1. ผู้เกี่ยวข้อง ประกอบพิธีรับมอบ“ไม้จันทน์หอม”เพื่อใช้ในการสร้างพระโกศ“สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ”แล้ว!
เมื่อวันที่ 15 ก.พ.นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร ได้นำทีมแถลงความคืบหน้าการดำเนินการงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ว่า เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนแปลงประธานคณะกรรมการอำนวยการงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ จาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาเป็นนายสมัคร สุนทรเวช ตนจึงได้มอบหมายให้ทุกหน่วยที่รับผิดชอบแต่ละงาน รวบรวมข้อมูลการทำงานทั้งหมดเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการอีกครั้ง และว่า ขณะนี้ถือว่างานในภาพรวมมีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว สำหรับความคืบหน้าเรื่องไม้จันทน์หอมที่จะใช้ในการสร้างพระโกศในการพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ นั้น เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ได้มีการประกอบพระราชพิธีเคลื่อนย้ายไม้จันทน์หอมแปรรูปจำนวน 130 แผ่น จากที่ว่าการ อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ มายังสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร อ.ศาลายา จ.นครปฐมแล้ว โดยมีนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมเป็นประธานในพิธีรับมอบ ทั้งนี้ ไม้จันทน์หอมดังกล่าวจะเก็บไว้ที่สำนักช่างสิบหมู่ จนกว่าการสร้างโรงสร้างพระโกศจันทร์ที่สนามหลวงจะแล้วเสร็จ จึงจะนำไม้จันทน์หอมดังกล่าวไปไว้ที่โรงสร้างพระโกศจันทน์ เพื่อแปรรูป ฉลุลวดลาย และจัดสร้างพระโกศต่อไป ด้านนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผย กระทรวงฯ เตรียมเพาะกล้าไม้จันทน์หอม ซึ่งเป็นไม้มงคลจำนวน 5 แสนต้น เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนที่สนใจนำไปปลูกเพื่อเป็นสิริมงคลภายในเดือน มี.ค.นี้
ไม้จันทน์พระโกศถึงสำนักช่างสิบหมู่แล้ว ก.ทรัพย์แจกต้นกล้า 5 แสนต้น
2. “รบ.”เตรียมแถลงนโยบายต่อสภา 18 ก.พ.นี้ ไฟเขียว อภิปราย 3 วัน!
เมื่อวันที่ 14 ก.พ. คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิป รบ.) และวิปฝ่ายค้าน รวมทั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้ประชุมหารือเพื่อกำหนดกรอบเวลาที่เหมาะสมว่าควรจะมีการอภิปรายการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 ก.พ.นี้ จำนวนกี่วัน ซึ่งในที่สุด ที่ประชุมมีมติว่า จะใช้เวลาในการอภิปราย 3 วัน รวม 36 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็นการอภิปรายของ ส.ส.ฝ่ายค้าน 13 ชม. ,สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 10 ชม. และคณะรัฐมนตรีชี้แจง 4 ชม. ทั้งนี้ ไม่รวมการอภิปรายของนายกฯ ,หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งจะไม่จำกัดเวลาการอภิปราย ทั้งนี้ มีรายงานว่า นโยบายรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 18 ก.พ.นี้ มีความยาว 26 หน้า ประกอบด้วยนโยบาย 8 ด้าน คือ 1.นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก 2.นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต 3.นโยบายเศรษฐกิจ 4.นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5.นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม 6.นโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจต่างประเทศ 7.นโยบายความมั่นคงของรัฐ และ 8.นโยบายการบริหารจัดการที่ดี ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า รัฐบาลอาจแนบท้ายเรื่องการแก้ไข รธน.ฉบับปี 2550 ไว้ในนโยบายรัฐบาลด้วยนั้น จากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าวพบว่า ไม่มีการบรรจุเรื่องการแก้ รธน.ไว้ในนโยบายรัฐบาลแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะเกรงจะเกิดแรงกระเพื่อมทางการเมือง ด้านนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และรักษาการโฆษกประจำสำนักนายกฯ(โฆษกรัฐบาล) แถลงหลังการประชุม ครม.(เมื่อ 12 ก.พ.) โดยยอมรับว่า นโยบายของรัฐบาลนี้ ส่วนมากจะต่อยอดจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาลทักษิณ โดยจะปรับปรุงให้สมบูรณ์มากขึ้น และว่า หลังการแถลงนโยบายรัฐบาลเสร็จสิ้น ครม.จะแถลงนโยบายต่อผู้บริหารส่วนราชการระดับสูงตั้งแต่ระดับปลัดกระทรวงในวันที่ 25 ก.พ.(เวลา 9.30-12.00น.) โดยนายกฯ จะเป็นผู้ชี้แจงนโยบายด้วยตนเอง หลังจากนั้นวันที่ 26 ก.พ. ครม.จะพิจารณาเห็นชอบแผนนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน จากนั้นวันที่ 4 มี.ค. ครม.จะพิจารณาเห็นชอบนโยบายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552
วิปตกลงเปิดอภิปรายนโยบายรัฐบาล 3 วัน
วิปถกกรอบซักฟอกนโยบายรัฐบาลพรุ่งนี้เสนอใช้เวลา 3 วัน
3. “ลูกเฉลิม-ลูกวัฒนา” ผงาด นั่งเก้าอี้ “เลขาฯ รมต.” ขณะที่ “สมัคร”ไม่ปลื้ม โฉมหน้า“ที่ปรึกษา รมต.”ของพรรค!
หลังเกิดความไม่แน่ใจในข้อกฎหมายว่า รธน.มาตรา 265(1) ห้าม ส.ส.ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาหรือเลขานุการรัฐมนตรีหรือไม่ จนรัฐบาลต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความนั้น ปรากฏว่า รัฐบาลเกิดอาการรอไม่ไหว ตัดสินใจเซฟตัวเองด้วยการตั้ง ส.ส.สอบตกของพรรคและผู้ที่ไม่ได้ลงสมัคร ส.ส.ให้มาเป็นที่ปรึกษาและเลขาฯ รัฐมนตรีแทน โดยในส่วนของพรรคพลังประชาชนนั้นมีที่ปรึกษา-เลขาฯ รัฐมนตรีจำนวนประมาณ 50 คน ขณะที่รัฐมนตรีของพรรคมีจำนวน 20 คน สำหรับผู้ที่ถูกวางให้เป็นเลขาฯ รัฐมนตรีในส่วนของพรรคพลังประชาชน ที่สร้างความประหลาดใจให้สังคมอย่างมาก ก็คือ นายวัน(วันเฉลิม) อยู่บำรุง บุตรชาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย ซึ่งถูกวางให้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข(นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล) ทั้งที่ภาพลักษณ์ของนายวันถูกสังคมมองว่าติดคดีและสร้างวีรกรรมไว้เยอะ เช่น คดีฆ่าดาบยิ้ม(ที่ศาลพิพากษาให้จำคุกนายวัน อยู่บำรุง เป็นเวลา 1 เดือน และปรับ 1,000 บาท ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี) เป็นต้น ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ได้ออกมายืนยัน(เมื่อ 11 ก.พ.)ว่า ไม่รู้เรื่องที่ลูกชายจะได้เป็นเลขาฯ รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข เพราะการจัดตำแหน่งที่ปรึกษาและเลขาฯ รัฐมนตรี ทำโดยพรรค ขณะที่นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีสาธารณสุข ออกปากชมบุตรชาย ร.ต.อ.เฉลิม โดยเปรียบนายวันเป็น“องคุลีมาน”ที่ผ่านมา ด้วยความเป็นเด็กอาจทำให้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เชื่อว่าทุกคนจะให้อภัย พร้อมการันตี นายวันเป็นเด็กที่อ่อนน้อมถ่อมตนและมีสัมมาคารวะ นายไชยา ยังบอกด้วยว่า อาจจะให้นายวันเป็นพรีเซ็นเตอร์รณรงค์เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เพื่อไม่ให้เสียแรงที่นายวันจะมาทำงานในกระทรวงสาธารณสุข ด้านนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข ซึ่งแม้ตอนแรกจะบอกว่า ไม่ทราบเรื่องที่นายวัน จะมาเป็นเลขาฯ ของตน แต่ตอนหลังนายชวรัตน์ก็ออกอาการปกป้องนายวัน โดยบอก สังคมควรให้โอกาสนายวัน ไม่ควรปิดกั้น และว่า ในอดีต ตนก็ยังไม่เห็นว่านายวันจะเลวอะไร และไม่ได้ติดคุกติดตะรางแต่อย่างใด สำหรับผู้ที่ถูกวางตัวเป็นเลขาฯ รัฐมนตรีในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ที่สร้างความฮือฮาและกังขาที่สุด ก็คือพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีการวางตัวนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม บุตรชายนายวัฒนา อัศวเหม ประธานพรรคเพื่อแผ่นดินและอดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ให้เป็นเลขาฯ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย(นายสิทธิชัย โควสุรัตน์) ทั้งที่นายชนม์สวัสดิ์ติดคดีทำร้ายร่างกายตำรวจ สน.มักกะสันที่ขอตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์นายชนม์สวัสดิ์ ซึ่งนายสิทธิชัย ได้ออกมาการันตีว่า การที่นายชนม์สวัสดิ์มีคดีติดตัว แล้วมาดำรงตำแหน่งเลขาฯ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะคดีก็อยู่ที่ตำรวจและอัยการ แต่นายชนม์สวัสดิ์ทำงานที่กระทรวงมหาดไทย คงไม่ไปก้าวก่ายกัน ด้านนายวัฒนา อัศวเหม ก็ออกมาปกป้องลูกชายเช่นกัน โดยบอก เรื่องคดีที่นายชนม์สวัสดิ์ถูกดำเนินคดี เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ควรทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ได้เตรียมพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการการเมืองตำแหน่งที่ปรึกษาและเลขาฯ รัฐมนตรีของพรรคร่วมรัฐบาล แต่ปรากฏว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เห็นรายชื่อที่ปรึกษาและเลขาฯ รัฐมนตรีในส่วนของพรรคพลังประชาชนแล้วไม่พอใจ โดยเฉพาะตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีบางกระทรวงที่นายสมัครไม่รู้จักมาก่อน และข้องใจว่า ใครนำมาเป็นที่ปรึกษาได้อย่างไรทั้งที่ความรู้ดูน้อยกว่ารัฐมนตรี นายสมัครจึงได้สั่งทบทวนรายชื่อที่ปรึกษาและเลขาฯ รัฐมนตรีในส่วนของพรรคพลังประชาชนใหม่ เพื่อขอคุยกับรัฐมนตรีก่อน ทั้งนี้ มีรายงานว่า ที่ปรึกษารัฐมนตรีที่คาดว่าอาจจะถูกเปลี่ยนแปลง ได้แก่ นายแสวง ฤกษ์จรัล อดีต ส.ส.กทม.ที่มีชื่อเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีมหาดไทย(ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง) และ น.ส.ลีลาวดี วัชโรบล อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.ที่มีชื่อเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีศึกษาธิการ(นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์)
“หมัก 1” เดินเครื่องร่นแถลงนโยบาย-สนุกแน่ดัน “ลูกเหลิม” คับ สธ.
ทำไปได้! พลังแม้วตั้ง “ลูกวัน” ช่วยงานสาธารณสุข
"พังพอนปากน้ำ"ออกโรง ต้าน"ชนม์สวัสดิ์"นั่งเลขาฯ
4. “อนุฯ กกต.”ลงมติแจกใบแดง“ยงยุทธ”ทุจริตเชียงรายแล้ว ขณะที่เจ้าตัว รีบโวย ถูกจัดฉาก!
เมื่อวันที่ 14 ก.พ. มีรายงานว่า คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีทุจริตที่เชียงราย ซึ่งมีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธาน ได้สรุปสำนวนการสอบสวนกรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน ถูกร้องว่าซื้อเสียงผ่านกำนันเชียงราย 10 คน ส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)พิจารณาแล้ว โดยรายงานแจ้งว่า คณะอนุกรรมการฯ มีมติเอกฉันท์ว่า นายยงยุทธกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งจริง โดยมีคำให้การของกำนันทั้ง 10 คนที่ยืนยันว่า ได้รับเงินสดจากนายยงยุทธคนละ 20,000 บาทจริง ด้านนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ ประธานอนุกรรมการฯ ดังกล่าว แม้ไม่ได้บอกผู้สื่อข่าวว่า มีการสรุปว่านายยงยุทธกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและเสนอให้ใบแดงนายยงยุทธจริงหรือไม่ แต่สุ้มเสียงของนายสุวิทย์ก็สะท้อนออกมาในแนวนั้น โดยนายสุวิทย์ บอกเพียงว่า คณะกรรมการฯ ได้เสนอสำนวนการสอบสวนให้ กกต.แล้ว โดยมีการสอบพยานเพิ่มเติมจากสำนวนชุดเดิมของ กกต. รวมทั้งได้ลงพื้นที่ จ.เชียงรายเพื่อสอบพยานบุคคลเพิ่มเติมด้วย โดยพยานแยกได้เป็น 3 กลุ่ม 1.พยานที่ให้การยืนยันตามเดิม 2.พยานที่ให้การเพิ่มเติม 3.พยานที่ไม่ยอมให้ปากคำเพิ่มเติม โดยกำนันส่วนใหญ่ได้ให้การเหมือนกับที่เคยให้การกับอนุกรรมการสอบสวนชุดแรก(ที่สรุปว่านายยงยุทธซื้อเสียงผ่านกำนันเชียงราย 10 คนจริง) ส่วนนายยงยุทธ คณะกรรมการฯ ไม่ได้สอบเพิ่ม เพราะนายยงยุทธยืนกรานตามคำให้การเดิม นายสุวิทย์ ยังยืนยันด้วยว่า ได้สอบสวนกรณีทุจริตเชียงรายโดยไม่ได้คำนึงว่าผลข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะทำไปตามข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และถ้อยคำของกฎหมาย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใคร จากนี้เป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะตัดสินและลงมติว่าจะเป็นไปตามที่อนุกรรมการฯ เสนอหรือไม่ ด้านนายยงยุทธ ซึ่งเพิ่งทราบจากผู้สื่อข่าว(เมื่อ 14 ก.พ.)ว่าคณะอนุกรรมการฯ สรุปผลสอบเสนอ กกต.แล้วว่า นายยงยุทธกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งกรณีทุจริตที่เชียงราย ก็ออกอาการตกใจ พร้อมสงสัยว่า สำนวนรั่วหรือ ผู้สื่อข่าวจึงได้ทราบก่อนตน ทั้งนี้ แม้วันดังกล่าวนายยงยุทธจะยังไม่แสดงท่าทีต่อผลสอบของอนุกรรมการฯ แต่วันต่อมา(15 ก.พ.)นายยงยุทธก็ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ผลสอบดังกล่าว โดยอ้างว่า มีกลุ่มบุคคลวางแผนจัดฉากเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นเพื่อกล่าวหาตนและล้มล้างพรรคพลังประชาชน ทั้งที่ตนได้มอบเอกสารหลักฐานต่างๆ ให้ กกต.แล้ว และชี้แจงชัดเจนแล้ว นอกจากนี้แถลงการณ์ของนายยงยุทธยังเรียกร้องให้ กกต.พิสูจน์ 2 ประเด็น 1.พิสูจน์ความเป็นกลางทางการเมืองของ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รอง ผบช.ส. ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนสอบชุดแรกที่สรุปว่านายยงยุทธทำผิดกฎหมายเลือกตั้งซื้อเสียงผ่านกำนัน และ 2.พิสูจน์วีซีดีที่อ้างว่าเป็นหลักฐานบันทึกภาพกำนันเชียงราย 10 คนเดินทางมาพบนายยงยุทธที่กรุงเทพฯ ว่ามีการตัดต่อหรือไม่ หาก กกต.ไม่พิสูจน์ นายยงยุทธอาจจะต้องเข้าพบ กกต.อีกครั้ง พร้อมยืนยันว่า การออกแถลงการณ์ครั้งนี้ ไม่ได้ทำในฐานะประธานสภา และไม่ได้ต้องการกดดัน กกต.แต่อย่างใด ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า แถลงการณ์ของนายยงยุทธ พยายามดิสเครดิตข่าวที่สื่อเสนอว่า อนุกรรมการฯ สรุปผลสอบว่านายยงยุทธทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และเสนอ กกต.เพื่อให้ใบแดงนายยงยุทธ โดยแถลงการณ์ดังกล่าวอ้างว่า การนำเสนอข่าวดังกล่าวโดยไม่มีบุคคลอ้างอิงหรืออ้างแหล่งข่าวจาก กกต. เป็นการสร้างความเสียหายแก่นายยงยุทธ และพรรคพลังประชาชน รวมทั้งทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ด้านนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.บอก(เมื่อ 15 ก.พ.)ว่า จะบรรจุสำนวนสอบของอนุกรรมการฯ กรณีนายยงยุทธ เป็นวาระเร่งด่วน และคาดว่าสัปดาห์หน้าคงได้ข้อยุติ พร้อมยืนยัน ไม่จำเป็นต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือเชิญนายยงยุทธมาให้ข้อมูลอีก และว่า การที่นายยงยุทธอ้างว่าเรื่องทุจริตที่เชียงรายเป็นการจัดฉากและมีการตัดต่อวีซีดี อาจเป็นเพียงการประวิงเวลา นายอภิชาต ยังชี้ด้วยว่า การมีข่าวเรื่องผลสอบของอนุกรรมการฯ ออกมาทางสื่อ ไม่ใช่สำนวนรั่ว เพราะนายสุวิทย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการฯ มีสิทธิที่จะพูดอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ความเห็นของประธาน กกต.สวนทางกับนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ที่เตรียมเสนอให้ กกต.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบ เพื่อหาคนรับผิดชอบกรณีปล่อยข่าวว่าคณะอนุกรรมการฯ มีมติให้ใบแดงนายยงยุทธ โดยนางสดศรี ชี้ว่า การให้ข่าวแบบนี้ ถือเป็นการเอาความลับของทางราชการมาเปิดเผย ซึ่งมีความผิดทางวินัยและโทษทางอาญา เพราะคณะอนุกรรมการที่ กกต.ตั้งขึ้น ทำหน้าที่เหมือนพนักงานของ กกต. ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง บอก คาดว่า กกต.จะสามารถพิจารณาสำนวนสรุปกรณีทุจริตเชียงรายที่อนุกรรมการฯ ส่งมาในวันที่ 19 ก.พ.นี้ และคิดว่า กกต.จะพิจารณาเรื่องนี้ได้แล้วเสร็จในเร็ววันนี้
“ยุทธ” ทำพิลึก แถลงโต้ปูดใบแดง แต่อ้าง ปธ.ค้ำคอ
กกต.ลั่นหากศาลฎีการับฟ้อง “ทั่นยุทธ” ตกเก้าอี้ทันที
ถกใบแดงยุทธตู้เย็น 19 ก.พ. หมักขู่ยุบพรรคกลับสู่กลียุค
5. “รบ.สมัคร”ย่ำรอย “รบ.ทักษิณ”ปิดปากสื่อฝ่ายตรงข้าม ประเดิมรายการ “เจิมศักดิ์”!
หลังจากนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ได้ประกาศจะจัดระบบระเบียบสื่อ โดยเฉพาะสื่อของรัฐ ซึ่งนายจักรภพ อ้างว่า ยังไม่มีความเป็นกลาง วิจารณ์ด้านเดียว แถมนายจักรภพ ยังประกาศว่า ไม่กลัวว่าจะทำอะไรที่เป็นการล้วงลูกสื่อ เพราะถ้าต้องการถนอมตัว ก็คงไม่เข้ามาตรงนี้ ปรากฏว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดพฤติกรรมแทรกแซง-ปิดปากสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแล้ว โดยผู้ที่ตกเป็นเหยื่อรายแรก ก็คือ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง พิธีกรรายการ“รู้ทันประเทศไทย”ทางเอเอสทีวี และผู้ดำเนินรายการวิทยุรายการ“มุมมองของเจิมศักดิ์”ออกอากาศทางวิสดอม เรดิโอ FM 105 ซึ่งเป็นวิทยุในเครือกรมประชาสัมพันธ์ โดยออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.00-9.00น. ปรากฏว่า หลังจากนายเจิมศักดิ์จัดรายการวิทยุดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 ก.พ. โดยได้จับโกหกนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ที่ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ว่า มีคนตายในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ แค่คนเดียว ว่าเป็นคำพูดที่โกหก เพราะขัดแย้งกับประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้โดยสิ้นเชิง ซึ่งนายเจิมศักดิ์ ได้ยกตัวอย่างหนังสือเล่มหนึ่ง(“โหงว นั้ง ปัง : Gang of Five สันดานรัฐบาลหอย : เราสามารถจะเรียนรู้จากความผิดพลาดได้มากกว่าจากความสำเร็จ”) ที่เขียนโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ระบุว่า นายสมัคร ซึ่งได้เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยหลังเหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาและประชาชนช่วง 6 ตุลาฯ เคยเดินทางไปชี้แจงนักศึกษาไทยในฝรั่งเศสเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ โดยนายสมัครพูดชัดว่า มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว 48 คน ถูกเผา 4 คน แต่นายสมัครกลับให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นโดยอ้างว่ามีคนตายในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ แค่คนเดียว ซึ่งปรากฏว่า หลังนายเจิมศักดิ์จัดรายการวิทยุวันดังกล่าว รายการก็ถูกปลดออกจากผัง โดยนายเจิมศักดิ์ เผยว่า หลังจัดรายการ ได้รับโทรศัพท์จากผู้บริหารบริษัทฟาติมา(บรอดคาสติ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล) ผู้ได้รับสัมปทานคลื่นดังกล่าวจากกรมประชาสัมพันธ์ ที่เล่าให้ฟังว่า มีคำสั่งจากนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ ให้จัดรายการในแนวสมานฉันท์ พร้อมถามนายเจิมศักดิ์ว่า จะทำอย่างไรเพื่อลดความเสียหายได้บ้าง นายเจิมศักดิ์จึงได้ตัดสินใจยุติการจัดรายการ เพื่อไม่ให้บริษัทฟาติมาฯ ได้รับผลกระทบจากคำสั่งรัฐมนตรี ทั้งนี้ นายเจิมศักดิ์ เชื่อว่า เหตุผลที่รายการตนถูกเล่นงานครั้งนี้ คงมาจากเนื้อหารายการที่ตนหยิบยกกรณีนายสมัครให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นว่ามีคนตายในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ แค่คนเดียว ว่าเป็นเรื่องที่โกหก นายเจิมศักดิ์ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า กระบวนการปิดหูปิดตาประชาชนกำลังจะเกิดขึ้นซ้ำรอยสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ รีบโวยแทนนายจักรภพ โดยบอก การอ้างว่ารายการดังกล่าวถูกปลด เพราะเป็นคำสั่งจากรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม พร้อมท้าให้ผู้กล่าวหา ไปหาหลักฐานมาว่า รัฐมนตรีคนไหนไปสั่งปลด
"คุณเอาหลักฐานมาซิว่า รัฐบาลคนไหน หน้าตาอย่างนี้หรือเปล่า อย่างข้างหลังนี่หรือเปล่า(หันไปที่นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ) ผมถามดูกำลังนี้ เราไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับอย่างนี้เลย แล้วก็มีข่าวพลั้วะออกมา ก็เลยบอกนี่ บริษัท(ฟาติมาฯ)แถลงหน่อยซิ อธิบดี(กรมประชาสัมพันธ์)แถลงหน่อย ท่านอธิบดียังไม่แถลง ท่านอธิบดีต้องแถลงว่าไปสั่งเขาหรือเปล่า มีโทรศัพท์บ้างหรือเปล่า ไอ้เบอร์(โทรศัพท์)อะไรที่ว่ามา อธิบดีต้องตอบคำถามนี้เพื่อจะให้คนของเราได้รู้ว่าเราไม่ได้ไปยุ่ง คือทำอย่างนี้ ผมว่าไม่ยุติธรรมหรอก จัดการ เลิกรายการ เสร็จแล้วมาบอกถูกถอดออก ปัดโธ่! ยุคนี้มันยุคข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดน ...รู้เบอร์โทรศัพท์ ไปเอาเบอร์มาซิว่าเป็นไง พิสูจน์มาซิ ผมบอกให้ไปสอบองค์การโทรศัพท์มาด้วย"
เมื่อนายสมัครออกอาการไม่พอใจว่า อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์มัวทำอะไรอยู่ ไม่ยอมชี้แจงว่าไม่มีใครสั่งปลดรายการนายเจิมศักดิ์ ร้อนถึงนายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ต้องรีบจับมือผู้บริหารบริษัทฟาติมา ออกมาแถลงข่าวยืนยัน(เมื่อ 15 ก.พ.)ว่า ไม่มีใครหรือแม้แต่รัฐมนตรีจักรภพ สั่งปลดรายการนายเจิมศักดิ์แต่อย่างใด และว่า นายเจิมศักดิ์ได้แสดงน้ำใจด้วยการขอยุติบทบาทเอง เพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทางผู้บริหารต้องการให้เกิดความสมานฉันท์ในบ้านเมือง พร้อมยืนยันว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาระของรายการที่มีการนำเสนอข้อมูลตัวเลขผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ที่ขัดแย้งกับตัวเลขที่นายกฯ พูดแต่อย่างใด ด้าน 6 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน(เช่น สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ,สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ,สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ฯลฯ) ได้ออกแถลงการณ์วันเดียวกัน( 15 ก.พ.) โดยเรียกร้องรัฐบาล 4 ข้อ 1.ต้องไม่แทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน 2.หากนายจักรภพต้องการจัดระบบสื่อให้มีความสมดุลจริงๆ ควรเปิดให้ฝ่ายอื่นๆ ในสังคมได้มีโอกาสใช้สื่อของรัฐอย่างเท่าเทียมกับรัฐบาลด้วย 3.การจัดระบบสื่อของรัฐนั้น รัฐบาลต้องไม่เข้ามาแทรกแซงการทำงานหน้าที่ของสื่อมวลชน เพราะถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และ 4.รัฐบาลสมควรสนับสนุนการทำหน้าที่ของสถานีโทรทัศน์สาธารณะไทยพีบีเอสอย่างเต็มที่ และไม่มีเหตุผลใดใดที่รัฐบาลจะเข้าแทรกแซงการทำงานของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม.
คำต่อคำ : “เจิมศักดิ์” เปิดใจ ยัน “เพ็ญ” บีบถอดรายการคลื่น 105
“เจิมศักดิ์” อัด “เพ็ญ” สื่อแปรพักตร์ บ้าอำนาจซ้ำรอยแม้ว
“หมัก” สั่งรื้อช่อง 11 ท้า “เจิมศักดิ์” หาหลักฐาน รมต.สั่งถอดรายการ