xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 20-26 ม.ค.2551

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ  หรือ คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show

1.“สมเด็จพระบรมฯ”ทรงเปิดประชุมรัฐสภา พร้อมแนะ ส.ส.-ทำอะไร ต้องมีเหตุผล คำนึงถึงชาติ-ปชช.เป็นหลัก!


เมื่อวันที่ 21 ม.ค.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในงานรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม โอกาสนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสเปิดประชุมรัฐสภา โดยทรงแนะให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนทำหน้าที่อย่างมีเหตุมีผล ร่วมมือปรองดองกัน โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก

“...นับแต่วาระนี้ไป รัฐสภาจะเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าเชื่อใจว่า บรรดาสมาชิกแห่งสภานี้มีความสำนึกในชาติอยู่ถ้วนทั่วทุกคน และต่างเล็งเห็นว่า สถานการณ์ต่างๆ อันเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติยังคงมีอยู่ตามที่ทราบกันแล้ว ภารกิจของท่านจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่จะต้องรีบเร่งพิจารณาดำเนินการ เพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพทุกๆ ด้านให้ประเทศชาติเป็นปึกแผ่น มั่นคง และร่มเย็นเป็นปกติสุข ดังนั้นการปรึกษา ตกลง หรือการอภิปรายปัญหาใดๆ ที่จะมีขึ้นในสภาแห่งนี้ จึงควรจะได้กระทำด้วยเหตุ ด้วยผลที่ถูกต้อง และด้วยความร่วมมือปรองดองกัน โดยคำนึงถึงประโยชน์อันพึงประสงค์คือความมั่นคง ปลอดภัย และความวัฒนาผาสุกของประเทศชาติและประชาชนเป้าหมายสูงสุด...”

2.“รบ.สุรยุทธ์”พร้อมส่งมอบงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ”พระพี่นางฯ”ให้ รบ.ใหม่ หลังโปรดเกล้าฯ ครม.แล้ว!

เมื่อวันที่ 23 ม.ค.คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลใหม่จะเข้ามาสานต่องานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ว่า หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แล้ว คณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีพระราชเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่มี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และคณะกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุที่มีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกฯ เป็นประธาน ซึ่งมีตนและนายบัญญัติ จันทน์เสนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นรองประธาน ก็จะหมดหน้าที่โดยตำแหน่ง ซึ่งไม่น่าห่วง เพราะรัฐบาลชุดใหม่จะทำหน้าที่แทนเฉพาะตำแหน่งประธานและรองประธานเท่านั้น ส่วนการจัดสร้างพระเมรุ ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยข้าราชการประจำ คือ กรมศิลปากรและอดีตข้าราชการกรมศิลปากร สำหรับความคืบหน้าการจัดสร้างพระเมรุนั้น นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร แถลง(เมื่อ 25 ม.ค.)ว่า ขณะนี้ได้ฤกษ์บวงสรวงซ่อมราชรถ ราชยาน พระยานมาศ 3 ลำคาน จากพระครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์ในสำนักพระราชวังแล้วในวันที่ 5 ก.พ.นี้ เวลา 12.15น.ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยวันดังกล่าวเป็นอธิบดีตามหลักโหราศาสตร์หลวง ถือเป็นวันมงคล ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุ(เมื่อ 21 ม.ค.) ได้เห็นชอบตามที่กรมศิลปากรเสนอแต่งตั้ง ร.อ.จิทัศ ศรสงคราม พระนัดดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เป็นกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุ เนื่องจาก ร.อ.จิทัศเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถด้านสถาปัตยกรรม และเป็นผู้ที่ออกแบบนิทรรศการ”แสงหนึ่งคือรุ้งงาม”เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ดังนั้นจะให้เข้ามาช่วยในส่วนของการตบแต่งและออกแบบพระเมรุ ส่วนทางด้านที่ประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ (เมื่อ 22 ม.ค.) ได้เห็นชอบให้มีการจัดพิธีทำบุญตักบาตรรถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสครบ 50 วันของการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ในวันที่ 21 ก.พ.นี้ รวมทั้งจัดพิธีทำบุญตักบาตรในโอกาสครบ 100 วัน ในวันที่ 11 เม.ย. โดยทั้ง 2 พิธีดังกล่าวจะจัดพร้อมกันทุกจังหวัด สำหรับ กทม.จัดที่ท้องสนามหลวง หรือลานพระราชวังดุสิต ส่วนต่างจังหวัดจัดพิธีพร้อมกับ กทม.ตามความเหมาะสม

3.“ยุทธตู้เย็น”ได้เป็น ปธ.สภาฯ สมใจ พร้อมสั่งประชุมเลือกนายกฯ 28 ม.ค.!

เมื่อวันที่ 22 ม.ค.(09.30น.) ได้มีการประชุมสภาฯ นัดแรกเพื่อเลือกประธานและรองประธานสภาฯ โดยมี ส.ส.เข้าร่วม 476 คน จากจำนวน ส.ส.ที่ กกต.ประกาศรับรอง 477 คน(ขาดเพียง น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 7 พรรคชาติไทย ที่ลาไปต่างประเทศ) ทั้งนี้ ก่อนเข้าสู่วาระการเลือกประธานสภาฯ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์(เช่น นายอลงกรณ์ พลบุตร) ได้เสนอให้ผู้ถูกเสนอชื่อเป็นประธานสภาฯ แสดงวิสัยทัศน์ แต่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนหลายคน(เช่น นายสุนัย จุลพงศธร) ไม่เห็นด้วยจึงพากันทักท้วง นายชัย ชิดชอบ ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุมสภาฯ ชั่วคราว เพราะอาวุโสสูงสุด จึงได้ให้ที่ประชุมลงมติ ปรากฏว่า เสียงข้างมาก 310 :164 ไม่เห็นด้วยกับการให้แสดงวิสัยทัศน์ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการเสนอชื่อประธานสภาฯ โดย ส.ส.พรรคพลังประชาชนเสนอชื่อนายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 1 ของพรรคฯ ที่มีคดีติดตัวอย่างน้อย 2 คดี คือคดีทุจริตเลือกตั้งที่เชียงราย และคดียุทธตู้เย็น(คดีพยายามฆ่ากรณีร่วมกับตำรวจกองปราบฯ นำกำลังบุกล้อมบ้านตระกูลศตะกูรมะ แล้วยิงถล่มจนคนในบ้านต้องหนีตายด้วยการหลบหลังตู้เย็น) ขณะที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เสนอชื่อนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 8 ของพรรคฯ ซึ่งผลการลงคะแนนลับ ปรากฏว่า นายยงยุทธได้รับเลือกเป็นประธานสภาฯ ด้วยคะแนน 307 เสียง ขณะที่นายบัญญัติ ได้ 167 เสียง มีผู้งดออกเสียง 2 เสียง ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านพรรคเดียว มี ส.ส.ทั้งหมด 164 คน แต่นายบัญญัติได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาด้วยคะแนน 167 เสียง แสดงว่ามี ส.ส.ในพรรคร่วมรัฐบาล 3 เสียงไม่เลือกนายยงยุทธ แต่เลือกนายบัญญัติให้เป็นประธานสภา ซึ่งไม่มีใครสามารถทราบได้ว่า 3 เสียงในพรรคร่วมรัฐบาลที่ปันใจให้ฝ่ายค้านคือ ส.ส.คนใดพรรคใด เพราะเป็นการลงคะแนนลับ ยิ่งกว่านั้น ในการเลือกรองประธานสภาฯ ก็มี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลปันใจให้ฝ่ายค้านมากขึ้นอีก โดยในการเลือกรองประธานสภาฯ คนที่ 1 นั้น ส.ส.พรรคพลังประชาชนเสนอชื่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.เขต 4 ของแก่นของพรรคฯ ขณะที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เสนอชื่อคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช เข้าชิง ผลการลงคะแนนลับปรากฏว่า นายสมศักดิ์ได้รับเลือกเป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ด้วยคะแนน 303 เสียง ขณะที่คุณหญิงกัลยา ได้ 170 เสียง โดยมีผู้งดออกเสียง 1 เสียง ทั้งนี้ คะแนนที่คุณหญิงกัลยาได้รับ สะท้อนว่ามี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเทคะแนนให้ถึง 6 เสียง จากนั้นเป็นการเลือกรองประธานสภาฯ คนที่ 2 ซึ่งมีเพียงพรรคพลังประชาชนพรรคเดียวที่เสนอชื่อ โดยเสนอ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรีของพรรคฯ ซึ่งเป็นอดีตแกนนำ นปก.รุ่น 1 ที่เคยถูกคุมขังในเรือนจำมาแล้วในคดีนำผู้ชุมนุมบุกบ้าน พล.อ.เปรม และก่อจลาจลเมื่อวันที่ 22 ก.ค.50 เมื่อไร้คู่แข่ง พ.อ.อภิวันท์ จึงได้เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 2 โดยปริยาย ทั้งนี้ หลังได้รับเลือกเป็นประธานสภาได้เพียง 1 วัน เย็นวันต่อมา(23 ม.ค.)นายยงยุทธ ก็ได้แต่งตัวเตรียมรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ที่รัฐสภา โดยมี ส.ส.พรรคพลังประชาชนประมาณ 10 คนร่วมให้กำลังใจ แต่สุดท้ายรอเก้อ เพราะได้รับแจ้งจากทำเนียบรัฐบาลว่า ยังไม่มีพระบรมราชโองการฯ ลงมา ทั้งหมดจึงได้แยกย้ายกันกลับ พร้อมนัดมารวมตัวกันใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งวันต่อมา(24 ม.ค.)นายยงยุทธ และ ส.ส.ของพรรคฯ ส่วนหนึ่งก็ได้แต่งตัวมารอรับพระบรมราชโองการฯ ที่รัฐสภาอีกครั้งตั้งแต่เช้า(09.00น.) และรอประมาณ 10 ชม.จึงได้มีพระบรมราชโองการฯ ลงมาในเวลา 18.25น.โดยโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายยงยุท ติยะไพรัช เป็นประธานสภาฯ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 และ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 2 โดยมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ด้านนายยงยุทธ แถลงหลังได้รับพระบรมราชโองการฯ โดยยืนยันว่า “ตนจะไม่มีวันทรยศต่อประเทศชาติ ราชบัลลังก์” และว่า “การทำงานทุกเรื่อง จะมุ่งเน้นความสมานสามัคคี ไม่เห็นแก่พรรคพวก และสร้างบรรยากาศปรองดองกันในสภา” พร้อมกันนี้ นายยงยุทธ ยังได้กำหนดให้มีการประชุมสภาฯ เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 28 ม.ค.เวลา 09.30น.ด้วย ซึ่งค่อนข้างแน่นอนว่า พรรคพลังประชาชนจะเสนอชื่อนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคฯ เป็นนายกฯ ซึ่งนายสมัครมีคดีติดตัวอย่างน้อย 2 คดี คือถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา ฐานหมิ่นประมาทอดีตรองผู้ว่าฯ กทม. และคดีทุจริตรถ-เรือดับเพลิงของ กทม.ที่ถูก คตส.กล่าวโทษ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ลังเล จะส่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฯ ลงชิงตำแหน่งนายกฯ หรือไม่

4.“ศาลฎีกาฯ”ใจดี ให้”พจมาน”รอสามีกลับมาสู้คดีพร้อมกัน อีก 3 เดือนข้างหน้า!

เมื่อวันที่ 23 ม.ค.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดพิจารณาคดีครั้งแรกในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1 และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีทุจริตซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ มูลค่า 772 ล้านบาทจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในฐานะที่จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกันเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานรัฐ หรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและเป็นเจ้าพนักงานและผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ,100 และ 122 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 ,83 ,86 ,91 ,152 และ 157 ซึ่งอัยการขอให้ศาลริบเงิน 772 ล้านบาท พร้อมที่ดินอีก 4 แปลงย่านรัชดาฯ ให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย ด้านคุณหญิงพจมาน ได้เดินทางมาศาลพร้อมกับลูกๆ (นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา) โดยมีพี่ชายบุญธรรม(นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์) ,น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ(น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) และอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยบางส่วนมารอให้กำลังใจ รวมทั้งมีสมาชิกกลุ่ม นปก.และชมรมคนรักทักษิณมาตะโกนเชียร์ให้สู้ๆ ด้วย ทั้งนี้ คุณหญิงพจมานได้ยื่นคำให้การปฏิเสธเป็นลายลักษณ์อักษรต่อศาลฯ พร้อมยื่นคำร้องขอเวลาตรวจและคัดสำเนาเอกสารและติดตามพยานเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก เพื่อจะได้จัดทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรโดยละเอียดในการสู้คดีต่อไป โดยคุณหญิงพจมานได้แจ้งศาลฯ ด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาร่วมต่อสู้คดีกับตนประมาณเดือน พ.ค.นี้ จึงขอให้ศาลฯ กำหนดวัดนัดพิจารณาตรวจพยานหลักฐานออกไปเป็นเวลา 90 วัน ด้านศาลฯ ได้สอบถามอัยการโจทก์ว่าจะคัดค้านหรือไม่ เมื่อนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ไม่แถลงคัดค้าน ศาลฯ จึงเห็นว่ากรณีมีเหตุอันสมควร จึงกำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 29-30 เม.ย.(เวลา 10.00น.) องค์คณะผู้พิพากษาคดีทุจริตซื้อที่รัชดาฯ ทั้ง 9 คนที่มีนายทองหล่อ โฉมงาม เป็นเจ้าของสำนวนคดี ยังบอกคู่ความในคดีนี้ด้วยว่า หากพยานเอกสารหรือพยานวัตถุใดอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก ให้คู่ความที่ประสงค์จะอ้างอิงพยานดังกล่าว ก็ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกพยานหลักฐานนั้นมาจากผู้ที่ครอบครองโดยเร็ว ด้านนายพิชิฎ ชื่นบาน ทนายความคุณหญิงพจมาน ยืนยันว่า การยื่นคำร้องขอเวลาตรวจสอบเอกสารเป็นเวลา 90 วัน ไม่ได้เป็นการประวิงเวลาการพิจารณาคดีแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะมีเอกสารจำนวนมาก ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากได้มีม็อบกลุ่มต่างๆ มาคอยส่งเสียงเชียร์ทุกครั้งที่คุณหญิงพจมานขึ้นศาลฯ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 24 ม.ค.นายเกรียงชัย จึงจตุรพิธ ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็น 1 ในผู้พิพากษาองค์คณะพิจารณาคดีทุจริตซื้อที่รัชดาฯ ได้ออกมาแจ้งเตือนว่า การกระทำในบริเวณศาล ไม่ว่าจะเป็นการให้กำลังใจหรือต่อต้านจำเลย ไม่ว่าโดยวิธีใด ถือเป็นการแสดงที่ไม่เหมาะสม อันอาจเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล และประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล จึงขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันว่า ไม่ควรกระทำการในลักษณะดังกล่าวอีก

5.“กกต.”มีมติเดินหน้าสอบ”ยงยุทธ”ทุจริตเชียงราย ชี้ ถ้าศาลฯ รับฟ้อง ต้องหยุดทำหน้าที่ทันที!

ความคืบหน้ากรณีทุจริตที่เชียงราย ที่นายวิจิตร ยอดสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย พรรคชาติไทย ได้ร้องคัดค้านต่อ กกต.ไม่ให้ประกาศรับรองผลเลือกตั้งนายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน เพราะนายยงยุทธซื้อเสียงผ่านกำนัน แต่ภายหลังนายวิจิตรกลับขอถอนคำร้องคัดค้านดังกล่าว ก่อนหน้าที่พรรคชาติไทยจะแถลงร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนไม่กี่วัน ซึ่ง กกต.ได้ให้คณะอนุกรรมการที่สอบสวนกรณีทุจริตเชียงรายที่มีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธานพิจารณาว่า จะยอมให้นายวิจิตรถอนคำร้องคัดค้านนายยงยุทธได้หรือไม่ ปรากฏว่า คณะอนุกรรมการฯ ได้เสนอความเห็นต่อ กกต.แล้ว และ กกต.ก็ได้ประชุมพิจารณาความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ แล้วเมื่อวันที่ 25 ม.ค. โดยหลังประชุม นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย บอกว่า คณะอนุกรรมการฯ ได้เสนอความเห็นไม่ให้นายวิจิตรถอนคำร้องคัดค้านนายยงยุทธ ซึ่ง กกต.เสียงส่วนใหญ่ก็มีมติไม่ให้ถอนคำร้องเช่นกัน เนื่องจากสำนวนคดีทุจริตเชียงรายเข้าสู่กระบวนการสืบสวนสอบสวนของ กกต.แล้ว 2 แนวทาง คือ คณะอนุกรรมการของ กกต.ที่สอบสวนเรื่องนี้ ส่วนอีกทางมาจากตำรวจสันติบาลที่สืบสวนสอบสวนแล้วเสนอเข้ามาที่ กกต. ซึ่งตามระเบียบสืบสวนสอบสวนนั้น ก่อนที่ กกต.จะนับเป็นเรื่องร้องคัดค้าน หากผู้ร้องไม่ประสงค์จะให้ดำเนินการต่อ ก็สามารถถอนคำร้องคัดค้านได้ แต่หาก กกต.รับเป็นเรื่องร้องคัดค้านแล้ว การจะให้ถอนคำร้องคัดค้านหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของ กกต. ซึ่ง กกต.เห็นว่าเหตุผลของนายวิจิตรที่บอกว่าอยากแสดงสปิริตและต้องการความสบายใจจึงขอถอนคำร้องนั้น ไม่เพียงพอและไม่ได้ทำให้การสอบสวนยุติลง เพราะสำนวนดังกล่าว กกต.ได้ให้สันติบาลไปสอบสวนและมีการแจ้งข้อกล่าวหานายยงยุทธแล้ว การอนุญาตให้ถอนหรือไม่ถอนจึงไม่เกิดประโยชน์ คดีก็ยังต้องสืบสวนสอบสวนต่อไป กกต.เสียงส่วนใหญ่จึงเห็นว่าไม่ให้นายวิจิตรถอนคำร้อง ส่วน กกต.เสียงส่วนน้อย(ซึ่งนายสมชัยไม่ได้เปิดเผยว่าเป็น กกต.คนใด) มองว่าน่าจะเคารพเจตนารมณ์ของนายวิจิตรที่ต้องการถอนคำร้องเพราะอยากแสดงสปิริตและเพื่อความสบายใจ นายสมชัย ยังพูดถึงผลการประชุมของ กกต.ด้วยว่า กกต.กำหนดให้การสอบสวนคดีทุจริตเชียงรายแล้วเสร็จโดยเร็ว แต่จะไม่เข้าไปเร่งรัด เพราะจะกลายเป็นการไปกดดันอนุกรรมการ นายสมชัย ยังบอกด้วยว่า หากสุดท้ายนายยงยุทธไม่ได้ทำผิด คดีก็ต้องยุติ แต่ถ้าผิด ก็ต้องส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาฯ ซึ่งหากศาลฎีกาฯ รับฟ้อง นายยงยุทธก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภาทันที โดยไม่สามารถใช้เอกสิทธิ์การเป็นสมาชิกรัฐสภามาคุ้มครองได้

6.เตรียมไล่ออก “13 ตชด.” หลังอุ้ม 3 แม่ลูกเรียกค่าไถ่ 8 ล้าน!

เมื่อวันที่ 25 ม.ค.พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา 12 คน แบ่งเป็นตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน 8 นาย และพลเรือนอีก 4 คน ฐานร่วมกันจับตัวนางเพียงจิต พึ่งอ้น อายุ 42 ปี เศรษฐินีเจ้าของธุรกิจกางเกงยีนส์ย่านธนบุรีพร้อมลูกชาย 2 คนวัย 5 ขวบและ 15 ปี ไปเรียกค่าไถ่กว่า 8 ล้านบาท โดยผู้ต้องหาดังกล่าว ประกอบด้วย ร.ต.อ.ณัฏฐ์ ชลนิธิวณิชย์ อายุ 28 ปี ,จ.ส.ต.เชาวลิต สุมน อายุ 38 ปี ,ส.ต.ท.อัครเดช คชกฤษ อายุ 25 ปี ,ส.ต.ท.เนรมิตร จัตุมิตร อายุ 27 ปี ,ส.ต.ต.ชาตรี พันการุ่ง อายุ 24 ปี ,ส.ต.ต.รุ่งโรจน์ เกร็จจุ อายุ 22 ปี ,ส.ต.ท.มานพ สุขคงมิตร อายุ 39 ปี และ ส.ต.ต.อาคม สุดใจ อายุ 29 ปี ซึ่งตำรวจทั้ง 8 นายดังกล่าวอ้างว่า เป็นชุดปฏิบัติการข่าวของ ตชด.42 แต่มาช่วยราชการที่ ตชด.41 จ.ชุมพร เพื่อสืบสวนจับกุมยาเสพติด แล้วขออนุมัติขยายผลติดตามมายังกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. แต่ยังไม่มีผลการจับกุมแต่อย่างใด ส่วนผู้ต้องหาที่เป็นพลเรือนอีก 4 คน ประกอบด้วย นายภากร มฤคพันธ์ อายุ 37 ปี ,น.ส.ศิรินทิพย์ โหมดสกุล อายุ 25 ปี ,น.ส.สิริอาภา ทิพยานนท์ อายุ 25 ปี และ น.ส.จุรีพร บุญญเมธานันท์ อายุ 27 ปี ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายกลุ่มนี้ พร้อมของกลางเงินสดกว่า 5.5 ล้านบาท พร้อมทั้งยึดอาวุธปืนหลายขนาดรวม 15 กระบอก และกระสุนชนิดต่างๆ 200 นัด ด้าน พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวถึงพฤติกรรมของคนร้ายในคดีนี้ว่า เมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มคนร้ายได้แสดงตัวเป็นตำรวจ ใช้อาวุธปืนบุกเข้าไปในห้องพักนางเพียงจิต ในอาคารคอมมอนเวลธ์ ย่านบางพลัด แล้วคุมตัวนางเพียงจิตพร้อมบุตรชาย 2 คนไปกักขังไว้ที่อารีย์เรสสิเด้นท์ ซ.อารีสัมพันธ์ 1 ถ.พหลโยธิน จากนั้นกลุ่มคนร้ายได้บังคับทำร้ายและข่มขู่จะฆ่าลูกชายนางเพียงจิต จนนางเพียงจิตยอมพาคนร้ายไปกดเอทีเอ็มและเขียนใบเบิกจากธนาคารหลายครั้งเพื่อโอนเงินให้คนร้ายเป็นเงินกว่า 8.6 ล้านบาท เมื่อคนร้ายได้เงินแล้ว จึงปล่อยตัวนางเพียงจิต ก่อนที่จะปล่อยตัวลูกชายเมื่อวันที่ 22 ม.ค. จากนั้นนางเพียงจิตได้ปรึกษาสามี ก่อนเข้าแจ้งความต่อ สน.บางพลัด พล.ต.ท.อัศวิน เผยด้วยว่า ได้ประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมีการสั่งการไปยังกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนแล้วว่า ต้องไล่ออกตำรวจดังกล่าว เพราะประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และเป็นการกระทำความผิดที่ชั่วในสันดาน และว่า คนร้ายกลุ่มนี้ ไม่ได้มีแค่ ตชด.8 นาย และพลเรือน 4 คนที่จับกุมได้ แต่ยังมี ตดช.อีก 5 นายที่ยังหลบหนีอยู่ ซึ่งได้ขอออกหมายจับแล้ว ประกอบด้วย ส.ต.ต.ธีรศักดิ์ กล่ำตะโก ,จ.ส.ต.อนุชิต พรมอุบล ,ด.ต.ประสาร สอนทวี ,จ.ส.ต.อนุสิทธิ์ เนตรสุวรรณ และ จ.ส.ต.วิโรจน์ ศรีขาว โดยได้ตั้งข้อหาคนร้ายกลุ่มนี้ทั้งหมด 5 ข้อหา 1.ปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืน 2.ร่วมกันบุกรุกเคหสถานโดยใช้กำลังประทุษร้าย มีอาวุธตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป 3.ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดโดยใช้อาวุธทำให้กลัวว่าจะได้รับอันตรายต่อร่างกาย 4.หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น และ 5.ซ่องโจรเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ เอาเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีไปขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น