คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
1. “ในหลวง”สถาปนาพระเกียรติยศ”พระพี่นางฯ” มอบ”เศวตฉัตร 7 ชั้น”กางกั้นพระโกศ!
หลังสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 2 ม.ค. และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนได้เข้าถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ณ ศาลาสหทัยสมาคมเมื่อวันที่ 2-3 ม.ค. ตลอดจนทรงเปิดศาลาสหทัยสมาคมให้ประชาชนได้เข้าถวายสักการะหน้าพระฉายาลักษณ์ ตั้งแต่วันที่ 3-9 ม.ค. ส่วนวันที่ 10 ม.ค.เป็นต้นไป ประชาชนสามารถเข้าถวายสักการะพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 9 ม.ค.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนาพระเกียรติยศสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระโสทรเชษฐภคนีที่ทรงเคารพนับถือ และทรงพระคุณแก่บ้านเมืองเป็นที่ประจักษ์แก่ตาแก่ใจมหาชนทั่วไป เมื่อเสด็จสิ้นพระชนม์ เป็นเหตุให้พระองค์และประชาชนทุกชนชั้นอาลัยระลึกถึงพระคุณเป็นอันมาก จึงทรงมีพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงพระเกียรติคุณเป็นที่เชิดชูแห่งพระราชวงศ์ ควรได้รับพระเกียรติใหญ่ยิ่ง โดยอนุโลมตามโบราณราชประเพณี จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานจัดเศวตฉัตร 7 ชั้น กางกั้นพระโกศ พระราชทานเป็นเครื่องเฉลิมพระเกียรติยศให้ปรากฏสืบไป ต่อมาวันที่ 10 ม.ค.(เวลา 10.30น.)พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จฯ ยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน 7 วัน ถวายสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทั้งนี้ สำนักพระราชวัง ได้แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ว่า หลังจากพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน 7 วัน จนถึงการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน 100 วันในวันศุกร์ที่ 11 เม.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้พระราชวงศ์ พระราชสกุลทุกมหาสาขาและหน่วยงานของรัฐร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญพระราชกุศลและบำเพ็ญกุศลถวายพระศพประจำสัปดาห์ได้ในทุกวันพุธ หลังจากนั้นตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.เป็นต้นไปจนถึงกาลพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ(ประมาณเดือน พ.ย.) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคล องค์การ และสมาคมร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลถวายเป็นประจำทุกวัน โดยสามารถทำหนังสือถึงเลขาธิการสำนักพระราชวัง ด้าน ครม.สุรยุทธ์ได้อนุมัติงบประมาณเบื้องต้นที่จะใช้ในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ จำนวน 300 ล้านบาท โดยเป็นค่าจัดสร้างพระเมรุ ,การซ่อมราชรถ ,ราชยาน ประมาณ 180 ล้านบาท สำหรับการก่อสร้างพระเมรุในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ที่มี น.อ.อาวุธ เงินชูกลิ่น อดีตอธิบดีกรมศิลปากร เป็นหัวหน้าทีมผู้ออกแบบนั้น คาดว่า จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายใน 1 เดือน คือประมาณเดือน ก.พ.นี้ และคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 6-7 เดือน ทั้งนี้ หลังสำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.เป็นต้นมา ปรากฏว่า ได้มีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศทยอยเข้าถวายสักการะพระศพอย่างไม่ขาดสาย ขณะที่ผู้นำประเทศต่างๆ ยังคงส่งสาส์นแสดงความอาลัยต่อการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ อย่างต่อเนื่อง
สมเด็จพระเทพฯ ทรงเลือกแบบพระเมรุฉัตร 7 ชั้น ทรงพอพระทัยแบบร่าง
2. “พจมาน”บินกลับไทยขึ้นศาลสู้คดี”ซื้อที่รัชดาฯ”แล้ว ด้านศาลให้ประกันตัว แต่สั่งห้ามออกนอก ปท.!
เมื่อวันที่ 8 ม.ค. คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในฐานะจำเลยที่ 2 ในคดีซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ (พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1) ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ระหว่างออกหมายจับ ได้เดินทางจากฮ่องกงกลับมายังประเทศไทยแล้ว โดยทันทีที่เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ได้มีแกนนำพรรคพลังประชาชนเดินทางไปต้อนรับ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เชิญคุณหญิงพจมานมาบันทึกปากคำ ก่อนส่งตัวไปให้พนักงานสอบสวนของ สภ.ราชาเทวะ ซึ่งเป็นตำรวจท้องที่เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา เมื่อแล้วเสร็จจึงนำคุณหญิงพจมานไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยทันทีที่คุณหญิงพจมานเดินทางถึงศาลฎีกาฯ พร้อมด้วยลูกๆ ทั้งสาม คือ นายพานทองแท้-น.ส.พิณทองทา และ น.ส.แพทองธาร ได้มีอดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทยและแกนนำพรรคพลังประชาชนหลายคนไปรอให้กำลังใจ นอกจากนี้ยังมีกองเชียร์ที่เป็นกลุ่มเดียวกับม็อบที่เคยหนุน กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ และม็อบกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ(นปก.)ประมาณ 20 คนไปส่งเสียงเชียร์ให้คุณหญิงพจมานสู้ๆ ด้วย หลังรายงานตัวต่อศาลฎีกาฯ แล้ว ศาลฯ ได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวตามที่ร้องขอ โดยตีราคาประกัน 5 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ศาลฯ ได้กำหนดเงื่อนไขห้ามคุณหญิงพจมานเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล นอกจากนี้ยังสั่งห้ามคุณหญิงพจมานกระทำการใดอันเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อคดี ทั้งนี้ ศาลฯ ได้มีคำสั่งให้ยกคดีในส่วนของคุณหญิงพจมานขึ้นมาพิจารณาก่อน เนื่องจากจำเลยที่ 1 คือ พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่มารายงานตัว โดยศาลฯ ได้นัดพิจารณาคดีครั้งแรกเพื่อสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 23 ม.ค.นี้(เวลา 10.00น.) หลังเดินทางออกจากศาลฎีกาฯ คุณหญิงพจมานได้เดินทางไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ทันที ตามที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ออกหมายจับ เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หลังเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ทางดีเอสไอได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท ด้านนายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีดีเอสไอ แถลงว่า คุณหญิงพจมานให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมยื่นคำให้การเป็นเอกสาร และจะขอให้การเพิ่มเติมเป็นเอกสารอีก โดยจะส่งเอกสารเพิ่มเติมให้ภายใน 30 วัน แต่พนักงานสอบสวนเห็นว่านานเกินไป เพราะก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวนได้ให้เวลาผู้ต้องหาเข้าให้การมานานแล้ว ดังนั้น จะประสานให้ผู้ต้องหาส่งเอกสารให้การเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด อธิบดีดีเอสไอ ยังบอกด้วยว่า ในส่วนของสำนวนคดี พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทเอสซีฯ นี้ ดีเอสไออยู่ระหว่างการสรุปสำนวน โดยยืนยันว่า ดีเอสไอมีหลักฐานเพียงพอสามารถสรุปสำนวนส่งให้อัยการ โดยไม่ต้องรอให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้าประเทศไทยก่อน และว่า หากอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง ก็จะมีการออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณในชั้นอัยการต่อไป ทั้งนี้ หลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากดีเอสไอแล้ว คุณหญิงพจมานได้เดินทางเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า และได้ออกจากบ้านในช่วงค่ำ(เวลา 18.30น.)พร้อมลูกๆ ทั้งสามคน โดยเดินทางไปเข้าร่วมพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกแถลงการณ์ถึงสาเหตุที่คุณหญิงพจมานเดินทางกลับประเทศในวันที่ 8 ม.ค.หลังเดินทางออกนอกประเทศไปหลายเดือนว่า มี 3 เหตุผล 1.เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อจะได้มีโอกาสเข้าถวายสักการะพระศพและถวายความอาลัยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ 2.เพื่อสู้คดีและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรม และ 3.ในฐานะแม่ที่รักและห่วงใยลูกๆ คุณหญิงพจมานจึงเดินทางกลับประเทศเพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดลูกๆ ด้านนายนพดล ปัทมะ รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชนและที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายครอบครัวชินวัตร ปฏิเสธข่าวที่ว่า คุณหญิงพจมานเดินทางกลับประเทศเพื่อจัดโผ ครม.รัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดยบอก หากคุณหญิงพจมานต้องเป็นผู้จัดโผ ครม.ครั้งนี้จริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาไทย พร้อมย้ำ คุณหญิงพจมานไม่เกี่ยวข้องใดใดกับพรรคพลังประชาชน อำนาจจัด ครม.เป็นเรื่องของนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น
“แม้ว” อ้างส่งเมียกลับไทยเพื่อถวายอาลัยพระพี่นางฯ
ทนาย “แม้ว” เฉไฉ หญิงอ้อขอเข้ามอบตัว ยันขึ้นศาลทุกนัด
3. “กกต.”แจกใบเหลือง-ใบแดงแล้ว 22 ใบ ด้าน”ศาลฎีกาฯ”ยกคำร้อง”พปช.”อุทธรณ์ใบแดง!
หลังเกิดการประท้วงใบแดงโดยว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชนทั้ง 3 คน คือ นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน ,นายรุ่งโรจน์ ทองศรี และนายประกิจ พลเดช ซึ่งนอกจากมีการแจ้งความดำเนินคดีประธาน กกต.บุรีรัมย์(เกษม วัฒนธรรม) และ กกต.บุรีรัมย์ฝ่ายสืบสวนสอบสวน(พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล)แล้ว ยังมีการนำชาวบ้านชุมนุมขับไล่ประธาน กกต.บุรีรัมย์ด้วย ขณะที่ กกต.กลางวอนให้ม็อบยุติ และรอการวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนว่าจะเห็นด้วยกับ กกต.ที่ให้ใบแดง 3 ว่าที่ ส.ส.ดังกล่าวหรือไม่ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค.คณะกรรมการตรวจสอบของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ก็ได้มีมติเอกฉันท์ว่า คำสั่งของ กกต.ที่ให้ใบแดง 3 ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และได้ให้โอกาสแก่ผู้ถูกกล่าวหาเข้าชี้แจงและแสดงพยานหลักฐานต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนพอสมควรแล้ว ด้านนายประกิจ พลเดช 1 ใน 3 ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชนที่โดนใบแดง อ้าง ชาวบ้านฟังคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วไม่พอใจ จะชุมนุมใหญ่อีกครั้ง แต่ตนได้ขอร้องไว้อย่าเพิ่งชุมนุม เพราะกลัวจะถูกมองว่าเป็นการกดดัน กกต.และว่าช่วงนี้ก็เป็นช่วงไว้อาลัยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ด้วย ทั้งนี้ 3 ว่าที่ ส.ส.ที่โดนใบแดงดังกล่าวได้พยายามดิ้นให้พ้นใบแดงด้วยการร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง(เมื่อ 8 ม.ค.) ขอให้เพิกถอนคำสั่ง กกต.ที่ให้ใบแดงพวกตน พร้อมขอให้ศาลสั่งระงับประกาศของ กกต.ที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตที่พวกตนได้ใบแดงในวันที่ 17 ม.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม หลังศาลฎีกาฯ พิจารณาแล้วได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 ม.ค.ให้ยกคำร้องของ 3 ว่าที่ ส.ส.ดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า กกต.มีอำนาจตามกฎหมายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หากเห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม โดยเฉพาะในกรณีที่ กกต.ยังไม่ได้ประกาศรับรองผลเลือกตั้งว่าที่ ส.ส.รายใด แล้ว กกต.มีมติให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.รายนั้น ถือว่าคำวินิจฉัยของ กกต.เป็นที่สุด เว้นเสียแต่ว่า กกต.ประกาศรับรองผลเลือกตั้งว่าที่ ส.ส.รายนั้นไปแล้ว และต้องการให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.ดังกล่าว จะต้องส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเป็นผู้วินิจฉัย ดังนั้นในกรณีนี้ ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชนทั้ง 3 คนซึ่ง กกต.ยังไม่ได้ประกาศรับรองผลเลือกตั้งแล้วได้ใบแดง จึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องคดีนี้ต่อศาลฎีกาฯ ส่วนความคืบหน้าการให้ใบเหลืองใบแดงของ กกต.ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เมื่อวันที่ 7 ม.ค. กกต.ได้มีมติให้ใบเหลืองแก่ 3 ว่าที่ ส.ส.อุดรธานี เขต 1 พรรคพลังประชาชน 3 คน(พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์ ,นายเชิดชัย วิเชียรวรรณ ,นายอนันต์ ศรีพันธ์) และว่าที่ ส.ส.เพชรบูรณ์ เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน(นายสุทัศน์ จันทร์แสงสี) นอกจากนี้ช่วงค่ำวันเดียวกัน(7 ม.ค.) กกต.ยังมีมติเอกฉันท์ 5 เสียงให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.ชัยนาท เขต 1 พรรคชาติไทย 2 คน คือ นายมณเฑียร สงฆ์ประชา และ น.ส.นันทนา สงฆ์ประชา หลังพบหัวคะแนนของบุคคลทั้งสองเก็บบัตรประชาชนชาวบ้านและจ่ายเงินให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่หน้าหน่วยเลือกตั้งกลางในการเลือกตั้งล่วงหน้า พร้อมกันนี้ กกต.ยังได้มีมติให้ใบเหลืองอีก 4 ใบแก่ว่าที่ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนและพรรคชาติไทย ประกอบด้วย ว่าที่ ส.ส.อุดรธานี เขต 2 พรรคพลังประชาชน 3 คน คือ นายธีระชัย แสนแก้ว ,นายทองดี มนิสสาร และนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ส่วนอีก 1 ใบเหลืองคือ นายบัณฑูรย์ เกียรติก้องชูชัย ว่าที่ ส.ส.ชัยภูมิ เขต 2 พรรคชาติไทย วันต่อมา(8 ม.ค.) กกต.ได้มีมติ 4 : 1 ให้ใบแดงแก่นายสุนทร วิลาวัลย์ ว่าที่ ส.ส.ปราจีนบุรี เขต 1 พรรคมัชฌิมาธิปไตย เนื่องจากมีพฤติกรรมแจกทรัพย์สิน ทั้งนี้ นายสุนทรโดน 2 เด้ง เพราะนอกจากโดนใบแดงแล้ว กกต.ยังมีมติให้ดำเนินคดีอาญานายสุนทรและหัวคะแนน เพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งด้วย ต่อมา(10 ม.ค.) กกต.ได้มีมติ 4 : 1 ให้ใบแดงแก่นายประสพ บุษราคัม ว่าที่ ส.ส.อุดรธานี เขต 3 พรรคพลังประชาชน เนื่องจากได้ปราศรัยใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิดในคะแนนนิยม ทั้งนี้ กกต.ได้ชี้แจงกรณีที่บางคนอาจสับสนว่า กกต.เคยให้ใบเหลืองนายประสพไปก่อนหน้านี้ เหตุใดภายหลังจึงเปลี่ยนมาให้ใบแดง โดย กกต.ชี้แจงว่า เป็นคนละสำนวนคนละกรณีกัน สำนวนใดเจ้าหน้าที่เสนอมาก่อน กกต.ก็ต้องพิจารณาก่อน จึงไม่ใช่การเปลี่ยนจากการให้ใบเหลืองมาเป็นใบแดงแต่อย่างใด ต่อมา(11 ม.ค.)กกต.ได้มีมติให้ใบเหลืองอีก 2 ใบแก่ว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ โดยในส่วนของพรรคพลังประชาชนนั้น คือนายเฉลิมชาติ การุณ ว่าที่ ส.ส.สกลนคร เขต 1 ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ว่าที่ ส.ส.นครนายก สรุปยอดการโดนใบเหลืองใบแดงของแต่ละพรรคตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.-11 ม.ค.ปรากฏว่า มีว่าที่ ส.ส. 4 พรรคที่โดนใบเหลืองใบแดง ประกอบด้วย พรรคพลังประชาชนได้ 12 ใบเหลือง / 4 ใบแดง ,พรรคประชาธิปัตย์ได้ 2 ใบเหลือง ยังไม่โดนใบแดง ,พรรคชาติไทยได้ 1 ใบเหลือง / 2 ใบแดง ส่วนพรรคมัชฌิมาธิปไตยได้ 1 ใบแดง ยังไม่โดนใบเหลือง ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 11 ม.ค. ว่าที่ ส.ส.อุดรธานี เขต 1-2-3 พรรคพลังประชาชน 7 คน ได้ประชด กกต.ที่ให้ใบเหลืองพวกตนและจะจัดเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 20 ม.ค. โดยว่าที่ ส.ส.ทั้ง 7 ได้ออกหาเสียงด้วยรูปแบบใหม่ คือขังตัวเองอยู่ในกรงบนรถหาเสียง โดยอ้างว่า เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและกันข้อครหาว่าพวกตนทุจริตเลือกตั้ง พร้อมยืนยันว่า พวกตนจะกินนอนอยู่ในกรงจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง
ศาลฎีกายกคำร้อง 3 ใบแดงว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ พปช.
4. ทุจริตเชียงราย “ยงยุทธ”ส่อแววได้เข้าสภา หลังสร้างเงื่อนไขให้”กกต.”ต้องนับหนึ่งใหม่!
เมื่อวันที่ 8 ม.ค.นายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน ได้เข้าชี้แจงข้อกล่าวหาทุจริตเลือกตั้งที่เชียงรายต่อ กกต. หลังจากได้ขอเลื่อนการเข้าชี้แจงจากวันที่ 29 ธ.ค.มาเป็นวันที่ 8 ม.ค.โดยอ้างว่าติดภารกิจไปต่างประเทศ ทั้งนี้ นายยงยุทธถูกกล่าวหาว่าซื้อเสียงผ่านกำนัน โดย กกต.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายวิจิตร ยอดสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย เขต 3 พรรคชาติไทย ว่า มีการนำกำนันใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย จำนวน 10 คนนั่งเครื่องบินสายการบินไทยแอร์เอเชียมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 28 ต.ค.50 จากนั้นมีรถตู้ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)มารับไปส่งยังที่ทำการพรรคพลังประชาชน ต่อมา รถคันดังกล่าวก็รับกำนันทั้งหมดไปส่งที่โรงแรมเอสซีปาร์ค โดยนอนพัก 1 คืน ก่อนจะเดินทางกลับเชียงรายในวันที่ 29 ต.ค. ซึ่งหลังจากตำรวจสันติบาลที่ กกต.ตั้งให้ไปช่วยสอบกรณีดังกล่าวสอบออกมาแล้ว พบว่า มีทั้งวัตถุพยานและพยานเอกสารที่บ่งชี้ว่า กำนันทั้ง 10 คนเดินทางไปพบนายยงยุทธที่พรรคพลังประชาชนจริง พร้อมมีวีซีดียืนยันรวม 8 แผ่น นอกจากนี้ในสำนวนการสอบสวน พยานก็ยอมรับว่า ได้เดินทางมาพบบางบุคคลจริง และได้รับการขอร้องให้ช่วยหาเสียงให้ผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขตและสัดส่วน โดยได้รับค่าตอบแทนเบื้องต้น 2 หมื่นบาท ซึ่งหากนายยงยุทธกระทำผิดจริง โทษอาจไม่ใช่แค่ได้ใบแดง แต่อาจถึงขั้นถูกยุบพรรคด้วย เนื่องจากนายยงยุทธ เป็นรองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 และเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากนายยงยุทธเข้าชี้แจง กกต.โดยนำพยาน 10 คนมาให้ปากคำแล้ว ได้เปิดแถลงต่อสื่อมวลชนโดยอ้างว่า มีกระบวนการจัดฉากนำกำนันทั้ง 10 คนมาพบตนที่ กทม.เพื่อโยงไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน เป็นการล่อซื้อให้ตนติดกับดัก อย่างไรก็ตาม นายยงยุทธ ยอมรับว่า ตนได้พบกับกำนันทั้ง 10 คนดังกล่าวจริง หลังเข้าชี้แจงวันแรก นายยงยุทธก็ยังคงเข้าพบ กกต.อีกในวันต่อมา(9 ม.ค.) โดยพยายามจะขอ กกต.ดูวีซีดีที่ใช้เป็นหลักฐานในการกล่าวหาตน เพื่อดูว่ามีการตัดต่อหรือไม่ แต่ กกต.บอกว่า วีซีดีดังกล่าวอยู่ที่ตำรวจสันติบาล นายยงยุทธยังเปิดแถลงอ้างอีกว่า การกล่าวหาตนครั้งนี้มีคนบงการและมี”นกต่อ” โดยบอก มีทั้ง พล.ต.ท.-พล.ต.ต.และ พ.ต.อ. แต่นายยงยุทธไม่ยอมเปิดเผยชื่อตำรวจที่ตนอ้างถึงแต่อย่างใด ด้านปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้สั่งให้มีการตรวจสอบการนำรถของกระทรวงซึ่งเป็นรถของหลวงไปรับกำนันทั้ง 10 คนไปพบนายยงยุทธ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า เจ้าของสังกัดรถตู้คันที่ไปรับกำนันดังกล่าว ก็คือ ว่าที่ ร.ต.บุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ผอ.ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรฯ ซึ่งมีข่าวว่าเป็นคนสนิทนายยงยุทธและเคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมานาน ด้าน กกต.ได้มีมติตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาสอบสวนคดีทุจริตเชียงราย หลังนายยงยุทธและแกนนำพรรคพลังประชาชน(ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน) จี้ให้ กกต.เปลี่ยนชุดสอบ โดยอ้างว่า พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพรรณกุล หัวหน้าทีมสอบชุดเดิม มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สำนวนสอบที่ออกมาจึงอาจไม่เป็นกลาง สำหรับประธานคณะกรรมการสอบชุดใหม่ ก็คือ นายสุวิทย์ ธีระพงษ์ โดย กกต.ได้มอบสำนวนพร้อมพยานหลักฐานทั้งหมดและวีซีดีจากตำรวจสันติบาลให้นายสุวิทย์แล้วเมื่อวันที่ 11 ม.ค. โดยนายสุวิทย์ บอก ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ ไม่รับรองว่าจะเสร็จทันการเปิดประชุมสภาวันที่ 22 ม.ค.หรือไม่ ขณะที่ กกต.บอก หากสำนวนเสร็จไม่ทัน กกต.คงต้องประกาศรับรองผลการเลือกตั้งของนายยงยุทธไปก่อน
“ยุทธ ตู้เย็น” เครียดจัด! อ้างเฉยโดนกลั่นแกล้ง
5. ศาลฎีกาฯ เตรียมชี้ เลือกตั้งล่วงหน้าโมฆะหรือไม่ 18 ม.ค.นี้ ด้าน”ปชป.”หวั่นเลือกตั้งโมฆะ สั่ง”ไชยวัฒน์”ถอนฟ้อง!
เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้นัดไต่สวนคดีที่นายสราวุท ทองเพ็ญ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ระบบสัดส่วน กลุ่ม 3 พรรคความหวังใหม่ ยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งให้การเลือกตั้ง ส.ส.ล่วงหน้าเมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค.เป็นโมฆะ โดยอ้างว่า กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจ กกต. หลังการไต่สวน ศาลเห็นว่าข้อพิพาทคดีนี้เป็นประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า กกต.มีอำนาจจัดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าหรือไม่ โดยศาลสั่งให้คู่ความทั้งสองฝ่าย คือผู้ร้องและ กกต.ยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 3 วัน พร้อมนัดฟังคำสั่งคดีนี้ในวันที่ 18 ม.ค.(เวลา 15.00น.) ส่วนความคืบหน้ากรณีที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นศาลฎีกาฯ ให้วินิจฉัย 4 ข้อ คือ 1.ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าการส่งผู้สมัครในนามพรรคพลังประชาชนเป็นโมฆะ เพราะพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย 2.นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนของอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย(พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ดังนั้นการลงนามส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งของนายสมัครจึงเป็นโมฆะ 3.การเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลฯ เพิกถอนการเลือกตั้งดังกล่าว ตลอดจนเพิกถอนการนับคะแนนเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ และ 4.ขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่า การแจกซีดีให้แก่ประชาชนเป็นการผิดกฎหมาย และห้าม กกต.ประกาศรับรองผลเลือกตั้งทั่วประเทศ หรือเพิกถอนการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งของผู้สมัครพรรคพลังประชาชน ซึ่งศาลได้มีคำสั่งรับคำฟ้องดังกล่าวไว้พิจารณา โดยนัดพิจารณาคดีในวันที่ 15 ม.ค.นั้น ปรากฏว่า ทางหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ได้ออกมาชี้แจง(เมื่อ 10 ม.ค.)ว่า การร้องของนายไชยวัฒน์ให้การเลือกตั้งล่วงหน้าเป็นโมฆะนั้น ไม่ใช่จุดยืนของพรรค แต่เป็นการใช้สิทธิส่วนตัว จึงได้ขอให้นายไชยวัฒน์ไปถอนฟ้อง เพื่อให้ประชาชนเกิดความสบายใจว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีจุดยืนให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ ด้านนายไชยวัฒน์ อยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะถอนฟ้องหรือไม่.
“มาร์ค” ปิดปากประเด็นการเมือง - สั่ง “ไชยวัฒน์” ถอนฟ้องเลือกตั้งโมฆะ