“พระราชินี” ทรงปลาบปลื้ม คนไทยตื่นตัวปัญหาป่าไม้มากขึ้น ทรงเน้นย้ำให้ตระหนักถึงปัญหาขาดแคลนน้ำจืดในอนาคตหากป่าไม้หมดไป และทรงหนุนให้ใช้ควายไถนาเหมือนในอดีต ลดต้นทุนในการทำนา และประหยัดพลังงานน้ำมัน ขณะเดียวกัน ทรงเป็นห่วงครูใต้ที่ถูกฆ่าตายอย่างต่อเนื่อง โดยจะทรงนำเงินที่ประชาชนถวายโดยเสด็จพระราชกุศล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมทบสร้างศูนย์ครูที่ จ.ปัตตานี ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ แก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ
วันที่ 11 สิงหาคม พุทธศักราช 2551 เวลา 16.55 น.สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ มายังศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2551
สำหรับคณะบุคคลต่างๆ ประกอบไปด้วย ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งนำโดยผู้นำทั้ง 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร ที่นำโดย นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พร้อมด้วยคู่สมรส ฝ่ายนิติบัญญัติ นำโดย นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และคู่สมรส ขณะที่ฝ่ายตุลาการ นำโดย นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา และคณะข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พร้อมด้วยคู่สมรส
นอกจากนี้ ยังมี ศ.พิเศษ ประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมือง และข้าราชการสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา พร้อมด้วยคู่สมรส รวมถึงข้าราชการในฝ่ายองค์กรอิสระอีกหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นำโดย นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยคู่สมรส และข้าราชการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่ศาลปกครองสูงสุด นำโดย นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด พร้อมด้วยคณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด อธิบดีศาลปกครองชั้นต้น ผู้บริหารสำนักงานศาลปกครอง และข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง พร้อมด้วยคู่สมรส
ในส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง นำโดย นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง พร้อมด้วยคู่สมรส นอกจากนั้น ยังมีข้าราชการในส่วนขององค์กรอิสระอีกหลายคณะ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้บริหาร พร้อมด้วยคู่สมรส สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะข้าราชการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมด้วยคู่สมรส สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน พร้อมด้วยคณะผู้ตรวจเงินแผ่นดิน และคู่สมรส
ขณะที่สำนักงานอัยการสูงสุด นำโดย นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด และคณะองค์อัยการ พร้อมด้วยคู่สมรส นอกจากนี้ ยังประกอบไปด้วย คณะกรรมการสภากาชาดไทย กรรมการสภากาชาด ผู้แทนภาค กรรมการเจ้าหน้าที่ และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ รวมถึงองค์กร มูลนิธิต่างๆ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ อีกหลายคณะ รวม 474 คณะ จำนวน 14,262 คน ต่างพร้อมใจกันเดินทางมาเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท เพื่อถวายความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จขึ้นที่ประทับภายในศาลาดุสิดาลัย ต่อจากนั้น ท่านผู้หญิงมนัสนิตย์ วณิกกุล ราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กราบบังคมทูลรายงานสรุปคณะบุคคลที่เข้าเฝ้าฯ และขอพระราชทานพระราชานุญาตให้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล ในนามผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลในนามของผู้เข้าเฝ้าฯ ความว่า
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในนามของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า มีความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระกรุณาฯ พระราชทานพระราชวโรกาสให้ปวงข้าพระพุทธเจ้าได้เฝ้าทูลละอองพระบาทในวันนี้ เพื่อถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ที่ได้เวียนมาบรรจบครบอีกวาระหนึ่ง ในวันที่ 12 สิงหาคม ศกนี้
ข้าพระพุทธเจ้าและปวงประชาชนชาวไทยต่างประจักษ์ ว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เสด็จพระราชสมภพมาเพื่อเป็นคู่บุญญาบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างแท้จริง ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่ทรงงานหนักที่สุด พระราชกรณียกิจทั้งปวงล้วนมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ความผาสุกของอาณาประชาราษฎร์ และการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งปวงชนชาวไทยล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม หาที่สุดมิได้
ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน นับตั้งแต่ทรงอภิเษกสมรส ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงวิริยะอุตสาหะ ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเยี่ยมเยียนราษฎรทั่วทุกแห่ง ทุกภูมิภาคของประเทศอย่างมิทรงย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก ทรงตรากตรำพระวรกาย ฝ่าลม ฝ่าแดด ฝ่าฝน เสด็จพระราชดำเนินไปแม้ในท้องถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้ทรงทราบถึงปัญหาและความทุกข์ยากของพสกนิกร และทรงหาแนวทางแก้ไข ขจัดทุกข์ผดุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์อย่างมิได้ทรงหยุดยั้ง
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระกรุณาส่งเสริมศิลปาชีพ อันเป็นการดำรงรักษาเอกลักษณ์ ศิลปวัฒนธรรมของชาติไทย ทั้งทรงมีพระปรีชาสามารถในการฟื้นฟูงานศิลปะ ที่สร้างสรรค์อาชีพให้แก่ราษฎร ชาวไร่ชาวนา และผู้ยากไร้ที่ด้อยโอกาส จนมีความสามารถปราดเปรื่อง สร้างสรรค์ผลงานหัตถศิลป์อันประณีตบรรจง ทั้งงานปั้น งานปัก งานวาดเขียน แกะสลัก ถักทอ งานหล่อ และงานจักรสาน มาเป็นการสร้างคุณค่าแก่บุคคลและชิ้นงาน ราษฎรในชนบทจึงมีอาชีพเสริม มีรายได้เพิ่ม สามารถจะยกระดับความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของตน รวมทั้งได้ร่วมมือร่วมใจกันสืบสวนมรดกศิลปะของไทยให้อยู่ยั่งยืนตกทอดถึงอนุชนรุ่นหลังสืบไป
พระราชกรณียกิจอันเป็นคุณอย่างยิ่งแก่ประเทศ และประชาชนอีกนานัปการ คือ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงตระหนักถึงภัยต่างๆ ที่คุกคามความผาสุกของประชาราษฎร์ จึงเป็นที่มาของโครงการตามพระราชดำริจำนวนมาก เช่น โครงการป่ารักษ์น้ำ โครงการสวนป่าสิริกิติ์ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ โครงการฟาร์มตัวอย่าง เป็นต้น แสดงถึงพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่ทรงปกปักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรของธรรมชาติให้คืนสู่ความอุดมสมบูรณ์เพื่อเป็นสมบัติของชาติ เป็นมรดกแก่ลูกหลานในอนาคต และอำนวยความสุขแก่วิถีชีวิตของราษฎร โดยเฉพาะที่สำคัญ ทรงป้องกันปัญหาที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอันเป็นภัยของโลกด้วย
โดยพระราชจริยวัตรอันงดงาม ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจึงทรงเป็นที่รักและเคารพเทิดทูนของปวงพสกนิกรทั้งชาติ
ณ ศุภวาระอันเป็นมงคล เฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 สิงหาคม ศกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ ได้โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ให้ทรงพระเจริญ พระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ พระบารมีแผ่ไพศาล ทรงสถิตเป็นพระมิ่งขวัญคู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐตราบจิรัฐิติกาล เทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”
จากนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชเสาวนีย์ตอบ ความว่า
“ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านผู้เป็นกำลังสำคัญของบ้านเมือง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล ที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร ผู้แทนของรัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ สภา สถาบัน สมาคม ชมรม มูลนิธิ ลูกเสือชาวบ้าน และประชาชนทุกหมู่เหล่า จากหลายจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมใจกันเดินทางมาอวยชัยให้พรข้าพเจ้าในวันนี้ โดยมีท่านนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กล่าวอำนวยพรแก่ข้าพเจ้า ในนามของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกมีกำลังใจยิ่งขึ้น ที่จะทำงานช่วยเหลือประชาชนต่อไป เพราะเป็นพระราชปณิธานขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่าทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของชาวไทย แล้วก็ทรงพร้อมที่จะทรงงานเพื่อช่วยรัฐบาลของพระองค์ ในการทำนุบำรุงประชาชนทั่วขอบขัณฑสีมาของไทย ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
แม้ว่าปีนี้ข้าพเจ้าจะอายุ 76 แต่เมื่อได้รับพรจากท่านทั้งหลาย ก็ทำให้มีกำลังวังชาเพิ่มขึ้น ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย ขอขอบคุณผู้มีน้ำใจอีกหลายท่านที่จัดอาหารและน้ำดื่มมาบริการประชาชนจำนวนมาก ที่เดินทางมาอวยพรกับข้าพเจ้า
นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นเดือนเกิดของข้าพเจ้า มีประชาชนออกมาทำการกุศล เฉลิมฉลองและอวยพรข้าพเจ้า ผ่านทางสื่อมวลชนทั้งหลาย รวมทั้งส่งจดหมายอวยพรไปถึงข้าพเจ้าด้วย สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของทุกท่าน และขอขอบคุณด้วย
ข้าพเจ้าดูโทรทัศน์และอ่านหนังสือต่างๆ ทุกวัน จึงได้ทราบกิจการมากมายที่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ จัดขึ้นเพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าปลื้มปีติอย่างยิ่งที่ทุกคนช่วยกันทำสิ่งดีๆ เพื่อบ้านเมือง หรือช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดแก่ข้าพเจ้า
ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า พ่อ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เอง และต่อมาก็มีท่านอาจารย์แบน เป็นพระอริยเจ้า อยู่ที่สกลนคร ท่านก็สอนข้าพเจ้าและทุกๆ คน ที่ไปกราบว่า ขอให้ทุกคนนึกถึงบุญคุณ ให้นึกถึงคุณของประเทศ ของแผ่นดินบ้าง ให้พยายามที่จะตอบแทนพระคุณของแผ่นดินอย่างสุดกำลัง เมื่อมีผู้พร้อมใจกันออกมาช่วยข้าพเจ้าเป็นแสนเป็นล้านบ้านเมืองของเราก็คงจะเจริญรุ่งเรือง และลูกหลานไทยคงจะมีแผ่นดินที่ร่มเย็นเป็นสุขไว้เป็นที่อยู่อาศัยอย่างปลอดภัยต่อไปในภายภาคหน้า
เมื่อเร็วๆ นี้เอง ข้าพเจ้าต้องเข้าโรงพยาบาลจุฬาฯ เพราะว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเชื้อค่อนข้างแรง พอข้าพเจ้าหายกลับมาที่สวนจิตรก็ได้รับจดหมายของท่าน ตอนนั้นท่านเป็นประธานาธิบดี ปูติน ของรัสเซีย ท่านเขียนมาว่า ขอให้รักษาพระองค์ให้หายดีเพื่อจะได้เสด็จฯ ไปช่วยประชาชนไทยทั่วพระราชอาณาจักร อย่างที่ได้ทรงทำมาแล้ว อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และข้าพเจ้าได้ทำมาตลอดเวลา อวยพรอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็รู้สึกปลาบปลื้ม ระลึกถึงว่า การที่ข้าพเจ้าได้แทนพระองค์ไปที่ประเทศรัสเซีย และได้รับการต้อนรับอย่างประเสริฐมาก จะเต็มที่ ตั้งแต่สนามบินที่ข้าพเจ้าลงจากเครื่องบิน มีการต้อนรับอย่างดี แล้วก็มีสวนสนามถวายที่สนามบินด้วย ได้รับความช่วยเหลือทุกอย่าง และเปิดพิพิธภัณฑ์ มิวเซียมต่างๆ ให้ข้าพเจ้าได้ดู ได้เห็น พิพิธภัณฑ์ที่เรียกว่าหาดูได้ยาก ข้าพเจ้าก็รู้สึกซาบซึ้งที่พอกลับมาแล้วไม่สบายแล้วท่าน ตอนนั้นท่านเป็นประธานาธิบดี ท่านเขียนจดหมายมาอวยพรขอให้หายเร็วๆ จะได้ออกไปทำหน้าที่ช่วยเหลือราษฎรต่อไป ก็เลยปลื้มมาก
ก็อยากจะให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ที่ทรงเลือกไปแทนพระองค์ที่รัสเซียนี้ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี ได้เห็นธงไทยกับธงรัสเซียปลิวคู่ อยู่คู่กัน ซึ่งอันที่จริงไม่ว่าเสด็จฯ ไหนทั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ มารอบโลกมากมาย ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งตลอดมา ทีแรกข้าพเจ้าก็นึกกลัวเหมือนกันที่ว่าไปคนเดียว แต่ว่าก็ผ่านทุกอย่างมากได้อย่างดี ทุกคนพร้อมที่จะช่วยเหลือ ให้กำลังใจ และข้าพเจ้าก็เลยขอพระราชทานว่า ไหนๆ ไปอยู่ที่รัสเซีย 7 วันแล้วก็จะขอไปต่อที่เยอรมันแล้วก็ไปต่อที่ออสเตรีย เพราะว่าไม่ได้ไปมานานหนักหนาแล้ว ก็ทรงอนุญาตว่าให้ไปเถอะ ข้าพเจ้าก็ไปอย่างสนุกสนาน ได้มีโอกาส นานๆ ทีได้มีโอกาสไปชอปปิ้งไปอะไร ราษฎรเขาก็มาทักทาย เขาก็พูดกัน เขายืนคอยที่หน้าร้านต่างๆ แล้วเขาก็พูดกันในหมู่ราษฎรบอก เอ๊ะ สิริกิติ์นี่อายุสักเท่าไหร่ เขาพูดกัน คนเยอรมัน บอกว่าอายุ เขาบอกคงสัก 60 แท้ๆ ข้าพเจ้าว่าไปตั้ง 76 แล้ว เขาบอกสัก 60 ได้ รู้สึกเขาก็น่ารัก เป็นกันเอง แล้วก็รู้สึกดีใจที่ข้าพเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้านเมืองเขาอีกทีหนึ่ง ความจริงก็ไปอย่างกันเอง เข้าร้านนู้นเข้าร้านนี้อย่างสนุกสนาน
มีเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ประชาชนชาวไทยร่วมกันทำเพื่อเป็นของขวัญให้กับข้าพเจ้า คือ การปลูกป่า หลังจากที่ข้าพเจ้าได้เรียกร้องให้ประชาชนเห็นความสำคัญของป่าไม้ ต่อเนื่องกันมาเป็นสิบๆ ปี บัดนี้เป็นที่น่าชื่นใจมากว่า ประชาชนก็เข้าใจ ข้าพเจ้าพยายามอ่านหนังสือต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา ได้ทราบว่าปัญหาต่อไปของโลก ของชาวโลก ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่จะมา เห็นเขาว่าประมาณอีก ประมาณอีก 15 ปี น้ำจืดที่พวกเรารับประทานกันเนี่ย จะเป็นของที่หายาก ที่จะยากมาก ก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า เมื่ออ่านทราบแล้วก็เกิดความร้อนใจว่า บ้านเรานี่ไม่มีแหล่งน้ำใหญ่ๆ มีแต่ป่า นี่ถ้าเผื่อคนไทยไม่ทราบว่าป่าไม้คืออะไร ป่าไม้ก็คือที่สะสมน้ำไว้ใต้ดินนี่เอง ที่ฤดูฝนแทนที่น้ำฝนจะไหลหลากลงไปที่ทะเล ถ้ามีป่า ป่าเหล่านั้น ต้นไม้ใหญ่ๆ เหล่านั้นจะดูดน้ำไว้ใต้ดินของเขา ใต้ต้นของเขา ไว้เป็นจำนวนมาก แล้วตามกิ่ง ก้าน ทั้งหลาย เขาจะดูดไว้ เรียกว่าเป็นแหล่งน้ำที่ดี แล้วก็ออกมาเป็นลำธารน้อยใหญ่ อันนี้ที่อยากให้ราษฎรทั้งหลายเข้าใจ ไม่ใช่ไปนึกแต่ว่า มีป่านี่ ไม้สัก ไม้อะไรต่างๆ นี่สำหรับตัดไปค้าขายอย่างเดียว มันมีประโยชน์อย่างอื่นด้วยที่เราน่าจะคำนึงถึง
เพราะฉะนั้น ประเทศไทยนี่ก็มีประชากรจำนวนมาก ไม่ใช่น้อย ถ้าน้ำจืดต่อไปใน 15 ปี เป็นของที่หายาก ที่เรียกว่าแพง ถูกล่ะสมัยนี้เขาเอาน้ำทะเลมากลั่นเป็นน้ำจืดได้ แต่ว่าค่าทำนี่แพงเหลือหลาย แล้วประเทศเราก็ไม่ใช่ว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยอะไรมาก ถ้าถึงขนาดต้องเอาน้ำทะเลมากลั่นเพื่อเลี้ยงประชากรนี่ ก็นึกว่าไม่ค่อยดีนัก เพราะฉะนั้นทำไมเราจะไม่รู้จักเก็บป่าไม้ ซึ่งเป็นแหล่งที่สะสมน้ำไว้ให้ดี อย่าพากันไปตัดคนละหนุบคนละหนับ ความจริงป่าไม้เนี่ยก็เป็นของคนไทยทั้งชาติ เป็นผลประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติ ไม่มีสิทธิ์ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะแอบเข้าไปตัดแล้วก็ทำการค้าแต่ลำพัง แล้วต่อไปถ้าประเทศไทยขาดน้ำ จะทำยังไง เพราะเราก็ไม่ใช่ประเทศที่ว่าร่ำรวย
ข้าพเจ้าชื่นใจมากที่ได้ยิน ได้ข่าวว่า นายกรัฐมนตรีสมัคร มีความมุ่งมั่นจะพิทักษ์รักษาป่าไม้ ด้วยเหตุเนี้ย ด้วยเหตุที่ว่าเป็นแหล่งน้ำที่สมบูรณ์ของไทย ถ้าเราช่วยกันพิทักษ์รักษาป่า คิดว่าเราคงไม่ถึงกับต้องเอาน้ำทะเลมากลั่น ซึ่งคนยากคนจนก็จะลำบาก เขาบอกว่าอีก 15 ปี น้ำจืดเนี่ยอาจจะเป็นชนวนที่ทำให้เกิดสงครามโลกได้ นี่ข้าพเจ้าอ่านเองจากหนังสือฝรั่งนะ อ่านเอง เพราะฉะนั้นเนี่ย ก็อยากจะตักเตือนคนไทยว่า อย่างน้อยเรามีป่า ธรรมชาติของเราก็ถูกทำลายไปเยอะ เพื่อผลประโยชน์ต่างๆ ของบุคคล แต่บัดนี้ท่านนายกรัฐมนตรีมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาป่าของเมืองไทยไว้ เพราะทราบว่าจะเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของประเทศ ก็ขอให้พวกเราช่วยกัน ช่วยกันดูแลรักษาป่า อย่าไปนึกว่าไม้สักแพงอย่างโน้น ไม้อะไรต่ออะไรคิดเป็นเงินเป็นทอง นึกถึงน้ำ ถ้าเราขาดน้ำจืดเราจะแย่ ทั้งอุตสาหกรรมก็ไปไม่ไหว ทั้งชีวิตทั่วๆ ไปของคนไทยก็แย่ถ้าเราต้องซื้อน้ำจากประเทศต่างๆ มันจะแพงมาก เป็นภาระใหญ่และหนักของประเทศชาติอีก
เพราะฉะนั้นเข้าใจกันง่ายๆ ว่า ป่าไม้คือแหล่งน้ำ ถ้าเราปลูกป่าก็อาจจะพอทันนะ เราปลูกป่าเพิ่มแล้วระมัดระวังไม่ให้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนึกถึงแต่เงินทองอย่างเดียว ให้รู้ว่าป่าคือน้ำของประเทศ ต่อไปจะได้หายห่วงไปสักที เขาให้เวลา 15 ปี แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะถึง 15 ปีไหมที่จะเกิดภาวะน้ำจืดขาดแคลนทั่วโลก นี่อ่านด้วยตัวเองก็มีความไม่สบายใจ แต่ได้ยินนายกรัฐมนตรีพูดกำชับว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปขอให้ทหารมาเป็นกำลังด้วยช่วยดูแลป่าตามภาคต่างๆ ไม่ใช่ว่าใครอยากตัดอะไรไปค้าขายก็ตัดไปตามเรื่องตามราว บางทีกลัวกฎหมายก็เลี่ยงควั่นตรงโคนต้นไม้ ข้าพเจ้าเห็นเอง ควั่นให้มันล้ม ค่อยๆ ควั่นให้มันลึกเข้าๆ แล้วมันก็จะล้มไปเองไม่ใช่ความผิดของใคร อันนี้ก็ไม่ฉลาด เพราะผลสุดท้ายผู้ที่ได้รับทุกข์ ทุกข์ร้อนก็คือ ประชาชนชาวไทย ถ้าเผื่อน้ำจืดขาดเข้าจริงๆ แล้วเราไม่มีแหล่งน้ำอย่างเขมรที่มีทะเลสาบที่กว้างใหญ่ หรืออย่างพม่าที่มีแม่น้ำเยอะแยะ เราไม่มีอย่างนั้น เมืองไทยทุกสิ่งทุกอย่างเวลานี้ต้องพึ่งป่าไม้ สำหรับน้ำดื่ม น้ำดื่มและน้ำทำเกษตรกรรม อุตสาหกรรมอะไร เราต้องรู้อย่างนั้นจะได้ไม่ปล่อยผู้คนที่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตัวให้ตักตวงอะไรทุกอย่างของบ้านเมืองก็เพื่อประโยชน์ส่วนตัว น่าจะหยุดกันที น่าจะเข้าใจ
ต่อมาข้าพเจ้าได้รับข่าวที่น่าชื่นใจว่า ประชาชนหันมาปลูกป่าและปลูกต้นไม้กันทั่วไปในบ้านในเมือง ก็เห็นจะเป็นที่ทางต่างประเทศเขาเป็นห่วงถึงโลกร้อน ถ้ามีแต่ มองไปทางไหนเวิ้งว้าง แล้วเมืองเราเป็นเมืองร้อนก็คงลำบาก ก็คงจะเข้าใจว่า น่าจะช่วยกันปลูกต้นไม้ ซึ่งเป็นนิมิตรหมายที่ดีว่า ต่อไปบ้านเราพอจะมีน้ำกินน้ำใช้ไม่แห้งแล้ง แล้วต้องซื้อน้ำจากประเทศต่างๆ
ในนี้เขียนมาให้ข้าพเจ้าทราบว่า เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2551 ท่านนายกรัฐมนตรีได้จัดให้มีบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกองทัพบก พุทธศักราช 2551 โดยผู้บัญชาการทหารบก กับปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ไปลงนามร่วมกันที่ทำเนียบรัฐบาล ใจความสำคัญที่น่าชื่นใจคือ ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมมือและสนับสนุนซึ่งกันและกันทุกวิถีทางในการอนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งก็คือแหล่งน้ำของเมืองไทย
ข้าพเจ้าจึงรู้สึกซาบซึ้ง ขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี กองทัพบก กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้าพเจ้าขอเอาใจช่วย และจะได้เฝ้ารอดูความเจริญเติบโตของป่าไม้ในเมืองไทยต่อไป ข้าพเจ้าทราบดีว่ากล้าไม้ต้นหนึ่งๆ จะใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี กว่าจะกลายเป็นไม้ใหญ่ หลายปีมานี่การปลูกกล้าไม้ไปแล้วหลายล้านต้นทั่วประเทศ แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเติบโตได้เองตามธรรมชาติ อีกส่วนหนึ่งจะเติบโตได้ก็ด้วยความเอาใจใส่ดูแลของผู้ปลูกและผู้คนในพื้นที่นั้นๆ ดังนั้น กว่าต้นไม้หลายล้านต้นเหล่านี้จะเติบโตเป็นป่าไม้ได้ จึงต้องถึงพร้อมกันด้วยความสามัคคี ความเพียร ความอดทน ความเข้าใจ ของประชาชนชาวไทยหลายล้านคนในชาติ
ทุกครั้งที่ได้ทราบข่าวว่ามีการลักลอบตัดป่า ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และข้าพเจ้า จะรู้สึกไม่สบายใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสอนแนะนำข้าพเจ้ามาโดยตลอดถึงความสำคัญของป่าไม้ ว่าป่าไม้ของไทยมีความสำคัญหลายประการ คือ เป็นต้นน้ำลำธารของแม่น้ำทุกสายในประเทศ และช่วยดูดซับน้ำไว้ในรากและใต้ดิน กลายเป็นน้ำใต้ดินให้เราใช้ ช่วยสร้างความชุ่มชื้น ดึงดูดให้มีฝนมาตกในพื้นที่ และช่วยต้านความแรงของน้ำป่าเวลาฝนตกหนัก อย่างเมื่อคราวที่แล้วไม่นานมานี่ที่แถวทางภาคเหนือ ที่บนป่าทางเหนือก็ขาดต้นไม้มาก แต่ก็ยังไม่หยุดการตัดป่า เพราะฉะนั้นเวลาที่เกิดมีพายุฝนรุนแรงก็ น้ำป่าก็ถล่มลงมา เอาดินลงมาอย่างแรง แล้วก็มาเป็นอันตรายแก่หมู่บ้านของประชาชน อันนี้ก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่เห็นแล้วเศร้า เศร้าใจ ที่เราไม่รู้จนทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พวกทางเหนือมันมีป่าไม้บนเขาแล้วไปลักลอบตัดซะหมด เวลาเกิดพายุร้ายแรงนี่เป็นภัยอันตรายมาก ดินถล่ม ชีวิตคนแย่
ส่วนกรุงเทพมหานครของเราได้ทำดีอยู่แล้วในการปลูกต้นไม้ ก็ขอให้ปลูกเพิ่มขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าก็ทราบว่ายากเพราะว่าติดสายไฟ มีสายไฟ เรายังไม่สามารถมีเงินพอที่จะเอาสายไฟลงใต้ดิน เพราะฉะนั้นการปลูกต้นไม้ในเมืองต่างๆ ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ แต่ว่าทางกรุงเทพฯ รู้สึกว่าพยายามทุกอย่างที่จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่ น่าสบาย แล้วก็เจริญรุ่งเรือง ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวว่าปีนี้กรุงเทพฯ ได้รับการโหวตจากพวกนักท่องเที่ยวให้เป็นที่ 1 ของโลกในความน่าอยู่ น่าสบาย สะดวกสบายต่างๆ เมื่อปีที่แล้วนี้รู้สึกเป็นที่ 3 แต่ปีนี้ 2551 เขาประกาศมาว่าเป็นเมืองที่ได้รับโหวตจากนักท่องเที่ยวว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ น่าเที่ยว มีทั้งศิลปะเก่าแก่ วัดวาอาราม มีทั้งความเจริญก้าวหน้า มีทั้งความสะดวกสบาย มีทั้งน้ำใจที่น่ารักของคนไทยทั้งหลาย ทำให้ข้าพเจ้า พอได้ทราบนี่ชื่นใจมาก ถึงจะ 76 ก็ 76 มันชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย ดีใจมากเลยว่าได้รับชม เป็นที่ 1 ในโลก ท่านนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี คณะนายทหารทั้งหลายคงชื่นชมเหมือนข้าพเจ้า ดีใจมากเลย
และจากปีที่แล้วที่ข้าพเจ้าห่วงใยในความสะอาดของแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ใช่ห่วงไปเฉยๆ ข้าพเจ้าจำได้ว่า บ้านของข้าพเจ้าอยู่ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เทเวศร์ แล้วก็แต่เช้าจะเห็นเรือของประชาชนมาทอดแห ตกปลา ได้ปลาเป็นจำนวนมากมาย แม่ข้าพเจ้าเห็นยังโบกมือเรียกเขาโหวกเหวกว่า ขอให้แวะมาจะได้ซื้อปลาสดๆ ที่บ้านของตัวเองเลย อันนี้จำได้ติดหูติดตา แล้วตอนนี้ ตอน 70 กว่าก็ถามผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นยังไงบ้างปลาในแม่น้ำเจ้าพระยา เขาก็ตอบอย่างเศร้าว่า เดี๋ยวนี้แม่น้ำเจ้าพระยาเหลือแต่ปลาสวาย ซึ่งปลาสวายไม่อร่อยเลย ไม่อร่อยอย่างยิ่งเลย แต่ว่ามีเก่งอย่างคือมีความหนังเหนียว อยู่ได้ ไปไหนเจอะแต่ปลาสวาย
เมื่อสมัยก่อนข้าพเจ้าเห็นปลาหลายชนิดเชียว มีบ้านข้าพเจ้าที่เทเวศร์ มีท่าน้ำเล็กๆ เป็นไม้ เอามือลูบไปข้างล่างของท่าน้ำเนี่ย จะจับกุ้งได้ ความที่กุ้ง ปลา อะไรเนี่ยบริบูรณ์ คือ ชื่นใจ พ่อแม่ข้าพเจ้าก็ชื่นใจว่าคนไทยจะไม่มีวันอดตาย พ่อแม่ข้าพเจ้าก็เสียชีวิตไปนานแล้ว ก็ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้แม่น้ำเจ้าพระยาของพวกเราเนี่ยอยู่ไม่ได้ ปลาอยู่ไม่ได้ เหลือแต่ปลาสวายซึ่งแย่มากๆ ไม่อร่อย อันนี้ข้าพเจ้าฟังจากผู้เชี่ยวชาญแล้วไม่สบายใจ ถึงได้อ้อนวอนทุกคนว่า ให้พวกคนไทยเราช่วยกัน ให้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นที่ที่มีอาหารของคนไทยอย่างมากมาย จะไม่มีวันอดตาย คนจนก็แจวเรือ พายเรือไป แล้วก็ไปทอดแห ก็ได้ปลา คือมีความเป็นอยู่ที่ดี แต่เดี๋ยวนี้มันหมดไปแล้ว เพราะว่าเราได้ไปอนุญาตให้โรงงานต่างๆ อยู่ตลอดแม่น้ำเจ้าพระยา มีแยะ ใกล้ๆ อยุธยา บางปะอิน อยุธยา แล้วก็ปลาต่างๆ ก็คงทนไม่ได้ น้ำที่ทางโรงงานปล่อยลงไปโดยที่ไม่ทำความสะอาดเสียก่อนอย่างต่างประเทศเขา ปลาของเขาตายเอาๆ คนไทยก็ยังยากจน หวังจะพึ่งปลาในแม่น้ำเจ้าพระยาก็ เขาก็รู้แล้วว่าแสนลำบาก พึ่งไม่ได้แล้ว เพราะปลามันอยู่ไม่ได้
อย่างสารเคมีต่างๆ เนี่ย ก็ไม่ควรที่จะอนุญาตให้โรงงานต่างๆ ทิ้งสารเคมีลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะต่างประเทศเขาก็ไม่ทำกันอย่างนั้น เขามีกฎหมายอย่างแข็งแรงที่ว่า ไม่สามารถจะทิ้งน้ำอะไรๆ ก็ได้ ลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา มันต้องทำความสะอาดเสียก่อน ด้วยทางวิทยาศาสตร์ทางสมัยใหม่ แล้วถึงจะปล่อยน้ำนั่นน่ะลงไป จะได้ไม่ฆ่าสัตว์น้ำ จะได้ไม่ทำลายความหวังของประชาชนชาวกรุงเทพฯ ซึ่งตอนนี้ก็มีมากเข้าทุกที กรุงเทพฯ ธนบุรี อะไรก็ตาม ที่ปลาเปลอไม่เหลือหลอเนี่ย ก็ขออาศัยรัฐบาลนี้ช่วยสักนิดเถอะ ไม่งั้นถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น คนไทยนี่จะพึ่งน้ำ
สมัยข้าพเจ้ายังเด็กๆ เห็นคนตักน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยามารับประทานได้อย่างดี ซึ่งก็นานมาแล้วหลายปี แล้วก็จับปลานี่ไม่มีวันที่จะหมดไป ปลาสมบูรณ์มาก ก็ไม่สายเกินไปที่จะกลับไปเป็นอย่างนั้น เพราะเราก็ยังมีประชาชนที่ยากจนอยู่ ที่เข้ามาที่กรุงเทพฯ เพื่อมาหางาน แล้วก็เป็นคนจน ไม่มีอาหารจะรับประทานเนี่ย ถ้าเป็นสมัยก่อนเขาก็จ้างเรืออะไรออกไปทอดแห แล้วเขาก็ได้มีอาหารกิน แต่บัดนี้มันเป็นชีวิตอีกชีวิต แต่เขาก็ไม่ทราบ เขาเข้ามาแล้วก็ลำบาก ในการที่จะมาหางานทำ
ซึ่งข้าพเจ้าหวัง อธิษฐานว่าต่อไป ถ้าเผื่อคนไทยทั้งหลายช่วยกัน รวมทั้งคณะรัฐบาลนี่ ก็หวังว่ากุ้ง ปลา นานาชนิด ก็เราสามารถจะปล่อยกลับคืนสู่แม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเป็นประโยชน์ของคนทั่วไป แทนที่จะเหลือแต่ปลาอย่างว่า ปลาสวายอย่างว่า
นักท่องเที่ยวทั่วโลก ข้าพเจ้าเคยพบเป็นบางคน ถามเขาว่าทำไมถึงชอบมาเมืองไทยมาก ที่อื่นก็มี ทะเลมีชายทะเลที่สวยงาม แต่นักท่องเที่ยวเขาบอก คนไทยนี่น่ารักเหลือเกิน น่ารักมาก ที่เขาจะมาอยู่ที่ภูเก็ตเอย ที่ไหนก็ตาม หัวหินตอนนี้ก็แยะ เขาอยู่ในหมู่คน (ทรงหันไปรับสั่งที่ปรึกษาให้ขยับมานั่งใกล้ๆ “มานั่งใกล้ๆ 76 หน่อยซิ มานั่งใกล้ๆ จะได้ช่วยเปิด” - ทรงพระสรวล”
ที่ข้าพเจ้าอยากจะ ที่เบิกบานมากเพราะว่านักท่องเที่ยวทั่วโลกเขาให้กรุงเทพฯ เป็นที่ 1 ในโลก ความสวยงามของสถานที่ ประวัติศาสตร์ ศิลปะ ประเพณี อาหาร ความหลากหลายในการจับจ่ายใช้สอย ไปจนถึงอัธยาศัยที่งดงามของคนไทย อันนี้ปลื้ม ปลื้มตลอดเวลา พอมาปีนี้ได้อันดับ 1 ยิ่งปลื้มหนักเข้าไป
เมื่อข้าพเจ้าแต่งงานนั่นก็อายุ 17 กว่า เกือบใกล้ 18 ก็พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นี่ทรงเป็นครูสอน ทรงย้ำให้ข้าพเจ้าเห็นความสำคัญของป่า ให้เห็นความสำคัญของป่าชายเลน แต่ก่อนข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักป่าชายเลนนี่อะไร พระเจ้าอยู่หัวท่านรับสั่งว่า ป่าชายเลนเนี่ยต้องคอยดูแลอย่าให้คนทำลายไป เพราะว่าเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ สัตว์น้ำวัยอ่อนตามธรรมชาติ ช่วยให้กุ้ง หอย ปู ปลา มีที่หลบภัย และได้เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นอาหารของมนุษย์ เดี๋ยวนี้มีการทำลายทั้งป่าใหญ่ ทั้งป่าชายเลน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า เวลาไปเยี่ยมราษฎรก็อธิบายให้ฟัง ว่าป่าชายเลนเนี่ยมีความสำคัญอย่างไร ที่เรามีปลา มีกุ้ง มีปู มีหอยอะไรในแม่น้ำต่างๆ เนี่ย ก็เพราะว่าเรามีป่าชายเลน ที่มัน สัตว์น้ำวัยอ่อนสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นประโยชน์ เป็นอาหารของมนุษย์ เพราะฉะนั้นขอให้ตระหนักถึงความสำคัญของป่าชายเลน อย่าไปทำลาย
เรื่องน้ำจืด ข้าพเจ้าก็พูดมาหลายหนแล้ว ว่าน้ำจืดนับวันเป็นสิ่งที่มีค่าและหายากขึ้น ถึงกับมีผู้ในโลกนี้คาดการณ์ว่าต่อไปอาจเกิดสงครามโลกเกี่ยวกับเรื่องแย่งแหล่งน้ำจืดขึ้นได้ เพราะมนุษย์เกิดมากขึ้น ความต้องการใช้น้ำก็มากขึ้น น้ำดื่ม น้ำใช้ ในชีวิตประจำวัน การเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทำอุตสาหกรรม น้ำเพื่อผลิตไฟฟ้า น้ำจืดที่จะไปไล่น้ำเค็ม ประโยชน์มากมายก่ายกอง ถ้าคนไทยไม่รู้ถึงเรื่องนี้ เราก็ไม่สามารถจะปกป้องทรัพยากรที่สำคัญของเราได้
ก็ขอให้ทุกคนช่วยกันรักษาแม่น้ำลำคลอง ความสะอาดต่างๆ คือว่า ทำเหมือนอย่างที่ต่างประเทศเขาทำ พยายามให้ประชาชนเข้าใจว่า การทิ้งอะไรสารพัดชนิดลงไปในแม่น้ำเราก็ทำลายน้ำสะอาดตามธรรมชาติ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ว่ามันจะเป็นผลร้ายกับบ้านเมือง
เขียนยาวหน่อย เพราะว่า 76 น่าจะพูดนานหน่อย บ่นได้นาน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าก็หวังว่าทางรัฐบาลก็คงจะพยายามรณรงค์ให้ประชาชนทั่วประเทศรู้คุณค่าของน้ำของเขา ช่วยกันถนอมรักษาน้ำสะอาด ปลูกฝังให้ลูกหลานไทยให้ได้ใช้น้ำอย่างมีวินัย เผื่อที่ว่า วันที่น้ำไม่พอใช้จะมาถึงเร็วเกินไป ข้าพเจ้าอ่านหนังสือเกี่ยวกับ Newsweek กับ Time เกี่ยวกับแม่น้ำโขง ข้าพเจ้าก็พูดเตือนตอนที่ตามเสด็จฯ ไปที่ภาคอีสาน ก็เตือนคนไทยทั้งหลายว่า อย่าพยายามทำลายป่านักเลย ทิ้งไว้บ้างเพื่อจะได้มีน้ำ น้ำรับประทาน น้ำใช้ เขาก็หัวเราะ หัวเราะอย่างน่าเอ็นดู เขาขำข้าพเจ้า เขาบอก โธ่ท่าน ทำไมท่านจะต้องไปวิตกเกี่ยวกับเรื่องน้ำกินน้ำใช้ ท่านก็รู้ดีว่าอีสานมีแม่น้ำโขงอยู่ใกล้ ท่านจะต้องมาเป็นห่วงเรื่องน้ำ ยุ่งอยู่กับป่ากับน้ำทำไม เขาพูดกับข้าพเจ้าอย่างนี้จริงๆ ท่านไม่ต้องห่วง โดยเฉพาะอีสานแม่น้ำโขงอยู่ใกล้นิดเดียว เราเอาขึ้นมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ทั่วภาคอีสาน
แล้วข้าพเจ้า ต่อมาเมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้อ่านหนังสือ Time กับ Newsweek ก็แปลว่า เขาถ่ายรูปมาด้วย แม่น้ำโขงแห้งผาก แห่งขอดจนเห็น จนเห็นแต่ก้อนหิน แล้วก็หนังสือพิมพ์ Time กับ Newsweek เขาก็ลงว่าเป็นที่ทำให้พวกหากินเกี่ยวกับจับปลา จับสัตว์น้ำ ของประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง เป็นที่ตกใจแล้วก็กลุ้มใจกันมากว่าเดี๋ยวนี้แม่น้ำโขงเกิดแห้งผากขึ้นมา อันนี้ข้าพเจ้าเองตะก่อนก็ไม่ทราบว่าแม่น้ำโขงจะแห้งผากลงมาขนาดนี้ แต่พออ่านหนังสือพิมพ์ Time กับ Newsweek ซึ่งออกมาประมาณเกือบ 2 ปีแล้วที่เขาถ่ายรูปให้เห็นว่า แม่น้ำโขงนี้เราไปจับปลา ปลาบึกปลาอะไรไม่ได้ มันไม่ไหวแล้ว เพราะต้นของแม่น้ำโขงอยู่ที่ในประเทศจีน ประเทศจีนเดี๋ยวนี้เขาสร้างเขื่อนที่ใหญ่โตมาก ที่เขาเข้าใจว่า เขารู้เขาเข้าใจว่า เขาประชากรแยะ และก็ประชากรต่างๆ ที่จะทำงานได้ดี ได้ผลดีก็ต้องอาศัยน้ำ บังเอิญต้นน้ำของแม่น้ำโขงอยู่ในประเทศจีน เขาก็สร้างเขื่อนใหญ่โตแล้วก็กั้นน้ำ เพราะฉะนั้นเวลานี้แม่น้ำโขงก็ไม่สามารถที่จะเป็นที่พึ่งของเราได้ ข้าพเจ้าก็ยังอยากพบข้าราชการที่ขบขันข้าพเจ้า ที่เขาบอก แหม ท่านเป็นห่วงอะไรกับอีสาน เพราะว่าแม่น้ำโขงนี่อยู่ใกล้ๆ นี่เอง แล้วน้ำมากมาย ทำไมท่านต้องย้ำว่าให้ดูแล ป่าจะได้มีน้ำใช้ อะไร เขาเห็นข้าพเจ้านี่เป็นตัวน่าขันที่สุด แล้วเดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าก็คิดถึงเขานี่จะว่ายังไง น้ำโขงแห้ง ขลุกขลิกๆ จับปลาบึกก็ไม่ได้ (ทรงพระสรวล)
ทีนี้พูดถึงชาวนา วันก่อนข้าพเจ้าไปงานที่อ่างทอง ใช่มั้ย (ทรงรับสั่งถามที่ปรึกษา - เธอมานั่งใกล้ๆ หน่อย ที่ปรึกษา 76 ไม่มีใครว่าหรอกมีที่ปรึกษา)
ข้าพเจ้าเป็นทุกข์แทนชาวนาไทย ซึ่งก็ยังยากจน เพราะว่านอกจากน้ำมันแพงแล้ว ปุ๋ยก็ยังแพงมากอีกด้วย ข้าวของทุกอย่างพากันขึ้นตามราคาน้ำมันไปหมด อันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เวลาท่านทรงทอดพระเนตรเห็น อย่างไปทรงเยี่ยมตามจังหวัดต่างๆ เห็นประชาชนเลิกใช้ควายไถนา มาใช้รถนัยว่าสมัยใหม่กว่า ใช้รถไถนา ควายก็กลายเป็นไม่มีค่าอะไร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รับสั่งบอก นี่ ต่อไปถ้าน้ำมันแพงขึ้นๆ นี่ ชาวนาเหล่านี้จะทำยังไง ได้ทิ้งควายไปแล้ว เพราะควายตัวนี้ก็ต้องมาฝึก ฝึกกันใหญ่ เข้าโรงเรียนฝึกหัดไถนา (ทรงพระสรวล) เพราะถูกทอดทิ้งไปตั้งหลายปี จะไถนาไม่เป็นตอนนี้ สู้น้ำมันไม่ไหว แล้วน้ำมัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รับสั่ง ก็ไม่มีวันที่จะลงหรอก
ความจริง เมื่อควายใช้ไถนาได้ ก็น่าจะใช้ควายไถนา เดี๋ยวนี้ใช้ควายเหล็กที่มันกินน้ำมันแทนหญ้า ก็เลย ชาวนาก็ยิ่งลำบาก อันนี้ท่านนายกฯ ก็คงช่วยสนับสนุนให้ชาวนาใช้ควายอย่างเดิม ก็ไม่เสียเกียรติอะไรเลย น่ารักออก (ทรงพระสรวล) รู้สึกมีชีวิตชีวาดี อย่างน้อยเราก็ผลิตข้าวได้มากอย่างเดิม ไม่ใช่ว่า แหม เมืองไทยนี่ล้าสมัย ต้องใช้ควายแทนที่จะใช้รถไถนาที่มีความโก้เก๋ แต่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งบ่นมานานเลย บอกรถไถนาเนี่ยราคามันสูง แล้วน้ำมันก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ แล้วในระยะยาวก็ต้องเสียค่าซ่อม ค่าอะไหล่ ตอนที่รับสั่งน่ะ น้ำมันก็ยังมีดี รับสั่งว่า ก็ถ้าเผื่อว่าวันหนึ่งไม่มีน้ำมัน หรือน้ำมันแพงมาก รถไถนาก็ต้องถูกจอดทิ้งไว้เฉยๆ ผิดกับควาย ที่มันเดินเองได้ทุกเวลา แล้วมูลของควายที่ถ่าย ถ่ายไว้ทั่วไปตามท้องนา ก็เป็นปุ๋ยชั้นดี รับสั่งบ่นอย่างนี้มานาน เดี๋ยวนี้ท่านไม่บ่นแล้ว ท่านเห็นว่าสู้คนสมัยใหม่เขาไม่ไหว ท่านก็เลยไม่บ่น (ทรงพระสรวล)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงสร้างธนาคารข้าว ทรงคิดสร้างเอง ทั่วทุกหนทุกแห่งรอบประเทศไทย เนี่ย เดี๋ยวนี้ชาวบ้านมีธนาคารข้าวตามพระราชดำริ ที่ว่า ช่วยกันตั้งธนาคารข้าว จะได้ ใครอดอยาก หมู่บ้านไหนอดอยากจะได้ไปขอยืมข้าว ทรงสอนให้เขาไปขอยืมข้าว แล้วเวลาปีไหนทำข้าวได้ดีก็เอาข้าวไปใช้ หวังว่า ท่านนายกฯ คงสนับสนุนได้นะคะ ทำให้ คุณอะไรนะ คุณจุ่น ควาย แล้วตอนนี้ฉันตกใจมาก นึกไม่ถึงว่า บอกทำไมไม่เอาควายมาไถนา เขาบอกมันไถไม่เป็นแล้วตอนนี้ ต้องเปิดโรงเรียนอบรมควายให้ไถนาอย่างเดิม โอ๊ยตาย ฟังดูเหมือนตลกแต่มันเรื่องจริง
แล้วต่อไปก็อยากจะพูดถึงสถานการณ์ในภาคใต้ ที่เป็นปัญหาสืบเนื่องมาตั้ง 4-5 ปีแล้ว อันนี้ก็น่าหนักใจ แต่ทราบว่าเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ก็ดีขึ้น ค่อยๆ ดีขึ้น ที่หนักใจเพราะว่า ประชาชนหลายคน มากเชียวที่ไม่สามารถออกไปทำมาหากินตามปกติได้ ซึ่งอันนี้เป็นของที่น่าเป็นห่วงมาก เขาก็คงทุกข์ใจ และมีความทุกข์ยากมาก เพราะว่าเขามีสวนยาง คนจนมีสวนยางเล็กๆ ซึ่งเขาก็อาศัยทำมาหากิน บัดนี้ก็ออกไปสวนยางก็ตาย แม้แต่ออกไปที่ตลาดก็ยังตาย คือชีวิตไม่ปลอดภัยแล้ว แต่ได้ทราบข่าวว่าตอนนี้ค่อยๆ ดีขึ้น ข้าพเจ้าเองเมื่อคราวที่แล้วก็ไม่สบาย หมอไม่ได้ให้ไปภาคใต้ ไม่ใช่ว่าจะละทิ้งเขา ก็ตั้งใจว่าปีนี้ก็จะไปอีก เพราะว่าชาวบ้าน ที่ข้าพเจ้าแปลกใจชาวอิสลามเขาพูดกับข้าพเจ้าบอกว่า เวลาประไหมสุหรีไม่มาพวกเราลำบาก เป็นอิสลามที่พูดอย่างนี้ เพราะข้าพเจ้าก็ทำตามพระบรมราชโองการ ไม่ได้ช่วยแต่ชาวพุทธ ช่วยทั้งชาวพุทธ ทั้งไทยอิสลาม เสมอกัน
อย่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปประทับภาคใต้ ทรงทะนุบำรุงวัดไทย ก็ทรงทะนุบำรุงสุเหร่าที่อยู่ใกล้ๆ เหมือนกันหมดทุกอย่างให้เกิดความสามัคคีไม่น้อยหน้ากัน ก็ทรงทำอย่างนั้น ตะก่อนนี้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไปภาคใต้ครั้งแรกในชีวิต คือ ตอนอายุ 40 ไปฉลองวันที่ 12 สิงหา ที่นราธิวาส แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ ไปตรวจดูเกี่ยวกับดิน เกี่ยวกับน้ำ ก็ทรงพบว่าน้ำแม่น้ำเปรี้ยวจัดมาก ก็ทรงเห็นประทับเรือแล้วทรงตักน้ำแม่น้ำส่งมาทางกรุงเทพฯ ให้ดูถึงความเปรี้ยวเท่าไหร่ๆ ทรงบุกด้วยพระองค์เองทั้งนั้นจนกระทั่งด้วยความช่วยเหลือจากข้าราชการต่างๆ และกรมชลประทาน ก็เดี๋ยวนี้คนทางใต้ หมายถึงนราธิวาส ปัตตานี สามารถทำนาได้ปีละบางทีเกือบ 3 ครั้ง เพราะว่าทรงช่วยกับกรมชลประทานช่วยกันแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้อยู่ดีกินดีขึ้น
แต่ตอนนี้ก็มาปัญหาถึงความไม่เข้าใจระหว่างศาสนา ซึ่งแต่ไหนแต่ไรรัฐบาลเราก็พยายามเต็มที่ให้ศาสนาทุกศาสนาในประเทศไทยได้อยู่กันอย่างเป็นอิสระ สามารถนับถือศาสนาของตัว ทะนุบำรุงศาสนาของตัวอย่างเป็นอิสระไม่มีใครรังแก จนกระทั่งชาวต่างประเทศพูดกับข้าพเจ้าว่า แหมเมืองไทยนี่ยอดเลย ทุกศาสนา โดยเฉพาะที่กรุงเทพฯ อยู่กันอย่างสงบสุขไม่เคยมีประวัติสงครามศาสนาเลย แต่บัดนี้ที่ภาคใต้น่าห่วง ขนาดเด็ก 3 ขวบ ถ้าเป็นพุทธก็ต้องตายแล้ว อันนี้มันผิดปกติ มันไม่ใช่น้ำใจของมนุษย์ผู้ที่มีความเจริญ แล้วไอ้เด็ก 3 ขวบ มันจะไปรู้เรื่องอะไร ไม่จำเป็นจะต้องทำลาย ขนาดเด็ก 3 ขวบ
แต่ก่อนนี้ที่เสด็จฯ ไป พระสงฆ์ในศาสนาพุทธ และผู้นำของศาสนาอิสลาม เป็นมิตรกัน อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข เสด็จฯ ทุกปี เพิ่งเสด็จฯ ไม่ไหวมาไม่กี่ปีนี้เอง
ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจในสาเหตุเหมือนกัน ก็พยายามพูดกับคนอิสลาม เขาก็พูดเลย ข้าพเจ้าเอง อย่างข้าพเจ้าไปปีที่แล้วไปเมื่อต้นปีนี้ ไปแค่ 10 วัน เพราะว่าไปไม่ไหวก็เลยไปแค่ 10 วัน เขาก็มากระซิบกับข้าพเจ้า บอก เวลาที่ท่านไม่ไปเนี่ย เวลาประไหมสุหรีไม่ไปเนี่ย พวกเราลำบาก ข้าพเจ้ามองหน้า เพราะว่าจากปากของคนอิสลาม พวกเราลำบาก แต่ว่าเวลาท่านไปเนี่ยพวกเราสบาย ขอให้ท่านอย่าทิ้งใต้เลยเป็นอันขาด เพราะข้าพเจ้าก็ให้ทำหน้าที่อย่างเดียว คือให้งานเขา เห็นใครมาเฝ้าแล้วก็ยากจนมาก ก็จับสอนให้ปัก มีครู ตั้งกลุ่มปักขึ้น แล้วสอนให้ปัก สอนให้ทอผ้า สอนทุกอย่าง แล้วก็ศิลปาชีพก็คือตลาด เขาสามารถที่จะส่งผลงานเขามา เราก็จ่ายไป ซึ่งข้าพเจ้าเคยมีเงินในมูลนิธิศิลปาชีพกว่าพันล้าน
บัดนี้มีผู้เตือนข้าพเจ้าว่าเหลือ 700 ล้าน เพราะว่า คือว่าพยายามที่จะให้กำลังใจเขา อย่างทางภาคอีสานเนี่ย ก็จนสิ เพราะว่าหยุดทอผ้า เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ซึ่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่งพระราชโอรส กรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม ซึ่งทรงเรียนที่อังกฤษ เวลาเสด็จกลับมา ทรงส่งกรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม เดินทางด้วยเกวียน จากกรุงเทพฯ ไปถึงจังหวัดบุรีรัมย์ ข้าพเจ้าก็คิด เอ๊ะ นี่มัน เพราะข้าพเจ้านี่ไม่เก่งเลยเลย คิดว่า เอ๊ะ มันใช้เวลานานเท่าไรน้อ ด้วยเกวียน จากกรุงเทพฯ ไปถึงบุรีรัมย์เนี่ย เพื่อไปสนับสนุนให้ประชาชนที่แถวนั้นรักษาความเป็นผู้ที่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเก่ง และทอผ้าเก่ง ให้เขารักษาความสามารถของเขาไว้ เพื่อต่อไปจะได้ขยายงานต่อไป
แล้วก็ กรมหมื่นพิชัยมหินทโรดมเนี่ย เป็นองค์ที่แต่งเพลง “ลาวดำเนินเกวียน” ที่เดี๋ยวนี้เราเรียกว่า “ลาวดวงเดือน” ซึ่งเพราะเหลือเกิน ท่านแต่งระหว่างที่ท่านอยู่ในเกวียน จะไปที่บุรีรัมย์ เนี่ย “โอ้ละหนอ ดวงเดือนเอย” เนี่ย ทรงแต่ง ทรงยังหนุ่มแน่นแท้ๆ แล้วข้าพเจ้าหาว่า ที่เสด็จฯไปด้วยเกวียนเนี่ย มันต้องผ่านป่า ผ่านอะไร ทำให้ทรงติดไข้ป่ามา เพราะว่าพระชนม์ 28 ก็สิ้นแล้ว สิ้นพระชนม์แล้ว โดยที่ไม่ทราบสาเหตุว่าสิ้นเพราะอะไร ข้าพเจ้าคิดเอาเองว่าที่ท่านไปดูทางอีสานเกี่ยวกับการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ทอผ้า มันต้อง ขบวนเกวียนมันไปอย่างช้า ต้องผ่านป่าซึ่งเป็นแหล่งมาลาเรีย คิดว่าอย่างนั้นนะคะ คิดเอาเอง เดาเอาเอง ไม่มีอะไรยืนยันได้
แต่เห็นท่านสิ้นพระชนม์ 28 เท่านั้น ท่านแต่งเพลงเพราะ เพราะ เป็นนักศิลปะ สมกับที่พระราชบิดาทรงส่งไปดูแลเกี่ยวกับการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมทอผ้าเนี่ย แต่ก่อนข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ แต่ชอบเพลงลาวดวงเดือนมาก ไม่ทราบว่าองค์ไหนที่แต่งอย่างนี้ เพราะเหลือเกิน
แล้วต่อไปนี้ ข้าพเจ้าก็อยากจะเอ่ยถึงคนไทยที่มีความ คนไทยหนุ่ม ที่มีความรักชาติ คือข้าพเจ้าแค่ทราบมานี่แค่ 2 คน แต่คงจะมีเยอะแยะมากเชียว อย่างนายตำรวจผู้กล้าหาญซึ่งสละชีวิตไปแล้วเพื่อรักษาดินแดนภาคใต้ คือ ร.ต.อ.ธรนิศ ศรีสุข ที่เรียกว่า “ผู้กองแคน” สอบได้ที่ 1 แล้วก็ทางตำรวจก็ให้เลือกได้ คนที่สอบได้ที่ 1 ว่าจะเลือกไปอยู่ที่ไหน ไปทำงานที่ไหน ก็คนไทยที่ยอดเยี่ยมเนี่ย ร.ต.อ.ธรนิศ เนี่ย ก็เลือกที่จะไปอยู่ที่ภาคใต้ 3 จังหวัดภาคใต้ แล้วข้าพเจ้าก็ไม่รู้เลย ไม่มี ไม่ทราบเลย ด้วยความเสียใจจนบัดนี้ว่า ตอนที่ข้าพเจ้าไปอยู่ที่นราธิวาส แล้วก็ไปเยี่ยมแถวปัตตานี ก็ ร.ต.อ.ธรนิศ เนี่ยก็เป็นคนหนึ่งที่ดูแล ถวายอารักขาอย่างใกล้ชิด เพราะที่นั่นมันอันตราย แล้วเขาก็ถูก มีการปะทะกันที่ จ.ยะลา ใกล้ๆ เบตง อะไรเนี่ย แล้วก็เสียชีวิตไป คือ มือหนึ่งของตำรวจที่สอบได้ที่หนึ่ง แต่เป็นคนที่มีความรักชาติอย่างมาก แล้วมี เป็นคนมีอุดมคติสูง ก็เลือกจะไปที่ที่เป็นที่ยาก เป็นที่ลำบาก แล้วก็ไปเสียชีวิต
แล้วคนที่ 2 ที่ข้าพเจ้าทราบจากหนังสืองานศพเขา ก็เลยเขียนจดหมายไปถึงคุณพ่อคุณแม่เขา ไม่ทราบจะทำยังไง เพราะว่าไม่ทราบก่อนนาน ที่จะไปงานศพเขา คือ ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ นี่ก็อีกคน เลือกที่จะไปรักษาความปลอดภัยของประเทศชาติในที่ๆ อันตราย ในที่ซึ่งบ้านเมืองกำลังต้องการความคุ้มครองป้องกัน เขาบอก เขาเนี่ยก็ไม่ใช่ว่าไม่กลัว ก็กลัวเหมือนกัน แต่มีความรู้สึกว่าเป็นคนไทย แล้วก็เรียน เรียนมาเป็นตำรวจ น่าที่จะไปปกป้องคุ้มครองในที่ๆ ยากลำบาก เขาทั้งสองนี่เขาเลือกไปที่นี้ แล้วถึงเวลาเขาก็อยู่ครบ 6 เดือน ครบเทอม ถึงเวลากลับเขาก็ไม่กลับ เพราะประชาชนรักแล้วก็ไว้ใจ ก็ขอให้อยู่ต่อ ก็เสียชีวิตที่นั่นอีก ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าเมืองไทยน่าจะรอดพ้นจากอันตรายทั้งหลายได้ เพราะว่ามีคนที่ดี ที่ยอดเยี่ยม ที่ยอมสละ แทนที่จะไปหาที่ที่จะทำงานไปได้สูง ที่อะไร กลับยินดีไปอยู่ในที่ๆ เรียกว่าต้องปกป้องประชาชน ต้องปกป้องพื้นที่ของประเทศไทย ร.ต.อ.ธรนิศ นี่ก็เคยดูแลข้าพเจ้าตอนข้าพเจ้าไปอยู่ที่ภาคใต้ ที่ภาคใต้ค่อนข้างจะน่ากลัวอยู่ ให้ถวายอารักขา เป็นชาว จ.ขอนแก่น แล้วก็เป็นลูกของรองศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.ดร.เกรียงศักดิ์ แล้วก็ ท.พ.(หญิง)นิธิภาวี ศรีสุข สอบได้เป็นอันดับที่ 1 หลังจากเรียนจบแต่เลือกที่จะเป็นตำรวจตระเวนชายแดน และต่อมาเป็นตำรวจพลร่ม ที่ค่ายนเรศวร แล้วเขาเลือกที่จะไปทำงานที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ทั้งสองคน อีกคนนี้เสียชีวิตอายุแค่ 24 เท่านั้น เขาก็ เขาเขียนใน คล้ายๆ ไดอารี่ของเขาว่า เขาสมัครใจไปปฏิบัติงานที่ชายแดนภาคใต้เพราะเป็นที่ที่ลำบาก เป็นที่ๆ จะต้องปกป้อง ปกป้องครู ปกป้องประชาชน แต่เขาเลือกที่จะทำหน้าที่นั้น ยะลานี้ทั้งระเบิด ทั้งโอ้โฮ แต่ว่านายตำรวจที่กล้าหาญ ฝีมือดียัง คล้ายๆ ยังอาสาที่จะไปอยู่ที่นั่น ร.ต.อ.ธรนิศ เขามีข้อเขียน คติของเขาว่า จงเป็นผู้เสียสละ อย่าคลาดหวังนักเลยว่า เราจะได้อะไรบ้างจากหน่วยงานของเราและประเทศชาติ จงคิดเสมอว่า ทำอะไรได้บ้างให้แก่หน่วยงานและประเทศชาติของเรา อันนี้หายาก คนอย่างนี้หายากเหลือเกิน
แล้วก็ ร.ต.ต.กฤตติกุล ดูเถอะ 76 อ่านเดี๋ยวเดียวลืมไปแล้ว ก็ดำเนินตาม ดำเนินตามนโยบายของรุ่นพี่ ร.ต.ต.กฤตติกุล เขาเขียนในหนังสือความทรงจำของเขาว่า เขาเลือกที่จะไปอยู่ภาคใต้ แล้วเขาเคยได้รับพระราชทานถุงของขวัญ เพราะโดยอัตโนมัติข้าพเจ้าไม่มีโอกาสได้พบของเขาเป็นส่วนตัวหรืออะไรเลย ถึงเวลาก็เชิญนายทหาร นายตำรวจเข้าไปรับประทานที่ในวังที่ภาคใต้ เขาก็เขียนว่า เขาได้เฝ้าฯ แล้วก็ได้รับถุงของขวัญที่ทำให้เขามีกำลังใจ เสียดาย เสียดายมากเลย แต่ก็ดูก็ยังทำอะไรไม่ได้ คือสูญเสียคนที่ดีๆ ไป แล้วคนที่ดีๆ ก็ตั้งใจจะไปที่นั่นเพื่อไปคุ้มครองประชาชน แล้วก็คุ้มครองผืนแผ่นดินไทย แล้วก็มี พ.ต.ท.กิตติกานต์ เป็นหัวหน้าหน่วยที่ไปครั้งนี้ ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก เกี่ยวกับทางสมอง อยู่ที่โรงพยาบาลสงขลา ซึ่งข้าพเจ้าก็ถามข่าวคราวไปเสมอว่าตอนนี้มีอาการค่อยๆ ทุเลาขึ้น
และข้าพเจ้าก็เพิ่งทราบว่านายตำรวจที่เก่งนี่ก็ได้มาถวายอารักขาโดยที่ข้าพเจ้าเองรอดปลอดภัย ก็ไม่ได้ทราบเลยว่ามีผู้ใดบ้างที่มารับผิดชอบถวายอารักขา เขาเล่าถึงว่า เขาตื่นเต้น ได้ไปนั่งรับประทานอาหารใกล้ๆ พระราชินี เขาบอกงั้น เขาตื่นเต้น
ข้าพเจ้าเสียใจ เพราะไม่ทราบว่า เพราะไม่ได้คุยกับรุ่นเด็กๆ นี่เลย ไม่ได้คุยเลย เชิญเขาไปในวัง ไปรับประทานอาหารกันอย่างใกล้ชิด แล้วเขาเขียนบันทึกไว้ คนที่เขียนนี้ กฤติกุล เขาบอกว่า สิ่งที่ทำให้พวกเขาทำงานแบบลืมตายคืออะไร เขาบอกอุดมการณ์ไงล่ะ เขาบอก จริงอยู่มันกินไม่ได้ แต่มันอิ่ม มันอิ่มใจคนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ เดินทางจากบ้านมาตั้งหลายพันกิโลฯ มาถึงที่นี่ มาดูแลให้ราษฎรปลอดภัย คือเขาเขียนบันทึกเอาไว้ แล้วตอนงานศพ ก็ออกในงานศพ ข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือจากงานศพ
เขาบอก ยอมรับว่าแรกๆ ก็ไม่อยากมาหรอก เพราะฟังดูมันน่ากลัว แต่พอมาแล้วไม่อยากกลับ อยากทำงานให้จบ ถึงจะยากอย่างไรก็ตาม ก็รักที่จะทำงานแบบนี้ คงเห็นภาระหน้าที่ที่จะคุ้มครองประชาชน เขาบอกให้พวกเราภูมิใจกับทุกคนที่มาทำงานที่นี่ หลายพันคนมาจากทุกสารทิศ มาช่วยกันปกป้องแผ่นดินผืนนี้ มีอีกหลายคนที่ทำงานแบบผมอยู่ในพื้นที่นี้ อย่าชมผมคนเดียว อย่าให้กำลังใจผมคนเดียว ขอให้กำลังใจกับพวกเขาทุกคน แล้วเขาก็หวังใจ เพราะว่า เขาหวังว่า ว่าเขาจะไม่ตาย แต่ถ้าเกิดมีวันนั้นจริงๆ ที่เขาต้องตาย เขาบอก เขาก็ไม่เสียดายนะ เกิดมาครั้งเดียว ตายเพื่อชาติ ไม่กลัว แล้วเขาตายอายุ 24 เท่านั้นเอง
ข้าพเจ้าอ่านแล้วก็นึกสงสารพ่อแม่เขา นึกถึงความเสียสละของนักรบเหล่านี้ ซึ่งมีทั้งทหาร ทั้งตำรวจ ที่อยู่ในพื้นที่อันตราย ซึ่งคนที่อยู่กรุงเทพฯ อาจจะนึกไม่ออกว่าอันตรายแค่ไหน มันทั้งปืน ทั้งระเบิด ทั้งอะไร ทุกอย่าง ถ้าพวกเราจะสามารถส่งกำลังใจไปให้เขา มีจดหมายหรืออะไรให้ก็ตาม ส่งไปให้ความ ให้กำลังใจแก่นักรบเหล่านี้ ที่เป็นคนดี และเป็นคนที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ อย่าง 2 นายตำรวจที่ข้าพเจ้ารู้จักนี้ รู้จักชื่อเนี่ย คงมีอีกเยอะแยะที่ไม่รู้จัก ที่ทำงานเสี่ยงภัย
ข้าพเจ้าอยากจะบอกกับท่านอีกอย่าง คือว่า วันเกิดของข้าพเจ้าก็มีผู้คนถวายเงินกันหลายคน แล้วเงินนั้นน่ะ ข้าพเจ้ารวบรวมแล้วก็ไปสร้างศูนย์ครูที่ จ.ปัตตานี เพราะเห็น สงสารพวกครูที่สุด ที่ว่า เดี๋ยวโดนฆ่าๆ อยู่อย่างนั้น แล้วคงจะโดนฆ่าตลอดไป ข้าพเจ้าก็เลยเอาเงินที่ได้รับ ที่ท่านทั้งหลายให้วันเกิดเนี่ย ปีที่แล้ว สร้างศูนย์ครู ตอนนี้ยังไม่เสร็จดี เกือบเสร็จ เกือบเสร็จแล้ว ที่ว่า มีที่อยู่ มีที่รับประทาน แล้วก็มีห้องสมุดต่างๆ ที่พวกครูทั้งหลายจะไปพัก แต่ข้าพเจ้าก็มีเงินทำได้แห่งเดียว นี่มองท่านนายกฯ (ทรงพระสรวล) ข้าพเจ้ายังทำได้แห่งเดียว แต่ก็อยู่ได้หลายคน เพราะครูเนี่ยเป็นที่นับถือของชาวบ้าน แล้วครูไม่มีอาวุธป้องกันตัว กลายเป็นเป้าหมายใหญ่ให้โจรใต้ไล่สังหาร
ครูบางคนถูกยิงตายต่อหน้าเด็กเลยในชั้น ทั้งที่ยังถือชอล์กอยู่ในมือ เพราะฉะนั้นนี่ ครูนี่เสียสละมาก ข้าพเจ้าได้รับเงินวันเกิดปีที่แล้วก็เลยไปสร้างศูนย์ครูขึ้นที่ จ.ปัตตานี เพื่อให้ครูที่อาสามาสอนเด็กในพื้นที่เสี่ยงภัย ได้มาพักอยู่รวมกัน มีห้องสมุด มีอะไรทุกอย่าง ที่ อย่างข้าพเจ้าอาจจะส่งหนังเกี่ยวกับความรู้ใดๆ อะไร ไปให้เขาดูได้ เป็นที่รวมกัน แล้วก็กำลังจะสร้าง คล้ายๆ เป็นเรียกว่าอะไร รถ หน่วยรถที่จะเอาครูต่างๆ ในศูนย์นี้ไปส่งในที่ทำงานต่างๆ ของเขา โดยมีอารักขาเต็มที่ แล้วที่ศูนย์ครูนี่ก็มีอารักขาเต็มที่ ข้าพเจ้าได้ความช่วยเหลือจากทหารที่ปลดเกณฑ์ให้เขามาเป็นผู้อารักขาที่ศูนย์นั่น โดยที่เราก็ยินดีที่จะให้เงินเขา เหมือนกับอย่างเขาทำงานที่ไหนก็ตามด้านความปลอดภัย ก็พร้อมกันหมด แล้วก็สร้างบ้านให้เขา สำหรับเขาเอาครอบครัวมาอยู่ได้ด้วย
ทั้งนี้ จากเงินที่ได้รับจากพวกท่านเมื่อวันเกิดที่แล้วที่อายุ 75 ตอนนี้กำลังสร้างอยู่ ยังไม่เสร็จดี แล้วข้าพเจ้าก็ได้จัดสร้างฟาร์มตัวอย่าง ตามหมู่บ้านไทยต่างๆ จนชาวอิสลามก็ขอร้องว่า ให้ไปช่วยสร้างหมู่บ้าน สร้างฟาร์มตัวอย่างให้เขา วิธีเลี้ยงไก่ วิธีเลี้ยงเป็ด วิธีเลี้ยงสัตว์ต่างๆ สัตว์เลี้ยง เพราะว่า เขาบอกว่าพอมีฟาร์มตัวอย่างปั๊บนี่ เขาไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเข้าเมือง โดยมากก็ขี่มอเตอร์ไซค์แล้วก็ภรรยาซ้อนท้าย ลูกอยู่ที่หน้าอกข้างหน้าเนี่ย ไปจ่ายตลาด ไปอะไร นั่นเขาก็ตายอยู่กลางถนนน่ะ ทีนี้ข้าพเจ้าก็เลยสร้างฟาร์มตัวอย่างที่มีสัตว์เลี้ยง หมู่บ้านคนไทยจะมีฟาร์มเยอะแยะเชียว เขาไม่ต้องไปซื้อไข่ ไม่ต้องไปซื้ออะไร เขาได้จากฟาร์มตัวอย่าง ไม่ต้องเสี่ยงต่อความตาย
ซึ่งฟาร์มตัวอย่างนี่ข้าพเจ้าได้รับความช่วยเหลือจาก พ.อ.เรวัต บุญทับ รองสมุหราชองครักษ์ ช่วยกันจัดตั้ง มีสัตว์ต่างๆ พร้อมติดอยู่กับหมู่บ้านของชาวพุทธ และชาวอิสลามไหนมาขอความช่วยเหลือ ก็ช่วยเหลือ ก็ทำให้เช่นเดียวกัน
ที่ช่วยชาวพุทธเพราะเห็นว่าไปตายตามท้องถนน ตามไหนมากมายก่ายกอง ข้าพเจ้าก็ทนไม่ได้ อยากจะยุติการตายอย่างนั้นเสียที ก็คิดว่า เอ๊ะ เราจะทำช่วยอะไรได้บ้าง ทำให้เขาไม่ต้องเสี่ยงออกไปจากหมู่บ้านที่เขาอยู่ แล้วไปตามท้องถนน กว่าจะไปถึงตลาดในเมืองอะไรอย่างนี้ มันก็เสียชีวิตมาก ก็ไม่อยากให้เสียชีวิตอย่างนั้น ตั้งแต่นั้นต่อไป ชาวบ้านไทยพุทธก็เลยมีฟาร์มตัวอย่างอยู่ใกล้ๆ บ้าน แล้วก็คนยากจนเราก็รับให้เขามาทำงานในฟาร์ม ดูแลสัตว์ต่างๆ แล้วเราก็เสียเงินเดือน ค่าเงินเดือนให้คนงานต่างๆ ซึ่งคนงาน ซึ่งไม่ค่อยมีงานทำก็มีงานทำมากขึ้น แล้วก็หมู่บ้านไทยพุทธก็มีความเป็นอยู่ดีขึ้นเพราะเขามีธนาคารข้าวที่เป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และธนาคารอาหารชุมชน ก็คือ ฟาร์มตัวอย่าง พอประทังชีวิตไปได้ เดี๋ยวนี้พวกเราได้ช่วยกันทำฟาร์มตัวอย่างที่ชายแดนภาคใต้ 21 แห่ง ได้ 21 แห่งแล้ว กระจายความช่วยเหลือไปยังราษฎรตามอำเภอต่างๆ ใน 3 จังหวัด อ.แว้ง ซึ่งก็ยากมากจะเข้าออก โดนฆ่าเป็นประจำ อ.เจาะไอร้อง อ.รือเสาะ อ.ระแงะ ใน จ.นราธิวาส อ.สายบุรี อ.ยะหริ่ง อ.หนองจิก ใน จ.ปัตตานี อ.รามัน อ.เบตง ใน จ.ยะลา รับคนงานทั้งชาวพุทธและมุสลิมมาทำงานในแต่ละฟาร์ม ก็เดี๋ยวนี้มี 4,000 คนได้มาทำงาน แต่ข้าพเจ้ารู้สึกสบายใจ สบายใจ โล่งใจมากได้ทราบข่าวว่า ผู้บัญชาการทหารบกได้ไปที่ภาคใต้ ไปเยี่ยมตามที่ต่างๆ เยี่ยมทหาร ดูแลความปลอดภัยต่างๆ ทุกอาทิตย์ เกือบทุกอาทิตย์ ข้าพเจ้าก็รู้สึก ทราบมาจากประชาชนว่าเขาอุ่นใจ สบายใจขึ้น
แล้วก็มีอีกเรื่องที่ทำให้ชื่นใจ คือข้าพเจ้าได้จัดนิทรรศการศิลป์แผ่นดิน ครั้งที่ 5 ขึ้นที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ในโอกาสที่ฉลองทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา ข้าพเจ้าเองไปดูเป็นครั้งแรกตกตะลึง คือไม่เคยคิด ไม่เคยคิดว่าเด็กศิลปาชีพของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าเลือกมาเอง เลือกมาจากหมู่บ้านที่ จากครอบครัวที่ยากจนที่สุด คือว่าเห็นเขามีลูกแยะแล้วก็ยากจน ก็อยากที่จะแบ่งเบาภาระ ตอนนั้นก็ยังคิดไม่ได้ถึงเดี๋ยวนี้ ก็คือแค่ว่าให้เขามาทอผ้า ผู้ชายก็หัดมาแกะสลัก หัดมาเขียนรูปอะไรต่างๆ แล้วก็ให้เงินประจำวันเขา ให้เงินเขาตลอดไป ปรากฏว่าเขาพออกพอใจ แล้วเขามุมานะที่จะทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง จนเดี๋ยวนี้ถ้าเผื่อท่านมีโอกาสอยากจะเชิญให้ไปดูที่พระที่นั่งอนันตสมาคม นั่นเป็นฝีมือของเด็ก เด็กของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าเลือกมาเอง ไม่ได้เลือกจากคนที่มีฝีมือเก่ง เลือกจากที่เขาจนแล้วมีลูกมาก เราก็เอามาอยู่กับเราแล้วก็สอนเขาให้ทำอะไรต่างๆ ให้ แล้วก็ เขาอยู่ทำงานกับเราสัก 3 อาทิตย์ก็ผลัดเวรกันกลับบ้านไปเยี่ยมบ้าน เขาก็จะได้เงินทุกวันที่ทางมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพให้เขา เขาก็จะเก็บเงินแล้วก็เอา ถึงเวลากลับบ้านก็เอาเงินไปช่วยเหลือครอบครัวเขา เป็นเด็กหนุ่มๆ สาวๆ ทั้งนั้น
พอข้าพเจ้าได้ไปเห็นฝีมือเขาตกใจเลย ทำไมถึงสวยอย่างนี้ ฝีมือปัก โดยมากเป็นผู้หญิงฝีมือปัก ฝีมือแกะสลักเป็นพวกฝ่ายชาย สวยเหลือเกิน เห็นแล้วขนลุกหมดเลย ว่านี่หรือเป็นเด็กยากจนที่เราเลือกเอามา จบแค่อย่างสูงก็ ป.4 สวยเหลือเกิน ทีนี้ตอนที่โคฟี อันนัน ยังเป็น ยังอยู่ในตำแหน่ง ก็ขอไปดู พอไปดูแกบอก นี่ฝีมือของ ฝีมือยอดเยี่ยมของชาวโลก ระดับโลก บอกว่าสวยเหลือเกิน ถ้าท่านว่างก็ขอให้ท่านไปดูเถอะ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่าคนไทยของเราซึ่งจบ ป.4 บางคนจบไม่ถึง ป.4 จะออกมาเป็นศิลปินระดับโลกได้ เพราะชาวโลกมาดูแล้วอ้าปากค้าง ระดับโลกเลย ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดไว้ว่า ถ้าโอกาสมีมาถึงที่เขาจะเชิญข้าพเจ้าไปที่อเมริกา แต่เขาทาบทามมากว่าปีแล้วว่าเชิญไปที่อเมริกา ข้าพเจ้าจะเอาผลงานนี้ไปแสดงให้คนไทยที่อเมริกาดู ไม่ได้คิดไปให้ชาวอเมริกันดู ประเดี๋ยวเขาจะว่า แหมเขากำลังเงินทองฝืดจะเอามาขายหรืออะไร จะไปโชว์ฝีมือคนไทยเฉยๆ อย่างนั้น แต่ตอนนี้เขายังไม่ได้ย้ำเชิญมา เพราะว่าเขาเชิญข้าพเจ้าให้ไปรับรางวัลพิเศษอะไรในฐานะที่ว่าเป็นพระราชินีแล้วเที่ยวไปดูรอบพระราชอาณาจักร เขาก็ พวกคณะชาวต่างประเทศเขาก็จะให้รางวัล เขาบอกว่าเมื่อไหร่จะไปได้เขาจะมอบรางวัลให้ ก็ยังบังเอิญไปไม่ได้
ขอให้ทุกท่านไปดูนะคะจะได้ ดูแล้วมันแบบชื่นใจว่า โอ้โห คนไทยนี้ฝีมือหนึ่งในโลก หนึ่งในโลกจริงๆ คือเด็กที่ข้าพเจ้าเอามาตอนอายุ 12 - 13 เดี๋ยวนี้ 20 โอ้โห แกะสลักไม้ก็เหลือเกิน แล้วก็ทำถมทองทำอะไรจริงๆ เลย ตกใจ ไปเห็นแล้วตกใจ ฝรั่งถามบอก นี่จบจากโรงเรียนศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปะของไทยหรอ บอกเปล่านี่เป็นลูกชาวบ้านแท้ๆ เลย จบป.4 แล้วออกมาเป็นอย่างนี้ เพราะความที่เขาซาบซึ้ง เพราะเราจะพูดถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ที่ประเทศไทยบรรพบุรุษของเราสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินมาด้วยเลือดเนื้อ ด้วยชีวิต แต่เสียดายตอนนี้ท่านนายกฯ เขาไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์แล้วนะ ฉันก็ไม่เข้าใจ เพราะตอนที่ฉันอยู่ เรียนอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ก็แสนไม่มีประวัติศาสตร์อะไรเท่าไร แต่เราก็ต้องเรียนประวัติศาสตร์ของสวิส แต่เมืองไทยนี่ โอ้โห บรรพบุรุษเลือดทาแผ่นดิน กว่าจะมาถึงที่ให้พวกเราอยู่ นั่งอยู่กันสบาย มีประเทศชาติเนี่ย เรากลับไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์ ไม่รู้ว่าใครมาจากไหน เอ๊ะ เป็นความคิดที่แปลกประหลาด (ทรงพระสรวล)
อย่างที่อเมริกา ถามไปเขาก็สอนประวัติศาสตร์ สอนประวัติศาสตร์บ้านเมืองเขา ที่ไหนประเทศไหนเขาก็สอนกัน แต่ประเทศไทยไม่มี ไม่ทราบว่าแผ่นดินนี้มันรอดมาอยู่จนบัดนี้เพราะใคร หรือว่ายังไงกัน โอ้โห อันนี้น่าตกใจ แต่ชาวต่างประเทศยังไม่ค่อยทราบว่า นักเรียนไทยนี่ไม่มีการสอนประวัติศาสตร์ชาติเลย
ตอนนี้ก็รู้สึกว่า สิ่งที่อยากพูด อยากคุยอวดก็หมดแค่นั้นเองแล้วค่ะ (ทรงพระสรวล) พิมพ์ไว้ปึกโตเชียว ตอนนี้หมดแล้วค่ะ ก็ชื่นใจ ขอบพระคุณทุกท่านมากที่อุตส่าห์อดทนนั่ง แล้วก็ฟังข้าพเจ้าคุยเป็นคุ้งเป็นแคว แล้วคุยไปพลาง แล้วยังขอนายกฯ ขอทำนั่นทำนี่อีก ก็ขอบพระคุณมากค่ะ"
จากนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ กลับ