ยวลากดิน หรือตกเป็นเครื่องมือในการเล่นงานกันทางการเมืองของนักการเมืองต่างขั้ว แต่วีระกลับมองว่าเขาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะผลลัพธ์ที่ได้มากกว่านั้นคือประโยชน์ของประเทศชาติ

“ผมจะมีหลักในการทำงานว่า คนที่เขาขัดแย้งกันหรือแย่งตำแหน่งกันแล้วเอาข้อมูลการทุจริตของอีกฝ่ายมาให้เราแล้วตัวเขาจะได้ประโยชน์ ได้ตำแหน่งอะไรก็เรื่องของเขา เพราะตรงนี้สังคมได้ประโยชน์มากกว่าเพราะคนที่เราตรวจสอบเขาทุจริตจริงๆ บางคนบอกว่าอย่างนี้คุณก็ไปช่วยอีกฝ่ายหนึ่งล่ะสิ ผมก็บอกว่าผมไม่ได้ช่วยเพราะคนที่ทำผิดน่ะเขาผิดของเขาอยู่แล้ว เราไม่ได้ไปใส่ร้ายเขาเพียงแต่เราได้ข้อมูลจากอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น และถ้าในอนาคตคนที่เคยเอาข้อมูลมาให้ผมทุจริตเสียเองผมก็เล่นงานเขาเหมือนกัน แล้วผมจะบอกกับทุกคนที่เอาข้อมูลมาให้ผมเลยนะว่าคุณเอาข้อมูลมาให้ผมเนี่ยคุณไม่ได้รับข้อยกเว้นจากผมนะ ถ้าวันหนึ่งคุณทุจริตคุณก็ต้องถูกผมตรวจสอบเหมือนกัน นักการเมืองหลายคน ถ้าเอ่ยชื่อนี่รู้จักกันทั้งประเทศ เขาเอาข้อมูลมาให้ผมเพื่อทำลายกันทางการเมือง ผมไม่สนใจนะถ้าอีกฝ่ายหนึ่งผิดจริง เพราะสังคมได้ประโยชน์ ผมไม่ถือว่าผมเป็นเครื่องมือใคร ผมถือว่าผมเป็นกลไกหนึ่งที่จะทำให้สังคมดีขึ้น แต่ข้อสำคัญคือผมต้องไม่ไปทำให้คนที่บริสุทธิ์เดือดร้อน” เลขาธิการ คปต. กล่าวด้วยร้อยยิ้ม

ริบเงิน 80 ล. คืนให้ชาติ


แม้จะเดินหน้าท้าชน โค่นนักการเมืองใหญ่ที่มีพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชันมานักต่อนัก ไม่ว่าจะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีโคตรคอร์รัปชั่นอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งวีระยื่นตรวจสอบในกรณีทุจริตในการซื้อขายที่ดินรัชดา ซึ่งศาลตัดสินว่ามีความผิดและมีโทษจำคุก 2 ปี หรือนักการเขี้ยวลากดินอย่าง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ต้องมาตายน้ำตื้นเพราะถูกยื่นตรวจสอบกรณีการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ โดย     ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินว่ามีความผิดและถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี แต่คดีที่วีระภาคภูมิใจจริงๆกลับเป็นคดีของ นายสมภพ อุณหวัฒน์ ข้าราชการ ซี 8 สังกัดกรมโยธาธิการ ซึ่งวีระและพวกยื่นตรวจสอบในกรณีมีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ และท้ายที่สุดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ  (ป.ป.ป.) และศาลตัดสินว่ามีความผิด และควรยึดทรัพย์สินซึ่งมีมูลค่าถึง 80 กว่าล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน

“กรณีที่ผมประทับใจและภาคภูมิใจที่สุด คือ คดีของนายสมภพ อุณหวัฒน์ ข้าราชการ ซี 8 สังกัดกรมโยธาธิการ ซึ่งผมยื่นให้ ป.ป.ป.ตรวจสอบในปี 2539 เนื่องจากมีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินถึง 80 กว่าล้านบาท แต่ไม่สามารถชี้แจงถึงที่มาของทรัพย์สินได้ คดีนี้เป็นคดีที่ ป.ป.ป.เห็นขัดแย้งกับอัยการสูงสุด โดยทาง ป.ป.ป.มีความเห็นว่าควรยึดทรัพย์ จึงส่งเรื่องไปอัยการให้ส่งฟ้องศาล แต่อัยการกลับไม่ส่งฟ้อง ทั้งนี้ก็เพราะนายสมภพเป็นเครือข่ายของ คุณบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งตอนนั้นมีตำแหน่งเป็น นายกฯ คุณบรรหารก็ไปวิ่งเต้นกับอัยการสูงสุด เมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้อง ทาง ป.ป.ป.ก็ไม่รู้จะทำยังไง ซึ่งตามขั้นตอนแล้วถ้าอัยการไม่เห็นด้วยและส่งเรื่องกลับมา ถ้า     ป.ป.ป.ยังยืนยันความเห็นเดิม อัยการต้องยืนฟ้องศาลทันที ไม่มีสิทธิใช้ดุลยพินิจเพราะคดีนี้ไม่ใช่คดีอาญาแต่เป็นความผิดเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบ และกฎหมายนี้ถือเป็นกฎหมายเฉพาะ แต่อัยการไม่ยอมส่งฟ้องศาล

ตอนนั้นผมเห็นข่าวก็เลยปรึกษากับเพื่อนว่า...ไม่ได้แล้วต่อไปถ้าอัยการสามารถเข้ามาแทรกแซงขบวนการของ ป.ป.ป.ต่อไปพวกขี้โกงก็จะเอาคำตัดสินตรงนี้มาเป็นบรรทัดฐาน อย่างสมภพทุจริตมา 80 ล้านบาท เอาไปติดสินบนอัยการ 40 ล้าน ก็ยังเหลืออีก 40 ล้าน เมื่ออัยการยกฟ้องก็เท่ากับสามารถฟอกตัวให้บริสุทธิ์และยังรับราชการต่อ เขาก็สามารถใช้ตำแหน่งหน้าที่มาโกงกินต่อไปได้อีก ถ้าอย่างนั้นบ้านเมืองก็วิบัติแน่ ผมก็เลยไปพบคุณประสิทธิ์ ดำรงชัย ซึ่งตอนนั้นดำรงเลขาธิการ ป.ป.ป.เพื่อขอข้อมูล จากนั้นก็ไปแจ้งความกับกองปราบฯ ให้ดำเนินคดีนายกฯ บรรหาร และอัยการสูงสุด ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะเรามีหลักฐานชัดเจนว่าคุณบรรหารไปแทรกแซงอัยการ ส่งผลให้อัยการสั่งไม่ฟ้องคุณสมภพ แต่กองปราบฯ ไม่ยอมดำเนินคดีโดยอ้างว่าหลักฐานไม่เพียงพอ ตอนนั้นคุณบรรหารก็กลัวจะติดคุก เลยต้องเรียกประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดใหญ่ คณะกรรมการกฤษฎีกาก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าอัยการต้องส่งฟ้อง เพราะอัยการไม่มีสิทธิใช้ดุลยพินิจ เนื่องจากไม่ใช่คดีอาญา แต่เป็นกฎหมายพิเศษว่าด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน

ปรากฏว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นตัดสินเมื่อปี 2547 ให้ริบทรัพย์ของนายสมภพ จำนวน 80 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน นี่เป็นคดีที่ผมภูมิใจที่สุด เพราะถึงแม้จะเอานายกฯ บรรหารและอัยการสูงสุดติดคุกไม่ได้แต่ผมก็เอาเงิน 80 ล้าน กลับมาเป็นของแผ่นดินได้ ผมไม่ภูมิใจเลยที่เอาทักษิณเข้าคุก เอา เสธ.หนั่น ออกจากตำแหน่งผมก็ไม่ภูมิใจ แต่คดีคุณสมภพเนี่ยผมภูมิใจเพราะทั้งประเทศไม่มีใครเอาผิดเขาได้แล้ว คดีนี้หลุดออกไปจากกระบวนการยุติธรรมแล้ว แต่ผมดึงกลับเข้ามา และทำให้เจตนารมณ์ของ    กฎหมาย ป.ป.ป.ยังดำรงอยู่” วีระ กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

ถูกคุกคามขู่ฆ่า

เนื่องเพราะการตรวจสอบการทุจริตของวีระและเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชันก็เท่ากับเข้าไปขัดขวางผลประโยชน์ของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และบรรดานักการเมืองผู้มีอิทธิพล ที่ผ่านมาชายผู้นี้จึงถูกคุกคามขู่ฆ่ามาตลอด แต่สิ่งเหล่านี้ก็หาได้ทำให้เขาหวาดหวั่นและล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อบ้านเมือง

“ถูกขู่นี่บ่อยมาก โทร.มาบ้าง เอาน้ำมันเบรกไปราดรถผมบ้าง เอาน้ำกรดมาขู่ ที่เจอบ่อยที่สุดคือโทร.มาขู่ ล่าสุดผมคัดค้านเรื่องเขาพระวิหารก็มีคนส่งข้อความมาขู่เมื่อวันที่ 18 ก.ย.2552 บอกว่า ‘แน่จริงยึดเขาพระวิหาร กูจะรอเก็บศพมึง ไอ้สั ...’ ก็จะมีอย่างนี้มาเรื่อยๆ แต่ครั้งที่แรงที่สุด คือ ตอนที่ผมยื่นตรวจสอบ พล.ต.สนั่น ตอนนั้นผู้พันตึ๋ง (พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ ปัจจุบันเป็นผู้ต้องโทษคดีฆ่าอดีต ผวจ.ยโสธร ณ เรือนจำบางขวาง) เป็นคนรับงาน เขาก็โทร.มาขู่ผม โทร.ไปขู่พี่สาวผม จากนั้นช่วงเช้ามืดก็ไปปิดหมู่บ้านนวธานีที่ผมอยู่ เขาตัดไฟฟ้า ดับหมด แล้วก็เอาน้ำมันเบรกมาราดรถผมเพื่อข่มขู่ให้เรากลัว นอกจากนั้นก็ส่งคนมาดักยิง แต่ผมรอดมาได้ เพราะบังเอิญเพื่อนของพี่สาวผมเขาไปตีกอล์ฟแล้วบังเอิญไปนั่งกินน้ำอยู่โต๊ะติดกับกลุ่มมือปืนที่จะมายิงผม

เขาก็ได้ยินพวกนี้คุยกันว่า ... มึงอย่าให้พลาดนะ ไอ้วีระ สมความคิด เนี่ยเด็ดหัวมันให้ได้ เขาก็เลยโทร.มาถามพี่สาวผมว่ามีญาติชื่อวีระไหม พี่สาวผมบอก ... ก็น้องชายฉันเอง เขาก็บอกว่าอย่าให้ผมกลับบ้านนะเพราะมันดักรออยู่ พี่สาวก็โทร.มาบอกผม ตอนนั้นผมอยู่ที่ศาลาว่าการ กทม. ก็เลยไม่กลับบ้าน แล้วก็แจ้งตำรวจ แล้วให้คนออกไปดู ก็เห็นว่ามีรถจอดซุ่มอยู่แถวบ้านจริงๆ ช่วงนั้นผมก็เลยต้องหลบไปอยู่ที่อื่นพักหนึ่ง ผมเคยถูกมือปืนตามล่าหลายครั้ง แต่ผมก็รอดมาได้ทุกครั้ง โชคดีที่มีคนมาบอกก่อนทุกที (ยิ้ม)

บางทีผมก็มานั่งนึกว่าทำไมผมถึงต้องเป็นอย่างนี้ ชีวิตครอบครัวล้มเหลว ต้องเลิกกับภรรยาเพราะไม่มีเวลาให้เขา ต้องอยู่อย่างระแวดระวังเพราะถูกขู่ฆ่า ผมกลัวนะ ผมกลัวเจ็บ ผมกลัวตาย แต่เวลาที่ตรวจสอบการทุจริตใจผมจะจดจ่ออยู่ที่งาน ไม่นึกถึงอะไร คิดแต่จะทำงานให้สำเร็จอย่างเดียว ผมว่าถ้าสังคมไทยไม่มีใครยอมเป็นอิฐก้อนแรก ทุกคนเลือกทำแต่เรื่องที่ตัวเองปลอดภัย มันก็ไม่สามารถที่จะไปต่อสู้กับคนเลวๆได้ เพราะคนพวกนี้เขามีอิทธิพลทางการเมือง เป็นพวกมาเฟีย ไปสู้กับเขาก็เท่ากับเราเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง แต่สิ่งที่ผมทำเนี่ยผมใช้สติปัญญา และผมทำพอเหมาะพอควร ไม่ได้ไปด่าพ่อล่อแม่เขา ผมใช้กระบวนการทางกฎหมายที่มีอยู่ ประกอบกับผมมีความตั้งใจ และผมเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของผม แต่ถ้าอะไรจะเกิดผมก็ยอมรับนะ ผมก็บอกกับคุณแม่ผมว่าถ้าผมจะต้องตายเพราะทำสิ่งเหล่านี้ผมก็ยอม เพราะยังไงเสียผมก็ต้องตายอยู่แล้ว เพื่อนผมมันตายก่อนผมเยอะแยะ เพื่อนผมหลายคนตายเพราะโรคความดัน อายุ 52 เท่ากับผมเลย บางคนตายเพราะอุบัติเหตุ ตอนนี้เพื่อนร่วมรุ่นผมตายไปครึ่งหนึ่งแล้วนะ ทั้งที่ไม่เห็นว่าเขาต้องมาทำเรื่องเสี่ยงๆอย่างผมเลย เขาก็ตายกัน (หัวเราะ)”

ข้าวมื้อที่มีค่าที่สุดในชีวิต

สิ่งหนึ่งที่ทำให้วีระยังคงยืนหยัดในการทำหน้าที่คนไทยที่รักและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ แม้ว่าจะต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตและหลายครั้งต้องถูกกระแสสังคมโจมตีก่นด่าจนไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้าออกจากบ้าน ก็เพราะเขาเชื่อมั่นว่ายังมีอีกหลายคนที่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ

“ช่วงที่ทำคดี พล.ต.สนั่น เป็นช่วงที่ชีวิตผมวิกฤตมาก คือหลังจากที่ ป.ป.ช.ตัดสินว่า พล.ต.สนั่นมีความผิดก็ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ต่อมาผมก็ได้ข้อมูลมาว่ามีการวิ่งเต้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 7 คน จากทั้งหมด 12 คน (ขณะนั้นยังได้ตุลาการไม่ครบ 15 คน) และตุลาการทั้ง 7 คนก็รับสินบน ซึ่งจะส่งผลให้ เสธ.หนั่น รอดพ้นความผิดด้วยคะแนน 7 ต่อ 5 วันที่ 24 ก.ค.2541 ผมเลยยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบตุลาการทั้ง 7 คนดังกล่าว จากนั้นในวันที่ 26 ก.ค.2541 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 12 คนก็ร่วมกันฟ้องผมว่าใส่ความตุลาการ หลังจากนั้นผมก็กลายเป็นคนที่เลวร้ายที่สุดในประเทศ หนังสือพิมพ์พาดหัวด่าผม เหมือนกับที่เพิ่งพาดหัวด่าผมเรื่องเขาพระวิหารเมื่อเร็วๆนี้ บางฉบับพาดหัวว่า ‘สมน้ำหน้าไอ้เด็กเลี้ยงแกะ’ ไปไหนก็มีแต่คนด่า ญาติพี่น้องบางคนไม่เข้าใจก็ถึงกับโทร.มาให้ผมเปลี่ยนนามสกุลเพราะเขาอายว่ามีคนในตระกูลไปทำเรื่องน่าอาย

มีอยู่วันหนึ่งผมเอารถไปซ่อมแถวสวนสยาม ซึ่งอยู่ใกล้ๆ บ้าน เสร็จแล้วผมก็ไปกินข้าว พอเดินเข้าไปในร้านก็มีสองสามีภรรยามายกมือไหว้ผม ผมก็งงว่าพี่สองคนนี้เป็นใคร เขากินข้าวเสร็จเขาก็ยังไม่ไป พออาหารมาเสิร์ฟ ผมก็เห็นเขายิ้มให้ผมแล้วก็เรียกเด็กมาเก็บเงินแล้วก็ชี้มาที่โต๊ะผม เขาจ่ายเงินเสร็จเขาก็รอ ผมก็ชายตาดูแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองว่าเขารออะไร พอผมหันไปมองเขาก็รีบยกมือไหว้แล้วก็เดินออกจากร้านไป ผมก็ อ๋อ!... เขารอที่จะไหว้ผม ผมกินข้าวเสร็จผมก็เรียกเด็กมาเก็บเงิน เด็กเรียกผมท่านเลย เด็กก็บอกว่าท่านไม่ต้องจ่าย พี่เขาจ่ายแล้ว ผมก็ยังงงว่าเขาเป็นใคร ทำไมถึงมาจ่ายค่าข้าวให้เรา แล้วก่อนการตัดสินไม่กี่วันก็มีคนโทร.เข้ามาที่โทรศัพท์มือถือผมว่า...พวกเราซาบซึ้งในการเสียสละของคุณนะ แต่คุณอยู่เมืองไทยไม่ได้หรอก เขาไม่ปล่อยคุณแน่ เราได้ยินว่าเขาจะฆ่าคุณ คุณวีระต้องไปหลบที่อเมริกา พวกเราจะดูแลคุณ และเงิน 30 ล้านบาท จะรออยู่ที่นั่น ผมตอบไปทันทีเลยว่าคุณไม่ต้องเอาอะไรมาให้ผม และผมไม่หนีด้วย ขอบคุณมาก ถ้าคุณเป็นคนไทยคุณไม่ต้องเอาผลประโยชน์มาอะไรให้ผม และคุณไม่ต้องเอาความตายมาให้ผม คือผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เป็นนักข่าวมาลองใจผม หรือเป็นคนที่หวังดีต่อผมจริงๆ หรือเป็นพวก พล.ต.สนั่นจะหลอกผมไปฆ่า

พอวันที่ 20 ส.ค.2541 ซึ่งเป็นวันตัดสินคดี พล.ต.สนั่น นักข่าวมารอที่บ้านผมตั้งแต่ 7 โมงเช้า เต็มบ้านผมไปหมด มารอฟังคำตัดสิน สุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสิน 11 ต่อ 0 ว่า พล.ต.สนั่นมีความผิด และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ส่วนตุลาการที่เหลืออีกคนหนึ่งคือ โกเมนทร์ ภัทรภิรมย์ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่าหนีไปเมืองเพิร์ท ออสเตรเลีย ไม่ร่วมตัดสินและไม่เขียนคำพิพากษา

ปรากฏว่าวันนั้นผมกลายเป็นวีรบุรุษ สื่อที่เคยด่าผมพลิกจากดำเป็นขาวเลย ... ‘วีระเก่งมาก ขอชื่นชมคุณวีระ’ วันนั้นผมถึงเข้าใจว่าพี่สองคนนั้นเขาคงเป็นคนไทยที่เข้าใจผม แต่เขาไม่รู้จะตอบแทนผมยังไงเขาก็เลยให้ข้าวให้น้ำผมมื้อหนึ่ง และผมก็ดีใจที่ผมตัดสินใจถูกที่ไม่รับเงิน 30 ล้านแล้วหนีไปอเมริกา สิ่งเหล่านั้นไม่มีค่าเท่าข้าวมือหนึ่งที่สองสามีภรรยาเลี้ยงผม (น้ำเสียงสั่นเครือ) ข้าวมื้อนั้นสำคัญต่อชีวิตผม ทำให้ผมรู้ว่ายังมีคนไทยที่มีใจเป็นธรรมและเข้าใจการทำงานของผม และผมจะทรยศต่อเขาไม่ได้ ผมต้องรักษาความดี รักษาความตั้งใจในการที่จะพิทักษ์ผลประโยชน์ของประเทศชาติไว้ตลอดไป” วีระ กล่าวถึงอุดมการณ์อันมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันต่อไปจนตราบลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

* * * * * * * * * * * *

เรื่อง – จินดาวรรณ สิ่งคงสิน
ภาพ – ธัชกร กิจไชภณ

วีระ สมความคิด เมื่อครั้งขึ้นเวทีพันธมิตรฯ
วีระ สมความคิด เมื่อครั้งขึ้นเวทีพันธมิตรฯ
วีระ สมความคิด เมื่อครั้งขึ้นเวทีพันธมิตรฯ
นำมวลชนบุกทวงคืนเขาพระวิหาร
นำมวลชนบุกทวงคืนเขาพระวิหาร
นำมวลชนบุกทวงคืนเขาพระวิหาร
วีระอ่านแถลงการณ์ทวงคืนเขาพระวิหาร
มวลชนผู้รักชาติร่วมปกป้องผืนแผ่นดินไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น