xs
xsm
sm
md
lg

SCGPกำหนดช่วงราคาIPO 33.50–35.00บ./หุ้น เปิดจอง28ก.ย.–7ต.ค.

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (“SCGP”) โชว์ศักยภาพผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนเตรียมเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 1,127.6 ล้านหุ้น กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ 33.50 – 35.00 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดให้จองซื้อ 28 กันยายน – 7 ตุลาคมนี้

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ได้วางกลยุทธ์นำบริษัทฯ รุกขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน โดยชูศักยภาพ เป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน เน้นตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคเ พื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ครอบคลุมทั้งบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ กระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและ พอลิเมอร์ ทั้งแบบอ่อนตัวและแบบคงรูป บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร เยื่อกระดาษและกระดาษพิมพ์เขียน โดยมีการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีฐานการผลิตใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย

ปัจจุบัน SCGP เป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภค พร้อมต่อยอดการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ซึ่งมีคุณสมบัติในการทำหน้าที่ปกป้องสินค้า ช่วยสร้างแบรนด์และเพิ่มความโดดเด่นแก่ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่

นายวิชาญ มองว่า อาเซียน เป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ มีประชากรรวมกันกว่า 500 ล้านคนและมี 4 เมกะเทรนด์ที่จะส่งผลดีต่อปริมาณการใช้บรรจุภัณฑ์ ได้แก่ อัตราการบริโภคบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์จากพอลิเมอร์ที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรและไลฟ์สไตล์ การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น

นายกุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน SCGP กล่าวว่า จากการปรับโมเดลธุรกิจของ SCGP จากอุตสาหกรรมการผลิตสู่การเป็น Packaging Solutions Provider โดยมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจทั้งแบบ B2B B2B2C และ B2C ตลอดจนการเร่งขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการแบบครบวงจรเพิ่มขึ้น การพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย และการขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลดีต่อการเติบโต สะท้อนจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2563 มีรายได้จากการขายรวม 45,903 ล้านบาท เติบโต 11% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้มีการระบาดของโรค COVID-19 ได้ปัจจัยหนุนจากบรรจุภัณฑ์สำหรับอีคอมเมิร์ซ ฟู้ดเดลิเวอรี่ อาหารส่งออก สินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ,กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพและสุขอนามัย

ส่วนปี 2563 บริษัทฯ ได้เจรจาและลงนามในสัญญาซื้อหุ้นกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกรายใหญ่ในเวียดนามที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ นอกจากนี้อยู่ระหว่างขยายกำลังผลิตอีก 4 โครงการ ในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ ใช้งบลงทุนรวมกว่า 8,200 ล้านบาท ซึ่งทยอยแล้วเสร็จในปี 2563–2564 ช่วยเพิ่มความสามารถการผลิตบรรจุภัณฑ์และขยายส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น และล่าสุดบริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) เพื่อระดมทุนนำมาใช้ขยายธุรกิจ ชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียน คาดว่าจะนำหุ้น SCGP เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินแก่ SCGP

ด้านนางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า ขณะนี้แบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ได้รับการอนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. และแบบ Filing ของ SCGP มีผลบังคับใช้เรียบร้อยแล้ว

ปัจจุบัน SCGP มีทุนจดทะเบียน 4,500 ล้านบาท โดยเป็นทุนที่ออกและชำระแล้ว 3,126 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 3,126 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 1,127.6 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 26.5 % ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ (ไม่รวมหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน อาจใช้สิทธิซื้อหุ้น IPO จากบริษัทฯ ในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน)

นอกจากนี้ อาจจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over Allotment) จำนวนไม่เกิน 169.1 ล้านหุ้น รวมคิดเป็นไม่เกิน 29.3 % ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังเสนอขายครั้งนี้ (กรณีที่ใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินทั้งจำนวน) ซึ่งจำนวนหุ้นที่เสนอขายสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทฯ ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ (ถ้ามี)

ล่าสุด SCGP ได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 33.50 – 35.00 บาทต่อหุ้น จากนั้นจะสำรวจความต้องการจองซื้อหุ้น IPO ของนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) เพื่อกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายคาดว่าจะประกาศได้ประมาณวันที่ 8 ตุลาคม 2563 กำหนดระยะเวลาจองซื้อของผู้จองซื้อแต่ละประเภท ดังนี้

- ผู้ถือหุ้นสามัญของ SCGP ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรร, ผู้ถือหุ้นของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้น, ผู้มีอุปการคุณของ SCGP สามารถจองซื้อได้ในวันที่ 28 กันยายน ถึง 2 ตุลาคม 2563 (เฉพาะวันทำการ)

- ผู้จองซื้อรายย่อย สามารถจองซื้อได้ในวันที่ 1, 2 และ 5 ตุลาคม 2563

- บุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ สามารถจองซื้อได้ในวันที่ 5-7 ตุลาคม 2563

โดยจะต้องจองซื้อที่ราคา 35.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาเสนอขายสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น (“ราคาจองซื้อ”) หากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาจองซื้อ จะคืนเงินค่าส่วนต่างแก่ผู้จองซื้อทุกราย หลังสิ้นสุดการเสนอขาย

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า SCGP เป็นหุ้น IPO ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยมีกลุ่มนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) จำนวน 18 ราย ได้ลงนามในสัญญา Cornerstone Placing Agreement รวมทั้งสิ้น 676.53 ล้านหุ้นหรือประมาณ 60% ของจำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายครั้งนี้ (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนสถาบัน และสะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพของ SCGP ที่เป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย

SCGP แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม และแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ 9 ราย เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ,บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ ,บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ,บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ ,บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต ,บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) , บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ,บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย)





วิชาญ จิตร์ภักดี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP

กุลเชฏฐ์  ธาราจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน SCGP


กำลังโหลดความคิดเห็น