1. “ในหลวง”ทรงอาลัย-ส่งเสด็จ “พระพี่นาง”ครั้งสุดท้าย พร้อมปลอบขวัญ “ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย”!
ก่อนที่พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์จะเริ่มขึ้นในวันที่ 14-19 พ.ย. ปรากฏว่า วันที่ 13 พ.ย.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ทางสำนักพระราชวังอนุญาตให้ประชาชนเข้าสักการะพระศพที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้มีคณะบุคคลจากหน่วยงานต่างๆ และประชาชนทั่วไปนับหมื่นคนทยอยเข้าสักการะพระศพอย่างต่อเนื่องจนถึงเวลา 20.00น. ซึ่งต่อมา สำนักพระราชวังได้สรุปยอดประชาชนที่เข้าสักการะพระศพตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.จนถึง 13 พ.ย.เป็นเวลา 317 วัน มีจำนวนทั้งสิ้น 1,465,911 คน ส่วนยอดเงินที่ประชาชนถวายร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเข้ากองทุนมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ รวมทั้งหมดกว่า 162 ล้านบาท สำหรับพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เริ่มด้วย เมื่อวันที่ 14 พ.ย.(17.58น.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ จากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง เพื่อทรงประกอบพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ทั้งนี้ ตั้งแต่เช้าวันที่ 14 พ.ย.ได้มีประชาชนนับหมื่นคนมารอเฝ้าฯ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเตรียมจับจองพื้นที่เพื่อดูริ้วขบวนแห่พระศพที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 พ.ย. ขณะที่ประชาชนอีกจำนวนมากได้ทยอยเดินทางมาจับจองพื้นที่ในช่วงเย็นวันที่ 14 พ.ย. ทำให้บริเวณโดยรอบมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ไม่ว่าจะเป็นริมถนนหน้าศาลฎีกา เรื่อยไปถึงหน้ากระทรวงกลาโหม วังสราญรมย์ ไปจนถึงกรมรักษาดินแดน รวมทั้งฝั่งหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โรงละครแห่งชาติ เต็มไปด้วยประชาชนที่มาปูเสื่อนอนจับจองพื้นที่แบบมืดฟ้ามัวดิน สำหรับพระราชพิธีในวันที่ 15 พ.ย.นั้น เริ่มขึ้นในเวลา 07.06น. โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ แทนพระองค์ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อประกอบพระราชพิธีเชิญพระโกศออกพระเมรุพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ สำหรับขั้นตอนพระราชพิธีเชิญพระโกศออกพระเมรุนี้ มีการเชิญพระโกศขึ้นพระยานมาศสามลำคาน จากนั้นเคลื่อนออกจากพระบรมมหาราชวังทางประตูศรีสุนทร เพื่อเข้าประจำริ้วขบวนพระอิสริยยศที่ 1 ต่อมาเมื่อริ้วขบวนพระอิสริยยศที่ 1 ถึงหน้าพลับพลายกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ได้มีการเชิญพระโกศขึ้นสู่บุษบกพระมหาพิชัยราชรถ จากนั้นริ้วขบวนพระอิสริยยศที่ 2 เชิญพระโกศ ยาตราขบวนจากหน้าวัดพระเชตุพนฯ เข้าสู่สนามไชย ถนนราชดำเนินเพื่อไปยังพระเมรุ ท้องสนามหลวง สำหรับริ้วขบวนพระอิสริยยศเชิญพระโกศโดยพระมหาพิชัยราชรถนี้ นับว่าเป็นริ้วขบวนที่ยาวที่สุด คือ 1,036 เมตร และใช้กำลังพลมากที่สุด คือ 2,746 คน ต่อมาเวลา 16.53น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ จากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระเมรุ ท้องสนามหลวง เพื่อประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหยิบธูปเทียนดอกไม้จันทน์วางที่ข้างพระโกศพระศพ แล้วทรงคม(ไหว้)พระศพอย่างช้าๆ พระองค์ทรงประทับยืนอยู่หน้าพระโกศพระศพเป็นเวลานาน โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประทับยืนอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา และก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ ลงจากพระเมรุ ทรงยกพระหัตถ์ไหว้พระศพพระโสทรเชษฐภคินีเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทรงวางดอกไม้จันทน์ที่ข้างพระโกศพระศพและก้มลงกราบพระศพเช่นกัน ด้านท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้นำดอกไม้จันทน์วางข้างพระโกศ พร้อมก้มลงกราบพระมารดาด้วยสีหน้าเศร้าสลด จากนั้นสมเด็จพระราชาคณะ ,ประธานองคมนตรี ,องคมนตรี ,นายกรัฐมนตรี และอดีตนายกฯ ฯลฯ รวมถึงทูตานุทูตและผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ ได้ขึ้นถวายพระเพลิงพระศพตามลำดับ ต่อมาเวลา 21.45น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ จากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน มายังพระเมรุ ท้องสนามหลวงอีกครั้ง เพื่อประกอบพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ(จริง)สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทั้งนี้ หลังพระสงฆ์ 30 รูปสวดมาติกาจบ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงทอดผ้าไตร จากนั้นพระองค์ทรงหลั่งทักษิโณทก ก่อนเสด็จฯ ขึ้นพระเมรุโดยลิฟท์ไปยังหน้าเตา ทรงเปลื้องผ้าสีแดงที่คลุมหีบพระศพด้วยพระองค์เอง ทรงเทน้ำมะพร้าวแก้วลงในหีบพระศพ ทรงคม(ไหว้) ทรงหยิบธูปเทียนดอกไม้จันทน์ ทรงจุดไฟที่ชนวน พระราชทานเพลิงพระศพ จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ วางดอกไม้จันทน์พระมารดา เมื่อวางดอกไม้จันทน์เสร็จ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัยได้ก้มกราบฝ่าพระบาท จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโอบท่านผู้หญิงทัศนาวลัยเพื่อทรงปลอบขวัญและให้กำลังใจ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ร.อ.จิทัศ ศรสงคราม พระนัดดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ วางดอกไม้จันทน์ ซึ่งเมื่อวางเสร็จ ร.อ.จิทัศได้ก้มลงกราบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ทรงจับบ่าเพื่อปลอบขวัญเช่นกัน จากนั้นทรงให้พระบรมวงศานุวงศ์ถวายดอกไม้จันทน์ท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าสลด และล่าสุด วันนี้(16 พ.ย.) เวลา 08.00น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ แทนพระองค์ ในการพิธีเก็บพระอัฐิและเชิญพระโกศพระอัฐิออกจากพระเมรุ ท้องสนามหลวง เพื่อนำไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สำหรับหมายกำหนดการในวันพรุ่งนี้(17 พ.ย.) เวลา 16.30น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จากนั้นวันที่ 18 พ.ย.เวลา 10.30น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อทรงเลี้ยงพระ จากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เชิญพระโกศพระอัฐิขึ้นประดิษฐานในพระวิมานชั้นบน พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และสุดท้ายวันที่ 19 พ.ย. เวลา 16.30น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ เชิญพระสรีรางคารไปยังพระอุโบสถวัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม จากนั้นเวลา 17.30น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จฯ ทรงบรรจุพระสรีรางคาร ณ อนุสรณ์สถานรังสีวัฒนา สุสานหลวงวัดราชบพิตรฯ
"ในหลวง-พระราชินี" พระราชทานเพลิงพระศพฯ (2)
"ในหลวง-พระราชินี" พระราชทานเพลิงพระศพฯ (1)
ประมวลภาพพระราชพิธีอัญเชิญพระโกศออกพระเมรุ(7)
ประชาชน ร่วมถวายอาลัย "พระพี่นางฯ" (2)
สมเด็จพระบรมฯ เสด็จฯเชิญพระโกศออกพระเมรุ
หมายกำหนดการ พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ
2. “แม้ว-อ้อ”เดินเกม “แยกทาง”เชื่อ หวังผลการเมือง หลังถูกถอนวีซ่า-ประกาศเอาคืนศัตรู!
หลังจากสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ได้แจ้งสายการบินต่างๆ เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ว่า ห้ามรับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เข้าประเทศอังกฤษ เนื่องจากได้เพิกถอนวีซ่าของบุคคลทั้งสองแล้ว แต่ไม่ได้เปิดเผยเหตุผลในการเพิกถอนวีซ่านั้น ส่งผลให้หลายฝ่ายในประเทศไทยต่างคาดเดาถึงสาเหตุของการเพิกถอนวีซ่าดังกล่าวว่า อาจเกี่ยวข้องกับการเรื่องคดีที่ทั้งสองถูกศาลไทยตัดสินจำคุก และอาจเกี่ยวกับกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินเข้ามายังรายการ “ความจริงวันนี้สัญจร”เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ด้วยท่วงทำนองดูหมิ่นศาลและก้าวล่วงสถาบันสูงสุดของไทย ขณะที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน(พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา) เชื่อว่า เหตุผลที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกอังกฤษเพิกถอนวีซ่า ไม่น่าจะเกี่ยวกับการโฟนอิน แต่เกี่ยวกับการทำผิดกฎระเบียบการยื่นคำร้องของลี้ภัยในอังกฤษของ พ.ต.ท.ทักษิณมากกว่า เพราะมีข้อกำหนดว่า ผู้ร้องขอลี้ภัย ห้ามเดินทางออกนอกประเทศนั้นๆ ระหว่างการพิจารณาของทางการ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณตะลอนๆ ไปประเทศนั้นประเทศนี้(ไปฮ่องกง และจีน) ถือว่าทำผิดกฎระเบียบ ทางการอังกฤษเลยต้องเพิกถอนวีซ่า อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 11 พ.ย. นายเดวิด มิลิแบนด์ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ ได้ยืนยันระหว่างเยือนประเทศบอสเนียแล้วว่า เหตุที่รัฐบาลอังกฤษเพิกถอนวีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน เพราะศาลไทยมีคำพิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ 2 ปี นายมิลิแบนด์ ยังย้ำด้วยว่า ทางการอังกฤษจะไม่ออกวีซ่าให้บุคคลทั้งสองอีกต่อไป ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณไม่พอใจถูกถอนวีซ่า จึงได้ออกมาให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์(10 พ.ย.) โดยพูดเหมือนยอมรับว่าได้มีการขอลี้ภัยในอังกฤษจริง แต่ได้ตัดสินใจยกเลิกแล้ว โดยบอกว่า “ผมยกเลิกการขอลี้ภัย เพราะผมไม่จำเป็น ไม่ต้องการคำว่าลี้ภัย ผมต้องการเสรีภาพ เพราะผมเป็นนักประชาธิปไตย อะไรที่ไม่มีเสรีภาพ ผมไม่ชอบ” พ.ต.ท.ทักษิณ ยังบอกด้วยว่า ตนกำลังจะออกจากปักกิ่ง แต่ไม่บอกว่าจะไปไหน พ.ต.ท.ทักษิณยังประกาศผ่านรอยเตอร์ โดยโยงเรื่องที่ตนถูกอังกฤษถอนวีซ่าว่าเกี่ยวกับการเมืองในประเทศไทย ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจะแฉชื่อคนที่ไล่ต้อนตนผ่านรายการ “ความจริงวันนี้สัญจร”ครั้งต่อไป โดยบอกว่า “...ผมต้องเริ่มพูดความจริงทีละเรื่อง หลายเรื่องผมไม่อยากพูด เพราะเป็นเรื่องกระทบคน แต่ว่าวันนี้ เมื่อเขาไม่หยุด ผมคงต้องพูด ...ผมกำลังคิดว่า การชุมนุมคราวหน้า ผมจะขอไม่ให้ต้องถ่ายทีวี อยากพูดกับฐานเสียงของผมเอง ...จะได้เล่าให้ฟังและเปิดเผยชื่อได้ ...ผมต้องพูดกับคนที่ยังรักและศรัทธาผม และคราวหน้าคงต้องพูดให้ยาวขึ้น และคงต้องเปิดเผยชื่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะเขาไล่ผมแบบนี้แล้ว มันมากไปแล้ว” ทั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นการประกาศชัดเจนว่า จะต่อสู้และเอาคืนผู้ที่ตัวเองมองว่าเป็นศัตรูทางการเมืองตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะปลุกระดมคนเสื้อแดงอย่างหนักผ่านรายการ “ความจริงวันนี้สัญจร”ครั้งต่อๆ ไป ซึ่งจะจัดที่วัดสวนแก้วในวันที่ 23 พ.ย. และวันที่ 10 ธ.ค.ที่สนามศุภชลาศัย โดยในส่วนของวัดสวนแก้วนั้น พระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดฯ ยืนยันว่า การยกวัดสวนแก้วให้กลุ่ม นปช.จัดรายการ “ความจริงวันนี้”ไม่ใช่เพราะตนลำเอียงหรืออยู่ข้างใดข้างหนึ่ง แต่พร้อมให้ทุกกลุ่มใช้พื้นที่วัดได้หากขอมา ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะโฟนอินนั้น พระพยอมไม่ได้ห้าม เพียงแต่บอกว่า ไม่น่าจะโฟนอินสด ควรเป็นเทป ซึ่งตนจะขอตรวจก่อน หากเป็นการพูดด้วยความหวังดีต่อประเทศชาติ ไม่ได้ประณามด่าว่าใคร ไม่ได้ปลุกระดมคนให้ตีกันก็ไม่มีปัญหา ด้าน พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเปิดเผยชื่อศัตรูทางการเมืองของตนว่า ขอร้องว่าอย่านำ พล.อ.เปรมไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ ขณะที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตประธาน คมช.ก็ยืนยันว่า ไม่หวั่นที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเอาคืน เพราะตนไม่ใช่ศัตรูของ พ.ต.ท.ทักษิณ ศัตรูคือใครก็ไม่รู้ ส่วนท่าทีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ บอก(เมื่อ 10 พ.ย.)ว่า เป็นการดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเปิดเผยรายชื่อศัตรูที่แท้จริง จะได้เห็นว่า ผู้อยู่เบื้องหลังนั้นหมายถึงใคร เพราะหลายครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูด ไม่ว่าจะเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ หรือบุคคลชั้นสูงบางคน แล้วบ่ายเบี่ยงไม่ยอมเปิดเผยนั้น ไม่เป็นผลดีกับสังคมไทยและสร้างความเสียหายต่อสถาบันเบื้องสูง สำหรับความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังจากบอกว่ากำลังจะออกจากจีน แต่ไม่บอกว่าจะไปประเทศใดต่อนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย.พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานได้ไปปรากฏตัวที่สถานกงสุลไทยในฮ่องกง แต่ไม่ได้รับการเปิดเผยว่าทั้งคู่ไปดำเนินการเรื่องใด กระทั่งล่าสุดเมื่อวานนี้(15 พ.ย.)ได้รับการยืนยันจากคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณแล้วว่า ทั้งคู่ไปจดทะเบียนหย่ากัน โดยนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า ข่าว พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานจดทะเบียนหย่ากันเป็นเรื่องจริง แต่จะด้วยเหตุผลใดนั้น ไม่ได้สอบถาม เพราะคิดว่าเรื่องการจดทะเบียนหย่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่ตนไม่จำเป็นต้องรู้ ด้านนายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน ไม่อยากเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานจะหย่ากัน โดยบอกว่า เมื่อต้นเดือนนี้(พ.ย.) ส.ส.พรรคพลังประชาชนหลายสิบคนได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ยังไม่มีทีท่าว่าทั้งสองจะหย่าขาดจากกันแต่อย่างใด โดย พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้มีสีหน้าท่าทางทุกข์ใจอะไรมากมาย ส่วนคุณหญิงพจมานยังบอกว่า “ไม่นานนี้อาจจะกลับประเทศไทยก็ได้” ขณะที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชาชน ก็อ้างว่า เหตุที่ทั้งสองหย่ากัน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเห็นว่า ที่ผ่านมาตัวเองทำให้คุณหญิงพจมานและครอบครัวถูกกล่าวหาและใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม จึงเห็นใจและอยากแยกตัวเองออกจากครอบครัว โดยให้คุณหญิงพจมานดูแลบุตรต่อไป หากใครโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้ไม่กระทบกับครอบครัว ขณะที่แหล่งข่าวอีกด้านที่ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ก็อ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณเล่าให้ฟังว่า “คุณหญิงอ้อไม่ไหวแล้วกับคำว่าการเมือง ที่ผ่านมาได้สร้างทุกอย่างร่วมกันมาตลอดตั้งแต่แรก การสูญเสีย(หย่า)ครั้งนี้ เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุด ตั้งแต่เหตุการณ์ 19 ก.ย.2549” อย่างไรก็ตาม มีรายงานแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณเคยปรึกษากับทีมทนายความเรื่องวิธีการต่อสู้คดีที่ดินรัชดาฯ โดยจะใช้การหย่ากับคุณหญิงพจมานและทำให้มีผลย้อนหลัง มาเป็นข้ออ้างในการต่อสู้คดี อย่างไรก็ตาม ทนายความได้แจ้ง พ.ต.ท.ทักษิณว่า การหย่าไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการต่อสู้คดีได้ เนื่องจาก คตส.ได้ตรวจสอบยืนยันสถานะการสมรสแล้ว และคดีก็อยู่ในชั้นศาลแล้ว ด้านนายสัก กอแสงเรือง อดีตกรรมการและโฆษก คตส.มองว่า การหย่าของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน น่าจะมีเป้าหมายเพื่อให้คุณหญิงพจมาน(ซึ่งถูกถอนวีซ่าพร้อม พ.ต.ท.ทักษิณ)ขอกลับเข้าประเทศอังกฤษ โดยอ้างว่า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว นายสัก ยังชี้ด้วยว่า ผลของการหย่าไม่น่าจะส่งผลต่อการสู้คดีที่ดินรัชดาฯ ของบุคคลทั้งสอง รวมทั้งคดีอายัดทรัพย์สิน 7.6 หมื่นล้านด้วย ส่วนความเคลื่อนไหวด้านการเมืองในประเทศไทยนั้น หลังจากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ได้กล่าวทีเล่นทีจริงเมื่อวันที่ 9 พ.ย.ว่า ตนไปดูหมอมา หมอดูบอกว่าจะอยู่(ในตำแหน่ง)ยาวนั้น ปรากฏว่า ให้หลังแค่ 1 วัน(10 พ.ย.) นายเก่งกาจ จงใจพระ โหรชื่อดัง ก็ได้ทำนายดวงเมืองไทย โดยบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับประเทศไทยยาก ส่วนนายสมชายคงอยู่ไม่ถึงสิ้นปี และว่า สำหรับรัฐบาล ตราบใดที่ยังอยู่ดอนเมือง จะยิ่งใหญ่ไม่ได้ ต้องอยู่ที่ทำเนียบฯ ปรากฏว่า นายสมชายเชื่อคำทำนายหรืออย่างไรไม่ทราบ ล่าสุด(14 พ.ย.) นายสมชาย จึงออกมาผุดแนวคิดว่าจะสร้างทำเนียบรัฐบาลใหม่ โดยยืนยันว่า สาเหตุที่ย้ายไม่ได้ต้องการหนีม็อบ แต่เพราะที่เดิมใช้มานานแล้ว อย่างไรก็ตาม นายสมชาย บอกว่า เรื่องนี้ต้องฟังความเห็นจากผู้ใหญ่อีกหลายคนก่อน ส่วนสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดกับกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ล่าสุด ได้เกิดระเบิดในทำเนียบฯ เป็นครั้งที่สองเมื่อคืนวันที่ 10 พ.ย.ล่วงเข้าวันที่ 11 พ.ย.หลังจากครั้งแรกเกิดเมื่อวันที่ 8 พ.ย. โดยครั้งหลังนี้นอกจากจะทำให้หลังคาเต็นท์เป็นรูโหว่กว้าง 1 เมตรแล้ว ยังทำให้มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย คาด อาจเป็นระเบิดที่ยิงจากปืนเอ็ม 79 โดยผู้ก่อเหตุอาจยิงจากดาดฟ้าตึก ก.พ. ขณะที่ตำรวจ(พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล)รีบด่วนสรุปทั้งที่ยังไม่ได้เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุว่า น่าจะเป็นเหตุระเบิดจากข้างใน ไม่ใช่ภายนอก เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียงความรุนแรงจะเกิดกับพันธมิตรฯ อย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งตำรวจ-นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชนและแกนนำ นปช.ยังออกมายืนยันข่าวที่ว่า มีกลุ่มลักลอบนำอาวุธสงครามโดยเฉพาะระเบิดเข้ามาในพื้นที่ กทม.เพื่อก่อเหตุร้ายหลังงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ในวันที่ 16 พ.ย. ขณะที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่งอยู่ระหว่างถูกสอบวินัยและอาญาทหารจากกรณีฝึก “นักรบพระเจ้าตาก”ให้กลุ่ม นปช. ก็ยังไม่หยุดข่มขู่พันธมิตรฯ โดยล่าสุด(14 พ.ย.) เสธ.แดง ได้ออกมาปูดข่าวว่า หลังจาก พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.รมน.(จปร.7 รุ่นเดียวกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนจุดยืนจากการหนุนพันธมิตรฯ ไปหนุนรัฐบาลนายสมชาย แถมยังเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ประเทศจีนเมื่อเร็วๆ นี้) เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีข่าวว่า พล.อ.พัลลภจะได้เป็นรอง ผอ.รมน.อีกครั้ง ตนจึงโทรศัพท์ไปเสนอตัวเพื่อช่วยงานที่ กอ.รมน. และว่า ถ้าตนได้ไปอยู่ กอ.รมน.จริง จะจัดการกลุ่มพันธมิตรฯ ภายใน 3 วัน และจะนำ 5 แกนนำฯ ไปสอบภายใน 6 เดือนที่เกาะตะรุเตา โดยจะใช้ ฮ.ผูกห้อย 5 แกนนำจากเครื่องเพราะที่นั่งเต็ม เสธ.แดง ยังขู่พันธมิตรฯ ด้วยว่า ให้ออกจากทำเนียบฯ ก่อนวันที่ 19 พ.ย.นี้ อย่าเสี่ยงกับ เสธ.แดง และ พล.อ.พัลลภ เพราะเป็นของแท้ เสธ.แดง ยังพูดถึงการจัดการกับพันธมิตรฯ อีกครั้งเมื่อวานนี้(15 พ.ย.)โดยยืนยันว่า แม้ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล บุตรสาวของตน ที่ร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ในทำเนียบฯ จะโดนระเบิดอาร์พีจี ก็ไม่มีความหมายในหัวใจตน เพราะชาติสำคัญมากกว่าบุตรสาว
“สัก” เชื่อ “แม้ว” หย่าเมีย หวังใช้อังกฤษเป็นฐานเดินหน้าการเมืองต่อ
“เสธ.แดง” เพี้ยนหนักขู่บึ้มหลัง 19 พ.ย.! เพ้อใช้ กอ.รมน.ขจัด “พันธมิตรฯ”
โฆษกยัน “แม้ว-พจมาน” หย่ากันจริง!!
“ทักษิณ-พจมาน” หย่ากันแล้ว! เมียสุดทนรับสภาพ - “แม้ว” เดินเกมเต็มสูบ
“ชาย” จ้องผลาญงบ ปิ๊งไอเดีย! ควานหาทำเลสร้างทำเนียบใหม่
“ชาย” ยังไร้ยางอาย ลั่นจะอยู่ครบวาระ! เชื่อหลัง 16 พ.ย.ไม่มีเหตุการณ์รุนแรง
ทูตอังกฤษพบ “อภิสิทธิ์” ย้ำถอนวีซ่า “แม้ว-อ้อ” เหตุถูกศาลสั่งจำคุก
โหรฟันธง “สมชาย” ร่อแร่ปิ๋วก่อนสิ้นปี เตือนเหตุนองเลือด ก.พ.-มี.ค.ปีหน้า
“สัตว์นรก” เลวสุดขั้ว!! ลอบยิงบึ้มใส่เต็นท์ “พันธมิตรฯ” บาดเจ็บ 3 ราย
“พัลลภ” รับถก “แม้ว” ที่ปักกิ่ง หัวฟัดหัวเหวี่ยงถูกโจมตีเรื่องสถาบัน
3. “ป.ป.ช.”ชี้ “สมัครและพวก”ผิด คดีรถดับเพลิง ด้าน “อภิรักษ์”โดนด้วย-แสดงสปิริต ลาออกทันที!
เมื่อวันที่ 11 พ.ย.คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ได้ประชุมพิจารณาสำนวนคดีทุจริตการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.มูลค่า 6,600 ล้านบาท หลังใช้เวลาประชุมกว่า 6 ชม.นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช.แถลงว่า ป.ป.ช.พิจารณาคดีนี้ใน 6 ประเด็น คือ 1.ขั้นตอนการจัดทำโครงการ 2.การเสนอและอนุมัติโครงการ 3.การทำข้อตกลงเอโอยู 4.การประกวดราคา 5.การทำสัญญาการค้าต่างตอบแทน และ 6.การเปิดแอล/ซี ทั้งนี้ ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติ 9 ต่อ 0 ว่า ผู้ถูกกล่าวหา 9 ราย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดในการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) ประกอบด้วย นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ในฐานะอดีตผู้ว่าฯ กทม. ,นายโภคิน พลกุล อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย ,นายประชา มาลีนนท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ,นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ ,นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม.เมื่อครั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม.สมัยแรก ,พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีต ผอ.สำนักป้องกันสาธารณภัย กทม.และบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค ของออสเตรีย ในฐานะคู่สัญญากับ กทม. สำหรับนายสมศักดิ์ คุณเงิน อดีตเลขานุการรัฐมนตรีมหาดไทย ป.ป.ช.พิจารณาแล้วมีมติ 9 ต่อ 0 ว่า ไม่มีมูลความผิด ส่วนนายมาริโอ มีน่าร์ ในฐานะผู้แทนบริษัท สไตเออร์ฯ นั้น ป.ป.ช.มีมติ 8 ต่อ 1 ว่าไม่มีมูลความผิดเช่นกัน สำหรับคุณหญิงณฐนนท ทวีสิน อดีตปลัด กทม.นั้น ป.ป.ช.เห็นว่า แม้ไม่ปรากฏว่ามีส่วนร่วมกระทำความผิด แต่เมื่อคุณหญิงณฐนนททราบขั้นตอนการจัดซื้อโครงการนี้มาตลอด แต่ไม่ยับยั้ง ทำให้ กทม.ได้รับความเสียหาย ป.ป.ช.จึงมีมติชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง ส่วนนายราเชนทร์ พจนสุนทร อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ป.ป.ช.ชี้ว่า ผิดวินัยไม่ร้ายแรง ไม่มีความผิดทางอาญา ทั้งนี้ ป.ป.ช.จะส่งผลการชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดให้สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อฟ้องร้องต่อศาลโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ในบรรดาผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด ถือได้ว่า นายอภิรักษ์มีลุ้นที่สุดว่า จะรอดคดีนี้หรือไม่ เนื่องจากขณะเป็นผู้ว่าฯ กทม.สมัยแรกนั้น นายอภิรักษ์ได้ทำหนังสือสอบถามกระทรวงมหาดไทยหลายครั้ง ก่อนตัดสินใจลงนามเปิดแอล/ซี ซึ่งนายอภิรักษ์และพรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่า การทำหนังสือให้กระทรวงมหาดไทยทบทวนน่าจะมีน้ำหนักสะท้อนเจตนาของนายอภิรักษ์ได้ แต่ทาง ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจควบคุมดูแลการปฏิบัติราชการของ กทม.ก็จริง แต่ไม่มีอำนาจสั่งการผู้ว่าฯ กทม. ข้ออ้างของนายอภิรักษ์จึงฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.ไม่ได้ชี้ว่า นายอภิรักษ์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าผู้ว่าฯ กทม.ชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือไม่ ด้านแกนนำพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิรักษ์ต่างเครียดไม่แพ้กันว่า นายอภิรักษ์ควรลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้มีการเลือกผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่หรือไม่ หรือแค่หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวก็พอ เพื่อรอศาลตัดสินอีกครั้ง เพราะนายอภิรักษ์อาจไม่ผิดก็ได้ โดยหลังจากหารือร่วมกัน นายอภิรักษ์ได้เปิดแถลงที่ศาลาว่าการ กทม.เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ว่า ขอลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. เพราะเชื่อว่าประชาชนต้องการเห็นมาตรฐานการเมืองไทย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีมาตรฐานในการทำงานทางการเมืองมาตลอด 60 ปี แต่เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานของ กทม.น้อยที่สุด จึงขอที่จะให้มีผลหลังพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่ กทม.จะต้องดำเนินการจนถึงวันที่ 19 พ.ย. นายอภิรักษ์ ยังยืนด้วยว่า จนถึงวันนี้ยังมั่นใจในสิ่งที่ทำไปในวันนั้นว่า ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้วภายใต้สถานการณ์ในวันนั้น หากตัดสินใจไปอีกอย่าง ไม่ดำเนินการ ก็จะเป็นปัญหาฟ้องร้อง และตนอาจถูกแจ้งข้อกล่าวหาละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ จึงอยากให้ประชาชนเข้าใจ สำหรับแคนดิเดตที่พรรคประชาธิปัตย์จะส่งชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ในการเลือกตั้งใหม่นั้น มีบุคคลที่น่าสนใจหลายคนทั้งในพรรคและนอกพรรค แต่พรรคจะเน้นคนในก่อน โดยชื่อที่มาแรงที่สุดและถูกมองว่าเหมาะสมที่สุดก็คือ นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.กทม.และรองหัวหน้าพรรคฯ ส่วนรายชื่อที่มีการพูดถึงเช่นกัน ได้แก่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ส.ส.สัดส่วนของพรรคฯ ,นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม.ของพรรคฯ และคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.สัดส่วนของพรรคฯ เป็นต้น ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้นัดประชุมคณะกรรมการสรรหาตัวผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ในวันที่ 21 พ.ย. ก่อนสรุปรายชื่อและส่งให้คณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาในวันที่ 22 พ.ย. ส่วนทางด้านพรรคพลังประชาชนนั้น พยายามทาบทามให้นายประภัสร์ จงสงวน ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคฯ อีกครั้ง แต่นายประภัสร์ยังไม่ตัดสินใจ
“อภิรักษ์” ประกาศทิ้งเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ให้มีผล 19 พ.ย.
“มาร์ค” ฟุ้งโผผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.เพียบ เน้นคุณสมบัติ
4. “ป.ป.ช.”แจ้งข้อกล่าวหา “28 รมต.”กรณีพระวิหาร ด้าน “นพดล”ยัน ช่วยชาติ ไม่ได้ “ขายชาติ”!
เมื่อวันที่ 13 พ.ย. ที่ประชุม ป.ป.ช.ได้พิจารณาสำนวนคดีถอดถอนคณะรัฐมนตรี(ครม.)ทั้งคณะสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ฐานทำผิด รธน.มาตรา 190 วรรค 2 ที่ออกมติ ครม.สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก หลังประชุม น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะรับผิดชอบสำนวนคดีนี้ เผยว่า ที่ประชุมมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหารัฐมนตรีจำนวน 28 คน ที่เข้าร่วมประชุม ครม.ในวันที่ 17 มิ.ย.2551 เนื่องจากเห็นว่ารัฐมนตรีดังกล่าวจงใจกระทำผิด รธน.มาตรา 190 วรรค 2 ที่ไม่ได้นำเรื่องเข้าพิจารณาในการประชุมรัฐสภา จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สำหรับรายชื่อรัฐมนตรีทั้ง 28 คนที่ถูกกล่าวหา ประกอบด้วย 1.นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ 2.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีศึกษาธิการ 3.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ 4.พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกฯ 5.นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ 6.นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ 7.นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยคลัง 8.ร.ต.(หญิง)ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี อดีตรัฐมนตรีช่วยคลัง 9.นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรัฐมนตรีเกษตรฯ 10.นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร อดีตรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ 11.นายธีระชัย แสนแก้ว อดีตรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ 12.นายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรีคมนาคม 13.นายอนุรักษ์ จุรีมาศ อดีตรัฐมนตรีช่วยคมนาคม 14.นายทรงศักดิ์ ทองศรี อดีตรัฐมนตรีช่วยคมนาคม 15.นายสุวิทย์ คุณกิตติ อดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีอุตสาหกรรม 16.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย 17.นายสุพล ฟองงาม อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย 18.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม 19.นายบุญลือ ประเสริฐโสภา อดีตรัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ 20.นายพงศกร อรรณพพร อดีตรัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ 21.นายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข 22.นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ 23.พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ 24.นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 25.นายมั่น พัธโนทัย อดีตรัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 26.นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา 27.นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม 28.นางอุไรวรรณ เทียนทอง อดีตรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน เป็นที่น่าสังเกตว่า มีรัฐมนตรีอีก 5 คนที่ ป.ป.ช.ไม่แจ้งข้อกล่าวหา เนื่องจากไม่ได้เข้าร่วมประชุม ครม.เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ประกอบด้วย 1.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง 2.นายสหัส บัณฑิตกุล อดีตรองนายกฯ 3.พล.ท.(หญิง)พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน 4.นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5.นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย สำหรับข้าราชการก็ไม่ถูก ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาเช่นกัน ได้แก่ นายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ,นายเชิดชู รักตะบุตร อัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส ,นายพิษณุ สุวรรณรชฎ รองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ,นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ,พล.ท.แดน มีชูอรรถ อดีตเจ้ากรมแผนที่ทหาร ,พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทั้งนี้ หลัง ป.ป.ช.มีมติแจ้งข้อกล่าวหา นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เผยว่า รัฐบาลได้เตรียมตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด เพื่อยกร่างคำชี้แจงว่าควรตอบข้อกล่าวหาต่างๆ อย่างไร ประกอบด้วย เลขาธิการ ครม. ,ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ,ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายกฎหมายทั้งหมด ด้านนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยัน มั่นใจว่าจะสามารถชี้แจง ป.ป.ช.ได้ เนื่องจาก ครม.ทั้งคณะไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่ดำเนินการตามที่ รธน.กำหนด เพราะตนและทางการกัมพูชาเห็นตรงกันว่า แถลงการณ์ร่วม ไม่ได้เป็นสนธิสัญญาและไม่มีการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต และว่า สิ่งที่ทำไปถือเป็นการปกป้องดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร ไม่ได้ทำให้ชาติเสียหายตามที่ถูกกล่าวหา ขณะที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ อดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ยืนยันว่า ตนได้คัดค้านเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาตามมาภายหลัง และยังทักท้วงการลงนามของนายนพดลในที่ประชุม ครม.ไปหลายครั้ง เพราะติดใจหลายประเด็น ดังนั้น เชื่อว่า ป.ป.ช.จะรับฟังคำชี้แจงของตน เพราะกรณีปราสาทพระวิหารเป็นปมสำคัญที่ทำให้ตนประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลนายสมัคร ดังนั้นจึงถือเป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดแจ้งว่า ตนไม่สนับสนุนมติ ครม.ในเรื่องปราสาทพระวิหาร ด้าน น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. บอก(14 พ.ย.)ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบความถูกต้องของหนังสือแจ้งข้อกล่าวหารัฐมนตรีทั้ง 28 คน คิดว่าอย่างช้าน่าจะส่งหนังสือให้ 28 รัฐมนตรีได้ในวันที่ 17 พ.ย. โดยผู้ถูกกล่าวหาต้องมาแก้ข้อกล่าวหาอย่างช้าภายใน 15 วัน โดยจะมาชี้แจงข้อกล่าวหาด้วยตัวเองหรือส่งหนังสือชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ และหากไม่สามารถชี้แจงข้อกล่าวหาได้ใน 15 วัน สามารถขอเลื่อนชี้แจงได้ 2 ครั้ง และว่า ขณะนี้ผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ในปัจจุบัน ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ตามปกติ.
กรรมซัดแสกหน้า “หมัก-เหล่” ป.ป.ช.สั่งเชือดข้อหายกพระวิหารให้เขมร